ศึกมารสะท้านยุทธภพ
8.0
เขียนโดย Nj4566
วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 17.16 น.
17 ตอน
0 วิจารณ์
19.43K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559 21.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) ศึกมารสะท้านยุทธภพ ตอนที่ 16
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฝั่งพรรคคิมหันต์สราญ ณ บทสนทนาของสองพี่น้องตระกูลเจี่ยว
ประมุขเจี่ยว : กงจั่วกับประมุขคนใหม่ของพรรคพิรุณสวรรค์เป็นอย่างไรบ้าง
พีเจี่ยว : ยินว่าสนิทสนมรักใคร่กันนัก ประมุขฮันโซนั้นเป็นศิษย์ของกงจั่ว มีแนวทางความคิดคล้ายคลึงกันมิมีผิด
ประมุขเจี่ยว : กงจั่วผู้นี้รู้ความในลึกตื้นของพวกเราเยอะเกินไป ซ้ำยังซื่อสัตย์ต่อเสวียจื่อ ต้องขวางผลประโยชน์ของเราแน่ วันหน้าจักเป็นภัยแก่เราสองพี่น้องได้ ยิ่งรักใคร่สนิทสนมกับประมุขพรรคพิรุณสวรรค์ การจะดึงตัวนางมาเป็นพรรคพวกของเราก็จะยิ่งยากขึ้น
พีเจี่ยว : เช่นนั้นเราควรมีแผนการเช่นใดเพื่อกำจัดกงจั่วให้พ้นทางไปเสีย กงจั่วเป็นคนฉลาด ใช่จะกำจัดได้โดยง่าย
ประมุขเจี่ยว : 5555 ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แม่ทัพผู้เกรียงไกรใหญ่น้อย รบที่ใดไม่เคยแพ้ สุดท้ายแล้ว ต้องพ่ายแก่สิ่งใดเล่า? น้องข้า
พี่เจี่ยว : (ยิ้มด้วยดวงตามุ่งร้าย) "สตรี"
คิดได้ดังนั้นสองพี่น้องจึงวางแผนชั่วอีกครั้ง เพื่อกำจัดกงจั่วไปให้พ้นทางตน
- - -
ฮันโซติดตามกงจั่วไปทุกที่เหมือนเงา ความขมขื่นใจจากรักร้าว หายไปเมื่ออยู่ใกล้ชิดกงจั่วที่เป็นดังเช่นพี่ชาย และอาจารย์ที่คอยสอนสิ่งต่างๆ
เรื่องใหม่สำหรับฮันโซในพรรคพิรุณสวรรค์นี้ยังมีอีกมากมายนัก แต่ช่วงหลังๆนี้ กงจั่วมักมีภาระกิจส่วนตัวหายไปบ่อยๆ ทำให้นางรู้สึกเหงา อีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะเป็นงานวันเกิดของเจ้าเมืองเสวียจื่อ ที่ได้มีกำหนดจัดขึ้นที่พรรคพิรุณสวรรค์ สถานที่งดงามยิ่งใหญ่ตระการตาที่สุดในบรรดา 3 พรรค ยังต้องเตรียมการต้อนรับแขกอีกมาก
ฮันโซนั้นวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมงาน โดยได้เถียนจิ้งส่งมาคอยช่วยเหลือมิได้ห่าง ด้วยความที่เขาเป็นพี่ใหญ่ของพรรค ทุกสิ่งอย่างจึงราบรื่นแก่ฮันโซเป็นอันมาก ส่วนชู่ซัวนั้นหาได้สนใจใยดีฮันโซอย่างปากว่าไม่ แต่ฮันโซก็มิได้ใส่ใจใดๆเมื่อมีจิ้งส่งคอยอยู่ข้างๆ
ครั้นคราใดที่นางนั่งอยู่เงียบๆคนเดียว ก็อดนึกถึงความเจ็บช้ำจากอดีตคนรักของตนไม่ได้
แต่สิ่งเหล่านั้น ก็หาได้รอดพ้นสายตาของคนผู้หนึ่งซึ่งคอยแอบสังเกตุนางอยู่ตลอดไม่ วันนี้ฮันโซไม่ค่อยพูดจา จิ้งส่งเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหานางก่อน เขาเองก็มิได้กล่าวอันใด เป็นแต่เพียงไปทำงานของตนอยู่ใกล้ๆ ฮันโซมองดูเขา เขาจ้องมองนางกลับมาด้วยสายตามั่นคง
