The red artifact part 1 :เจ้าชายสุธนกับห้าอาณาจักร
เขียนโดย หน้ากากเหล็ก
วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 18.25 น.
แก้ไขเมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 18.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) นครลงกา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความรุ่งอรุณวันใหม่ แสงอุทัยอ่อนเป็นสัญญาณว่าวันใหม่มาเยือนแล้ว ฝูงนกโบยบินจากรัง ผู้คนแห่งอินดัสตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ของตน
ที่่ราบกว้างแห่งหนึ่งในเขตนครหลวง เจ้าชายสุธนกำลังแข่งขันยิงธนูด้วยคันธนูใหญ่เท่าตัวคน และลูกธนูโปร่งใสอยู่กับลูกพี่ลูกน้องแดนไอยคุปต์ โดยมีข้าบริพารกับเจ้าหญิงองค์ใหม่ยืนสำรวมอยู่เบื้องหลัง
ระหว่างผลัดกันแข่งยิง แผ่นหินสลักอักขระลึกลับซ้อนกันหลายแผ่นอันแข็งแกร่ง ว่าใครจะยิงทะลุมากที่สุด
พอเห็นภาพหินเหล่านั้นฟื้นฟูส่วนที่เสียหายกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างน่าอัศจรรย์
เจ้าชายสองอาณาจักรจึงเริ่มสนทนากันด้วยภาษาชนชั้นสูง
**" หินพวกนั้นมาจากที่ใดกัน ? ข้าไม่เคยประจักษ์อะไรเช่นนี้เลย "** ราเมสเซสถามขึ้นมา
" ท่านพ่อข้าซื้อมาจากอาณาจักรมิวน่ะ ท่านเคยกล่าวไว้ว่ามันมีประโยชน์ต่อการฝึกพลธนูของอาณาจักร "
" หึหึ พลธนูแห่งอินดัสอันเลื่องชื่อ และในอาณาจักรนี้คงหามีผู้ใดเทียบเจ้าได้สินะ สุธน ! " สิ้นประโยคราเมสเซส
" เจ้าก็กล่าวเกินไปราเมสเซส " เจ้าชายสุธนส่งยิ้มตอบ
" เมื่อคืนในงานมหรสพยามราตรีข้าเห็น พลธนูชนชั้นล่าง ยิงลูกธนูลงอาคมบางอย่าง แล้วกลายเป็นประกายระยิบระยับ บางดอกกลายเป็นช่อดอกไม้นานาชนิดโปร่งใส นักบวช ไม่ใช่สิ พรามหณ์ของอาณาจักรเจ้าเป็นคนสร้างขึ้นมากระนั้นรึ ? ข้าใคร่รู้เสียจริงหากเป็นธนูสำหรับการศึกจะเป็นเช่นใด !! " เจ้าชายแดนแม่น้ำไนล์แสดงทีท่าตื่นเต้น
" คงมีธนูโลกันต์ ธนูหมอก ธนูเสียงแหลมไว้ข่มขวัญศัตรู หรือไล่ฝูงสัตว์ร้ายกระมัง กล่าวถึงของวิเศษแล้วข้าเคยได้ยินนะว่า อาณาจักรมิวมีผู้รับใช้ผิวฟ้า อาศัยในตะเกียง สามารถเนรมิตธาตุดินให้เป็นทองคำได้ "
รุ่งอรุณดำเนินไปด้วยบทสนทนาอันรื่นรมย์ของเจ้าชายสองดินแดน กับการฝึกฝนอย่างหนักของเหล่าทหารประจำอาณาจักร
ทั้งเกร็งลมปราณแล้วให้ครูฝึกใช้ฝ่ามือกระแทก บ้างฝึกศาสตราวุธและโยคะบำเพ็ญตน
ยามเที่ยงสองเจ้าชายหันมาแข่งกันยิงธนูใส่เป้าหมายขนาดเล็กกลางอากาศหลายเป้า พระสุธนยิงด้วยความแม่นยำทุกดอกปักลงใจกลางเป้าหมาย ทว่าเป้าสุดท้ายกลับเคลื่อนไหวออกนอกวิถีอย่างน่าฉงนใจ
" นี่เจ้าต่อให้ข้ากระนั้นรึ ลูกพี่ลูกน้อง !? แบบนี้ข้าคงปราชัยดังรอบที่แล้วมิได้เสียแล้ว "
ราเมสเซสทิ่มศอกหยอก สุธนจึงยิ้มตอบ ทว่าใจรู้ดีว่าเป็นฝีมือใคร เหลียวตาไปมองยังเจ้าหญิงจำแลงกายผู้อมยิ้มอยู่เบื้องหลัง ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์รัตติกาลที่ผ่านมา
ภาพตนเองถูกกรงเล็บเหยี่ยวของสตรีครึ่งคนครึ่งปักษาผิวพรรณเปล่งแสง ล็อกคอบนแท่นบรรทม
" ฟังข้าให้ดีองค์ชาย ข้ามิใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับท่าน !! ดังนั้นท่านไม่สามารถร่วมสังวาสกับข้าได้ดังสตรีอื่น "
เจ้าชายมิได้ตื่นตระหนกกับกรงเล็บมัจจุราชที่จ่อคอกับคำพูดของนาง หนำซ้ำยังแสดงสีหน้าตื่นเต้น
" งั้นเแม่นางคืออะไรล่ะ หากมิใช่คนจากแดนไกลโบยบินด้วยมนตราบางอย่าง "
" เผ่าพันธุ์ตัวข้ามีนามว่า ' กินรี ' และนี่คือร่างจำแลงยามเราจะต่อสู้ " ระหว่างกล่าวกินรีเอามืออันเรียวงามทาบอกตัวเอง
พอสิ้นประโยคหล่อนกลับร่างเป็นมนุษย์ปกติแล้วเดินไปยังระเบียงส่วนเจ้าชายเดินตามไปติดๆ
สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน จนผมทั้งคู่พลิ้วไหวตามแรงลม
" ตัวข้ามาที่แห่งนี้เพราะสายลมเหล่านี้ แม้นตอนนี้องค์ชายจะสัมผัสไม่ได้ แต่สายลมเหล่านี้เจือปนมนตราธาตุน้ำแข็ง จากเผ่าพันธุ์ของท่าน " ระหว่างกล่าวเธออย่างเอาจริงเอาจังพลางยื่นมือขึ้นมา
ก่อนที่สายลมบริเวณนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าแล้วเปล่งไอเย็นออกมาเป็นรูปใบหน้าวิญญาณโหยหวน
เจ้าชายเห็นภาพนั้นเลยตกใจเล็กน้อย
" ที่ผ่านมาสภาพอากาศหนาวเหน็บขึ้นทุกปี แต่ข้านึกเพียงว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แม่นางกำลังจะบอกว่า หนึ่งในอาณาจักรของญาติข้าเป็นคนร่ายมนตรานี้ขึ้นมากระนั้นรึ ? "
มโนราห์พยักหน้าตอบ ส่วนเจ้าชายถอนหายใจ
" ข้าขอไม่ปักใจเชื่อ จะให้ข้าสงสัยพี่น้องร่วมสาบานกระนั้นรึ ยังไงเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ "
" องค์ชายถึงภายนอกข้าจะเป็นสตรีแต่เราเหล่ากินรีต่างพึงรักษาเกียรติ์ และจะไม่โป้ปดให้เสื่อมเสียเป็นแน่
หากพระองค์ทรงใช้มนตราวายุได้ดั่งตัวข้าล่ะก็ พระองค์จะสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติที่เจือปนในสายลมหนาวเป็นแน่ ! "
พระสุธนสบสายอันแน่วแน่ของมโนราห์ครู่นึง จึงกล่าวขึ้นมา
" ถ้าเจ้าสงสัยว่าตระกูลข้าอยู่เบื้องหลัง ใยถึงมากับข้าเสีย ? "
มโนราห์หลบสายตา ครุ่นคิด
" อาจจะเป็นเพราะฟ้าดลบันดาล เป็นหตุให้ตัวข้ารู้สึกถูกชะตากับท่าน " ทว่าถ้อยคำด้วยน้ำเสียงเพราะพริ้งเหล่านั้นมิใช่ความในใจทั้งหมด
ความจริงข้าทราบอยู่แล้วว่าอาณาจักรอินดัสนี้ มิได้อยู่เบื้องหลังเป็นแน่จาก ท่านพญานาคแห่งบ่อน้ำ แต่ยังมิไว้ใจในตัวมนุษย์ กระทั่งได้เจอะเจอท่าน
เจ้าชายเคอะเขินไปพักนึง แล้วกลับมาเคร่งขรึมดังเดิม
" หากข้าจะพาแม่นางไปเยี่ยมเยียนอาณาจักรอื่น แม่นางจำต้องไปในฐานะองค์ราชินีแห่งอาณาจักรนี้
ถึงจะถูกต้องตามราชประเพณีที่ได้บัญญัติเอาไว้ระหว่างอาณาจักร และ บัดนี้ข้าเองเป็นเพียงเจ้าชาย จำต้องรอหลายปีกว่าจะ
สืบทอดท่านพ่อ ผู้เป็นมหาราชาปกครองแผ่นดินนี้ด้วยธรรม "
มโนราห์อมยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินเอานิ้วอันเรียวงามมาแตะริมฝีปากเจ้าชาย
" หากท่านสอนมารยาท ธรรมเนียมปฏิบัติแก่ตัวข้าแล้ว เจ้าหญิงผู้นี้จะสอนมนตราวายุแด่ท่าน ตกลงไหมเพคะ ? "
" สุธน สุธน !! " เสียงลูกพี่ลูกน้องดึงเจ้าชายให้กลับมายังปัจจุบัน
ไม่ช้าราเมสเซสได้ขอตัวลากลับอาณาจักรของตน ด้วยเหตุว่าตนเองพักผ่อนมากพอแล้วจำเป็นต้องกลับไปช่วยพ่อของตนทำราชการแผ่นดิน
จากนั้นวันคืนระหว่างเจ้าชายกับเจ้าหญิงต่างเผ่าได้เริ่มต้นขึ้น
ในรุ่งเช้าของแต่ละวันทั้งสองพากันเข้าไปฝึกมนตราวายุในป่าลึก
" จงทำใจประหนึ่งสายลม แล้วจิตท่านจะบัญชามันได้ดังกายา "
วันแล้ววันเล่าเจ้าชายตั้งใจฝึกฝนอย่างพากเพียร ปราศจากความคิดฟุ้งซ่านใด กระทั่งวันนึงความรู้สึกว่าตนเองสัมผัสกับพลังมหาศาลบางอย่างเอ่อล้นจากภายใน
ดวงตาเห็นอนุภาคนานานับไม่ถ้วนในสายลมรอบตัวเพียงเสี้ยววินาที ในใจเปี่ยมด้วยความรู้สึกว่า สายลมรอบกายนั้นเป็นส่วนนึงของตนเอง
ทันใดนั้นเอง..
เจ้าชายควบคุมสายลมเพียงหยิบมือให้มารวบรวมรอบแขนตนเอง สร้างความประทับใจแก่เจ้าหญิงกินรีเป็นอย่างมาก
จากนั้นการฝึกฝนเริ่มหฤโหดมากขึ้น ฝีมือมนตราวายุพัฒนาควบคู่กับความใกล้ชิดระหว่างสอง จนทั้งคู่เอ่ยเพียงชื่อของกันและกันยามอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
ส่วนพรานบุญก็ออกไปทำภารกิจจากเจ้าแห่งบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ พร้อมฝึกปรือบ่วงนาคบาศ
ตกเย็นยามผีตากผ้าเหลืองของวันนึง ณ ห้องโถงหนึ่งในพระราชวัง
เจ้าชายในสภาพอิดโรยนอนหันหลังให้สตรีงามผิวสีคล้ำในชุดสาหรี่แต่ลวดลาย เครื่องประดับประณีตน้อยกว่าเจ้าหญิง นวดกดจุดด้วยความเชี่ยวชาญ โดยมีเจ้าหญิงจำแลงกายนั่งคอยด้วยกิริยางดงาม กับข้าราชบริพาร คอยปรนนิบัติอย่างนอบน้อม
กระทั่งแว่วเสียงป่าวประกาศ
" พ่ออยู่หัวเสด็จมา !!!! " เหล่าราชบริพาร ต่างละทิ้งหน้าที่ของตนก้มลงไปกราบกับพื้นโดนพลัน ส่วนเจ้าชายเจ้าหญิงกับหมอนวดรีบยืนขึ้นมาในท่าสำรวม
ไม่ช้ามหาราชาแห่งอินดัสเดินเข้ามาพร้อมหญิงวัยกลางคนทว่าทีท่างามสง่าและน่าเกรงขามผู้เป็นราชินี กับชายวัยกลางคนไว้หนวดเฟิ้ม ไว้ผมจุก นุ่งห่มขาวดุจพรามหณ์ ผู้เป็นปุโรหิตคนสนิทกำลังถวายคำปรึกษาแก่องค์ราชัน
พอทั้งสามเดินผ่านไปทุกคนต่างกลับไปทำหน้าที่ของตนดังเดิม
" มโนราห์ ข้าขอแนะนำ มาลัยกา เธอเป็นลูกสาวของที่ปรึกษาคนสนิทของท่านพ่อของข้า และเป็นเพื่อนกับข้าตั้งแต่เยาว์วัยด้วย "
มาลัยกาก้มเคารพเจ้าหญิง
" มาลัยกา ข้าขอไหว้วานให้เจ้าช่วยดูแลกับสอนธรรมเนียมต่างๆ แก่องค์หญิงมโนราห์ จะเป็นการรบกวนเจ้าเกินไปไหม ? "
มาลัยกายิ้มตอบ ก้มรับ
" ข้าน้อยยินดีเพคะ องค์ชาย "
" ไม่จำเป็นต้องเรียกองค์ชายหรอก มาลัยกา เจ้าเองเป็นดั่งน้องสาวของข้า "
หลังจากวันนั้น ระหว่างเจ้าชายไปเยี่ยมพสกนิกรในส่วนต่างๆของอาณาจักรตั้งแต่เที่ยงวันจนมืดค่ำ มโนราห์ใช้เวลากับมาลัยกา เรียนรู้เรื่องสังคมอินดัส และ ตัวตนของมาลัยกา จนพัฒนาความสัมพันธ์จนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
กิริยามารยาทตามอุดมคติสตรีแห่งอินดัสที่ได้รับการขัดเกลาของเจ้าหญิงยิ่งชวนให้เจ้าชายประทับใจในตัวนางมากขึ้น
เป็นเหตุให้ใคร่รู้เกี่ยวกับนางและมนตราวายุเป็นเท่าทวี
ยิ่งชำนาญในมนตราลมเท่าไร ยิ่งสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติในสายลมเย็นยะเยือก ดังที่นางกินรีได้กล่าวไว้
ทว่าทราบดีบัดนี้มิใช่โอกาสสมควรจะสอบสวนเรื่องนี้ จึงเก็บเอาไว้ในใจ
เวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างรวดเร็วหลายเดือน
ณ ราตรีนึง จันทราเต็มดวงส่องไสวงดงาม บดบังรัศมีเหล่าดาราดวงเล็กดวงน้อย ท้องฟ้าโปร่งใส แลเห็นภาพระยิบระยับงดงามบนฟ้าโดยชัดเจน
" สุธน !! จงตื่นเถิด ตัวข้ามีอะไรสำคัญจะบอก " เจ้าหญิงท่าทางตื่นเต้น เขย่าตัวเจ้าชายที่กำลังบรรทม
" ไว้บอกข้ายามตะวันขึ้นมิได้รึ มโนราห์ " เจ้าชายงัวเงียจากความเหนื่อยล้าแห่งราชการแผ่นดิน
" มิได้ดอก นี่เป็นเพลาที่เหมาะสมแล้ว " จากนั้นองค์หญิงพยายามดึงตัวเจ้าชายขึ้นมา จนท่านจำยอมลุกขึ้นมาแล้วโดนลากไปยังระเบียงชมวิว
ก่อนจะทันได้ถามไถ่อะไร นางมโนราห์กลับเป็นร่างเดิม ผมเทายาวสลวย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สยายปีกด้ายแสงออกมา ประสานมือจับเจ้าชายแล้วโบยบินขึ้นท้องฟ้าด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข
กระทั่งโบยบินขึ้นไประดับสูงเสียดฟ้า แม้นเทือกเขาหิมาลายันอันสูงใหญ่กลับเล็กกระจิ๋ว ยามมองจากจุดนี้
" มโนราห์ เจ้าจะพาข้าไปยังที่ใดกัน !!!! " ผมขององค์ชายโดนสายลมอันหนักหน่วงของชั้นนภา จนเสียทรงปิดใบหน้าสนิท
" อีกประเดี๋ยว สุธน !!! "
จนกระทั่งลมสลาตันเหล่านั้นได้จางหายไป เจ้าชายเอามือข้างที่มิได้ประสานกับมโนราห์ปัด เส้นผมยาวยุ่งจรดคอของตน
กลับต้องประหลาดใจ เมื่อสัมผัสการขยับแขนขาช่างเบาหวิว ราวกับทุกอย่างไร้น้ำหนักสิ้นเชิง กระทั่งเห็นบรรยากาศรอบกาย
อวกาศอันมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด ประดับด้วยละอองแสง ก้อนหินหลากขนาดล่องลอยไปมาอย่างไร้จุดหมาย กับดาวเคราะห์สีแดง (ดาวอังคาร) เด่นตระหง่าน ส่วนเบื้องหลังปรากฏดาวเคราะห์สีฟ้าอันเป็นบ้านเกิดของเจ้าชาย
เจ้าชายมองภาพรอบกายอย่างตกตะลึง ขณะมโนราห์ล่องลอยไปมาอย่างเพลิดเพลิน
" สถานที่นี้คือจักรวาล อันเป็นต้นกำเนิดแห่งทุกสิ่ง พลังมนตราล้วนเป็นละอองจากใจกลางของมัน "
" ขะ ข้า เคยเข้าใจเพียงว่า เลยจากนภาจะมีเพียงความว่างเปล่า ดวงดาราบนนภามีไว้เพียงศึกษาโหรศาสตร์เท่านั้น เจ้าจะบอกข้าว่าเจ้ามาจากที่แห่งนี้เช่นนั้นหรือ "
มโนราห์เข้ามาใกล้ชิดเจ้าชาย
" มิใช่ แต่เป็นดวงดาราดวงนึงอันไกลโพ้น นามว่า ไกรลาส ที่ที่พฤกษาล้วนเรืองแสง ปราศจากราตรี นั่นคือบ้านเกิดของข้า ดางดาราของพวกเราล้วนอยู่ในชมพูทวีปเพียงแต่คนละส่วนกัน (ทางช้างเผือกในภาษากินรี) "
เจ้าชายฟังถ้อยคำเหล่านั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ
" แล้วในชมพูทวีปมีเพียงเผ่าพันธุ์แห่งสองเรากระนั้นหรือ ? " ส่วนเจ้าหญิงกินรีขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น แล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
" หาไม่ มีมากมายคณานับ ทว่าช่างมหัศจรรย์ยิ่งนักที่จักรวาลดลบันดาลให้พวกเรามีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกัน "
" สำหรับข้า ไม่มีสิ่งจะมหัศจรรย์ไปกว่าการได้พบเจอเจ้ามโนราห์ " เจ้าชายยกมือลูบหน้านางในดวงใจ
" เช่นนั้นข้าอยากให้ท่านสอนอะไรบางอย่าง ทรงคุณค่ายิ่งกว่าความลับเบื้องหลังท้องนภานี้ ได้ไหมเพคะ ? องค์ชายแห่งอินดัส " นางเข้ามาใกล้ชิดเจ้าชายมากขึ้นกายสัมผัสซึ่งกันและกัน
เจ้าชายหลับตาแล้วยิ้มอย่างสุขใจแล้วโอบกอดนาง
" ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ข้าพร้อมองค์หญิงกินรีของข้า "
" สอนข้าทีว่า มนุษย์นั้นแสดงความรักกันเช่นใด "
ทั้งสองสบตากันอย่างรู้ใจ ใบหน้าขยับเข้ามาใกล้ชิดกันอย่างเชื่องช้า มือสัมผัสกายของอีกฝ่าย
เพียงดาวเคราะห์สีฟ้าเบื้องหลังเป็นสักขีพยาน ยามสองดวงวิญญาณได้เติมเต็มกันและกัน ขณะอีกด้านนึง ณ
มุมมืดแห่งพระราชวังหลวง ก็มีการเจรจาเพื่อเติมเต็มความทะเยอทะยานในใจ
" อนาคตได้ถูกกำหนดไว้แล้ว หากท่านรับข้อเสนอข้า คนๆนั้นจะได้เป็นราชีนีองค์ถัดไปแทนที่เจ้าหญิงองค์นี้เป็นแน่ "
เงาบุคคลลึกลับคนนั้นปรากฏสัญลักณ์ดวงตาเปล่งแสงบนใจกลางหน้าผาก ยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่าย
" เช่นนั้นข้าขอตกลง !!!!! "
วันรุ่งขึ้น ...
ว่ากันว่า ยามก่อนพายุถาโถมทะเลมักสงบเสมอ
พรานบุญ ชายร่างกำยำหน้าเหี้ยม ผิวคล้ำ กำลังขี่หลังเต่าทะเลยักษ์ตัวนึง มุ่งไปยังเกาะกลางทะเลใหญ่เกาะหนึ่งทางใต้แห่งอาณาจักรอินดัส ที่คนรุ่นหลังจะรู้จักในนาม "ศรีลังกา"
ไกลออกไปบนเกาะ แลเห็นนครร้างโบราณ เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอินเดีย เจดีย์งดงามเรียงราย
ทว่าปราศจากสิ่งใดจะโดดเด่นไปกว่ารูปปั้นยักษ์หน้าขมึง สวมใส่หมวกสิบเศียร ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเมือง
" นี่นะหรือ นครลงกา !! "
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