กงจั่วถ่ายทอดสรรพวิชาแก่ฮันโซ ทั้งยังได้เรียกหัวหน้าหน่วยทั้ง 7 ของศิษย์ส่วนล่างมาพบ แลสั่งให้บัดนี้ทุกคนจงให้ความเคารพ ยำเกรง และจงช่วยเหลือนางอย่างสุดความสามารถ พบฮันโซเหมือนพบกงจั่ว หนึ่งในบรรดาหัวหน้าหน่วยทั้ง 7 นั้น มีสตรีเพียงสองนาง นางหนึ่งเป็นศิษย์เอกของกงจั่ว เป็นผู้คุมกฎแห่งเขาพิรุณสวรรค์นี้ ชื่อชู่ซัว ส่วนอีกนางเป็นศิษย์น้องของชู่ซัว ชื่อเสี่ยวจื่อ กงจั่วหวังใจให้ต่อไปในภายหน้าชู่ซัวจะมาเป็นดั่งมือขวาของฮันโซ ชู่ซัวกล่าวแก่ฮันโซว่าต่อไปหากมีกิจการในพรรคที่ท่านประมุขไม่เข้าใจประการใด ก็ไต่ถามแก่นางได้
ฮันโซ ได้แต่ยิ้มรับ แลพินิจ พิจารณา แม่นางชู่ซัวผู้นี้อายุอ่อนกว่าฮันโซเพียง 2 ปี นางเป็นสตรีที่มีใบหน้าคมคาย เรียกได้ว่าเป็นสตรีงามคนหนึ่ง กริยาแม้นจะแลดูสุภาพแก่ฮันโซ แต่แววตานั้นกลับแลดูแข็งกร้าว ต่างจากเสี่ยวจื่อที่ดูซื่อๆ สดใส เนื่องจากฮันโซรบทัพจับศึกมามาก จึงมีสัญชาติญาณรับรู้ว่าผู้ใดคือมิตร ผู้ใดคือศัตรูได้ไว ฮันโซคิดในใจว่า นางชู่ซัวผู้นี้ ท่าทางจะไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว
ครั้นเมื่อตะวันลับขอบฟ้า ประตู่ตึกระฟ้าเปิดออก กงจั่วพาฮันโซขึ้นไปพบกับหัวหน้าหน่วยของตึกระฟ้า ซึ่งมีทั้งหมด 8 คน ล้วนเป็นชายทั้งสิ้น ศิษย์ส่วนบนที่อาศัยอยู่ ณ ตึกระฟ้านี้ไม่มีสตรีอยู่เลย และ ณ ที่แห่งนี้เอง เป็นที่ ที่ฮันโซได้พบกับชายผู้หนึ่ง ซึ่งได้มาแปรเปลี่ยนหัวใจอันหนาวเหน็บของนางไปตลอดกาล
เขาผู้นี้เป็นศิษย์เอกอีกคนหนึ่งของกงจั่ว ชื่อเถียนจิ้งส่ง นับได้ว่าเป็นศิษย์รุ่นแรกของกงจั่วเลยก็ว่าได้ ทุกคนในพรรคพิรุณสวรรค์เรียกเขาว่าพี่ใหญ่ แม้นชู่ซัวซึ่งอยู่กับสาวกส่วนล่างจะเป็นผู้คุมกฎของพิรุณสวรรค์ แต่เถียนจิ้งส่งนั้นเป็นดังพี่ใหญ่ภายในพรรค เพียงแต่เขาเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงพูดจากับใคร ส่วนด้านวรยุทธนั้น เขาคืออันดับ 1 ในพรรค ด้วยสำเร็จวิชากระบี่หมื่นพิรุณเพียงผู้เดียว วิชากระบี่หมื่นพิรุณนี้จัดได้ว่าคือสุดยอดวิชากระบี่แห่งพรรคพิรุณสวรรค์ แลพรรคทั้ง 3 ของเจ้าเมืองเสวียจื่อ เป็นรองก็เพียงแต่วิชาลับวิชาเดียว คือวิชาคัมภีร์โลกันต์ ซึ่งถูกเก็บซ่อนผนึกไว้ในหอสูงของประมุข แลมิเคยมีผู้ใดเคยฝึก เนื่องจากเป็นวิชาที่โหดเหี้ยมอำมหิต จนเสวียจื่อได้สั่งห้ามศิษย์ผู้ใดฝึกฝน มีก็แต่เพียงกงจั่ว ที่เคยฝึกฝนเพียงเล็กน้อย แต่ก็มิได้ฝึกให้สำเร็จ