จิ้งส่ง : ท่านประมุขมีสิ่งใดจะพูดกับข้าใช่หรือไม่
ฮันโซนึกในใจ เขาล่วงรู้ได้อย่างไรหนอ ฮันโซจึงเบี่ยงประเด็น
ฮันโซ : เปล่า... แค่เวลาอยู่กันส่วนตัว เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าประมุขก็ได้ เราอายุใกล้เคียงกัน เจ้าเรียกข้าว่าฮันโซก็พอแล้ว
จิ้งส่ง : (ยิ้ม) มิได้หรอก แต่ข้าว่าเรื่องที่ท่านจะพูดกับข้าคงมิใช่เรื่องนี้กระมัง
ฮันโซเงียบ มิได้ตอบสิ่งใด นางจะบอกเขาเช่นไรว่าเวลาที่กงจั่วไม่อยู่ เขาเปรียบเสมือนเพื่อนคนเดียวที่นางมีในตอนนี้ ศิษย์คนอื่นแม้จะชื่นชมนาง แต่ก็ยังคงเว้นระยะห่างอยู่มากด้วยความยำเกรงแก่ประมุข ฮันโซนั้นคุ้นชินกับการออกศึกร่วมกับเหล่าพี่น้อง ยังไม่คุ้นชินกับการวางตัวอย่างห่างเหินในฐานะประมุขพรรคกับสาวก
คล้ายว่าจิ้งส่งจะรู้ใจนางโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยวาจา
จิ้งส่ง : วันนี้ข้าว่าง ท่านว่างหรือไม่ (ยิ้ม)
ฮันโซ : ว่างสิ อาจารย์ก็ไม่อยู่ งานก็เตรียมการไว้หมดแล้ว ตอนนี้ข้าไม่รู้จะทำสิ่งใด
จิ้งส่งชวนนางไปสถานที่หนึ่ง เชิงเขาพิรุณสวรรค์ห่างไกลออกไปจากผู้คน ขณะนั้นเป็นเวลาช่วงหัวค่ำ ที่นั่นเป็นทุ่งหญ้ากว้างแลดูสบายตา สายลมอ่อนโชย จิ้งส่งชวนนางนั่งลง
จิ้งส่ง : ท่านเคยมาที่นี่หรือไม่ พระจันทร์คืนนี้งามสว่างนัก
ฮันโซ : ข้าไม่เคยมา ไม่นึกว่าที่พิรุณสวรรค์จะมีสถานที่แห่งนี้ด้วย
จิ้งส่งยื่นน้ำเต้าที่เขาพกมาให้แก่นาง
จิ้งส่ง : อะนี่.. ลองดื่มดูสิ
ฮันโซทำสีหน้าฉงน แต่ยื่นน้ำเต้าคืนแก่เขา ไม่ยอมดื่ม จิ้งส่งคะยั้นคะยอ
จิ้งส่ง : ลองดื่มดูเถอะน่า สุรานี้ ข้าปรุงเอง รับรองว่าเลิศรสหนึ่งในใต้หล้า
ฮันโซหัวเราะ พลางกล่าวแก่เขาว่า "เจ้าช่างมั่นใจในฝีมือตนนัก หากข้าดื่มเข้าไปแล้วท้องไส้ปั่นป่วนจะทำเช่นไร"
จิ้งส่ง : (ยิ้มและขยับเข้ามาใกล้) ดื่มเถอะ ไม่ใช่ยาพิษก็แล้วกัน แต่หากประมุขดื่มไปแล้วเกิดง่อยเปลี้ยเสียขาเข้า ข้าจะเป็นคนอุ้มท่านเอง ตัวท่านบางนิดเดียว คงไม่หนักหนาอะไร ท่านรู้ไหมว่า สุรานี่แหละคือยาคลายเหงาที่ดีที่สุด ...(หยุดไปนิดหนึ่งแล้วหันไปมองฮันโซ ฮันโซไม่ยอมสบตาเขา)
โดยเฉพาะ กับคนที่กำลังเหงาเช่นท่าน
ฮันโซมองดูจิ้งส่งที่นั่งเคียงข้าง เขาช่างล่วงรู้จิตใจนางนักเพียงแค่มองดูแววตา กับถ้อยคำที่ความหมายลึกซึ้งเหล่านั้น นางมิได้กล่าวอะไร เพียงรับสุราจากเขามาดื่ม
ฮันโซ : ดี เช่นนั้น คืนนี้ข้าจะร่ำสุรากับเจ้า
ฮันโซร่ำสุรากับจิ้งส่ง พลันรำพึงขึ้นว่า ในเวลานี้ หากมีเสียงดนตรีบรรเลงขึ้นมาบ้าง ก็คงดีไม่น้อย จิ้งส่งหยิบขลุ่ยออกมาจากเสื้อ
ฮันโซ : เจ้าบรรเลงเป็นด้วยหรือ?
