The red artifact part 1 :เจ้าชายสุธนกับห้าอาณาจักร
7.2
เขียนโดย หน้ากากเหล็ก
วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 18.25 น.
5 ตอน
0 วิจารณ์
7,125 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 18.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ตอนที่ 3 มโนราห์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ พรานบุญเหวี่ยงบ่วงนาคโปร่งใสไปเบื้องหลัง รัดสตรีนางนึงได้ทันท่วงที
ไม่ช้าเธอแสดงอาการอ่อนระทวย ค่อยๆล้มลงไปกับพื้น เปิดโอกาสให้พรานเห็นโฉมของเธออย่างชัดเจน
สตรีผิวขาวเปล่งปลั่ง ผมสีเทายาวสยายปีกด้ายเรืองแสงจากแผ่นหลัง สวมใส่เกราะไทยลายวิจิตรศิลป์แวววาวดุจแก้ว
ไม่ผิดแน่แม่นางผู้นี้แหละที่ข้าเห็นตอนนั้น แม้นจะราบรื่นเกินไปจนน่าระแวง ทว่าก่อนอื่นต้องเกลี้ยกล่อมให้นางยอมไปพบองค์ชายก่อน
“ มะ แม่นาง.. ”
ทว่า....
“ คิก คิก ในบ่วงนั้นเป็นนกต่อต่างหากเล่า ”
เพียงเริ่มกล่าวกลับได้ยินเสียงขบขันสตรีอันเพราะพริ้ง ก่อนจะไหวตัวทันสตรีในบ่วงกลับสลายไปเป็นอากาศธาตุ แล้วระเบิดออกมาเป็นสายลมอันรุนแรงพัดพาร่างพรานบุญลอยขึ้นไป
สายลมอันรุนแรงนี้เป็นพลังของแม่นางหรือ ระหว่างลอยไปกับสายลมพรานบุญรู้สึกสะพรึงในใจ
ก่อนจะตั้งสติใช้บ่วงนาคบาศรัดต้นไม้ใกล้ตัวแล้วเหวี่ยงตัวเองขึ้นไปตั้งหลักบนกิ่งไม้
“ ข้าใคร่รู้เสียแล้วสิว่าบ่วงอัศจรรย์นั้น เจ้าได้แต่ใดมา ” ตัวพรานยังไม่ทันได้ตั้งตัวดี กลับต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงสตรีอันคุ้นหู
พอหันไปทางต้นเสียง ปรากฏนางคนเดิมแต่ครานี้มากด้วยนกนานาพันธุ์เกาะอยู่บนไหล่ของหล่อน
พอบางตัวส่งเสียงให้ นางก็กล่าวตอบรับพวกมัน
“ มะ แม่นางพูดคุยกับปักษาได้หรอกรึ ” พรานบุญอึ้งจนตาโต
“ ตอนที่เจ้าซุ่มในพุ่มไม้นกพวกนี้เป็นคนบอกข้าเอง เดี๋ยวนะ ข้าจำได้ล่ะ จะ เจ้า เจ้าคนนั้นที่บ่อน้ำแห่งนั้น พวกเจ้ามีจารีตในการทดแทนบุญคุณ ด้วยการพยายามใช้บ่วงจับอีกฝ่ายกระนั้นหรือ !? ”
พรานบุญอ้ำอึ้งครู่เดียว ส่วนสตรีถอนหายใจแล้วยิ้มมุมปาก
" ขบขันหน่อยสิเจ้า ถึงเราจะต่างวัฒนธรรมเพียงใดแต่น่าจะรู้ว่า ข้าหยอกเล่น "
ทว่าพรานมิได้คล้อยตามนาง เอ่ยด้วยทีท่าจริงจัง