เถียนจิ้งส่งนั้นรูปร่างสูงใหญ่ งามสง่า หากแต่เป็นคนเคร่งขรึม พูดจาน้อยมาก ถามหนึ่งคำ ตอบหนึ่งคำ ใบหน้าเรียบเฉยราวไร้อารมณ์ ต่างกับสาวกคนอื่นๆ ที่พากันมารุมล้อมดูฮันโซด้วยความตื่นเต้น เพราะพวกเขาไม่เคยมีประมุขที่เป็นผู้หญิงมาก่อน ฮันโซนั้นแม้นจะแต่งกายเป็นชาย แต่ก็มิอาจอำพรางใบหน้าที่สดใสดังหยก แม้จะไม่งดงามเหมือนสตรีอื่นๆที่แต่งกายเช่นหญิงทั่วไป แต่กลับยิ่งทำให้นางแลดูน่ารักเป็นนักหนา ดวงตาโตเป็นประกายคมกล้า ใบหน้าขาวใสรูปไข่ได้รูป ผมดำขลับ สิ่งเหล่านี้ช่างเป็นที่ชุ่มชื่นหัวใจแก่เหล่าสาวกเป็นยิ่งนัก
แรกเริ่มเดิมทีไม่มีผู้ใดกล้าพูดจากับนาง ด้วยเห็นนางมากับประมุขฉู่ จึงพากันคิดว่านางจะมีอัชาศรัยเช่นเดียวกับประมุขผู้ชั่วช้า แต่ฮันโซนั้นกลับเป็นคนง่ายๆ ไม่ถือตัว ซ้ำยังไม่ให้ศิษย์ในสำนักเรียกตนว่าประมุข แต่กล่าวว่าตนคือพี่ใหญ่คนหนึ่งเพียงเท่านั้น แลศิษย์ทั้งหลายไม่จำเป็นต้องกล่าวคำสดุดีใดแก่นางดังเช่นที่เคยปฏิบัติผ่านมากับประมุข เพราะนางถือว่าทุกคนนั้นมีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
ฮันโซได้รับความนิยมชมชอบจากผู้คนในพรรคเป็นอันมาก ยังความปลาบปลื้มใจให้แก่กงจั่ว ว่าเขาเลือกคนไม่ผิด วันหนึ่งกงจั่วสังเกตเห็นฮันโซใบหน้าซีดเซียว จึงได้ไต่ถาม จนทราบว่าแท้จริงนางป่วยด้วยโรคประหลาด กงจั่วจับชีพจรดูก็รู้สึกพิศดารนัก ในร่างนางมีพลังลมปราณไอเย็นพุ่งพล่านรุนแรง... ฮันโซผู้นี้ มีคุณลักษณะเป็นผู้เหมาะแก่การฝึกคัมภีร์โลกันต์ ด้วยโรคประหลาดที่นางเป็นติดตัวมาแต่กำเนิด คัมภีร์โลกันต์นั้นเป็นวิชาร้อน ยากนักจะมีผู้ใดฝึกสำเร็จ แม้แต่ผู้มีลมปราณแข็งกล้าเช่นตัวเขาก็ยังไม่อาจฝึกได้ เพราะเมื่อฝึกขั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ธาตุไฟในร่างจักพุ่งพล่าน หากควบคุมมิได้วิชานี้จักแผดเผาผู้ฝึกจนถึงแก่ชีวิต แต่หากฝึกสำเร็จจักถูกจิตมารเข้าครอบงำให้ใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต เขาจึงมิได้ฝึกต่อ แต่ฮันโซนั้นมีลมปราณไอเย็นอยู่ในร่างกายมากกว่าคนปกติถึง 3 เท่า นางจักสามารถต้านทานฤทธิ์คัมภีร์โลกันต์นี้อย่างง่ายดาย
...เรื่องคัมภีร์โลกันต์นี้ยังมิสมควรบอกแก่ฮันโซให้รับรู้... กงจั่วคิด
กงจั่วกล่าวแก่ฮันโซว่านางนั้นต้องกินยาบำรุง ซึ่งเป็นยาฤทธิ์ร้อน ต้านไอเย็นในร่างกาย ซึ่งผู้ที่ปรุงยาฤทธิ์ร้อนได้เก่งกาจที่สุดคือเถียนจิ้งส่ง กงจั่วจึงสั่งให้เถียนจิ้งส่งปรุงยาแก่ฮันโซทุกวัน ฮันโซจึงต้องพบหน้ากับจิ้งส่งทุกวัน
แรกๆ ทั้งสองก็มิได้พูดจาอันใดกันมาก
ผ่านไป 2 วัน ฮันโซก็เริ่มทักทายเขา
วันที่ 3 ฮันโซเห็นเขากำลังง่วนเช็ดล้างอุปกรณ์ในห้องปรุงยาอยู่ ฮันโซจึงอาสาเข้าไปช่วย
ฮันโซ : มา ให้ข้าช่วยล้าง
จิ้งส่ง : มิได้ ท่านเป็นประมุข ไม่ควรลดตัวมาทำงานเช่นนี้
จิ้งส่งดึงอุปกรณ์จากมือนางคืนมา
ฮันโซ : เจ้าก็คน ข้าก็คน ข้าเป็นประมุข มิใช่คนพิการ ฉไนข้าจะทำไม่ได้ วางใจให้ข้าช่วยเถิด ข้าไม่ทำข้าวของเจ้าเสียหายหรอกน่า
จิ้งส่ง : ท่านประมุขอย่าทำเลย มันเป็นงานข้า
ฮันโซ : ของตั้งมากมาย เจ้าล้างผู้เดียว เมื่อไหร่จะเสร็จเล่า เหตุใดไม่เรียกบรรดาศิษย์มาช่วย
จิ้งส่ง : เรียกไปก็เท่านั้นแหละ ข้าทำเองรวดเร็วกว่า
ฮันโซ : งั้นข้าขอสั่งเจ้าในฐานะประมุข ว่าต่อแต่นี้ไปต้องให้ข้าช่วยเจ้า เป็นค่าตอบแทนที่เจ้าปรุงยาบำรุงให้ข้ากินทุกวันไง
ว่าดังนั้นฮันโซก็ลงมือช่วยจิ้งส่ง เช็ด ล้าง ภาชนะกองใหญ่ แม้จะทำเก้ๆกังๆ ไม่คล่องแคล่วเหมือนเขาแต่นางก็ช่วยเขาจนแล้วเสร็จจนนางเหนื่อย จิ้งส่งแอบนึกขบขันนางอยู่ในใจ จนเสือยิ้มยากเช่นเขายังอดอมยิ้มออกมาไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมา เขาก็มิเคยได้ใกล้ชิดกับประมุขผู้ใดดังเช่นนี้มาก่อน แลมิเคยเห็นประมุขผู้ใดแจ่มใสร่าเริง ไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง ไม่ถือตัวเช่นนาง
เพล้งงง!!
เสียงโถแก้วใบงาม ใบหนึ่งร่วงหลุดจากมือฮันโซ ฮันโซตกใจจะรีบเข้าไปเก็บ จิ้งส่งรีบเข้ามาจับมือนางออก
จิ้งส่ง : ประมุข ระวัง แก้วใบนี้บาง จักบาดมือท่านได้
ว่าแล้วจิ้งส่งก็บรรจงเก็บเศษแก้วจนเรียบร้อย ใบหน้าเรียบเฉยดังเก่า ฮันโซกล้าๆ กลัวๆ เข้าไปถามไถ่ เขายิ่งเป็นคนเงียบขรึมอยู่แล้ว จักเคืองอันใดนางหรือไม่หนอ
ฮันโซ : ..ขะ..ข้า ขอโทษ โถแก้วใบนี้ มีราคาแพงหรือไม่?
จิ้งส่ง : (ยิ้มมุมปาก) ไม่มากมายดอก เพียงพันตำลึงทอง
ฮันโซ : หา! เจ้าพูดจริงหรือ โถแก้วใบนี้ราคาพันตำลึงทอง
จิ้งส่ง : (อดยิ้มออกมาอีกไม่ได้) จริง นี่เป็นโถแก้วจากแคว้นตะวันตกส่งมากำนัลให้ ทั้งพรรคเรามีอยู่เพียงสามใบ และตอนนี้.. ท่านประมุขก็ได้ทำแตกไปแล้วใบหนึ่ง
ฮันโซ : ...(ทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้) ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าจะทำเช่นไรดีเล่า พี่ใหญ่
ฮันโซทำน้ำเสียงราวเด็กที่ทำความผิด กำลังอ้อนแก่พี่ นางเรียกจิ้งส่งว่า "พี่ใหญ่" ตามศิษย์คนอื่นๆในพรรค ด้วยอันที่จริงแล้ว เขาอายุมากกว่านางอยู่ปีหนึ่ง จิ้งส่งเห็นท่าทางนางดังนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ นานเท่าใดแล้วหนอ ที่เขาไม่เคยได้หัวเราะเพราะสตรีใด แลหนำซ้ำเป็นถึงประมุขผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ด้วย
จิ้งส่ง : ท่านประมุข ท่านเป็นประมุขพรรคพิรุณสวรรค์ ข้าวของต่างๆในพรรคนี้ก็ถือเป็นข้าวของๆท่าน แล้วท่านทำเสียหายไป ท่านจะทำประการใดเล่า? มิมีผู้ใดว่ากล่าวท่านดอก
เถียนจิ้งส่งยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน
ฮันโซ : (คิดนิดหนึ่ง) ...อืม.. แล้วถ้าเป็นศิษย์ในพรรคเป็นคนทำเสียหายเล่า?
จิ้งส่ง : ก็ต้องถูกลงโทษ ให้ทำงานหนักชดใช้
ฮันโซ : เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จงลงโทษข้าด้วยซี พี่ใหญ่ ให้ข้าทำงานหนักชดใช้ดังเช่นศิษย์คนอื่นๆ ก็ได้ ข้าทำผิด ข้าก็ต้องรับโทษเช่นกัน มิเช่นนั้นแล้วจะเรียกได้ว่าข้ายุติธรรมอย่างไร
จิ้งส่ง : (เริ่มน้ำเสียงเข้มงวด จริงจัง) ไม่ได้ ท่านเป็นประมุข จะให้ข้าลงโทษท่านได้เช่นไร
ฮันโซ : ตอนนี้เราอยู่กันสองคน เจ้าก็ไม่ต้องคิดว่าข้าเป็นประมุขสิ
จิ้งส่ง : เฮ้อ...ท่านประมุข อย่าได้ดื้อดึงให้ข้าลำบากใจเลย (ทำสีหน้าหนักใจ)
ฮันโซ : ก็ข้าไม่สบายใจนี่นา เป็นเช่นนี้แล้วเจ้าจงได้ให้ข้าช่วยเจ้าทำสิ่งอื่นเป็นการไถ่โทษเถิด
ฮันโซวิงวอน จิ้งส่งไม่รู้จะทำประการใด จึงต้องยอมตามใจนาง ด้วยว่าช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้ เขาต้องไปเก็บสมุนไพรบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้หลังภูเขา จึงได้ชักชวนนางไปช่วยเก็บเป็นเพื่อน ฮันโซแลดูสนุกสนานร่าเริงมาก ที่ได้ไปหลังภูเขากับจิ้งส่ง บริเวณนั้นมีธารน้ำใสงดงาม จิ้งส่งสอนให้นางรู้จักถึงสมุนไพรชนิดต่างๆของเขาพิรุณสวรรค์ นางสนุกสนานจนถึงเย็น ครั้นกลับเข้ามายังตึกระฟ้าก็เกิดความเหนื่อยล้า นั่งบนเก้าอี้ในห้องปรุงยาและเผลอหลับไป วันนั้นเป็นวันที่อากาศค่อนข้างเย็น จิ้งส่งแอบเดินเข้าไปใกล้ เอาผ้าคลุมของตนคลุมให้นาง ฮันโซรู้ตัว แต่ก็แสร้งทำเป็นหลับ คล้อยหลังจิ้งส่งเดินออกไป นางจึงแอบยิ้มออกมา
ชายหญิงในวัยไล่เลี่ยกัน
ผู้หนึ่งหัวใจขื่นขม
ผู้หนึ่งหัวใจเงียบเหงา
เมื่อได้ใกล้ชิดกันนั้นเล่า? ผลจักเป็นเช่นใด
...และนั่น จึงเป็นจุดเริ่มต้นของบุคคลทั้งสอง
เป็นจุดเริ่มต้น
ที่จะเป็นจุดจบ
และยังพบว่าเป็นโศกนาฏกรรม