จิ้งส่ง : (ยิ้ม) ขึ้นอยู่กับว่า ท่านอยากให้ข้าบรรเลงเพลงใดให้ฟังเล่า?
ฮันโซ : (หัวเราะเบาๆ) เพลงใดก็ได้ ที่ใจเจ้าอยากเล่นแก่ข้า เลือกมาสักเพลงสิ
แล้วจิ้งส่งก็บรรเลงขลุ่ยเพลงหนึ่งให้ฮันโซฟัง ท่วงทำนองนั้นฟังดูไพเราะแต่เศร้าสร้อยยิ่งนัก เมื่อจิ้งส่งบรรเลงเพลงจบ ฮันโซจึงถามแก่เขาว่า มันคือเพลงอันใด จิ้งส่งบอกแก่ฮันโซว่า ชื่อเพลงคือเพลงรักผีเสื้อ บทเพลงนี้บรรยายถึงความรักของคนสองคนที่ไม่อาจเป็นไปได้ เมื่อตายไปแล้ว วิญญาณของทั้งสองจึงกลายเป็นผีเสื้อโบยบินเคียงคู่
นับเป็นบทเพลงที่ไพเราะ แลรันทดใจนัก ฮันโซรำพึงพร้อมทั้งยกสุราขึ้นดื่ม นางเริ่มมึนเมา จึงได้พิงซบลงที่ไหล่ของจิ้งส่งแล้วเผลอหลับไป ...จิ้งส่งได้เพียงแอบมองดูใบหน้าของนางยามหลับไหล มิกล้าแตะต้องอันใดให้นางตื่น
พระจันทร์งดงาม ดวงดาวพราวพร่าง มีผู้รู้ใจเคียงข้าง แม้นแต่สายลมตะวันออกที่พัดผ่านมาในเวลานี้ก็ช่างรู้สึกสัมผัสอ่อนโยนเหลือเกิน
ราตรีนี้ช่างเป็นสุขนัก ครานั้นเองที่ความรู้สึกประหลาดได้ค่อยๆก่อขึ้นในดวงใจของคนทั้งสอง
ประมุขเจี่ยว : กงจั่วกับประมุขคนใหม่ของพรรคพิรุณสวรรค์เป็นอย่างไรบ้าง
พีเจี่ยว : ยินว่าสนิทสนมรักใคร่กันนัก ประมุขฮันโซนั้นเป็นศิษย์ของกงจั่ว มีแนวทางความคิดคล้ายคลึงกันมิมีผิด
ประมุขเจี่ยว : กงจั่วผู้นี้รู้ความในลึกตื้นของพวกเราเยอะเกินไป ซ้ำยังซื่อสัตย์ต่อเสวียจื่อ ต้องขวางผลประโยชน์ของเราแน่ วันหน้าจักเป็นภัยแก่เราสองพี่น้องได้ ยิ่งรักใคร่สนิทสนมกับประมุขพรรคพิรุณสวรรค์ การจะดึงตัวนางมาเป็นพรรคพวกของเราก็จะยิ่งยากขึ้น
พีเจี่ยว : เช่นนั้นเราควรมีแผนการเช่นใดเพื่อกำจัดกงจั่วให้พ้นทางไปเสีย กงจั่วเป็นคนฉลาด ใช่จะกำจัดได้โดยง่าย
ประมุขเจี่ยว : 5555 ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แม่ทัพผู้เกรียงไกรใหญ่น้อย รบที่ใดไม่เคยแพ้ สุดท้ายแล้ว ต้องพ่ายแก่สิ่งใดเล่า? น้องข้า
พี่เจี่ยว : (ยิ้มด้วยดวงตามุ่งร้าย) "สตรี"
คิดได้ดังนั้นสองพี่น้องจึงวางแผนชั่วอีกครั้ง เพื่อกำจัดกงจั่วไปให้พ้นทางตน
- - -
ฮันโซติดตามกงจั่วไปทุกที่เหมือนเงา ความขมขื่นใจจากรักร้าว หายไปเมื่ออยู่ใกล้ชิดกงจั่วที่เป็นดังเช่นพี่ชาย และอาจารย์ที่คอยสอนสิ่งต่างๆ
