The red artifact part 1 :เจ้าชายสุธนกับห้าอาณาจักร

7.2

เขียนโดย หน้ากากเหล็ก

วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 18.25 น.

  5 ตอน
  0 วิจารณ์
  7,263 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 18.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ตอนที่ 4 มโนราห์ 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

                    ระหว่างมุ่งสู่พระแม่ธรณี สายลมปะทะผมยาวสีดำของเจ้าชายจนยุ่งเหยิง ผิดกับผมของนางคู่กรณีที่ยังรักษาทรงไว้ได้

          

              ทั้งสองฝ่ายต่างดูเชิงซึ่งกันและกัน มิใช่เพราะกลัวเปิดช่องว่างหากเดินหมากก่อน  แต่เป็นเพราะ ตกอยู่ในภวังค์เมื่อเห็นหน้าซึ่งกันและกัน  จนลืมว่าตนเองกำลังโหม่งโลกอยู่

               

 

                    “ องค์หญิง !!! เพคะ ” เหล่าสตรีงดงามสี่นาง แต่ละนางล้วนผมสีเทา ผิวเปล่งปลั่ง โบยบินด้วยปีกด้ายแสงคล้ายมโนราห์  มาห้อมล้อมทั้งคู่ไว้ แล้วพาลงพื้นโดยสวัสดิภาพ  แล้วนางนึงบัญชาวายุเป็นโซ่ตรวน พันธนาการองค์ชาย

               

 

                 “  มันผู้นี้เป็นผู้ใดกัน คิดปองร้ายเจ้าหญิงมโนราห์ กระนั้นหรือ ?  ”  ข้ารับใช้นางนึงเอ่ยวาจาเพราะพริ้ง  พยายามบังคับให้เจ้าชายคุกเข่าลงด้วยกิริยาดุดัน

               

 

                ทว่ามิอาจทำให้เจ้าชายจำนนโดยง่ายแม้นใช้กำลังเวทย์วายุบังคับจนอีกสองคนต้องใช้พลังช่วย

               

                    สายตาลังเลของนางมโนราห์มองภาพเจ้าชายยืดหยัดอย่างองอาจ มือพลางกุมอก

               

                  ก่อนที่เจ้าชายควบคุมลมหายใจของตนให้เป็นพลังแล้วเอ่ยขึ้นมา

               

             “   เจ้าคิดว่าเจ้าจะบังคับ เจ้าชายแห่งดินแดนนี้คุกเข่าให้คนต่างถิ่นที่ปองร้ายต่อผู้คนของข้าได้กระนั้นรึ  !!!! แม้นตัวตายข้าก็จะไม่จำนน  ” สิ้นคำเจ้าชายระเบิดพลังปราณอันแรงกล้ากว่าพรานบุญหลายเท่าตัว จนทำลายพันธนาการทำท่าจะหยิบพระขรรค์  มีดประจำกายพระองค์ขึ้นมาส่วนข้ารับใช้สามนางตั้งท่าพร้อมต่อสู้

               

 

                  “ หยุดเพียงนั้นแหละ ทุกคน !!  ”  เจ้าหญิงมโนราห์ รีบห้ามปราม ก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลายไปมากกว่านี้

               

 

                     “  คิดดีแล้วหรอเพคะ ?  ”     เหล่านางรับใช้จำยอมต่อคำสั่ง ผ่อนคลายอิริยาบถ บรรยากาศมาคุได้ทุเลาลง ส่วนเจ้าชายเก็บอาวุธตนเข้าฝัก มองเจ้าหญิงผมเทาอย่างพิสมัย

               

 

                     “ สุธน !!!   ”  แว่วเสียงห่วงใยของ  ชายฉกรรจ์ในชุดชาวชั้นสูงอียิปต์ มากด้วยเครื่องประดับประดา แต่สิ่งที่เด่นคือผ้าโพกหัวคล้ายหัวสฟิงซ์ลายสลับสี กับ มงกฎงูเห่าคาดหน้าผาก  ขี่หุ่นสฟิงซ์มาลงจอด กระทั่งเห็นเหล่าสตรีผมเทาหลายนาง ล้อมเจ้าชายแห่งอินดัสอยู่ จึงเปลี่ยนท่าทีจะชักดาบปลายเคียวเปล่งออร่า  ส่วนพรานบุญทำท่าพร้อมสนับสนุนอยู่ข้างหลัง

               

 

 

                       “ ช้าก่อน !! ราเมสเซส  ” (Ramesses) เจ้าชายสุธนแบมือ ห้ามสหายของตนเพราะเกรงว่าบรรยากาศจะตึงเครียดขึ้นมาอีก แล้วหันไปยังแม่นางผู้สูงศักดิ์

