The red artifact part 1 :เจ้าชายสุธนกับห้าอาณาจักร
เขียนโดย หน้ากากเหล็ก
วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 18.25 น.
แก้ไขเมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 18.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ตอนที่ 4 มโนราห์ 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ระหว่างมุ่งสู่พระแม่ธรณี สายลมปะทะผมยาวสีดำของเจ้าชายจนยุ่งเหยิง ผิดกับผมของนางคู่กรณีที่ยังรักษาทรงไว้ได้
ทั้งสองฝ่ายต่างดูเชิงซึ่งกันและกัน มิใช่เพราะกลัวเปิดช่องว่างหากเดินหมากก่อน แต่เป็นเพราะ ตกอยู่ในภวังค์เมื่อเห็นหน้าซึ่งกันและกัน จนลืมว่าตนเองกำลังโหม่งโลกอยู่
“ องค์หญิง !!! เพคะ ” เหล่าสตรีงดงามสี่นาง แต่ละนางล้วนผมสีเทา ผิวเปล่งปลั่ง โบยบินด้วยปีกด้ายแสงคล้ายมโนราห์ มาห้อมล้อมทั้งคู่ไว้ แล้วพาลงพื้นโดยสวัสดิภาพ แล้วนางนึงบัญชาวายุเป็นโซ่ตรวน พันธนาการองค์ชาย
“ มันผู้นี้เป็นผู้ใดกัน คิดปองร้ายเจ้าหญิงมโนราห์ กระนั้นหรือ ? ” ข้ารับใช้นางนึงเอ่ยวาจาเพราะพริ้ง พยายามบังคับให้เจ้าชายคุกเข่าลงด้วยกิริยาดุดัน
ทว่ามิอาจทำให้เจ้าชายจำนนโดยง่ายแม้นใช้กำลังเวทย์วายุบังคับจนอีกสองคนต้องใช้พลังช่วย
สายตาลังเลของนางมโนราห์มองภาพเจ้าชายยืดหยัดอย่างองอาจ มือพลางกุมอก
ก่อนที่เจ้าชายควบคุมลมหายใจของตนให้เป็นพลังแล้วเอ่ยขึ้นมา
“ เจ้าคิดว่าเจ้าจะบังคับ เจ้าชายแห่งดินแดนนี้คุกเข่าให้คนต่างถิ่นที่ปองร้ายต่อผู้คนของข้าได้กระนั้นรึ !!!! แม้นตัวตายข้าก็จะไม่จำนน ” สิ้นคำเจ้าชายระเบิดพลังปราณอันแรงกล้ากว่าพรานบุญหลายเท่าตัว จนทำลายพันธนาการทำท่าจะหยิบพระขรรค์ มีดประจำกายพระองค์ขึ้นมาส่วนข้ารับใช้สามนางตั้งท่าพร้อมต่อสู้
“ หยุดเพียงนั้นแหละ ทุกคน !! ” เจ้าหญิงมโนราห์ รีบห้ามปราม ก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลายไปมากกว่านี้
“ คิดดีแล้วหรอเพคะ ? ” เหล่านางรับใช้จำยอมต่อคำสั่ง ผ่อนคลายอิริยาบถ บรรยากาศมาคุได้ทุเลาลง ส่วนเจ้าชายเก็บอาวุธตนเข้าฝัก มองเจ้าหญิงผมเทาอย่างพิสมัย
“ สุธน !!! ” แว่วเสียงห่วงใยของ ชายฉกรรจ์ในชุดชาวชั้นสูงอียิปต์ มากด้วยเครื่องประดับประดา แต่สิ่งที่เด่นคือผ้าโพกหัวคล้ายหัวสฟิงซ์ลายสลับสี กับ มงกฎงูเห่าคาดหน้าผาก ขี่หุ่นสฟิงซ์มาลงจอด กระทั่งเห็นเหล่าสตรีผมเทาหลายนาง ล้อมเจ้าชายแห่งอินดัสอยู่ จึงเปลี่ยนท่าทีจะชักดาบปลายเคียวเปล่งออร่า ส่วนพรานบุญทำท่าพร้อมสนับสนุนอยู่ข้างหลัง