เรื่องใหม่สำหรับฮันโซในพรรคพิรุณสวรรค์นี้ยังมีอีกมากมายนัก แต่ช่วงหลังๆนี้ กงจั่วมักมีภาระกิจส่วนตัวหายไปบ่อยๆ ทำให้นางรู้สึกเหงา อีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะเป็นงานวันเกิดของเจ้าเมืองเสวียจื่อ ที่ได้มีกำหนดจัดขึ้นที่พรรคพิรุณสวรรค์ สถานที่งดงามยิ่งใหญ่ตระการตาที่สุดในบรรดา 3 พรรค ยังต้องเตรียมการต้อนรับแขกอีกมาก
ฮันโซนั้นวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมงาน โดยได้เถียนจิ้งส่งมาคอยช่วยเหลือมิได้ห่าง ด้วยความที่เขาเป็นพี่ใหญ่ของพรรค ทุกสิ่งอย่างจึงราบรื่นแก่ฮันโซเป็นอันมาก ส่วนชู่ซัวนั้นหาได้สนใจใยดีฮันโซอย่างปากว่าไม่ แต่ฮันโซก็มิได้ใส่ใจใดๆเมื่อมีจิ้งส่งคอยอยู่ข้างๆ
ครั้นคราใดที่นางนั่งอยู่เงียบๆคนเดียว ก็อดนึกถึงความเจ็บช้ำจากอดีตคนรักของตนไม่ได้
แต่สิ่งเหล่านั้น ก็หาได้รอดพ้นสายตาของคนผู้หนึ่งซึ่งคอยแอบสังเกตุนางอยู่ตลอดไม่ วันนี้ฮันโซไม่ค่อยพูดจา จิ้งส่งเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหานางก่อน เขาเองก็มิได้กล่าวอันใด เป็นแต่เพียงไปทำงานของตนอยู่ใกล้ๆ ฮันโซมองดูเขา เขาจ้องมองนางกลับมาด้วยสายตามั่นคง
จิ้งส่ง : ท่านประมุขมีสิ่งใดจะพูดกับข้าใช่หรือไม่
ฮันโซนึกในใจ เขาล่วงรู้ได้อย่างไรหนอ ฮันโซจึงเบี่ยงประเด็น
ฮันโซ : เปล่า... แค่เวลาอยู่กันส่วนตัว เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าประมุขก็ได้ เราอายุใกล้เคียงกัน เจ้าเรียกข้าว่าฮันโซก็พอแล้ว
จิ้งส่ง : (ยิ้ม) มิได้หรอก แต่ข้าว่าเรื่องที่ท่านจะพูดกับข้าคงมิใช่เรื่องนี้กระมัง
ฮันโซเงียบ มิได้ตอบสิ่งใด นางจะบอกเขาเช่นไรว่าเวลาที่กงจั่วไม่อยู่ เขาเปรียบเสมือนเพื่อนคนเดียวที่นางมีในตอนนี้ ศิษย์คนอื่นแม้จะชื่นชมนาง แต่ก็ยังคงเว้นระยะห่างอยู่มากด้วยความยำเกรงแก่ประมุข ฮันโซนั้นคุ้นชินกับการออกศึกร่วมกับเหล่าพี่น้อง ยังไม่คุ้นชินกับการวางตัวอย่างห่างเหินในฐานะประมุขพรรคกับสาวก
คล้ายว่าจิ้งส่งจะรู้ใจนางโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยวาจา
จิ้งส่ง : วันนี้ข้าว่าง ท่านว่างหรือไม่ (ยิ้ม)
ฮันโซ : ว่างสิ อาจารย์ก็ไม่อยู่ งานก็เตรียมการไว้หมดแล้ว ตอนนี้ข้าไม่รู้จะทำสิ่งใด
จิ้งส่งชวนนางไปสถานที่หนึ่ง เชิงเขาพิรุณสวรรค์ห่างไกลออกไปจากผู้คน ขณะนั้นเป็นเวลาช่วงหัวค่ำ ที่นั่นเป็นทุ่งหญ้ากว้างแลดูสบายตา สายลมอ่อนโชย จิ้งส่งชวนนางนั่งลง
จิ้งส่ง : ท่านเคยมาที่นี่หรือไม่ พระจันทร์คืนนี้งามสว่างนัก
ฮันโซ : ข้าไม่เคยมา ไม่นึกว่าที่พิรุณสวรรค์จะมีสถานที่แห่งนี้ด้วย
จิ้งส่งยื่นน้ำเต้าที่เขาพกมาให้แก่นาง
จิ้งส่ง : อะนี่.. ลองดื่มดูสิ
ฮันโซทำสีหน้าฉงน แต่ยื่นน้ำเต้าคืนแก่เขา ไม่ยอมดื่ม จิ้งส่งคะยั้นคะยอ
จิ้งส่ง : ลองดื่มดูเถอะน่า สุรานี้ ข้าปรุงเอง รับรองว่าเลิศรสหนึ่งในใต้หล้า
ฮันโซหัวเราะ พลางกล่าวแก่เขาว่า "เจ้าช่างมั่นใจในฝีมือตนนัก หากข้าดื่มเข้าไปแล้วท้องไส้ปั่นป่วนจะทำเช่นไร"
จิ้งส่ง : (ยิ้มและขยับเข้ามาใกล้) ดื่มเถอะ ไม่ใช่ยาพิษก็แล้วกัน แต่หากประมุขดื่มไปแล้วเกิดง่อยเปลี้ยเสียขาเข้า ข้าจะเป็นคนอุ้มท่านเอง ตัวท่านบางนิดเดียว คงไม่หนักหนาอะไร ท่านรู้ไหมว่า สุรานี่แหละคือยาคลายเหงาที่ดีที่สุด ...(หยุดไปนิดหนึ่งแล้วหันไปมองฮันโซ ฮันโซไม่ยอมสบตาเขา)
โดยเฉพาะ กับคนที่กำลังเหงาเช่นท่าน
ฮันโซมองดูจิ้งส่งที่นั่งเคียงข้าง เขาช่างล่วงรู้จิตใจนางนักเพียงแค่มองดูแววตา กับถ้อยคำที่ความหมายลึกซึ้งเหล่านั้น นางมิได้กล่าวอะไร เพียงรับสุราจากเขามาดื่ม
ฮันโซ : ดี เช่นนั้น คืนนี้ข้าจะร่ำสุรากับเจ้า
ฮันโซร่ำสุรากับจิ้งส่ง พลันรำพึงขึ้นว่า ในเวลานี้ หากมีเสียงดนตรีบรรเลงขึ้นมาบ้าง ก็คงดีไม่น้อย จิ้งส่งหยิบขลุ่ยออกมาจากเสื้อ
ฮันโซ : เจ้าบรรเลงเป็นด้วยหรือ?
จิ้งส่ง : (ยิ้ม) ขึ้นอยู่กับว่า ท่านอยากให้ข้าบรรเลงเพลงใดให้ฟังเล่า?
ฮันโซ : (หัวเราะเบาๆ) เพลงใดก็ได้ ที่ใจเจ้าอยากเล่นแก่ข้า เลือกมาสักเพลงสิ
แล้วจิ้งส่งก็บรรเลงขลุ่ยเพลงหนึ่งให้ฮันโซฟัง ท่วงทำนองนั้นฟังดูไพเราะแต่เศร้าสร้อยยิ่งนัก เมื่อจิ้งส่งบรรเลงเพลงจบ ฮันโซจึงถามแก่เขาว่า มันคือเพลงอันใด จิ้งส่งบอกแก่ฮันโซว่า ชื่อเพลงคือเพลงรักผีเสื้อ บทเพลงนี้บรรยายถึงความรักของคนสองคนที่ไม่อาจเป็นไปได้ เมื่อตายไปแล้ว วิญญาณของทั้งสองจึงกลายเป็นผีเสื้อโบยบินเคียงคู่
นับเป็นบทเพลงที่ไพเราะ แลรันทดใจนัก ฮันโซรำพึงพร้อมทั้งยกสุราขึ้นดื่ม นางเริ่มมึนเมา จึงได้พิงซบลงที่ไหล่ของจิ้งส่งแล้วเผลอหลับไป ...จิ้งส่งได้เพียงแอบมองดูใบหน้าของนางยามหลับไหล มิกล้าแตะต้องอันใดให้นางตื่น
พระจันทร์งดงาม ดวงดาวพราวพร่าง มีผู้รู้ใจเคียงข้าง แม้นแต่สายลมตะวันออกที่พัดผ่านมาในเวลานี้ก็ช่างรู้สึกสัมผัสอ่อนโยนเหลือเกิน
ราตรีนี้ช่างเป็นสุขนัก ครานั้นเองที่ความรู้สึกประหลาดได้ค่อยๆก่อขึ้นในดวงใจของคนทั้งสอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