               

 

                   “ ข้ามีนามว่าสุธน เจ้าชายแห่งอาณาจักรอินดัส จงกล่าวนามและกิจธุระของเจ้าต่อดินแดนแห่งนี้มา   ”

 

                ทางองค์หญิงสำรวมกิริยาแล้วเปล่งวาจาตอบ

               

 

                   “ ตัวข้ามีนามว่ามโนราห์ องค์หญิงจากดินแดนไกลโพ้น  ส่วนกิจธุระของข้า ...  ” ระหว่างนั้นเอง

               

 

               “ นางกำลังโกหกเจ้า!!! สุธน ในโลกานี้ไม่มีอาณาจักรอื่นนอกเหนือจากอาณาจักรแห่งเครือญาติเราแล้ว อีกทั้งนางผู้นั้นยังปองร้ายลูกน้องเจ้าเสียด้วย   ”     ราเมสเซสตะโกนขึ้นมาด้วยภาษามนตราแห่งชนชั้นสูง ที่พรานบุญฟังไม่ออก และ หวังว่านางคนนั้นจะไม่เข้าใจด้วย

               

 

                   “ ท่าทางพระสหายของท่านจะหาว่าข้าโป้ปดมดเท็จนะ องค์ชายสุธน  ส่วนเรื่องพรานผู้นั้น เขาเป็นคนพยายามจับข้าก่อน  ”  มโนราห์ส่งสายตาหวานใส่เจ้าชาย จนท่านอึ้งไปพักหนึ่งจึงหันไปมองพรานบุญที่พยักหน้ายอมรับความผิดของตน

               

 

                      “  เช่นนั้น ข้าต้องขออภัยด้วยที่ลูกพี่ลูกน้องข้า กับ ลูกน้องได้กระทำล่วงเกินทั้งทางวาจา หรือ การกระทำใดๆ ต่อเจ้า มโนราห์  

 

              แม้นจะเป็นแรกพบอันไม่น่าประทับใจ แต่ข้าขอแนะนำลูกพี่ลูกน้องของข้า เจ้าชายราเมสเซสแห่งอาณาจักรเคเมส (Kemet)  แห่งทะเลทรายอียิปต์อันไกลโพ้น กับ พรานบุญ ลูกน้องคนสนิทของข้า   ”     

 

              ระหว่างเอ่ย พระสุธนเรียกเจ้าชายอีกดินแดนเข้ามาร่วม สร้างสัมพันธไมตรี  แม้นจะยังไม่ไว้วางใจดีแต่เจ้าชายแห่งแดนทะเลทรายก็จำใจเข้าร่วมส่วนพรานยืนสำรวมอยู่เบื้องหลัง

               

                     เจ้าหญิงปักษาครุ่นคิดสักพัก   ก่อนจะอมยิ้มแล้วเดินมาเคียงข้างองค์ชายสุธน

           

 

              “  พวกเจ้าจักบอกพ่อของข้าเสียว่า ข้าถูกมนุษย์จับตัวไปล่ะกัน ส่วนข้าจะไปศึกษาวัฒนธรรมพวกเขาหน่อย   ”

                เหล่านางรับใช้ได้ยินเช่นนั้นจึงตกตะลึง

                “ จะดีหรอเพคะ  ข้าน้อยรู้ว่าองค์หญิง ประสงค์อยากเที่ยวเล่นเสียมากกว่า  !  ”

               

 

            “  เอาน่าพวกเจ้า เที่ยวเล่นกับการศึกษาวัฒนธรรมต่างถิ่นนั้นคู่กันเสียอยู่แล้ว ฮิ ฮิ  ” มโนราห์ทำท่าขบขัน  แล้วตัวเปล่งแสง จำแลงกายกลายเป็นหญิงอินเดียผิวสีน้ำผึ้งงดงามในชุดส่าหรีอันงดงาม

               

          สามบุรุษมองภาพนั้นอย่างตกตะลึง โดยเฉพาะเจ้าชายแห่งอินดัสนั้นถึงกับสติขาดลอย จนนางจำแลงกายเสร็จ สยายผ้าสไบอันอ่อนนุ่มและหอมหวาน มาโดนใบหน้าจึงหลุดจากภวังค์

 

                หลายวันต่อมา ...... ข่าวผู้พิชิตใจเจ้าชายได้กระจายไปทั่วอาณาจักรอินดัส  จนเกิดบรรยากาศเฉลิมฉลองครื้นเครงทั่วหล้า ชาวเมืองทุกสารทิศ หลากวรรณะแห่กันมาประจักษ์นางมโนราห์ในคราบเจ้าหญิงอินเดียให้เป็นขวัญตา