“ ข้ามีสาเหตุที่ต้องจับแม่นางให้ได้ ขออภัยด้วย!! ” สิ้นคำพรานบุญก็เหวี่ยงบ่วงวิเศษหมายจับสตรีเบื้องหน้า
ทว่าเธอกลับตอบรับด้วยรอยยิ้มขณะที่บ่วงกำลังจะโอบรัดตัวเธอ
“ นามของตัวฉันคือมโนราห์ ! มิใช่แม่นาง ”
บ่วงมนตราของพรานมิอาจสัมผัสร่างมโนราห์ได้ราวกับมีอะไรคุ้มกันนางอยู่แถมยังตรึงบ่วงไว้แน่นจนมิอาจดึงมันกลับได้
กลับกลายเป็นพรานที่โดนพันธนาการเสียเอง บัดนี้เขาทำได้แค่เพียงมองหน้านางอัปสรเบื้องหน้า
“ จงประจักษ์ถึงพลังแห่งจ้าวมนตราแสงกับวายุเสียมนุษย์ !!! "
เสี้ยววินาทีนั้นแสงสว่างวาบขึ้นมาจนพรานตาพร่ามัว ก่อนจะถูกสายลมก่อตัวเป็นเชือกพันธนาการทั้งกาย ห้อยต้องแต่งกลับหัวกลางอากาศราวกับดักแด้บนกิ่งไม้
ไม่ว่าจะดิ้นรนเพียงใด พรานก็มิอาจหลุดจากพันธนาการได้ จากนั้นมโนราห์ทำท่านั่งลงบัลลังก์อากาศธาตุเรืองแสงจากนั้นเริ่มไต่สวนพราน
“ บ่วงนั้นมิใช่พลังเวทมนต์ของเจ้าเป็นแน่ เจ้าได้แต่ที่ใดมา ?”
พรานบุญปิดปากเงียบเพราะคำมั่นกับราชานาค จนนางปักษามองออกจึงยิ้มกริ่ม บัญชาให้สายลมหมุนร่างพรานที่หัวชี้พื้นไปมาดังลูกข่าง แล้วสนทนากับนกรอบกายอย่างสบายอารมณ์
ข้าผ่านการพำเบ็ญตนมาแล้วแค่นี้อย่าหวังว่าจะเปิดปากข้าได้แม่นาง พรานบุญครุ่นคิดในใจระหว่างที่โลกรอบตัวหมุนติ้วไปมาชวนให้เวียนหัว
หลายชั่วโมงผ่านไปจนเที่ยงวัน ความตั้งใจของพรานบุญมิได้เสื่อมคลายแม้แต่น้อย
จนนางอัปสรหยุดมนต์วายุด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ปล่อยให้พรานร่วงลงมาพักหายใจในสภาพใบหน้าซีดเซียวทำท่าจะอาเจียนออกมา
“ ดูท่าเจ้าจะอดทนกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีกทว่า ... ” พอกล่าวจบพญาอินทรีร่างใหญ่กว่าคนเป็นเท่าตัวบินมาโฉบร่างพรานด้วยกรงเล็บแล้วพาขึ้นไปท่องนภาโดยมีนางมโนราห์บินตามไป
สูงขึ้นไปบนยอดนภาจนแลเห็นพงไพรอันไพศาลเบื้องล่างเล็กกระจิดริดดุจฝูงมดอันขวักไขว่ มโนราห์สบตาแล้วกล่าวถามพรานบุญในอุ้งเท้าปักษายักษ์
“ จงไตร่ตรองอย่างรอบคอบเสียมนุษย์ หากเจ้าไม่ย่อมเอ่ยความจริงก็จงดับสูญเป็นธาตุธุลี ณ เบื้องล่างเสียเถิด “
พรานบุญมิได้หวั่นไหว ส่งสายตาแข็งกร้าวใส่