“ ช้าก่อน !! ราเมสเซส ” (Ramesses) เจ้าชายสุธนแบมือ ห้ามสหายของตนเพราะเกรงว่าบรรยากาศจะตึงเครียดขึ้นมาอีก แล้วหันไปยังแม่นางผู้สูงศักดิ์
“ ข้ามีนามว่าสุธน เจ้าชายแห่งอาณาจักรอินดัส จงกล่าวนามและกิจธุระของเจ้าต่อดินแดนแห่งนี้มา ”
ทางองค์หญิงสำรวมกิริยาแล้วเปล่งวาจาตอบ
“ ตัวข้ามีนามว่ามโนราห์ องค์หญิงจากดินแดนไกลโพ้น ส่วนกิจธุระของข้า ... ” ระหว่างนั้นเอง
“ นางกำลังโกหกเจ้า!!! สุธน ในโลกานี้ไม่มีอาณาจักรอื่นนอกเหนือจากอาณาจักรแห่งเครือญาติเราแล้ว อีกทั้งนางผู้นั้นยังปองร้ายลูกน้องเจ้าเสียด้วย ” ราเมสเซสตะโกนขึ้นมาด้วยภาษามนตราแห่งชนชั้นสูง ที่พรานบุญฟังไม่ออก และ หวังว่านางคนนั้นจะไม่เข้าใจด้วย
“ ท่าทางพระสหายของท่านจะหาว่าข้าโป้ปดมดเท็จนะ องค์ชายสุธน ส่วนเรื่องพรานผู้นั้น เขาเป็นคนพยายามจับข้าก่อน ” มโนราห์ส่งสายตาหวานใส่เจ้าชาย จนท่านอึ้งไปพักหนึ่งจึงหันไปมองพรานบุญที่พยักหน้ายอมรับความผิดของตน
“ เช่นนั้น ข้าต้องขออภัยด้วยที่ลูกพี่ลูกน้องข้า กับ ลูกน้องได้กระทำล่วงเกินทั้งทางวาจา หรือ การกระทำใดๆ ต่อเจ้า มโนราห์
แม้นจะเป็นแรกพบอันไม่น่าประทับใจ แต่ข้าขอแนะนำลูกพี่ลูกน้องของข้า เจ้าชายราเมสเซสแห่งอาณาจักรเคเมส (Kemet) แห่งทะเลทรายอียิปต์อันไกลโพ้น กับ พรานบุญ ลูกน้องคนสนิทของข้า ”
ระหว่างเอ่ย พระสุธนเรียกเจ้าชายอีกดินแดนเข้ามาร่วม สร้างสัมพันธไมตรี แม้นจะยังไม่ไว้วางใจดีแต่เจ้าชายแห่งแดนทะเลทรายก็จำใจเข้าร่วมส่วนพรานยืนสำรวมอยู่เบื้องหลัง
เจ้าหญิงปักษาครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะอมยิ้มแล้วเดินมาเคียงข้างองค์ชายสุธน
“ พวกเจ้าจักบอกพ่อของข้าเสียว่า ข้าถูกมนุษย์จับตัวไปล่ะกัน ส่วนข้าจะไปศึกษาวัฒนธรรมพวกเขาหน่อย ”
เหล่านางรับใช้ได้ยินเช่นนั้นจึงตกตะลึง
“ จะดีหรอเพคะ ข้าน้อยรู้ว่าองค์หญิง ประสงค์อยากเที่ยวเล่นเสียมากกว่า ! ”
“ เอาน่าพวกเจ้า เที่ยวเล่นกับการศึกษาวัฒนธรรมต่างถิ่นนั้นคู่กันเสียอยู่แล้ว ฮิ ฮิ ” มโนราห์ทำท่าขบขัน แล้วตัวเปล่งแสง จำแลงกายกลายเป็นหญิงอินเดียผิวสีน้ำผึ้งงดงามในชุดส่าหรีอันงดงาม
สามบุรุษมองภาพนั้นอย่างตกตะลึง โดยเฉพาะเจ้าชายแห่งอินดัสนั้นถึงกับสติขาดลอย จนนางจำแลงกายเสร็จ สยายผ้าสไบอันอ่อนนุ่มและหอมหวาน มาโดนใบหน้าจึงหลุดจากภวังค์
หลายวันต่อมา ...... ข่าวผู้พิชิตใจเจ้าชายได้กระจายไปทั่วอาณาจักรอินดัส จนเกิดบรรยากาศเฉลิมฉลองครื้นเครงทั่วหล้า ชาวเมืองทุกสารทิศ หลากวรรณะแห่กันมาประจักษ์นางมโนราห์ในคราบเจ้าหญิงอินเดียให้เป็นขวัญตา
หน้าประตูทางเข้าพระราชวังหลวง ผู้คนพลุกพล่าน แต่งตัวต่างกันตามฐานะ ล้วนนำของบรรณาการ และ กล่าวคำอวยพรแด่เจ้าชาย
พร้อมทั้งกองทหารพระนครสวมเกราะปกปิดทั้งกายถือโล่และหอก ยืนอารักขาอย่างองอาจ ตามริมถนนทั้งสองด้านตลอดทาง
แต่ที่เด่นที่สุดคือ เจ้าชายกับเจ้าหญิงบนรถม้าอันงดงามประณีต ถูกลากโดยกิเลนคู่ใจเจ้าชาย กับ ขบวนองครักษ์อัศวินนรสิงห์
นักรบชั้นสูงในชุดเกราะอินเดียหนักและหน้ากากเทพเจ้าสิงโต แต่ละนายถืออาวุธต่างกันบ้างถือหอกยาว บ้างถือลูกตุ้มอินเดีย บ้างถือดาบแส้อันเลืองชื่อของอินเดีย (Urumi) แต่ทุกนายล้วนแบกคันธนูไว้เบื้องหลัง ขี่ราชสีห์แห่งยุคน้ำแข็งร่างใหญ่ว่าสิงโตในปัจจุบันเป็นเท่าตัว แค่เสียงคำรามอันน่าเกรงขามก็เพียงพอจะสังหารคนขวัญอ่อนได้ ขนาบทั้งหน้าทั้งหลังรถม้าขององค์ชาย
ระหว่างองค์ชายสุธนกำลังเยี่ยมพสกนิกรนั้นเอง ณ ภายในระเบียงวังหลวงเจ้าชายแห่งแดนอียิปต์ ผู้กำลังมองขบวนรถม้าอยู่ห่างๆ
“ ข้ากับสุธน แม้นเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็รักดุจพี่น้องร่วมสายเลือด คบหากันแต่เยาว์วัย นึกไม่ถึงว่าจะลงเอยกับนางคนนั้น แถมเป็นการพบกันอย่างเหนือความคาดหมายอีกด้วย ” พลางพูดลอยลอยต่อพรานบุญ ผู้ยืนสำรวมอยู่เบื้องหลัง
“ พะยะค่ะ หากมิบังอาจ ข้าพเจ้าสงสัยว่า เหตุไฉน ท่านราเมสเซสถึงตรัสภาษาอาณาจักรนี้ได้คล่องแคล่วยิ่งกว่าชาวพื้นเมืองบางคนเสียอีก ”
เจ้าชายต่างแดนแสดงท่าทางเป็นมิตร เอ่ยขึ้นมา
“ ฮะ ฮะ ข้าเองก็ไมได้ถือตัวขนาดนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดเป็นพิธีรีตอง ยามว่างพวกเราต่างศึกษาภาษาของอีกอาณาจักร ยังไงเสียก็เป็นภาษาที่ตระกูลเราคิดค้นขึ้นมา เจ้าสนใจจะศึกษาภาษาของอาณาจักรข้าไหมล่ะ พรานเอ๋ย ? เดี๋ยวข้ามอบตำราให้ ”
“ ข้าซึ้งในน้ำพระทัยของพระองค์ยิ่งนัก แต่ตัวข้าคงไม่มีวาสนาไปเยี่ยมดินแดนของท่านและมีโอกาสได้ใช้มันหรอกขอรับ ” ส่วนพรานบุญตอบปฏิเสธอย่างเจียมตัว
ระหว่างนั้นเอง
“ ราเมสเซส ผู้เป็นดังลูกอีกคนของข้า !!! ยินดีต้อนรับสู่อินดัส วันนี้ช่างวันเป็นวันมงคลเสียจริงได้เจ้ามาร่วมพิธีของสุธน ”
ชายวัยกลางคนไว้หนวด รูปร่างกำยำแต่งเครื่องทรงอินเดียทั่วกาย แต่ละชิ้นล้วนโอ่อ่า สวมมงกุฎราชา นามว่า “ อาทิตยวงศ์ ” ผู้เป็นมหาราชาแห่งอาณาจักรนี้ ปากกล่าววาจาชนชั้นสูง เดินเข้ามาพร้อมอ้าแขนต้อนรับเจ้าชายต่างแดน
“ ท่านลุงครับ ข้าคงต้องรบกวนท่าน ประมาณสัปดาห์หนึ่งเสียแล้ว ” เจ้าชายต่างแดนนอบน้อมต่อพระราชา
“ อย่าได้เกรงใจไปเลย คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านหลังที่สองของเจ้า อย่ามัวแต่ยืนตรงนี้เลย ข้ามีเรื่องมากมายอยากจะสนทนาบนโต๊ะเสวยกระยาหาร โดยเฉพาะเรื่องของฟาโรห์ ผู้เป็นบิดาของเจ้า ข้ากับเขาไม่ได้เจอกันเสียนานตั้งแต่ขึ้นครองราชย์”
“ ครับท่านลุง ” สิ้นบทสนทนาทั้งสองเดินเข้าไปพระราชวังด้วยกัน ทิ้งพรานบุญไว้เบื้องหลัง
ท่ามกลางบรรยากาศอันชื่นมื่น ความสุขอบอวลทั่วแผ่นดิน ใจผู้หนึ่งในพระราชวังกลับร้อนด้วยไฟริษยากับอาฆาตแค้น
บุคคลลึกลับในชุดพราหมณ์ ยืนกำมือแน่นในเงามืด กัดฟันมองภาพขบวนองค์ชายด้วยความเคียดแค้น
“ นังแพศยา เอ้ย !!!! ”
ณ ราตรีนั้น
งานฉลองมหรสพได้เลิกราไป ณ ห้องบรรทมเจ้าชายสุธนอันวิจิตร ผนังและแท่นบรรทมล้วนสลักลายอักขระอินเดียอย่างประณีต บรรยากาศไฟสลัวด้วยดวงไฟมนตราลุกไหม้โดยปราศจากเชื้อเพลิง
ม่านตกแต่งหน้าต่าง พลิ้วไหวตามลมโชยเข้ามา แลเห็นวิวจันทราและเทือกเขาหิมาลายันอันเด่นเป็นสง่า
ระหว่างเจ้าหญิงในร่างจำแลงชมวิวนั้นอย่างเพลิดเพลิน เจ้าชายเดินมาเบื้องหลัง แล้วเอ่ยวาจาเวทมนต์บางอย่าง
ทันใดนั้นเอง ไฟสลัวได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอันเร่าร้อน ผ้าม่านอันพลิ้วไหวแปรเปลี่ยนเป็นของแข็งดุจแก้ว เนื้อของมันขุ่นมัวเกินกว่าภายนอกจะมองเข้ามาและมิปล่อยให้เสียงจะเล็ดรอดออกไป
“ วันนี้เจ้าวางตัวได้สง่างามจนชนะใจเหล่าพสกนิกรนะ มโนราห์ คราแรกข้ากังวลว่าเจ้าจะชนะใจพระบิดาและมารดาไม่ได้เสียอีก ” องค์ชายกล่าวเกี้ยวพาราสีต่อองค์หญิง
ส่วนเจ้าหญิงหลับตา อมยิ้มแล้วเดินมาทางเจ้าชายด้วยกิริยาอ้อนแอ้น สายตาพิศวาสแล้วค่อยๆดันเจ้าชายที่กำลังหน้าแดงให้คล้อยไปทางแท่นบรรทมโดยง่าย
จนร่างเจ้าชายสะดุดขอบแท่นบรรทมล้มลงไปนอน มโนราห์ยิ้มหวานตราตรึงใจเจ้าชายพักหนึ่ง
“ หลับตาสิเพคะ องค์ชาย ”
เจ้าชายหลับตาด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ไฟราคะกรุ่นร้อนในใจ ได้ยินเสียงปลดเปลื้อง บางอย่างอ่อนนุ่มหล่นพื้น
“ ลืมตาสิเพคะ ”
ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น กลับต้องตกใจ เมื่อภาพที่เห็นกลับตาลปัตรเป็น เจ้าหญิงจำแลงกายกลับมายังร่างผมเทา ผิวพรรณเปล่งปลั่ง
ทว่าครานี้ขาที่เหมือนมนุษย์กลับแปรเปลี่ยนเป็นขาปักษา จ่อกรงเล็บนกสีแก้วมรกตอันแหลมคมและแวววาว ณ คอหอย พร้อมทั้งใช้นิ้วที่เหลือ ล็อคคอเจ้าชายเอาไว้ดุจอินทรีจับเหยื่อ
“ จงฟังข้าเสียองค์ชาย !! ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