 

  หน้าประตูทางเข้าพระราชวังหลวง  ผู้คนพลุกพล่าน แต่งตัวต่างกันตามฐานะ ล้วนนำของบรรณาการ และ กล่าวคำอวยพรแด่เจ้าชาย

 

พร้อมทั้งกองทหารพระนครสวมเกราะปกปิดทั้งกายถือโล่และหอก ยืนอารักขาอย่างองอาจ ตามริมถนนทั้งสองด้านตลอดทาง

 

  แต่ที่เด่นที่สุดคือ เจ้าชายกับเจ้าหญิงบนรถม้าอันงดงามประณีต ถูกลากโดยกิเลนคู่ใจเจ้าชาย กับ ขบวนองครักษ์อัศวินนรสิงห์

 

นักรบชั้นสูงในชุดเกราะอินเดียหนักและหน้ากากเทพเจ้าสิงโต  แต่ละนายถืออาวุธต่างกันบ้างถือหอกยาว บ้างถือลูกตุ้มอินเดีย บ้างถือดาบแส้อันเลืองชื่อของอินเดีย (Urumi) แต่ทุกนายล้วนแบกคันธนูไว้เบื้องหลัง  ขี่ราชสีห์แห่งยุคน้ำแข็งร่างใหญ่ว่าสิงโตในปัจจุบันเป็นเท่าตัว แค่เสียงคำรามอันน่าเกรงขามก็เพียงพอจะสังหารคนขวัญอ่อนได้  ขนาบทั้งหน้าทั้งหลังรถม้าขององค์ชาย

 

   ระหว่างองค์ชายสุธนกำลังเยี่ยมพสกนิกรนั้นเอง   ณ ภายในระเบียงวังหลวงเจ้าชายแห่งแดนอียิปต์ ผู้กำลังมองขบวนรถม้าอยู่ห่างๆ

 

“ ข้ากับสุธน แม้นเป็นเพียงลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็รักดุจพี่น้องร่วมสายเลือด คบหากันแต่เยาว์วัย นึกไม่ถึงว่าจะลงเอยกับนางคนนั้น แถมเป็นการพบกันอย่างเหนือความคาดหมายอีกด้วย ”  พลางพูดลอยลอยต่อพรานบุญ ผู้ยืนสำรวมอยู่เบื้องหลัง

 

“ พะยะค่ะ หากมิบังอาจ ข้าพเจ้าสงสัยว่า เหตุไฉน ท่านราเมสเซสถึงตรัสภาษาอาณาจักรนี้ได้คล่องแคล่วยิ่งกว่าชาวพื้นเมืองบางคนเสียอีก  

 

เจ้าชายต่างแดนแสดงท่าทางเป็นมิตร เอ่ยขึ้นมา

 

“ ฮะ ฮะ ข้าเองก็ไมได้ถือตัวขนาดนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดเป็นพิธีรีตอง ยามว่างพวกเราต่างศึกษาภาษาของอีกอาณาจักร ยังไงเสียก็เป็นภาษาที่ตระกูลเราคิดค้นขึ้นมา เจ้าสนใจจะศึกษาภาษาของอาณาจักรข้าไหมล่ะ พรานเอ๋ย  เดี๋ยวข้ามอบตำราให้ ”  

 

 

  “ ข้าซึ้งในน้ำพระทัยของพระองค์ยิ่งนัก  แต่ตัวข้าคงไม่มีวาสนาไปเยี่ยมดินแดนของท่านและมีโอกาสได้ใช้มันหรอกขอรับ ”   ส่วนพรานบุญตอบปฏิเสธอย่างเจียมตัว

 

ระหว่างนั้นเอง

 

 “ ราเมสเซส ผู้เป็นดังลูกอีกคนของข้า  !!!  ยินดีต้อนรับสู่อินดัส วันนี้ช่างวันเป็นวันมงคลเสียจริงได้เจ้ามาร่วมพิธีของสุธน   

 

 ชายวัยกลางคนไว้หนวด  รูปร่างกำยำแต่งเครื่องทรงอินเดียทั่วกาย แต่ละชิ้นล้วนโอ่อ่า  สวมมงกุฎราชา  นามว่า               “ อาทิตยวงศ์ ” ผู้เป็นมหาราชาแห่งอาณาจักรนี้ ปากกล่าววาจาชนชั้นสูง เดินเข้ามาพร้อมอ้าแขนต้อนรับเจ้าชายต่างแดน

 

 