“ หากให้ข้าพรานบุญเสียสัตย์ ข้าขอสละชีวีอย่างสมเกียรติ์ดีกว่า !!! “
“ สมพรปากเจ้า !!" ได้ยินเช่นนั้นมโนราห์ส่งสัญญาณให้เพื่อนของตนปล่อยพรานบุญตกลงไปยังปากประตูมัจจุราช
“ !!!!! " นกอินทรีย์หันมามองมโนราห์แล้วส่งเสียงใส่ นางจึงหันมาตอบด้วยรอยยิ้ม
“ ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ ข้าทราบความจากพญางูล่ะแค่ต้องการทดสอบพรานบุญผู้นั้น ไม่ปล่อยให้เขาม้วยมรณาหรอก ฮิ ฮิ ได้เวลาสนุกล่ะ ” พอหมดคำพูดมโนราห์ได้สยายปีกแล้วดิ่งพสุธาลงไปด้วยความสนุกสนาน
ทว่า .... ทันใดนั้นเอง
ปรากฏลูกธนูลึกลับรวดเร็วเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะยิงได้พุ่งมาเฉี่ยวเส้นผมยาวสีเทาอันยาวนุ่มสลวยของนางจนส่วนที่ขาดสลายเป็นอากาศธาตุไป
ปรากฏบุคคลลึกลับในเครื่องแต่งกายราชวงศ์อียิปต์ขี่หุ่นเหล็กไหลทองคำ
รูปสฟิงซ์โบยบินด้วยปีกจักรกล การเคลื่อนไหวของมันแลดูตะกุกตะกัก ลงมารับพรานบุญได้ทันท่วงที
ขณะเดียวกัน แว่วเสียงอันขึงขังจากอีกทิศนึง
“ ด้วยบัญชาแห่งองค์ชายแห่งดินแดนนี้จงยอมจำนนแต่โดยดี มิฉะนั้นธนูดอกต่อไปจะไม่พลาดเป้าแน่ !!! “
องค์ชายสุธนแห่งอินดัสกำลังขี่กิเลน ม้าร่างยักษ์กำยำทว่า เหาะเหินเดินอากาศอย่างน่าอัศจรรย์
ตามร่างเต็มไปด้วยเกล็ดงดงามกับเขาแหลมสง่าบนหัว ตกแต่งเครื่องทรงด้วยอานม้ากับเกราะอาชาแห่งราชวงศ์อินเดีย
เจ้าชายสายตาขึงขึง มือง้างลูกธนูพลังมนตราโปร่งใสด้วยคันธนูใหญ่เท่าตัวคน
พอมโนราห์หันไปสบสายตาองค์ชาย ท่านก็ตกอยู่ในภวังค์ไปพักนึง
กว่าจะดึงสติกลับมาได้ นางปักษาก็พุ่งมากระแทกจนพลัดตกจากหลังกิเลนเสียแล้ว ก่อนจะดิ่งลงพสุธาไปด้วยกัน
“ องค์ชาย !!! “
“ สุธน !!!! “
พรานกับบุคคลลึกลับบนหุ่นสฟิงซ์ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก
ไม่ช้าเธอแสดงอาการอ่อนระทวย ค่อยๆล้มลงไปกับพื้น เปิดโอกาสให้พรานเห็นโฉมของเธออย่างชัดเจน
สตรีผิวขาวเปล่งปลั่ง ผมสีเทายาวสยายปีกด้ายเรืองแสงจากแผ่นหลัง สวมใส่เกราะไทยลายวิจิตรศิลป์แวววาวดุจแก้ว
ไม่ผิดแน่แม่นางผู้นี้แหละที่ข้าเห็นตอนนั้น แม้นจะราบรื่นเกินไปจนน่าระแวง ทว่าก่อนอื่นต้องเกลี้ยกล่อมให้นางยอมไปพบองค์ชายก่อน
“ มะ แม่นาง.. ”
ทว่า....
“ คิก คิก ในบ่วงนั้นเป็นนกต่อต่างหากเล่า ”
เพียงเริ่มกล่าวกลับได้ยินเสียงขบขันสตรีอันเพราะพริ้ง ก่อนจะไหวตัวทันสตรีในบ่วงกลับสลายไปเป็นอากาศธาตุ แล้วระเบิดออกมาเป็นสายลมอันรุนแรงพัดพาร่างพรานบุญลอยขึ้นไป
สายลมอันรุนแรงนี้เป็นพลังของแม่นางหรือ ระหว่างลอยไปกับสายลมพรานบุญรู้สึกสะพรึงในใจ
ก่อนจะตั้งสติใช้บ่วงนาคบาศรัดต้นไม้ใกล้ตัวแล้วเหวี่ยงตัวเองขึ้นไปตั้งหลักบนกิ่งไม้
“ ข้าใคร่รู้เสียแล้วสิว่าบ่วงอัศจรรย์นั้น เจ้าได้แต่ใดมา ” ตัวพรานยังไม่ทันได้ตั้งตัวดี กลับต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงสตรีอันคุ้นหู
พอหันไปทางต้นเสียง ปรากฏนางคนเดิมแต่ครานี้มากด้วยนกนานาพันธุ์เกาะอยู่บนไหล่ของหล่อน
พอบางตัวส่งเสียงให้ นางก็กล่าวตอบรับพวกมัน
“ มะ แม่นางพูดคุยกับปักษาได้หรอกรึ ” พรานบุญอึ้งจนตาโต
“ ตอนที่เจ้าซุ่มในพุ่มไม้นกพวกนี้เป็นคนบอกข้าเอง เดี๋ยวนะ ข้าจำได้ล่ะ จะ เจ้า เจ้าคนนั้นที่บ่อน้ำแห่งนั้น พวกเจ้ามีจารีตในการทดแทนบุญคุณ ด้วยการพยายามใช้บ่วงจับอีกฝ่ายกระนั้นหรือ !? ”
พรานบุญอ้ำอึ้งครู่เดียว ส่วนสตรีถอนหายใจแล้วยิ้มมุมปาก
" ขบขันหน่อยสิเจ้า ถึงเราจะต่างวัฒนธรรมเพียงใดแต่น่าจะรู้ว่า ข้าหยอกเล่น "
ทว่าพรานมิได้คล้อยตามนาง เอ่ยด้วยทีท่าจริงจัง
“ ข้ามีสาเหตุที่ต้องจับแม่นางให้ได้ ขออภัยด้วย!! ” สิ้นคำพรานบุญก็เหวี่ยงบ่วงวิเศษหมายจับสตรีเบื้องหน้า
ทว่าเธอกลับตอบรับด้วยรอยยิ้มขณะที่บ่วงกำลังจะโอบรัดตัวเธอ
“ นามของตัวฉันคือมโนราห์ ! มิใช่แม่นาง ”
บ่วงมนตราของพรานมิอาจสัมผัสร่างมโนราห์ได้ราวกับมีอะไรคุ้มกันนางอยู่แถมยังตรึงบ่วงไว้แน่นจนมิอาจดึงมันกลับได้
กลับกลายเป็นพรานที่โดนพันธนาการเสียเอง บัดนี้เขาทำได้แค่เพียงมองหน้านางอัปสรเบื้องหน้า
“ จงประจักษ์ถึงพลังแห่งจ้าวมนตราแสงกับวายุเสียมนุษย์ !!! "
เสี้ยววินาทีนั้นแสงสว่างวาบขึ้นมาจนพรานตาพร่ามัว ก่อนจะถูกสายลมก่อตัวเป็นเชือกพันธนาการทั้งกาย ห้อยต้องแต่งกลับหัวกลางอากาศราวกับดักแด้บนกิ่งไม้
ไม่ว่าจะดิ้นรนเพียงใด พรานก็มิอาจหลุดจากพันธนาการได้ จากนั้นมโนราห์ทำท่านั่งลงบัลลังก์อากาศธาตุเรืองแสงจากนั้นเริ่มไต่สวนพราน
“ บ่วงนั้นมิใช่พลังเวทมนต์ของเจ้าเป็นแน่ เจ้าได้แต่ที่ใดมา ?”
พรานบุญปิดปากเงียบเพราะคำมั่นกับราชานาค จนนางปักษามองออกจึงยิ้มกริ่ม บัญชาให้สายลมหมุนร่างพรานที่หัวชี้พื้นไปมาดังลูกข่าง แล้วสนทนากับนกรอบกายอย่างสบายอารมณ์
ข้าผ่านการพำเบ็ญตนมาแล้วแค่นี้อย่าหวังว่าจะเปิดปากข้าได้แม่นาง พรานบุญครุ่นคิดในใจระหว่างที่โลกรอบตัวหมุนติ้วไปมาชวนให้เวียนหัว
หลายชั่วโมงผ่านไปจนเที่ยงวัน ความตั้งใจของพรานบุญมิได้เสื่อมคลายแม้แต่น้อย
จนนางอัปสรหยุดมนต์วายุด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ปล่อยให้พรานร่วงลงมาพักหายใจในสภาพใบหน้าซีดเซียวทำท่าจะอาเจียนออกมา
“ ดูท่าเจ้าจะอดทนกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีกทว่า ... ” พอกล่าวจบพญาอินทรีร่างใหญ่กว่าคนเป็นเท่าตัวบินมาโฉบร่างพรานด้วยกรงเล็บแล้วพาขึ้นไปท่องนภาโดยมีนางมโนราห์บินตามไป
สูงขึ้นไปบนยอดนภาจนแลเห็นพงไพรอันไพศาลเบื้องล่างเล็กกระจิดริดดุจฝูงมดอันขวักไขว่ มโนราห์สบตาแล้วกล่าวถามพรานบุญในอุ้งเท้าปักษายักษ์
“ จงไตร่ตรองอย่างรอบคอบเสียมนุษย์ หากเจ้าไม่ย่อมเอ่ยความจริงก็จงดับสูญเป็นธาตุธุลี ณ เบื้องล่างเสียเถิด “
พรานบุญมิได้หวั่นไหว ส่งสายตาแข็งกร้าวใส่
“ หากให้ข้าพรานบุญเสียสัตย์ ข้าขอสละชีวีอย่างสมเกียรติ์ดีกว่า !!! “
“ สมพรปากเจ้า !!" ได้ยินเช่นนั้นมโนราห์ส่งสัญญาณให้เพื่อนของตนปล่อยพรานบุญตกลงไปยังปากประตูมัจจุราช
“ !!!!! " นกอินทรีย์หันมามองมโนราห์แล้วส่งเสียงใส่ นางจึงหันมาตอบด้วยรอยยิ้ม
“ ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ ข้าทราบความจากพญางูล่ะแค่ต้องการทดสอบพรานบุญผู้นั้น ไม่ปล่อยให้เขาม้วยมรณาหรอก ฮิ ฮิ ได้เวลาสนุกล่ะ ” พอหมดคำพูดมโนราห์ได้สยายปีกแล้วดิ่งพสุธาลงไปด้วยความสนุกสนาน
ทว่า .... ทันใดนั้นเอง
ปรากฏลูกธนูลึกลับรวดเร็วเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะยิงได้พุ่งมาเฉี่ยวเส้นผมยาวสีเทาอันยาวนุ่มสลวยของนางจนส่วนที่ขาดสลายเป็นอากาศธาตุไป
ปรากฏบุคคลลึกลับในเครื่องแต่งกายราชวงศ์อียิปต์ขี่หุ่นเหล็กไหลทองคำ
รูปสฟิงซ์โบยบินด้วยปีกจักรกล การเคลื่อนไหวของมันแลดูตะกุกตะกัก ลงมารับพรานบุญได้ทันท่วงที
ขณะเดียวกัน แว่วเสียงอันขึงขังจากอีกทิศนึง
“ ด้วยบัญชาแห่งองค์ชายแห่งดินแดนนี้จงยอมจำนนแต่โดยดี มิฉะนั้นธนูดอกต่อไปจะไม่พลาดเป้าแน่ !!! “
องค์ชายสุธนแห่งอินดัสกำลังขี่กิเลน ม้าร่างยักษ์กำยำทว่า เหาะเหินเดินอากาศอย่างน่าอัศจรรย์
ตามร่างเต็มไปด้วยเกล็ดงดงามกับเขาแหลมสง่าบนหัว ตกแต่งเครื่องทรงด้วยอานม้ากับเกราะอาชาแห่งราชวงศ์อินเดีย
เจ้าชายสายตาขึงขึง มือง้างลูกธนูพลังมนตราโปร่งใสด้วยคันธนูใหญ่เท่าตัวคน
พอมโนราห์หันไปสบสายตาองค์ชาย ท่านก็ตกอยู่ในภวังค์ไปพักนึง
กว่าจะดึงสติกลับมาได้ นางปักษาก็พุ่งมากระแทกจนพลัดตกจากหลังกิเลนเสียแล้ว ก่อนจะดิ่งลงพสุธาไปด้วยกัน
“ องค์ชาย !!! “
“ สุธน !!!! “
พรานกับบุคคลลึกลับบนหุ่นสฟิงซ์ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