 “ ท่านลุงครับ ข้าคงต้องรบกวนท่าน ประมาณสัปดาห์หนึ่งเสียแล้ว ”  เจ้าชายต่างแดนนอบน้อมต่อพระราชา

 

“ อย่าได้เกรงใจไปเลย คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านหลังที่สองของเจ้า อย่ามัวแต่ยืนตรงนี้เลย ข้ามีเรื่องมากมายอยากจะสนทนาบนโต๊ะเสวยกระยาหาร  โดยเฉพาะเรื่องของฟาโรห์ ผู้เป็นบิดาของเจ้า  ข้ากับเขาไม่ได้เจอกันเสียนานตั้งแต่ขึ้นครองราชย์”

 

“ ครับท่านลุง  ” สิ้นบทสนทนาทั้งสองเดินเข้าไปพระราชวังด้วยกัน ทิ้งพรานบุญไว้เบื้องหลัง

 

ท่ามกลางบรรยากาศอันชื่นมื่น ความสุขอบอวลทั่วแผ่นดิน ใจผู้หนึ่งในพระราชวังกลับร้อนด้วยไฟริษยากับอาฆาตแค้น

 

บุคคลลึกลับในชุดพราหมณ์ ยืนกำมือแน่นในเงามืด กัดฟันมองภาพขบวนองค์ชายด้วยความเคียดแค้น

 

“ นังแพศยา เอ้ย !!!!  

 

                                                    ณ ราตรีนั้น

 

 งานฉลองมหรสพได้เลิกราไป  ณ ห้องบรรทมเจ้าชายสุธนอันวิจิตร ผนังและแท่นบรรทมล้วนสลักลายอักขระอินเดียอย่างประณีต บรรยากาศไฟสลัวด้วยดวงไฟมนตราลุกไหม้โดยปราศจากเชื้อเพลิง

 

ม่านตกแต่งหน้าต่าง พลิ้วไหวตามลมโชยเข้ามา  แลเห็นวิวจันทราและเทือกเขาหิมาลายันอันเด่นเป็นสง่า  

 

ระหว่างเจ้าหญิงในร่างจำแลงชมวิวนั้นอย่างเพลิดเพลิน  เจ้าชายเดินมาเบื้องหลัง แล้วเอ่ยวาจาเวทมนต์บางอย่าง 

 

ทันใดนั้นเอง ไฟสลัวได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอันเร่าร้อน ผ้าม่านอันพลิ้วไหวแปรเปลี่ยนเป็นของแข็งดุจแก้ว เนื้อของมันขุ่นมัวเกินกว่าภายนอกจะมองเข้ามาและมิปล่อยให้เสียงจะเล็ดรอดออกไป

 

“ วันนี้เจ้าวางตัวได้สง่างามจนชนะใจเหล่าพสกนิกรนะ มโนราห์ คราแรกข้ากังวลว่าเจ้าจะชนะใจพระบิดาและมารดาไม่ได้เสียอีก   ”  องค์ชายกล่าวเกี้ยวพาราสีต่อองค์หญิง

 

ส่วนเจ้าหญิงหลับตา อมยิ้มแล้วเดินมาทางเจ้าชายด้วยกิริยาอ้อนแอ้น สายตาพิศวาสแล้วค่อยๆดันเจ้าชายที่กำลังหน้าแดงให้คล้อยไปทางแท่นบรรทมโดยง่าย  

 

จนร่างเจ้าชายสะดุดขอบแท่นบรรทมล้มลงไปนอน มโนราห์ยิ้มหวานตราตรึงใจเจ้าชายพักหนึ่ง

 

“  หลับตาสิเพคะ องค์ชาย ”

 

เจ้าชายหลับตาด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ไฟราคะกรุ่นร้อนในใจ ได้ยินเสียงปลดเปลื้อง บางอย่างอ่อนนุ่มหล่นพื้น

 

“ ลืมตาสิเพคะ ”

 ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น กลับต้องตกใจ  เมื่อภาพที่เห็นกลับตาลปัตรเป็น  เจ้าหญิงจำแลงกายกลับมายังร่างผมเทา ผิวพรรณเปล่งปลั่ง

 

ทว่าครานี้ขาที่เหมือนมนุษย์กลับแปรเปลี่ยนเป็นขาปักษา จ่อกรงเล็บนกสีแก้วมรกตอันแหลมคมและแวววาว ณ คอหอย พร้อมทั้งใช้นิ้วที่เหลือ ล็อคคอเจ้าชายเอาไว้ดุจอินทรีจับเหยื่อ

 

“ จงฟังข้าเสียองค์ชาย !! ”

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา