Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ
8.0
เขียนโดย Raji
วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.00 น.
10 ตอน
0 วิจารณ์
12.13K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559 17.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) Login 5 : Guild
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความLogin 5 : Guild
สี่ปีก่อนโลกได้ล่มสลายลงและถูกทำให้กลายเป็นเกมทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์ต่างดาวที่มารุกรานโลก แต่สำหรับเด็กอย่างพวกเราในตอนนั้นมันช่างเป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป
ที่ต้องมาตก ระกำลำบากอยู่ในโลกเฮงซวยพรรค์นี้เพราะเป็นเหยื่อที่โดนลูกหลงเสียมากกว่า...
อิงศรเคยคิดเช่นนั้นจนกระทั่งครอบครัวในโลกใหม่ถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของพวกมนุษย์ต่างดาว
ความคิดของเด็กชายจึงเปลี่ยนไป พวกเขาไม่ใช่เหยื่อของสงครามแต่เป็นทหารที่เข้าร่วมกับสงครามซึ่งถูกกำหนดฝ่ายโดยเผ่าพันธุ์มาตั้งแต่แรก พวกมนุษย์ต่างดาวไม่ได้มองว่ามนุษย์อย่างพวกเราเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ในสายตาของพวกมันเราเป็นได้แค่ NPC(Non-Player Character) ที่มีไว้ประดับเนื้อเรื่องภายในเกมเท่านั้นจะฆ่าทิ้งหรือจับไปใช้งานยังไงก็ได้ไม่ต่างอะไรกับปศุสัตว์...
เด็กหนุ่มในชุดทหารฝึกหัดสีเขียวอ่อนมีลายพรางจางๆ กำลังครุ่นคิดถึงอดีตจนปล่อยให้สายตาทอดยาวไปอย่างเหม่อลอย ทั้งที่อยู่ระหว่างการทดสอบเลื่อนระดับภายในสนามซ้อมยิงที่ดัดแปลงมาจากอาคารโรงยิมของมหาวิทยาลัย ห้องโถงกว้างปูพื้นด้วยไม้ปาเก้ทำให้เวลาเดินมีเสียงสะท้อนดังกึงกัง มีประตูทางเข้าออกแค่ทางเดียวและจากฝั่งประตูนี้เองได้ตั้งเสาสำหรับขึงเส้นลวดข้ามไปถึงอีกฟากหนึ่งของห้อง เพื่อใช้แขวนเป้ากระดาษ จากเส้นลวดที่ขึงไว้ห่างออกไปราวยี่สิบเมตรมีการแบ่งพื้นที่เป็นลู่ให้ตรงกับตำแหน่งของเป้าโดยกั้นลู่ให้แยกจากกันด้วยไม้กระดาน
ในแต่ละลู่จะมีนักเรียนฝึกทหารทั้งชายและหญิงประจำตำแหน่งอยู่ ต่างคนก็ใช้อาวุธต่างกันออกไปมี ทั้งปืนพก ทั้งธนู แล้วแต่ความถนัด แล้วก็มีช่วงอายุที่ต่างกันไปแต่จะอยู่ในช่วงสิบห้าถึงสิบแปดปี
สิ่งที่ทุกคนที่นี่มีเหมือนๆ กันคือพวกเขามีสายอาชีพพื้นฐานเป็น 'เรนเจอร์'
ทันทีที่เสียงกริ่งเริ่มการสอบดัง เสียงลั่นปืนและเสียงดีดของสายธนูก็ดังระรัว พื้นที่จากลู่ยิงไปจนถึงเส้นลวดที่แขวนเป้ากลายเป็นเขตหวงห้ามที่มีทั้งลูกกระสุนและลูกธนูแล่นผ่าน ถ้าเผลอหลุดเข้าไปกลางดงกระสุนเหล่านั้นคงได้พรุนเป็นรังผึ้งอย่างแน่นอน
ภายหลังเสียงสัญญาณหมดเวลาการสอบดังขึ้นเสียงปืนและเสียงดีดถึงได้สงบลง
เป้ากระดาษถูกยิงพรุนหรืดขาดวิ่นไม่ก็หายไปเลยเพราะถูกยิงด้วยการโจมตีที่มีความแม่นยำแตกต่างกันไปของผู้เข้าสอบแต่ละคน ทว่าเป้าของลู่หมายเลขสิบสองซึ่งอยู่ด้านในสุดติดผกับนังโรงยิมพอดีกลับสะอาดเกลี้ยงไร้ร่องรอยและนั่นคือลู่สอบของอิงศรในตอนนั้นเองเสียงของผู้คุมสอบก็แว่วมา
"กิตตินันแปดสิบคะแนน"
"ภัสราห้าสิบคะแนน"
"เชษฐาหนึ่งร้อยคะแนน"
ทันทีที่เสียงประกาศหนึ่งร้อยคะแนนดังขึ้นก็มีเสียงจากบรรดาผู้เข้าสอบดังอื้ออึงกันไปทั้งสนามนั่นเพราะมันคือคะแนนเต็มในการทดสอบนี้
'การสอบเพื่อเลื่อนชั้นของนักเรียนเตรียมทหาร'
มันถูกเรียกอย่างนั้น เจ้าวิธีการที่ใช้คัดเลือกเด็กที่มีฝีมือและพรสวรรค์เพื่อเข้ารับการฝึกฝนบรรจุเป็น 'กิลด์กวาดล้างผู้รุกราน' หรือก็คือกลุ่มที่จะออกไปต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวนั่นเอง
เสียงประกาศคะแนนไล่เข้ามาจนถึงลู่ของอิงศร ผู้คุมสอบตรวจเป้ายิงแล้วจึงขานคะแนน
"อิงศรศูนย์คะแนน..."
ผู้คุมสอบหยุดคำพูดไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจพลางกอดอกด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย
"ว้า~อย่าทำงี้ดินาย เดี๋ยวก็โดนเจ้าสิงห์ฆ่าเอาหรอกชั้นก็จะพลอยซวยไปด้วยนะเฮ้ย"
ชายหนุ่มผิวคล้ำย้อมผมสีทองหยิกหยักศกมีใบหน้าอ่อนกว่าวัยในเครื่องแบบสีเขียวหญ้าที่คล้ายกับชุดทหารสมัยสงครามโลกเป็นแบบแขนยาวและมีเกราะไหล่ประดับยศพันโทติดอยู่บนบ่ากำลังส่งสายตาตำหนิมาเพราะทราบเป็นอย่างดีว่าอิงศรจงใจยิงให้พลาดเป้าและการกระทำเช่นนี้จะนำปัญหามาให้ไม่ใช่แค่เขาแต่ตัวเด็กหนุ่มเองก็ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
แต่กระนั้นแล้วเด็กหนุ่มกลับทำเป็นไม่สนใจยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้นพลางตอบกลับไปว่า
"เรื่องสิไม่เห็นเกี่ยวไรกับผมซักหน่อย แล้วก็ผมสายตาสั้นนะเรื่องยิงเป้าเนี่ยมันยากนา"
เขาแก้ตัวแบบขอไปที หลังจากนั้นถึงรู้สึกว่าสายตาของผู้คุมสอบไม่ได้มองมาแล้วจึงเงยหน้าขึ้น
ในเวลานี้ทุกคนในสนามซ้อมต่างมองไปยังทิศทางเดียวกัน ตรงจุดที่เป็นประตูเข้าสู่สนามสอบนั่นเอง
นั่นมันหัวหน้ากิลด์ขับไล่ผู้รุกรานไม่ใช่เหรอ...
พลเอกท่านเป็นผู้บัญชาการของค่ายไม่ใช่เหรอมาทำอะไรในที่แบบนี้ล่ะ...
เจ้าเด็กใหม่ที่ชื่ออิงศรต้องมีเอี่ยวด้วยแหงแซะ...
ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นเด็กเส้นของพลเอกด้วยแหละ...
พวกใช้เส้นเข้ากองทัพเหรอเนี่ย มิน่าฝีมือถึง...
คำพูดมากมายรวมไปถึงเสียงซุบซิบนินทาดังเซ่งแซ่ไปทั่วสนาม
ยามที่ชายผู้ถูกกล่าวถึงก้าวเท้าพ้นธรณีประตูมา อิงศรก็เบ้ปากสีหน้าซีดเซียวลงในทันที
คนๆ นั้นเป็นชายรูปร่างสูงน่าจะประมาณร้อยแปดสิบเซนติเมตรขึ้นไปถ้าเทียบกับตัวเขาเองแล้วก็สูงกว่ากันประมาณห้าเซนติเมตร ชุดที่สวมเป็นเครื่องแบบโค้ทสีดำปกคอตั้งแบบบานออก ไม่ติดกระดุมเสื้อปล่อยชายยาวเกือบถึงพื้น บนอกซ้ายและขวาติดเครื่องประดับยศพลเอกซึ่งมียศสูงที่สุดในค่ายแห่งนี้
รูปหน้าคมสันรับกับดวงตาเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์และเรือนผมสีดำที่ไว้ยาวแต่กลับหวีจัดทรงได้อย่างเป็นระเบียบไร้ที่ติ
ถ้าซักประมาณสามปีก่อนที่ได้เจอกับชายผู้นี้ตอนนั้นอิงศรคงยังไม่รู้ว่าผู้ที่เก็บตนมาเลี้ยงจะเป็นหนึ่งในหัวหอกขององค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อต่อต้าน ผู้รุกรานหรือพวกมนุษย์ต่างดาวที่ฆ่าครอบครัวของเขา
"เอ้านั่นไงคุณสิงโตมาโน่นแล้วเคลียร์เอาเองนะ"
ผู้คุมสอบพูดโดยไม่แสดงอาการเกร็งหรือบ่งบอกว่ามีความว้าวุ่นใจเกิดขึ้นแม้ว่าผู้บังคับบัญชาจะมาเยือนถึงสนามสอบที่ตัวเองเป็นคนควบคุม
ชายผู้ถูกเรียกว่าคุณสิงโตเดินเข้ามาหาแล้วหยุดตรงลู่ยิงที่อิงศรประจำอยู่
"ได้ยินว่ามีการสอบเลื่อนขั้นเลยมาดูหน่อยเป็นยังไงบ้าง"
แล้วถามคำถามกับผู้คุมสอบโดยใช้คำพูดสนิทสนม
"ก็ตามที่เห็นศูนย์คะแนน"
ผู้คุมสอบชี้แจงพลางทำท่ายักไหล่เหมือนจะบอกกันกลายๆ ว่าหมดปัญญาจะช่วยแล้ว
ทันใดนั้นดาบซึ่งห้อยอยู่ตรงเอวของหัวหน้ากิลด์ก็พาดลงมาบนบ่าของเด็กหนุ่มโดยที่ไม่มีใครทันเห็นจังหวะที่ชักดาบออกจากฝักเลยแม้แต่คนเดียว
"สอบใหม่อีกรอบทำให้ได้คะแนนเต็มซะ!"
หัวหน้ากิลด์สั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดก่อนจะเหลือบตาไปที่ผู้คุมสอบ
"ไม่มีปัญหาใช่ไหม"
แล้วพูดด้วยท่าทางที่ไม่เปิดช่องให้อีกฝ่ายขัดขืน
"จะไปมีได้ไงเล่าลองนายบอกซะอย่างมันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วนี่"
คำตอบของผู้คุมสอบช่างคล้ายกันกับวันนั้นเมื่อสามปีก่อน...
วันที่อิงศรถูกเก็บมาจากรถไฟฟ้าในวันนั้นเขาได้เจอกับสิงห์เป็นครั้งแรกชายผู้มีใบหน้าไร้อารมณ์แต่กลับมีท่าทางและการแสดงออกที่ดุดันราวกับราชสีห์ที่ดุร้าย และ ในวันเวลาเดียวกันผู้คุมสอบก็อยู่ที่นั่นด้วยเป็นคนที่ตรวจสอบข้อมูลของเขาไปโดยที่ไม่ทันรู้สึกตัว ด้วยท่าทางสบายๆ กับสายตาที่คาดเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ เป็นใครเจอเข้าก็คงเผลอสบประมาทใส่แต่หารู้ไม่ว่านี่คือมือซุ่มยิงที่แสนเลือดเย็นขนาดนั่งรอเป้าหมายได้เป็นเดือนๆ และทั้งสองยังเป็นเพื่อสมัยเด็กกันทำให้การสนทนาในยามที่ไม่ใช่เวลาที่เป็นพิธีการนักก็จะใช้คำพูดสนิทสนมเป็นกันเอง
ตอนนี้อยู่ระหว่างรอให้เจ้าหน้าที่ลงไปเปลี่ยนเป้ากระดาษซึ่งทำการเปลี่ยนใหม่หมดทุกเป้าเพื่อรองรับการสอบของชุดฝึกชุดถัดไปเข้ามาสอบต่อไปด้วยในตัวส่วนเป้าของอิงศรนั้นไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่เพราะมันยังคงสภาพเดิมเหมือนตอนที่ถูกแขวน แล้วเมื่อเจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกไปจากลานยิง
"งั้นก็เริ่มได้"
สิงห์ออกคำสั่ง
"แล้วถ้าทำไม่ได้ล่ะ"
อิงศรถามใบหน้าอาบไว้ด้วยเม็ดเหงื่อแห่งความตื่นเต้น ลองมีดาบคมกริบจ่ออยู่ใกล้กับคอแบบนี้เป็นใครก็ทำใจเย็นอยู่ไม่ได้หรอก ถึงจะอย่างนั้นแต่เด็กหนุ่มก็ยังคงพยายามซ่อนสีหน้าที่แท้จริงเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์สุดเดช
"งั้นก็จงตายด้วยดาบของชั้นซะที่นี่เลยเป็นไง"
คำพูดนั้นไม่ได้แฝงคำโกหกเอาไว้เลย สิงห์เอาจริงแน่นอน แค่ฆ่าเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้ากลางสนามสอบไปซะคนในค่ายทหารที่บริหารเองไม่ต้องปิดข่าวเลยก็ยังได้ ความตายของเขาก็ไม่มีความหมายอะไรบนโลกที่ล่มสลายไปแล้ว ไม่มีกฎหมายไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม มีแค่อยู่หรือตายก็เท่านั้น
อิงศรหัวเราะ
"ฮะฮะฮะ ไม่เคยมีทางให้เลือกเลยนะ"
เขาหัวเราะเซ่อๆ แล้วตั้งคันธนูขึ้น
ธนูใหม่นี้เขาได้รับมาจากสิงห์ตอนที่เลเวลขึ้นไปถึง 30 มันสร้างขึ้นจากโลหะสีฟ้าอ่อนแต่มีน้ำหนักเบาเหมือนพลาสติก เส้นลวดที่ใช้ขึงเป็นสายดีดก็ใช้ของที่ดีกว่าสมัยเป็นธนูไม้ที่ได้แถมมาตอนเริ่มเกม แตกต่างกันชนิดที่ว่าธนูไม้นั่นไม่น่าจะเรียกว่าธนูได้เลย เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้า พยายามเบือนสายตาจากดาบที่พาดอยู่บนไหล่ซ้าย
รอจนกระทั่งใจเย็นลงและสมาธิเริ่มมา จากนั้นก็ย้ายมือไปดึงสายดีดให้ยืดออกลูกศรที่เหมือนกับไฟจึงปรากฏขึ้น
“ขอสัญญาณด้วยครับ”
เด็กหนุ่มกล่าว
“งั้นเอาเลยก็แล้วกัน ยังไงก็พร้อมตลอดเวลาอยู่แล้วนี่เนอะ”
เสียงของผู้คุมสอบลอยมาจากทางด้านหลัง และเพียงเสี้ยววินาทีที่คำพูดนั้นยังไม่ทันจะจบประโยคก็เกิดสายลมเบาบางขึ้นในสนาม สายลมพัดเป้ากระดาษที่แขวนอยู่ทั้งหมดลอยหงายไปทางด้านหลัง
ทั้งที่เป็นพื้นที่ปิดแต่กลับมีลมพัด นั่นทำให้พวกนักเรียนฝึกทหารพากันมองหน้าด้วยความสงสัยและเริ่มสุมหัวซุบซิบกันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ยามเมื่อลมสงบลงแล้วเป้ากระดาษทั้งหมดจึงลู่ตัวตกลงมาอยู่ในสภาพเดิมแต่มีสิ่งที่ต่างออกไป…
เป้ากระดาษถูกยิงทะลุกลางเป้าทุกแผ่นไปแล้ว…
ในตอนนั้นเองทุกคนถึงเข้าใจว่าลมนั่นเกิดจากการยิงอันรวดเร็วของอิงศรจนทำให้เห็นว่าเป้าทั้งหมดลอยขึ้นพร้อมกันในเวลาเดียวกันนั้นเป็นเพราะถูกลมพัดแต่ความจริงคือทุกเป้าลอยขึ้นไปเพราะถูกยิงแล้วต่างหาก
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!”
มีเสียงแบบนั้นดังมาเป็นเสียงของพวกเจ้าหน้าที่คุมสอบคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องนี้ด้วย
“เมื่อกี้ฝีมือเจ้าอิงศรเหรอ?”
คราวนี้เป็นเสียงของนักเรียนที่ลู่ข้างๆ กำลังคุยกับเพื่อนที่อยู่ถัดไปอีกลู่แล้วจากนั้นก็มีเสียงดังตามมาอีกมากมาย
"เจ้านั่นมันยิงออกไปตอนไหนน่ะดูไม่ทันเลย…"
"ลมเมื่อกี้คือฝีมือเจ้าอิงศรยังงั้นเหรอ?"
"ข่าวลือที่ว่าเป็นหัวกะทิจากศูนย์ใหญ่ก็ไม่ใช่แค่ข่าวลือแล้วอ่ะดิ!"
"แล้วใครมันปล่อยข่าวกันฟระว่าไอ้หมอนั่นเป็นเด็กเส้นไม่มีฝีมือน่ะ!"
"ที่ว่าเขาจะประชันมือหนึ่งของศูนย์ใหญ่กับ นรินทร์มือหนึ่งค่ายฝึกหน่วยขับไล่ของเราก็เป็นเรื่องจริงด้วยน่ะสิ"
สถานการณ์ดำเนินไปราวกับหลุดออกมาจากการ์ตูนอย่างไรอย่างนั้น
เป็นเรื่องน่าขบขันสิ้นดีที่เจ้าพวกนี้คิดว่าเขาแข็งแกร่งถึงขนาดเป็นหัวกะทิจากศูนย์ใหญ่ขององค์กร และดูเหมือนจะมีข่าวลือเรื่องที่ศูนย์ใหญ่ไม่กินเส้นกับสิงห์คุณพลเอกของเราเลยแยกออกมาตั้งค่ายฝึกไกลถึงเมืองหลวงที่ล่มสลายไปแล้วแห่งนี้
สิงห์เก็บดาบที่พาดบ่าเด็กหนุ่มกลับไปแล้วเสียบเข้าฝักที่ห้อยอยู่ตรงเอว
ส่วนผู้คุมสอบที่ยืนอยู่ข้างกันก็เกาหัวพลางกัดฟันพูดด้วยความรำคาญ
“แล้วแบบนี้จะให้มาเรียนแผนกฝึกหัดทำไมล่ะเนี่ย เอ้าอิงศร หนึ่งพันสองร้อยคะแนนสอบผ่าน”
บ่นเสร็จก็บันทึกคะแนนลงไปตามที่พูดเพราะอิงศรสอยกลางเป้าร้อยคะแนนหมดทุกเป้าสิบสองแผ่น ทำให้ต้องเสียเวลาเปลี่ยนกระดาษเป้ากันใหม่อีกที่เขาบ่นก็เพราะเรื่องนี้
อิงศรหันไปมองหน้าทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้วพึมพำกับตัวเองเบาๆ แบบไม่ให้คนอื่นได้ยิน
“แข็งแกร่งเหรอ...ก็คงจะอย่างนั้นล่ะมั้ง…”
ถ้าต้องฝึกกับสองคนนี้ ต่อให้มีกี่ชีวิตก็คงไม่พอ มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ฝีมือยิงเป้าในวันนี้ก็เช่นกัน เขาไม่ได้ใช้เวลาสามปี ไปอย่างสูญเปล่าเลยแม้แต่วินาทีเดียวเพราะหากทำแบบนั้นเท่ากับยอมให้ตัวเองจมลงสู่ความตายได้ทุกเมื่อ การฝึกยิงสัตว์เทวะแมลงสาบยักษ์ที่ทั้งรวดเร็วและบุกจู่โจมเป็นฝูง มาอย่างยาวนานในช่วงสามปีทำให้เด็กหนุ่มหวิดตายมาหลายหนแต่ก็แลกกับการได้ฝีมือยิงที่เฉียบขาดนี้มาและนั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของหลักสูตรฝึกนรกทั้งหลายตลอดสามปีที่เขาต้องเผชิญฝ่าฟัน
พอมาเทียบกับการสอบยิงเป้ากระดาษที่ไม่ขยับเขยื้อนแล้วระดับต่างกันอย่างเทียบไม่ติด
พวกที่อยู่ในสนามสอบแห่งนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอแต่เป็นผู้มากความสามารถและอุตสาหะอย่างแท้จริงระดับเลเวลของแต่ละคนอยู่ที่สาบสิบถึงสี่สิบเป็นเครื่องการันตีถึงเรื่องนั้นบางคนมีเลเวลสูงกว่าเขา
อิงศร Lv. 42
[/////2990:2990/////]
เสียด้วยซ้ำไป ดังนั้นเลเวลจึงไม่ใช่ตัวเปรียบเทียบความแข็งแกร่งเสมอไปถ้าอย่างนั้นแล้วอะไรคือความแตกต่างที่ทำให้เกิดความต่างชั้นนี้ขึ้นกันแน่?
ได้ยินมาว่าเด็กที่นี่ส่วนใหญ่พึ่งจับอาวุธกันตอนอายุสิบห้า และในตอนที่โลกล่มสลายพวกเขาก็ถูกองค์กรช่วยอุปถัมภ์เอาไว้จึงไม่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดแบบที่อิงศรทำ...
ถ้าอย่างนั้นความแตกต่างที่มีก็คือระยะห่างของประสบการณ์ในสนามจริงคงคิดเป็นอื่นไม่ได้อีก
“แล้วการสอบอันอื่นล่ะ”
สิงห์เปิดหัวข้อคำถามกับผู้คุมสอบ
“ก็ทำคะแนนผ่านแบบฉิวเฉียดหมดแต่ถ้ารวมคะแนนยิงเป้าสุดปังเว่อวังนี่เข้าไปด้วยก็คงพอเข้าห้องคิงได้แบบเฉียดฉิว”
“เฮ้ๆๆ ที่ผมยิงทุกเป้าน่ะเพราะกลัวว่าตาหน้าตายนี่จะไม่พอใจต่างหากแต่การสอบนี่มันเต็มแค่ร้อยคะแนนไม่ใช่รึไง”
คำพูดคัดค้านของอิงศรถูกปัดตกเมื่อผู้คุมสอบบอกว่า
“ถ้าชั้นจะให้ซะอย่างนายมีปัญหาเหรอ”
“เป็นพวกรับใต้โต๊ะกินแป๊ะเจี๊ยะหรือไงกัน”
“ฮะฮะ ถ้าไม่กินก็ต้องตายเป็นนายก็คงกินเหมือนกันน่ะแหละอย่ามากล่าวหากันหน่อยเลย”
พูดออกมาอย่างนั้นแล้วก็เริ่มเขียนอะไรบางอย่างลงกระดาษก่อนจะฉีกส่งให้สิงห์
“อ้อจริงด้วยสิถ้านายไม่มาดูเหมือนเจ้าศรจะอ้างว่าตัวเองสายตาสั้นเลยยิงไม่โดนด้วยล่ะ”
“ชั้นให้คอนแทคเลนส์ไปแล้วเพราะงั้นถึงจะเอาเรื่องแบบนั้นมาอ้างก็ไม่ฟังหรอกนะ”
สิงห์พูดพร้อมกับรับแผ่นกระดาษนั้นไปอ่าน
"แล้วก็ชั้นได้รับรายงานของนายจากหัวหน้าทีมคุ้มกันฮาบิแททพอยซ์แล้วภารกิจเมื่อวานทำได้ดีมาก"
สิงห์พูดก่อนจะรับปากกาจากผู้คุมสอบแล้วเอาไปเขียนใส่กระดาษจากนั้นก็ออกปากชมว่า
"ทำได้ดีสมกับที่คาดหวังเอาไว้"
ตอนนั้นเองอิงศรก็เบี่ยงประเด็นต่อว่าไปที่สิงห์แทน
"จะบ้าเรอะ ชั้นโดนเจ้านั่นบ่นเอาซะหูชาแล้วผลประเมินมันจะออกมาดีได้ยังไงกันเล่า"
เจ้านั่นที่อิงศรพูดถึงคือหัวหน้าทีมคุ้มกันที่เขาถูกส่งตัวไปช่วยโดยมีข้ออ้างหนุนหลังว่า
'ไปหาประสบการณ์' แนบติดไปด้วยและผลก็คือทำหัวหน้าทีมคุ้มกันเปียกโชกเป็นลูกหมาตกน้ำและเป็นเหตุให้โดนเอ็ดมาชุดใหญ่ แต่สิงห์กลับได้รับรายงานว่าเขาทำได้ดี...
"ชั้นไม่ได้คาดหวังว่าม้าพยศอย่างแกจะเชื่อฟังคำสั่งอยู่แล้วที่ต้องการก็คือม้าฝีเท้าดีที่ใช้การได้ส่วนเรื่องการปราบพยศมันเป็นหน้าที่ของคนเก่งๆ อย่างชั้นทำกันต่างหาก"
"เฮอะชั้นเป็นแค่ม้าสินะแบบนี้มันละเมิดสิทธิมนุษยชนกันเกินไปไหม"
อิงศรกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
"แต่แกก็ปกป้องคนอื่นในทีมทั้งที่จะปล่อยให้ตายเพื่อให้ผลประเมินตกลงก็ได้ถึงจะอย่างนั้นแกก็ไม่ทำเพราะงั้นถึงได้ชมไงล่ะ... แน่นอนว่ารวมถึงการแสดงให้คนอื่นเห็นถึงฝีเท้านั่นก็เป็นสิ่งที่ชั้นคาดหวังเอาไว้ด้วยเช่นกัน"
"เป็นคุณพ่อขี้เห่อลูกรึไงน่ะนั่น”
“จะเรียกว่าป๊ะป๋าก็ได้นะถ้านายต้องการ”
สิงห์ตอบโดยที่ไม่หันมาสบตาด้วยแต่ยังคงก้มหน้าก้มตาเขียนกระดาษแผ่นเดิมอยู่
“ใครมันจะไปเรียกกันฟระ!”
อิงศรตะหวาด จากนั้นสิงห์ก็เขียนกระดาษแผ่นนั้นเสร็จและส่งมาทางเขา
“รับเอาไปซะ มันเป็นจดหมายแนะนำตัวนายกับอาจารย์ของห้องที่ชั้นเป็นผู้รับผิดชอบ เป็นห้องคิงเลยนะตั้งใจเรียนเข้าล่ะจะได้รีบมาอยู่กิลด์ขับไล่ไวๆ แล้วนายก็จะได้ล้างแค้นพวกมนุษย์ต่างดาวที่ฆ่าครอบครัว..”
“ก็บอกแล้วไงว่าชั้นไม่ได้อยากล้างแค้นแล้วทำไมจะต้องเอาชั้นเข้ากิลด์ของนายด้วยเล่า!”
อิงศรลุกขึ้นพูด เขาเขม่นใส่สิงห์ด้วยแววตาขุ่นเคือง
ในระหว่างนั้นเสียงซุบซิบของบรรดานักเรียนฝึกทหารยังคงดังเซ่งแซ่ไม่หยุดและยิ่งทวีความดังของมันขึ้นเมื่ออิงศรทำท่าจะมีเรื่องกับผู้บังคับบัญชาสูงสุดของค่ายฝึกทหารแห่งนี้ จนผู้คุมสอบต้องสั่งให้หยุด
“เฮ้ย! เงียบๆ กันหน่อยพลเอกอยู่ที่นี่นะเฟ้ย!”
แต่สิงห์กลับยกมือปรามผู้คุมสอบไว้
“ช่างเถอะแบบนี้ก็ดีจะได้รู้กันไปเลยไงเรื่องข่าวลือที่มีคนปล่อยว่ามีไอ้สวะมาใช้เส้นสายของชั้นน่ะมันเป็นเรื่องไร้สาระ”
พูดแบบนั้นแล้วมองไปทางอิงศร
เด็กหนุ่มถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเพราะคิดว่าอีกฝ่ายรู้ตัวแล้วเรื่องข่าวลือด้านลบเกี่ยวกับตัวเขาซึ่งข่าวลือพวกนั้นคนที่เอาไปปล่อยก็เป็นตัวอิงศรเองนั่นแหละเพื่อจะกดดันให้สิงห์ถอดเขาออกจากการเป็นนักเรียนฝึกทหารแล้วก็ล้มเลิกที่จะเอาเขาเข้าหน่วยขับไล่
“เพราะดูเหมือนข่าวการปะทะระหว่างหัวกะทิจากศูนย์ใหญ่กับหัวกะทิของค่ายที่นี่จะเป็นที่โจษจันทร์กว่าล่ะนะ เอ้ารีบรับใบมอบหมายไปซักที”
แล้วอิงศรก็ต้องยอมรับกระดาษที่สิงห์ยื่นให้อย่างไม่มีทางเลือก
ในตอนนั้นเองก็มีหน้าจอเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติต่อหน้าสิงห์โดยที่ไม่ได้คาดคิดเอาไว้
สิงห์อ่านรายละเอียดที่อยู่ในหน้าจอแล้วก็ปิดมันลง
“เดี๋ยวชั้นจะต้องไปประชุมกองทัพแล้ว”
สิงห์พูดแล้วจึงเปิดหน้าจอ ‘Inventory’ หยิบเอาห่อกระดาษที่มีแผ่นยันต์แปะติดอยู่บนห่อหลายสิบแผ่น กับกล่องพลาสติกสีขาวขุ่นที่มีป้ายเขียนไว้ว่า ‘Scouting Contact Lens’ ออกมาส่งให้อิงศรรับเอาไว้จากนั้นจึงหันไปบอกกับผู้คุมสอบว่า
“หลามฝากแกสอนมันใช้ SCL กับ เดม่อนแอพด้วยล่ะ”
“เอาเรื่องยุ่งยากมาให้ชั้นสอนอีกแล้วเหรอเนี่ย เออๆ รีบไปประชุมเหอะ”
ผู้คุมสอบบอกอย่างเซ็งๆ พร้อมกับสะบัดมือไล่ไปอย่างไม่กลัวเกรงเรื่องท่าทีกับผู้บังคับบัญชา แต่สิงห์ก็ไม่ได้สนใจจะต่อว่าแล้วเดินกลับออกไปจากห้องโดยไม่กล่าวอะไรอีก
ภายหลังจากที่ฟังอธิบายเรื่องของที่สิงห์ให้มากับผู้คุมสอบแล้วและถูกสั่งให้ไปเตรียมตัวสำหรับคาบเรียนของชั้นเรียนใหม่ในบ่ายนี้เลย ทั้งที่ตัวเขาเองก็ท้วงกลับไปแล้วว่า
“แต่วันนี้มันสอบเลื่อนชั้นไม่ใช่เหรอคนอื่นสอบเสร็จเขาก็กลับบ้านกันหมดแล้วทำไมชั้นจะต้องไปเรียนต่อคนเดียวด้วยเล่า?”
“ก็สิงห์สั่งมานี่หว่ารีบไปเปลี่ยนคอนแทคเลนส์เป็นอันใหม่แล้วไปเรียนได้แล้วไป๊!”
เพราะเหตุนั้น อิงศรจึงย้ายมาที่ห้องน้ำของอาคารโรงยิมเพื่อเปลี่ยนคอนแทคเลนส์เป็นอันใหม่ที่สิงห์ส่งมาให้
เด็กหนุ่มอยู่ภายในห้องน้ำเพียงลำพัง เขาวางสัมภาระทั้งหมดลงที่อ่างล่างหน้า ก่อนจะหยิบกล่องพลาสติกสีขาวขุ่นขึ้นมาเปิด ภายในมีกล่องใสบรรจุเลนส์แก้วกับแผ่นพับคู่มือการใช้งานใส่มาด้วยกัน
อิงศรหันหน้าเข้าหากระจกที่ติดกับอ่างล้างหน้าแล้วเริ่มเปลี่ยนคอนแทคเลนส์ เขายกมือขึ้นมาอังรอบดวงตาจากนั้นก็ทำให้เลนส์ที่ใส่เอาไว้หลุดออกมา เมื่อถอดเลนส์ออกจากตาครบทั้งสองข้างแล้วโลกก็กลับมาเป็นภาพเบลอๆ อีกครั้ง
โลกแบบที่เขาเคยเห็นเมื่อสามปีก่อน หลังจากนั้นมาก็จะได้เห็นแค่ตอนที่เข้านอนเท่านั้นเพราะต้องถอดคอนแทกเลนส์ออก
อิงศรเก็บคอนแทคเลนส์อันเดิมลงกล่องของมันแล้วหยิบเอาอันใหม่มาใส่แทน
หลังจากใส่อันใหม่เสร็จโลกจึงกลับมาชัดเจนดั่งเดิมอีกครั้ง
อิงศรมองไปที่กระจกมันกำลังสะท้อนภาพของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดเรือนผมสีดำและมีดวงตาเย็นชาเล็กน้อยนั่นคือ… ภาพใบหน้าของเศษสวะที่แม้แต่น้องชายคนเดียวก็ปกป้องเอาไว้ไม่ได้
เพราะแผนการหลบหนีอันแสนตื้นเขินทำให้ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป…
ภาพของครอบครัวถูกมนุษย์ต่างดาวผมแดงฆ่าตายราวกับจะผุดขึ้นมาบนกระจกจากนั้นก็เป็นภาพของมิ่งขวัญที่จมลงไปพร้อมกับสถานีรถไฟฟ้าที่ถล่มลงเพราะระเบิดที่เด็กหนุ่มเป็นผู้สร้างขึ้น แต่ทั้งหมดนั่นก็แค่มโนไปเอง ว่ามันฉายอยู่บนกระจก
อยากจะตายซะให้พ้นๆ ไป แต่ถ้าขืนทำแบบนั้นก็จะผิดต่อมิ่งขวัญแล้วก็ผิดต่อครอบครัวทุกคนด้วย
ความรู้สึกภายในกายขัดแย้งกันอย่างบอกไม่ถูกแล้วเศษสวะนั่นก็มีชีวิตอยู่มาอย่างว่างเปล่าจะตายก็ไม่ได้จะอยู่ต่อไปโดยอ้างว่าล้างแค้นก็ทำไม่ได้ตัวเขาไม่มีสิทธิ์จะใช้เรื่องพรรค์นั้นมากล่าวอ้างแล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ เพราะว่าถ้าจะแค้นก็ต้องแค้นที่ตัวเองมันไม่ได้เรื่องจนต้องใช้ชีวิตของน้องชายต่อชีวิตตัวเองให้อยู่มาได้จนถึงวันนี้ และนั่นคืออิงศรในวัยสิบเจ็ดปี เด็กหนุ่มผู้ว่างเปล่า…
องค์กรเมตไตรย ชื่อสากลคือ Metteya Organization เป็นองค์กรที่ก่อตั้งและบริหารโดยหน่วยงานทหารรับจ้างเอกชนกับหน่วยงานรัฐบาลที่ยังพอมีอำนาจเหลืออยู่บ้างหลังจากสูญเสียทั้งหมดไปกับวันโลกาวินาศ
ระบบขององค์กรบริหารจัดการด้วยระบบกองทัพแต่มีการแบ่งหน่วยโดยใช้ระบบของเกมที่เรียกว่ากิลด์(Guild)
แล้วให้ผู้มียศระดับพลตรีขึ้นไปคอยบริหารจัดการกิลด์แต่ละกิลด์ที่สังกัดกับองค์กรอีกทีโดยแต่ละกิลด์ก็จะมีความโดดเด่นต่างกันไปตามหน้าที่ได้แก่
กิลด์ฝ่ายการปกครองที่เน้นหนักเรื่องจัดการบริหารบ้านเมืองและฟื้นฟูประชากร
กิลด์วิทยาการที่เน้นในเรื่องของการศึกษาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเกม
นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายกิลด์ด้วยกัน แต่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ...
กิลด์หน่วยขับไล่ผู้รุกรานซึ่งมีชื่อว่า เซเวียร์ (Zavior) ที่ สิงห์ ธุวดารกะ เป็นผู้บริหารจัดการอยู่ตัวกิลด์นั้นโดดเด่นในเรื่องการต่อสู้และฝึกฝนทหารสำหรับภารกิจต่อสู้ทั้งกับสัตว์เทวะและพวกมนุษย์ต่างดาว
จนกระทั่งสามปีที่แล้ว พลเอกสิงห์ ได้ย้ายจากศูนย์ใหญ่ที่ชลบุรี มาตั้งค่ายฝึกที่เมืองหลวงล่มสลายอย่างกรุงเทพฯ โดยใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยกลางกรุงเป็นฐานที่มั่นในการตั้งค่ายฝึกฝนและให้เหตุผลเรื่องของการรวบรวมคนที่ยังเหลือรอดอยู่ในเมืองกับการฝึกฝนกำลังพลเพราะตัวเมืองหลวงนั้นระดับของสัตว์เทวะค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับบริเวณศูนย์ใหญ่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาจึงมีสัตว์เทวะที่กลายพันธุ์จากสัตว์ดุร้ายอยู่มากมาย แต่ก็มีข่าวลือเรื่องความไม่ลงรอยกันของคนในองค์กรทำให้ พลเอกสิงห์เลือกที่จะแยกออกมาประจำการที่ค่ายแห่งนี้
นั่นคือภาพรวมที่คนทั่วไปรู้จักกันแต่เบื้องหลังขององค์กรนั้นกลับถูกบริหารและควบคุมโดยตระกูลใหญ่ที่มีชื่อว่า ‘ธุวดารกะ’ เพียงหนึ่งเดียว นี่เป็นข้อมูลที่อิงศรรู้มาจากปากของสิงห์เอง
การที่บอกเรื่องแบบนี้กับเด็กอย่างเขาก็เพื่อประกาศศักดาให้รู้ว่าต่อให้คิดที่จะหนีไปยังไงก็ไม่มีทางรอดพ้นได้อย่างแน่นอนเพราะ องค์กรเมตไตรยนั้นกุมชะตากรรมของประเทศนี้… ไม่สิมันลามไปถึงชะตากรรมที่มนุษยชาติจะอยู่รอดได้หรือไม่ไปแล้ว มันยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้นเจ้าองค์กรที่ว่านี่จึงเป็นเสมือนกรงนกสำหรบอิงศร เขาไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามที่สิงห์บอกเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างว่างเปล่า…
เวลาบ่ายโมงตรง
ระหว่างมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนที่เขียนไว้ในกระดาษที่สิงห์ส่งมาให้
อิงศรเดินอยู่บนระเบียงทางเดินของอาคาร ‘ศูนย์เรียนรวมที่หนึ่ง‘
บรรยากาศแบบที่เห็นในโรงเรียนทั่วไป อิงศรอยู่ในสถานที่แบบนั้นแม้ว่าโลกจะล่มสลายไปแล้วก็ตามที...
เด็กหนุ่มพึ่งจะย้ายมาที่ค่ายแห่งนี้ได้เพียงเดือนเดียว ก่อนหน้านี้สามปีเขาถูกสิงห์พาตัวไปที่ศูนย์ใหญ่แล้วทำการฝึกฝนอยู่ที่นั่นจนถึงเมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้ถูกส่งตัวมาที่นี่เพื่อทำการฝึกฝนและบรรจุเข้ากิลด์หน่วยขับไล่ผู้รุกรานอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าจะต่อต้านอย่างเต็มที่แล้วแต่ทุกอย่างก็เหมือนจะดำเนินไปตามที่ สิงห์วางเอาไว้อย่างเช่นการสอบในวันนี้ก็เหมือนกัน เขาไม่สามารถแสดงการต่อต้านอะไรได้เป็นผลสำเร็จเลยซักอย่างเดียวได้แต่ถลำลึกลงไปในเส้นทางแห่งการต่อสู้เท่านั้น
ระหว่างที่นึกเจ็บใจอยู่นั่นเอง อิงศรก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องบรรยายที่ใช้เป็นชั้นเรียนของห้องคิงที่เขาได้ย้ายมา
เด็กหนุ่มเปิดประตูห้องเข้าไป
ภายในเป็นห้องโถงกว้างมีโต๊ะเรียนแบบยาววางต่อกันขึ้นไปทางด้านบนแบบขั้นบันได และที่ผนังฝั่งติดกับประตูห้องที่เปิดเข้ามานั้นก็มีโต๊ะสำหรับบรรยายให้อาจารย์ที่เข้าสอนนั่งประจำ
บนโต๊ะมีคอมพิวเตอร์วางเอาไว้เครื่องหนึ่งต่อเข้ากับจอโปรเจคเตอร์ที่อยู่ถัดไปทางด้านหลัง
ตอนนี้อาจารย์ยังมาไม่ถึงเพราะเวลาการเรียนการสอนจะเริ่มในอีกสิบห้านาทีหลังจากนี้ แต่ภายในห้องก็เนืองแน่นไปด้วยบรรดานักเรียนฝึกทหาร
อิงศรรู้สึกถึงสายตาจำนวนมากกำลังจับจ้องมาที่เขา
เป็นสายตาหลากหลายแบบมีทั้ง สนใจ… อยากรู้อยากเห็น… ชิงชัง… เหม็นขี้หน้า … และ คู่แข่ง…
นอกจากนั้นก็ยังมีสายตาไร้สาระที่เขาไม่ได้สนใจอยู่อีก อย่างเช่น หน้าตาดีเอย อยากรู้จักบ้าง แล้วก็พวกที่ชิพคู่จิ้นให้ทันทีอะไรแบบนั้น…
อิงศรเกาหัวเป็นการแก้เขินแล้วปิดประตูห้อง จากนั้นจึงเดินไปหาโต๊ะนั่ง
ที่นั่งไม่ได้ถูกกำหนดมาตายตัว ดังนั้นเขาจึงเลือกที่นั่งด้านหลังสุดเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกอาจารย์ตั้งคำถามจะได้ไม่ต้องแสดงความสามารถอะไรออกไปให้เป็นที่โจ่งแจ้ง
แล้วอีกอย่างที่นั่งด้านหลังก็เป็นที่สุมหัวของพวกเด็กมีปัญหาแบบที่มักเห็นกันบ่อยๆ การมาหลบในที่แบบนี้จะได้รับอานิสงค์ความเป็นขยะสังคมช่วยปกปิดความโดดเด่นที่เป็นเด็กปั้นของพลเอกผู้บริหารค่ายฝึกแห่งนี้… แต่เหมือนจะไม่เป็นแบบนั้นซะแล้ว
อิงศรมองโต๊ะที่อยู่ตรงที่นั่งด้านหลังห้องรวมไปถึงโต๊ะที่อยู่ถัดลงไปทางด้านหน้าประมาณสามแถวจากทั้งหมดหกแถวนั้นไม่มีเก้าอี้วางอยู่เลย
แล้วเมื่อรองพิจารณาจำนวนของนักเรียนในห้อง ภาพที่นักเรียนเนืองแน่นไปหมดซึ่งมองเห็นตอนที่เข้ามาครั้งแรกนั้นกลับเป็นเหมือนภาพลวงตายามที่มองจากด้านหลังห้อง เพราะพวกนักเรียนนั่งกันกระจัดกระจายอยู่ที่ตรงที่นั่งแถวหน้า ทำให้ดูเหมือนว่ามีกันอยู่เยอะ แต่พอนับจริงแล้วทั้งห้องรวมถึงตัวเขาด้วยก็มีกันอยู่แค่ ยี่สิบเอ็ดคน
ตอนนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากทางด้านหน้าห้อง
“เอ่อ นายเป็นนักเรียนที่พึ่งย้ายมาใหม่วันนี้ใช่ไหม”
อิงศรหันไปยังทิศที่เสียงดังมา
เรือนผมสีดำมันคลับแลดูมีน้ำหนักน่าจะได้รับการดูแลมาอย่างดี ใบหน้างดงามสมกับเป็นกุลสตรี แววตาคมกริบทั้งที่ดูอ่อนโยนจนดูเหมือนกับอ่อนแอแต่กลับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งที่มีเทียบเท่าหรืออาจจะมากกว่าตัวเขาเสียอีก อิงศรเบนสายตาไปที่ชื่อซึ่งลอยอยู่บนหัวของเด็กสาว
นรินท์ Lv. 60
[/////4095:4095/////]
จากนั้นอิงศรก็ย้ายสายตาไปดูเลเวลของคนอื่นเพื่อจะเปรียบเทียบและนั่นทำให้เห็นสภาพโดยรวมเกือบทั้งหมด ห้องนี้มีอัตราสัดส่วนของชายหญิงแบบครึ่งต่อครึ่ง และทุกคนมีเลเวลเฉลี่ยใกล้เคียงกับที่เขามีอยู่ที่ประมาณ 40 ถึง 45 ดังนั้นเธอคนนี้จึงมีเลเวลสูงที่สุดในชั้นเรียน
“อะ… ใช่ครับ”
อิงศรตอบอย่างลนลานเพราะเหมือนจะปล่อยให้เธอรอคำตอบนานเกินไปแล้ว
“มิน่าล่ะ…คือว่านะห้องนี้คนมันน้อยน่ะอาจารย์เค้าก็เลยถอนเก้าอี้ด้านหลังออกไปหมดจะได้มาอยู่รวมกันข้างหน้าแทน”
แล้วเด็กสาวก็ชี้ไปยังโต๊ะที่ว่างซึ่งอยู่แถวหน้าสุดติดผนังฝั่งซ้ายของห้อง
“อาจารย์แจ้งมาแล้วว่าจะมีนักเรียนย้ายมาใหม่และเตรียมที่นั่งไว้ให้เธอแล้วล่ะ”
“ร…เหรอ เอ่อขอบใจนะ”
อิงศรจึงกล่าวตอบด้วยเสียงประหม่า แต่ในใจนั้นกำลังนึกสาปแช่งสิงห์อยู่เพราะดูเหมือนว่าเรื่องที่นั่งเจ้าตัวก็จะเป็นคนเลือกเอาไว้ให้เหมือนกันทำให้แผนปกปิดความสามารถตัวเองล้มไม่เป็นท่า
อิงศรจำใจต้องย้ายมานั่งข้างหน้าสุดแทน และเมื่อเขานั่งลงที่โต๊ะ
“สวัสดีนี่พี่อิงศรสินะครับ”
ก็มีเสียงทักทายอย่างสุภาพดังมาจากทางคนที่นั่งอยู่ข้างกัน อิงศรเบนสายตาไปยังทิศทางนั้น
เด็กหนุ่มมีเรือนผมสีน้ำตาลที่น่าจะมาจากการย้อมสี และทำทรงผมตั้งขึ้นไปออกแนวพังค์หน่อยๆ แถมยังใส่ผ้าคาดศีรษะสีแดงอีกทำให้ดูเชยเข้าไปใหญ่ เด็กคนนั้นกำลังส่งยิ้มมาให้เขา เป็นยิ้มที่สดใสไร้พิษภัย จากการสังเกตความอ่อนเยาว์ของใบหน้าแล้วดูเหมือนอีกฝ่ายจะเด็กกว่า น่าจะอายุประมาณสิบห้าปีได้
“…”
อิงศรไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรดีจึงได้แต่นิ่งเงียบ
“ผมชื่อกวินทร์ คุณสิงห์สั่งให้ผมมาเป็นลูกน้องของรุ่นพี่เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้ไปขอฝากตัวด้วยนะครับ”
คำพูดของรุ่นน้องทำให้อิงศรถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
กวินทร์ Lv. 40
[/////3502:3502/////]
“ห๊ะ เป็นลูกน้องชั้นเนี่ยนะ…”
“อื้อ”
รุ่นน้องพยักหน้า
“ถ้ายังไงขอผมเรียกว่าพี่ได้รึเปล่า ผมน่ะฝันอยากจะมีพี่ชายซักคนมาตั้งนานแล้วช่วยเป็นพี่ให้ผมทีนะคุณสิงห์ก็อนุญาตแล้วด้วย”
ทันใดนั้นเอง ภาพของมิ่งขวัญก็ซ้อนทับลงบนตัวของรุ่นน้อง
“…”
“เป็นอะไรไปครับอยู่ๆ ก็นิ่งไปเฉยเลยหรือว่าพี่อิงศรจะไม่สะดวก”
“ป...เปล่า แต่ว่าเรียกแบบนั้นมันไม่ค่อยชินอะนะ…เรียกอิงศรเฉยๆ เถอะ”
“งั้นขอเรียกเป็นพี่ศรละกันนะครับเจอกันคนละครึ่งทาง”
แบบนั้นมัน…ก็ยิ่งเหมือนกับมิ่งขวัญเข้าไปอีกน่ะสิ ถ้าหากว่ามิ่งขวัญยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้ก็คงจะอายุประมาณนี้
เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่หน้าอกจนเผลอแสดงอาการออกไปทางสีหน้า แล้วเด็กสาวที่ทักเขาเป็นคนแรกก็เข้ามาถามด้วยใบหน้าเป็นห่วง
“เป็นอะไรรึเปล่าน่ะสีหน้าไม่ค่อยดีเลย…ไปห้องพยาบาลไหม”
อิงศรส่ายหน้าเร็วๆ
“ป..เปล่าไม่มีอะไร…แค่ยังไม่ค่อยคุ้นกับห้องเรียนน่ะ”
เด็กหนุ่มพูดแก้ตัวแบบมีพิรุธให้เห็น ทั้งที่การโกหกเป็นของถนัดแต่ในสถานการณ์แบบนี้กลับไม่สามารถพูดโกหกออกไปได้อย่างแนบเนียนหรือเป็นเพราะว่าตัวเขาในตอนนี้มันไม่ปกติจริงๆ กันแน่นะ
เด็กสาวดูอาการของเขาอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่
"พี่นรินท์เนี่ยเอาใจใส่คนในห้องเสมอเลยล่ะครับถ้ามีอะไรก็บอกพี่เขาได้เลยนะเพราะพี่เขาเป็นหัวหน้าห้อง”
“เหรอ..”
อิงศรตอบเสียงห้วน
หลังจากนั้นพอเริ่มใจเย็นลงในหัวก็มีความทรงจำผุดขึ้นมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับที่ค่ายแห่งนี้มีนักเรียนชายผู้เป็นหัวกะทิชั้นยอดและเป็นที่หนึ่งของค่ายอยู่ ซึ่งถูกจับเอามาประชันกับเขาในข่าวลือที่กำลังแพร่สะพัดอยู่ในขณะนี้
และห้องนี้เป็นห้องที่เรียกได้ว่าเข้าใกล้กับการถูกบรรจุเข้าหน่วยขับไล่ผู้รุกรานที่สุดแล้ว ดังนั้นเจ้าหมอนั่นจะต้องอยู่ที่นี่ด้วยอย่างแน่นอน
ถ้าจำไม่ผิดชื่อของหมอนั่นในข่าวลือก็คือ นรินท์….
อิงศรหันกลับไปทางด้านหลังอย่างปุบปับชนิดคอแทบหักแล้วควานสายตาหาตัวเด็กสาวเมื่อครู่จนเจอ
เขาพยายามอ่านชื่อจากป้ายแสดงสถานะบนหัวของเธออีกครั้ง
“นรินท์…ท็อปชายของที่นี่”
อิงศรเปรยออกมาโดยไม่รู้ตัว
“อ๋อใช่แล้วครับพี่นรินท์น่ะเขาเป็นท็อปฝั่งชายของค่ายที่ถูกพูดถึงกับพี่ศรบ่อยๆ ด้วยไงครับแหมได้มาอยู่ห้องเดียวกับคนเก่งๆ แบบนี้ผมล่ะปลื้มจริงๆ เลย”
คำพูดของกวินทร์เหมือนจะช่วยให้กระจ่างขึ้นมาอยู่บ้าง ก็ไม่น่าแปลกที่จะดูผิดเพราะว่าเครื่องแบบของทั้งผู้ชายและผู้หญิงก็เหมือนๆ กันหมด
“…”
ตอนนั้นเองที่อิงศรรู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมาทางพวกตน เด็กหนุ่มบ่ายเบี่ยงสายตาจากนรินท์ไปยังทิศทางที่คิดว่าเจ้าของสายตาน่าจะอยู่แต่ก็ไม่พบใครกำลังจ้องมาเลย
ไม่ได้คิดไปเอง… เขายืนยันกับตัวเองเช่นนั้นแล้วตั้งใจว่าคราวหน้าถ้ามีอีกจะต้องจับให้ได้
จากนั้นก็ล้มตัวลงนั่งที่อีกครั้ง ตอนนั้นเองประตูห้องก็เปิดออกโดยอาจารย์ผู้สอนจากทางด้านนอกของห้อง
อาจารย์เดินเข้ามาแล้วชั่วโมงเรียนก็เริ่มขึ้น
สี่ปีก่อนโลกได้ล่มสลายลงและถูกทำให้กลายเป็นเกมทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์ต่างดาวที่มารุกรานโลก แต่สำหรับเด็กอย่างพวกเราในตอนนั้นมันช่างเป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป
ที่ต้องมาตก ระกำลำบากอยู่ในโลกเฮงซวยพรรค์นี้เพราะเป็นเหยื่อที่โดนลูกหลงเสียมากกว่า...
อิงศรเคยคิดเช่นนั้นจนกระทั่งครอบครัวในโลกใหม่ถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของพวกมนุษย์ต่างดาว
ความคิดของเด็กชายจึงเปลี่ยนไป พวกเขาไม่ใช่เหยื่อของสงครามแต่เป็นทหารที่เข้าร่วมกับสงครามซึ่งถูกกำหนดฝ่ายโดยเผ่าพันธุ์มาตั้งแต่แรก พวกมนุษย์ต่างดาวไม่ได้มองว่ามนุษย์อย่างพวกเราเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ในสายตาของพวกมันเราเป็นได้แค่ NPC(Non-Player Character) ที่มีไว้ประดับเนื้อเรื่องภายในเกมเท่านั้นจะฆ่าทิ้งหรือจับไปใช้งานยังไงก็ได้ไม่ต่างอะไรกับปศุสัตว์...
เด็กหนุ่มในชุดทหารฝึกหัดสีเขียวอ่อนมีลายพรางจางๆ กำลังครุ่นคิดถึงอดีตจนปล่อยให้สายตาทอดยาวไปอย่างเหม่อลอย ทั้งที่อยู่ระหว่างการทดสอบเลื่อนระดับภายในสนามซ้อมยิงที่ดัดแปลงมาจากอาคารโรงยิมของมหาวิทยาลัย ห้องโถงกว้างปูพื้นด้วยไม้ปาเก้ทำให้เวลาเดินมีเสียงสะท้อนดังกึงกัง มีประตูทางเข้าออกแค่ทางเดียวและจากฝั่งประตูนี้เองได้ตั้งเสาสำหรับขึงเส้นลวดข้ามไปถึงอีกฟากหนึ่งของห้อง เพื่อใช้แขวนเป้ากระดาษ จากเส้นลวดที่ขึงไว้ห่างออกไปราวยี่สิบเมตรมีการแบ่งพื้นที่เป็นลู่ให้ตรงกับตำแหน่งของเป้าโดยกั้นลู่ให้แยกจากกันด้วยไม้กระดาน
ในแต่ละลู่จะมีนักเรียนฝึกทหารทั้งชายและหญิงประจำตำแหน่งอยู่ ต่างคนก็ใช้อาวุธต่างกันออกไปมี ทั้งปืนพก ทั้งธนู แล้วแต่ความถนัด แล้วก็มีช่วงอายุที่ต่างกันไปแต่จะอยู่ในช่วงสิบห้าถึงสิบแปดปี
สิ่งที่ทุกคนที่นี่มีเหมือนๆ กันคือพวกเขามีสายอาชีพพื้นฐานเป็น 'เรนเจอร์'
ทันทีที่เสียงกริ่งเริ่มการสอบดัง เสียงลั่นปืนและเสียงดีดของสายธนูก็ดังระรัว พื้นที่จากลู่ยิงไปจนถึงเส้นลวดที่แขวนเป้ากลายเป็นเขตหวงห้ามที่มีทั้งลูกกระสุนและลูกธนูแล่นผ่าน ถ้าเผลอหลุดเข้าไปกลางดงกระสุนเหล่านั้นคงได้พรุนเป็นรังผึ้งอย่างแน่นอน
ภายหลังเสียงสัญญาณหมดเวลาการสอบดังขึ้นเสียงปืนและเสียงดีดถึงได้สงบลง
เป้ากระดาษถูกยิงพรุนหรืดขาดวิ่นไม่ก็หายไปเลยเพราะถูกยิงด้วยการโจมตีที่มีความแม่นยำแตกต่างกันไปของผู้เข้าสอบแต่ละคน ทว่าเป้าของลู่หมายเลขสิบสองซึ่งอยู่ด้านในสุดติดผกับนังโรงยิมพอดีกลับสะอาดเกลี้ยงไร้ร่องรอยและนั่นคือลู่สอบของอิงศรในตอนนั้นเองเสียงของผู้คุมสอบก็แว่วมา
"กิตตินันแปดสิบคะแนน"
"ภัสราห้าสิบคะแนน"
"เชษฐาหนึ่งร้อยคะแนน"
ทันทีที่เสียงประกาศหนึ่งร้อยคะแนนดังขึ้นก็มีเสียงจากบรรดาผู้เข้าสอบดังอื้ออึงกันไปทั้งสนามนั่นเพราะมันคือคะแนนเต็มในการทดสอบนี้
'การสอบเพื่อเลื่อนชั้นของนักเรียนเตรียมทหาร'
มันถูกเรียกอย่างนั้น เจ้าวิธีการที่ใช้คัดเลือกเด็กที่มีฝีมือและพรสวรรค์เพื่อเข้ารับการฝึกฝนบรรจุเป็น 'กิลด์กวาดล้างผู้รุกราน' หรือก็คือกลุ่มที่จะออกไปต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวนั่นเอง
เสียงประกาศคะแนนไล่เข้ามาจนถึงลู่ของอิงศร ผู้คุมสอบตรวจเป้ายิงแล้วจึงขานคะแนน
"อิงศรศูนย์คะแนน..."
ผู้คุมสอบหยุดคำพูดไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจพลางกอดอกด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย
"ว้า~อย่าทำงี้ดินาย เดี๋ยวก็โดนเจ้าสิงห์ฆ่าเอาหรอกชั้นก็จะพลอยซวยไปด้วยนะเฮ้ย"
ชายหนุ่มผิวคล้ำย้อมผมสีทองหยิกหยักศกมีใบหน้าอ่อนกว่าวัยในเครื่องแบบสีเขียวหญ้าที่คล้ายกับชุดทหารสมัยสงครามโลกเป็นแบบแขนยาวและมีเกราะไหล่ประดับยศพันโทติดอยู่บนบ่ากำลังส่งสายตาตำหนิมาเพราะทราบเป็นอย่างดีว่าอิงศรจงใจยิงให้พลาดเป้าและการกระทำเช่นนี้จะนำปัญหามาให้ไม่ใช่แค่เขาแต่ตัวเด็กหนุ่มเองก็ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
แต่กระนั้นแล้วเด็กหนุ่มกลับทำเป็นไม่สนใจยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้นพลางตอบกลับไปว่า
"เรื่องสิไม่เห็นเกี่ยวไรกับผมซักหน่อย แล้วก็ผมสายตาสั้นนะเรื่องยิงเป้าเนี่ยมันยากนา"
เขาแก้ตัวแบบขอไปที หลังจากนั้นถึงรู้สึกว่าสายตาของผู้คุมสอบไม่ได้มองมาแล้วจึงเงยหน้าขึ้น
ในเวลานี้ทุกคนในสนามซ้อมต่างมองไปยังทิศทางเดียวกัน ตรงจุดที่เป็นประตูเข้าสู่สนามสอบนั่นเอง
นั่นมันหัวหน้ากิลด์ขับไล่ผู้รุกรานไม่ใช่เหรอ...
พลเอกท่านเป็นผู้บัญชาการของค่ายไม่ใช่เหรอมาทำอะไรในที่แบบนี้ล่ะ...
เจ้าเด็กใหม่ที่ชื่ออิงศรต้องมีเอี่ยวด้วยแหงแซะ...
ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นเด็กเส้นของพลเอกด้วยแหละ...
พวกใช้เส้นเข้ากองทัพเหรอเนี่ย มิน่าฝีมือถึง...
คำพูดมากมายรวมไปถึงเสียงซุบซิบนินทาดังเซ่งแซ่ไปทั่วสนาม
ยามที่ชายผู้ถูกกล่าวถึงก้าวเท้าพ้นธรณีประตูมา อิงศรก็เบ้ปากสีหน้าซีดเซียวลงในทันที
คนๆ นั้นเป็นชายรูปร่างสูงน่าจะประมาณร้อยแปดสิบเซนติเมตรขึ้นไปถ้าเทียบกับตัวเขาเองแล้วก็สูงกว่ากันประมาณห้าเซนติเมตร ชุดที่สวมเป็นเครื่องแบบโค้ทสีดำปกคอตั้งแบบบานออก ไม่ติดกระดุมเสื้อปล่อยชายยาวเกือบถึงพื้น บนอกซ้ายและขวาติดเครื่องประดับยศพลเอกซึ่งมียศสูงที่สุดในค่ายแห่งนี้
รูปหน้าคมสันรับกับดวงตาเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์และเรือนผมสีดำที่ไว้ยาวแต่กลับหวีจัดทรงได้อย่างเป็นระเบียบไร้ที่ติ
ถ้าซักประมาณสามปีก่อนที่ได้เจอกับชายผู้นี้ตอนนั้นอิงศรคงยังไม่รู้ว่าผู้ที่เก็บตนมาเลี้ยงจะเป็นหนึ่งในหัวหอกขององค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อต่อต้าน ผู้รุกรานหรือพวกมนุษย์ต่างดาวที่ฆ่าครอบครัวของเขา
"เอ้านั่นไงคุณสิงโตมาโน่นแล้วเคลียร์เอาเองนะ"
ผู้คุมสอบพูดโดยไม่แสดงอาการเกร็งหรือบ่งบอกว่ามีความว้าวุ่นใจเกิดขึ้นแม้ว่าผู้บังคับบัญชาจะมาเยือนถึงสนามสอบที่ตัวเองเป็นคนควบคุม
ชายผู้ถูกเรียกว่าคุณสิงโตเดินเข้ามาหาแล้วหยุดตรงลู่ยิงที่อิงศรประจำอยู่
"ได้ยินว่ามีการสอบเลื่อนขั้นเลยมาดูหน่อยเป็นยังไงบ้าง"
แล้วถามคำถามกับผู้คุมสอบโดยใช้คำพูดสนิทสนม
"ก็ตามที่เห็นศูนย์คะแนน"
ผู้คุมสอบชี้แจงพลางทำท่ายักไหล่เหมือนจะบอกกันกลายๆ ว่าหมดปัญญาจะช่วยแล้ว
ทันใดนั้นดาบซึ่งห้อยอยู่ตรงเอวของหัวหน้ากิลด์ก็พาดลงมาบนบ่าของเด็กหนุ่มโดยที่ไม่มีใครทันเห็นจังหวะที่ชักดาบออกจากฝักเลยแม้แต่คนเดียว
"สอบใหม่อีกรอบทำให้ได้คะแนนเต็มซะ!"
หัวหน้ากิลด์สั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดก่อนจะเหลือบตาไปที่ผู้คุมสอบ
"ไม่มีปัญหาใช่ไหม"
แล้วพูดด้วยท่าทางที่ไม่เปิดช่องให้อีกฝ่ายขัดขืน
"จะไปมีได้ไงเล่าลองนายบอกซะอย่างมันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วนี่"
คำตอบของผู้คุมสอบช่างคล้ายกันกับวันนั้นเมื่อสามปีก่อน...
วันที่อิงศรถูกเก็บมาจากรถไฟฟ้าในวันนั้นเขาได้เจอกับสิงห์เป็นครั้งแรกชายผู้มีใบหน้าไร้อารมณ์แต่กลับมีท่าทางและการแสดงออกที่ดุดันราวกับราชสีห์ที่ดุร้าย และ ในวันเวลาเดียวกันผู้คุมสอบก็อยู่ที่นั่นด้วยเป็นคนที่ตรวจสอบข้อมูลของเขาไปโดยที่ไม่ทันรู้สึกตัว ด้วยท่าทางสบายๆ กับสายตาที่คาดเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ เป็นใครเจอเข้าก็คงเผลอสบประมาทใส่แต่หารู้ไม่ว่านี่คือมือซุ่มยิงที่แสนเลือดเย็นขนาดนั่งรอเป้าหมายได้เป็นเดือนๆ และทั้งสองยังเป็นเพื่อสมัยเด็กกันทำให้การสนทนาในยามที่ไม่ใช่เวลาที่เป็นพิธีการนักก็จะใช้คำพูดสนิทสนมเป็นกันเอง
ตอนนี้อยู่ระหว่างรอให้เจ้าหน้าที่ลงไปเปลี่ยนเป้ากระดาษซึ่งทำการเปลี่ยนใหม่หมดทุกเป้าเพื่อรองรับการสอบของชุดฝึกชุดถัดไปเข้ามาสอบต่อไปด้วยในตัวส่วนเป้าของอิงศรนั้นไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่เพราะมันยังคงสภาพเดิมเหมือนตอนที่ถูกแขวน แล้วเมื่อเจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกไปจากลานยิง
"งั้นก็เริ่มได้"
สิงห์ออกคำสั่ง
"แล้วถ้าทำไม่ได้ล่ะ"
อิงศรถามใบหน้าอาบไว้ด้วยเม็ดเหงื่อแห่งความตื่นเต้น ลองมีดาบคมกริบจ่ออยู่ใกล้กับคอแบบนี้เป็นใครก็ทำใจเย็นอยู่ไม่ได้หรอก ถึงจะอย่างนั้นแต่เด็กหนุ่มก็ยังคงพยายามซ่อนสีหน้าที่แท้จริงเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์สุดเดช
"งั้นก็จงตายด้วยดาบของชั้นซะที่นี่เลยเป็นไง"
คำพูดนั้นไม่ได้แฝงคำโกหกเอาไว้เลย สิงห์เอาจริงแน่นอน แค่ฆ่าเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้ากลางสนามสอบไปซะคนในค่ายทหารที่บริหารเองไม่ต้องปิดข่าวเลยก็ยังได้ ความตายของเขาก็ไม่มีความหมายอะไรบนโลกที่ล่มสลายไปแล้ว ไม่มีกฎหมายไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม มีแค่อยู่หรือตายก็เท่านั้น
อิงศรหัวเราะ
"ฮะฮะฮะ ไม่เคยมีทางให้เลือกเลยนะ"
เขาหัวเราะเซ่อๆ แล้วตั้งคันธนูขึ้น
ธนูใหม่นี้เขาได้รับมาจากสิงห์ตอนที่เลเวลขึ้นไปถึง 30 มันสร้างขึ้นจากโลหะสีฟ้าอ่อนแต่มีน้ำหนักเบาเหมือนพลาสติก เส้นลวดที่ใช้ขึงเป็นสายดีดก็ใช้ของที่ดีกว่าสมัยเป็นธนูไม้ที่ได้แถมมาตอนเริ่มเกม แตกต่างกันชนิดที่ว่าธนูไม้นั่นไม่น่าจะเรียกว่าธนูได้เลย เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้า พยายามเบือนสายตาจากดาบที่พาดอยู่บนไหล่ซ้าย
รอจนกระทั่งใจเย็นลงและสมาธิเริ่มมา จากนั้นก็ย้ายมือไปดึงสายดีดให้ยืดออกลูกศรที่เหมือนกับไฟจึงปรากฏขึ้น
“ขอสัญญาณด้วยครับ”
เด็กหนุ่มกล่าว
“งั้นเอาเลยก็แล้วกัน ยังไงก็พร้อมตลอดเวลาอยู่แล้วนี่เนอะ”
เสียงของผู้คุมสอบลอยมาจากทางด้านหลัง และเพียงเสี้ยววินาทีที่คำพูดนั้นยังไม่ทันจะจบประโยคก็เกิดสายลมเบาบางขึ้นในสนาม สายลมพัดเป้ากระดาษที่แขวนอยู่ทั้งหมดลอยหงายไปทางด้านหลัง
ทั้งที่เป็นพื้นที่ปิดแต่กลับมีลมพัด นั่นทำให้พวกนักเรียนฝึกทหารพากันมองหน้าด้วยความสงสัยและเริ่มสุมหัวซุบซิบกันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ยามเมื่อลมสงบลงแล้วเป้ากระดาษทั้งหมดจึงลู่ตัวตกลงมาอยู่ในสภาพเดิมแต่มีสิ่งที่ต่างออกไป…
เป้ากระดาษถูกยิงทะลุกลางเป้าทุกแผ่นไปแล้ว…
ในตอนนั้นเองทุกคนถึงเข้าใจว่าลมนั่นเกิดจากการยิงอันรวดเร็วของอิงศรจนทำให้เห็นว่าเป้าทั้งหมดลอยขึ้นพร้อมกันในเวลาเดียวกันนั้นเป็นเพราะถูกลมพัดแต่ความจริงคือทุกเป้าลอยขึ้นไปเพราะถูกยิงแล้วต่างหาก
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!”
มีเสียงแบบนั้นดังมาเป็นเสียงของพวกเจ้าหน้าที่คุมสอบคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องนี้ด้วย
“เมื่อกี้ฝีมือเจ้าอิงศรเหรอ?”
คราวนี้เป็นเสียงของนักเรียนที่ลู่ข้างๆ กำลังคุยกับเพื่อนที่อยู่ถัดไปอีกลู่แล้วจากนั้นก็มีเสียงดังตามมาอีกมากมาย
"เจ้านั่นมันยิงออกไปตอนไหนน่ะดูไม่ทันเลย…"
"ลมเมื่อกี้คือฝีมือเจ้าอิงศรยังงั้นเหรอ?"
"ข่าวลือที่ว่าเป็นหัวกะทิจากศูนย์ใหญ่ก็ไม่ใช่แค่ข่าวลือแล้วอ่ะดิ!"
"แล้วใครมันปล่อยข่าวกันฟระว่าไอ้หมอนั่นเป็นเด็กเส้นไม่มีฝีมือน่ะ!"
"ที่ว่าเขาจะประชันมือหนึ่งของศูนย์ใหญ่กับ นรินทร์มือหนึ่งค่ายฝึกหน่วยขับไล่ของเราก็เป็นเรื่องจริงด้วยน่ะสิ"
สถานการณ์ดำเนินไปราวกับหลุดออกมาจากการ์ตูนอย่างไรอย่างนั้น
เป็นเรื่องน่าขบขันสิ้นดีที่เจ้าพวกนี้คิดว่าเขาแข็งแกร่งถึงขนาดเป็นหัวกะทิจากศูนย์ใหญ่ขององค์กร และดูเหมือนจะมีข่าวลือเรื่องที่ศูนย์ใหญ่ไม่กินเส้นกับสิงห์คุณพลเอกของเราเลยแยกออกมาตั้งค่ายฝึกไกลถึงเมืองหลวงที่ล่มสลายไปแล้วแห่งนี้
สิงห์เก็บดาบที่พาดบ่าเด็กหนุ่มกลับไปแล้วเสียบเข้าฝักที่ห้อยอยู่ตรงเอว
ส่วนผู้คุมสอบที่ยืนอยู่ข้างกันก็เกาหัวพลางกัดฟันพูดด้วยความรำคาญ
“แล้วแบบนี้จะให้มาเรียนแผนกฝึกหัดทำไมล่ะเนี่ย เอ้าอิงศร หนึ่งพันสองร้อยคะแนนสอบผ่าน”
บ่นเสร็จก็บันทึกคะแนนลงไปตามที่พูดเพราะอิงศรสอยกลางเป้าร้อยคะแนนหมดทุกเป้าสิบสองแผ่น ทำให้ต้องเสียเวลาเปลี่ยนกระดาษเป้ากันใหม่อีกที่เขาบ่นก็เพราะเรื่องนี้
อิงศรหันไปมองหน้าทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้วพึมพำกับตัวเองเบาๆ แบบไม่ให้คนอื่นได้ยิน
“แข็งแกร่งเหรอ...ก็คงจะอย่างนั้นล่ะมั้ง…”
ถ้าต้องฝึกกับสองคนนี้ ต่อให้มีกี่ชีวิตก็คงไม่พอ มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ฝีมือยิงเป้าในวันนี้ก็เช่นกัน เขาไม่ได้ใช้เวลาสามปี ไปอย่างสูญเปล่าเลยแม้แต่วินาทีเดียวเพราะหากทำแบบนั้นเท่ากับยอมให้ตัวเองจมลงสู่ความตายได้ทุกเมื่อ การฝึกยิงสัตว์เทวะแมลงสาบยักษ์ที่ทั้งรวดเร็วและบุกจู่โจมเป็นฝูง มาอย่างยาวนานในช่วงสามปีทำให้เด็กหนุ่มหวิดตายมาหลายหนแต่ก็แลกกับการได้ฝีมือยิงที่เฉียบขาดนี้มาและนั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของหลักสูตรฝึกนรกทั้งหลายตลอดสามปีที่เขาต้องเผชิญฝ่าฟัน
พอมาเทียบกับการสอบยิงเป้ากระดาษที่ไม่ขยับเขยื้อนแล้วระดับต่างกันอย่างเทียบไม่ติด
พวกที่อยู่ในสนามสอบแห่งนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอแต่เป็นผู้มากความสามารถและอุตสาหะอย่างแท้จริงระดับเลเวลของแต่ละคนอยู่ที่สาบสิบถึงสี่สิบเป็นเครื่องการันตีถึงเรื่องนั้นบางคนมีเลเวลสูงกว่าเขา
อิงศร Lv. 42
[/////2990:2990/////]
เสียด้วยซ้ำไป ดังนั้นเลเวลจึงไม่ใช่ตัวเปรียบเทียบความแข็งแกร่งเสมอไปถ้าอย่างนั้นแล้วอะไรคือความแตกต่างที่ทำให้เกิดความต่างชั้นนี้ขึ้นกันแน่?
ได้ยินมาว่าเด็กที่นี่ส่วนใหญ่พึ่งจับอาวุธกันตอนอายุสิบห้า และในตอนที่โลกล่มสลายพวกเขาก็ถูกองค์กรช่วยอุปถัมภ์เอาไว้จึงไม่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดแบบที่อิงศรทำ...
ถ้าอย่างนั้นความแตกต่างที่มีก็คือระยะห่างของประสบการณ์ในสนามจริงคงคิดเป็นอื่นไม่ได้อีก
“แล้วการสอบอันอื่นล่ะ”
สิงห์เปิดหัวข้อคำถามกับผู้คุมสอบ
“ก็ทำคะแนนผ่านแบบฉิวเฉียดหมดแต่ถ้ารวมคะแนนยิงเป้าสุดปังเว่อวังนี่เข้าไปด้วยก็คงพอเข้าห้องคิงได้แบบเฉียดฉิว”
“เฮ้ๆๆ ที่ผมยิงทุกเป้าน่ะเพราะกลัวว่าตาหน้าตายนี่จะไม่พอใจต่างหากแต่การสอบนี่มันเต็มแค่ร้อยคะแนนไม่ใช่รึไง”
คำพูดคัดค้านของอิงศรถูกปัดตกเมื่อผู้คุมสอบบอกว่า
“ถ้าชั้นจะให้ซะอย่างนายมีปัญหาเหรอ”
“เป็นพวกรับใต้โต๊ะกินแป๊ะเจี๊ยะหรือไงกัน”
“ฮะฮะ ถ้าไม่กินก็ต้องตายเป็นนายก็คงกินเหมือนกันน่ะแหละอย่ามากล่าวหากันหน่อยเลย”
พูดออกมาอย่างนั้นแล้วก็เริ่มเขียนอะไรบางอย่างลงกระดาษก่อนจะฉีกส่งให้สิงห์
“อ้อจริงด้วยสิถ้านายไม่มาดูเหมือนเจ้าศรจะอ้างว่าตัวเองสายตาสั้นเลยยิงไม่โดนด้วยล่ะ”
“ชั้นให้คอนแทคเลนส์ไปแล้วเพราะงั้นถึงจะเอาเรื่องแบบนั้นมาอ้างก็ไม่ฟังหรอกนะ”
สิงห์พูดพร้อมกับรับแผ่นกระดาษนั้นไปอ่าน
"แล้วก็ชั้นได้รับรายงานของนายจากหัวหน้าทีมคุ้มกันฮาบิแททพอยซ์แล้วภารกิจเมื่อวานทำได้ดีมาก"
สิงห์พูดก่อนจะรับปากกาจากผู้คุมสอบแล้วเอาไปเขียนใส่กระดาษจากนั้นก็ออกปากชมว่า
"ทำได้ดีสมกับที่คาดหวังเอาไว้"
ตอนนั้นเองอิงศรก็เบี่ยงประเด็นต่อว่าไปที่สิงห์แทน
"จะบ้าเรอะ ชั้นโดนเจ้านั่นบ่นเอาซะหูชาแล้วผลประเมินมันจะออกมาดีได้ยังไงกันเล่า"
เจ้านั่นที่อิงศรพูดถึงคือหัวหน้าทีมคุ้มกันที่เขาถูกส่งตัวไปช่วยโดยมีข้ออ้างหนุนหลังว่า
'ไปหาประสบการณ์' แนบติดไปด้วยและผลก็คือทำหัวหน้าทีมคุ้มกันเปียกโชกเป็นลูกหมาตกน้ำและเป็นเหตุให้โดนเอ็ดมาชุดใหญ่ แต่สิงห์กลับได้รับรายงานว่าเขาทำได้ดี...
"ชั้นไม่ได้คาดหวังว่าม้าพยศอย่างแกจะเชื่อฟังคำสั่งอยู่แล้วที่ต้องการก็คือม้าฝีเท้าดีที่ใช้การได้ส่วนเรื่องการปราบพยศมันเป็นหน้าที่ของคนเก่งๆ อย่างชั้นทำกันต่างหาก"
"เฮอะชั้นเป็นแค่ม้าสินะแบบนี้มันละเมิดสิทธิมนุษยชนกันเกินไปไหม"
อิงศรกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
"แต่แกก็ปกป้องคนอื่นในทีมทั้งที่จะปล่อยให้ตายเพื่อให้ผลประเมินตกลงก็ได้ถึงจะอย่างนั้นแกก็ไม่ทำเพราะงั้นถึงได้ชมไงล่ะ... แน่นอนว่ารวมถึงการแสดงให้คนอื่นเห็นถึงฝีเท้านั่นก็เป็นสิ่งที่ชั้นคาดหวังเอาไว้ด้วยเช่นกัน"
"เป็นคุณพ่อขี้เห่อลูกรึไงน่ะนั่น”
“จะเรียกว่าป๊ะป๋าก็ได้นะถ้านายต้องการ”
สิงห์ตอบโดยที่ไม่หันมาสบตาด้วยแต่ยังคงก้มหน้าก้มตาเขียนกระดาษแผ่นเดิมอยู่
“ใครมันจะไปเรียกกันฟระ!”
อิงศรตะหวาด จากนั้นสิงห์ก็เขียนกระดาษแผ่นนั้นเสร็จและส่งมาทางเขา
“รับเอาไปซะ มันเป็นจดหมายแนะนำตัวนายกับอาจารย์ของห้องที่ชั้นเป็นผู้รับผิดชอบ เป็นห้องคิงเลยนะตั้งใจเรียนเข้าล่ะจะได้รีบมาอยู่กิลด์ขับไล่ไวๆ แล้วนายก็จะได้ล้างแค้นพวกมนุษย์ต่างดาวที่ฆ่าครอบครัว..”
“ก็บอกแล้วไงว่าชั้นไม่ได้อยากล้างแค้นแล้วทำไมจะต้องเอาชั้นเข้ากิลด์ของนายด้วยเล่า!”
อิงศรลุกขึ้นพูด เขาเขม่นใส่สิงห์ด้วยแววตาขุ่นเคือง
ในระหว่างนั้นเสียงซุบซิบของบรรดานักเรียนฝึกทหารยังคงดังเซ่งแซ่ไม่หยุดและยิ่งทวีความดังของมันขึ้นเมื่ออิงศรทำท่าจะมีเรื่องกับผู้บังคับบัญชาสูงสุดของค่ายฝึกทหารแห่งนี้ จนผู้คุมสอบต้องสั่งให้หยุด
“เฮ้ย! เงียบๆ กันหน่อยพลเอกอยู่ที่นี่นะเฟ้ย!”
แต่สิงห์กลับยกมือปรามผู้คุมสอบไว้
“ช่างเถอะแบบนี้ก็ดีจะได้รู้กันไปเลยไงเรื่องข่าวลือที่มีคนปล่อยว่ามีไอ้สวะมาใช้เส้นสายของชั้นน่ะมันเป็นเรื่องไร้สาระ”
พูดแบบนั้นแล้วมองไปทางอิงศร
เด็กหนุ่มถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเพราะคิดว่าอีกฝ่ายรู้ตัวแล้วเรื่องข่าวลือด้านลบเกี่ยวกับตัวเขาซึ่งข่าวลือพวกนั้นคนที่เอาไปปล่อยก็เป็นตัวอิงศรเองนั่นแหละเพื่อจะกดดันให้สิงห์ถอดเขาออกจากการเป็นนักเรียนฝึกทหารแล้วก็ล้มเลิกที่จะเอาเขาเข้าหน่วยขับไล่
“เพราะดูเหมือนข่าวการปะทะระหว่างหัวกะทิจากศูนย์ใหญ่กับหัวกะทิของค่ายที่นี่จะเป็นที่โจษจันทร์กว่าล่ะนะ เอ้ารีบรับใบมอบหมายไปซักที”
แล้วอิงศรก็ต้องยอมรับกระดาษที่สิงห์ยื่นให้อย่างไม่มีทางเลือก
ในตอนนั้นเองก็มีหน้าจอเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติต่อหน้าสิงห์โดยที่ไม่ได้คาดคิดเอาไว้
สิงห์อ่านรายละเอียดที่อยู่ในหน้าจอแล้วก็ปิดมันลง
“เดี๋ยวชั้นจะต้องไปประชุมกองทัพแล้ว”
สิงห์พูดแล้วจึงเปิดหน้าจอ ‘Inventory’ หยิบเอาห่อกระดาษที่มีแผ่นยันต์แปะติดอยู่บนห่อหลายสิบแผ่น กับกล่องพลาสติกสีขาวขุ่นที่มีป้ายเขียนไว้ว่า ‘Scouting Contact Lens’ ออกมาส่งให้อิงศรรับเอาไว้จากนั้นจึงหันไปบอกกับผู้คุมสอบว่า
“หลามฝากแกสอนมันใช้ SCL กับ เดม่อนแอพด้วยล่ะ”
“เอาเรื่องยุ่งยากมาให้ชั้นสอนอีกแล้วเหรอเนี่ย เออๆ รีบไปประชุมเหอะ”
ผู้คุมสอบบอกอย่างเซ็งๆ พร้อมกับสะบัดมือไล่ไปอย่างไม่กลัวเกรงเรื่องท่าทีกับผู้บังคับบัญชา แต่สิงห์ก็ไม่ได้สนใจจะต่อว่าแล้วเดินกลับออกไปจากห้องโดยไม่กล่าวอะไรอีก
ภายหลังจากที่ฟังอธิบายเรื่องของที่สิงห์ให้มากับผู้คุมสอบแล้วและถูกสั่งให้ไปเตรียมตัวสำหรับคาบเรียนของชั้นเรียนใหม่ในบ่ายนี้เลย ทั้งที่ตัวเขาเองก็ท้วงกลับไปแล้วว่า
“แต่วันนี้มันสอบเลื่อนชั้นไม่ใช่เหรอคนอื่นสอบเสร็จเขาก็กลับบ้านกันหมดแล้วทำไมชั้นจะต้องไปเรียนต่อคนเดียวด้วยเล่า?”
“ก็สิงห์สั่งมานี่หว่ารีบไปเปลี่ยนคอนแทคเลนส์เป็นอันใหม่แล้วไปเรียนได้แล้วไป๊!”
เพราะเหตุนั้น อิงศรจึงย้ายมาที่ห้องน้ำของอาคารโรงยิมเพื่อเปลี่ยนคอนแทคเลนส์เป็นอันใหม่ที่สิงห์ส่งมาให้
เด็กหนุ่มอยู่ภายในห้องน้ำเพียงลำพัง เขาวางสัมภาระทั้งหมดลงที่อ่างล่างหน้า ก่อนจะหยิบกล่องพลาสติกสีขาวขุ่นขึ้นมาเปิด ภายในมีกล่องใสบรรจุเลนส์แก้วกับแผ่นพับคู่มือการใช้งานใส่มาด้วยกัน
อิงศรหันหน้าเข้าหากระจกที่ติดกับอ่างล้างหน้าแล้วเริ่มเปลี่ยนคอนแทคเลนส์ เขายกมือขึ้นมาอังรอบดวงตาจากนั้นก็ทำให้เลนส์ที่ใส่เอาไว้หลุดออกมา เมื่อถอดเลนส์ออกจากตาครบทั้งสองข้างแล้วโลกก็กลับมาเป็นภาพเบลอๆ อีกครั้ง
โลกแบบที่เขาเคยเห็นเมื่อสามปีก่อน หลังจากนั้นมาก็จะได้เห็นแค่ตอนที่เข้านอนเท่านั้นเพราะต้องถอดคอนแทกเลนส์ออก
อิงศรเก็บคอนแทคเลนส์อันเดิมลงกล่องของมันแล้วหยิบเอาอันใหม่มาใส่แทน
หลังจากใส่อันใหม่เสร็จโลกจึงกลับมาชัดเจนดั่งเดิมอีกครั้ง
อิงศรมองไปที่กระจกมันกำลังสะท้อนภาพของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดเรือนผมสีดำและมีดวงตาเย็นชาเล็กน้อยนั่นคือ… ภาพใบหน้าของเศษสวะที่แม้แต่น้องชายคนเดียวก็ปกป้องเอาไว้ไม่ได้
เพราะแผนการหลบหนีอันแสนตื้นเขินทำให้ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป…
ภาพของครอบครัวถูกมนุษย์ต่างดาวผมแดงฆ่าตายราวกับจะผุดขึ้นมาบนกระจกจากนั้นก็เป็นภาพของมิ่งขวัญที่จมลงไปพร้อมกับสถานีรถไฟฟ้าที่ถล่มลงเพราะระเบิดที่เด็กหนุ่มเป็นผู้สร้างขึ้น แต่ทั้งหมดนั่นก็แค่มโนไปเอง ว่ามันฉายอยู่บนกระจก
อยากจะตายซะให้พ้นๆ ไป แต่ถ้าขืนทำแบบนั้นก็จะผิดต่อมิ่งขวัญแล้วก็ผิดต่อครอบครัวทุกคนด้วย
ความรู้สึกภายในกายขัดแย้งกันอย่างบอกไม่ถูกแล้วเศษสวะนั่นก็มีชีวิตอยู่มาอย่างว่างเปล่าจะตายก็ไม่ได้จะอยู่ต่อไปโดยอ้างว่าล้างแค้นก็ทำไม่ได้ตัวเขาไม่มีสิทธิ์จะใช้เรื่องพรรค์นั้นมากล่าวอ้างแล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ เพราะว่าถ้าจะแค้นก็ต้องแค้นที่ตัวเองมันไม่ได้เรื่องจนต้องใช้ชีวิตของน้องชายต่อชีวิตตัวเองให้อยู่มาได้จนถึงวันนี้ และนั่นคืออิงศรในวัยสิบเจ็ดปี เด็กหนุ่มผู้ว่างเปล่า…
องค์กรเมตไตรย ชื่อสากลคือ Metteya Organization เป็นองค์กรที่ก่อตั้งและบริหารโดยหน่วยงานทหารรับจ้างเอกชนกับหน่วยงานรัฐบาลที่ยังพอมีอำนาจเหลืออยู่บ้างหลังจากสูญเสียทั้งหมดไปกับวันโลกาวินาศ
ระบบขององค์กรบริหารจัดการด้วยระบบกองทัพแต่มีการแบ่งหน่วยโดยใช้ระบบของเกมที่เรียกว่ากิลด์(Guild)
แล้วให้ผู้มียศระดับพลตรีขึ้นไปคอยบริหารจัดการกิลด์แต่ละกิลด์ที่สังกัดกับองค์กรอีกทีโดยแต่ละกิลด์ก็จะมีความโดดเด่นต่างกันไปตามหน้าที่ได้แก่
กิลด์ฝ่ายการปกครองที่เน้นหนักเรื่องจัดการบริหารบ้านเมืองและฟื้นฟูประชากร
กิลด์วิทยาการที่เน้นในเรื่องของการศึกษาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของเกม
นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายกิลด์ด้วยกัน แต่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ...
กิลด์หน่วยขับไล่ผู้รุกรานซึ่งมีชื่อว่า เซเวียร์ (Zavior) ที่ สิงห์ ธุวดารกะ เป็นผู้บริหารจัดการอยู่ตัวกิลด์นั้นโดดเด่นในเรื่องการต่อสู้และฝึกฝนทหารสำหรับภารกิจต่อสู้ทั้งกับสัตว์เทวะและพวกมนุษย์ต่างดาว
จนกระทั่งสามปีที่แล้ว พลเอกสิงห์ ได้ย้ายจากศูนย์ใหญ่ที่ชลบุรี มาตั้งค่ายฝึกที่เมืองหลวงล่มสลายอย่างกรุงเทพฯ โดยใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยกลางกรุงเป็นฐานที่มั่นในการตั้งค่ายฝึกฝนและให้เหตุผลเรื่องของการรวบรวมคนที่ยังเหลือรอดอยู่ในเมืองกับการฝึกฝนกำลังพลเพราะตัวเมืองหลวงนั้นระดับของสัตว์เทวะค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับบริเวณศูนย์ใหญ่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาจึงมีสัตว์เทวะที่กลายพันธุ์จากสัตว์ดุร้ายอยู่มากมาย แต่ก็มีข่าวลือเรื่องความไม่ลงรอยกันของคนในองค์กรทำให้ พลเอกสิงห์เลือกที่จะแยกออกมาประจำการที่ค่ายแห่งนี้
นั่นคือภาพรวมที่คนทั่วไปรู้จักกันแต่เบื้องหลังขององค์กรนั้นกลับถูกบริหารและควบคุมโดยตระกูลใหญ่ที่มีชื่อว่า ‘ธุวดารกะ’ เพียงหนึ่งเดียว นี่เป็นข้อมูลที่อิงศรรู้มาจากปากของสิงห์เอง
การที่บอกเรื่องแบบนี้กับเด็กอย่างเขาก็เพื่อประกาศศักดาให้รู้ว่าต่อให้คิดที่จะหนีไปยังไงก็ไม่มีทางรอดพ้นได้อย่างแน่นอนเพราะ องค์กรเมตไตรยนั้นกุมชะตากรรมของประเทศนี้… ไม่สิมันลามไปถึงชะตากรรมที่มนุษยชาติจะอยู่รอดได้หรือไม่ไปแล้ว มันยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้นเจ้าองค์กรที่ว่านี่จึงเป็นเสมือนกรงนกสำหรบอิงศร เขาไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามที่สิงห์บอกเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างว่างเปล่า…
เวลาบ่ายโมงตรง
ระหว่างมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนที่เขียนไว้ในกระดาษที่สิงห์ส่งมาให้
อิงศรเดินอยู่บนระเบียงทางเดินของอาคาร ‘ศูนย์เรียนรวมที่หนึ่ง‘
บรรยากาศแบบที่เห็นในโรงเรียนทั่วไป อิงศรอยู่ในสถานที่แบบนั้นแม้ว่าโลกจะล่มสลายไปแล้วก็ตามที...
เด็กหนุ่มพึ่งจะย้ายมาที่ค่ายแห่งนี้ได้เพียงเดือนเดียว ก่อนหน้านี้สามปีเขาถูกสิงห์พาตัวไปที่ศูนย์ใหญ่แล้วทำการฝึกฝนอยู่ที่นั่นจนถึงเมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้ถูกส่งตัวมาที่นี่เพื่อทำการฝึกฝนและบรรจุเข้ากิลด์หน่วยขับไล่ผู้รุกรานอย่างเป็นทางการ
แม้ว่าจะต่อต้านอย่างเต็มที่แล้วแต่ทุกอย่างก็เหมือนจะดำเนินไปตามที่ สิงห์วางเอาไว้อย่างเช่นการสอบในวันนี้ก็เหมือนกัน เขาไม่สามารถแสดงการต่อต้านอะไรได้เป็นผลสำเร็จเลยซักอย่างเดียวได้แต่ถลำลึกลงไปในเส้นทางแห่งการต่อสู้เท่านั้น
ระหว่างที่นึกเจ็บใจอยู่นั่นเอง อิงศรก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องบรรยายที่ใช้เป็นชั้นเรียนของห้องคิงที่เขาได้ย้ายมา
เด็กหนุ่มเปิดประตูห้องเข้าไป
ภายในเป็นห้องโถงกว้างมีโต๊ะเรียนแบบยาววางต่อกันขึ้นไปทางด้านบนแบบขั้นบันได และที่ผนังฝั่งติดกับประตูห้องที่เปิดเข้ามานั้นก็มีโต๊ะสำหรับบรรยายให้อาจารย์ที่เข้าสอนนั่งประจำ
บนโต๊ะมีคอมพิวเตอร์วางเอาไว้เครื่องหนึ่งต่อเข้ากับจอโปรเจคเตอร์ที่อยู่ถัดไปทางด้านหลัง
ตอนนี้อาจารย์ยังมาไม่ถึงเพราะเวลาการเรียนการสอนจะเริ่มในอีกสิบห้านาทีหลังจากนี้ แต่ภายในห้องก็เนืองแน่นไปด้วยบรรดานักเรียนฝึกทหาร
อิงศรรู้สึกถึงสายตาจำนวนมากกำลังจับจ้องมาที่เขา
เป็นสายตาหลากหลายแบบมีทั้ง สนใจ… อยากรู้อยากเห็น… ชิงชัง… เหม็นขี้หน้า … และ คู่แข่ง…
นอกจากนั้นก็ยังมีสายตาไร้สาระที่เขาไม่ได้สนใจอยู่อีก อย่างเช่น หน้าตาดีเอย อยากรู้จักบ้าง แล้วก็พวกที่ชิพคู่จิ้นให้ทันทีอะไรแบบนั้น…
อิงศรเกาหัวเป็นการแก้เขินแล้วปิดประตูห้อง จากนั้นจึงเดินไปหาโต๊ะนั่ง
ที่นั่งไม่ได้ถูกกำหนดมาตายตัว ดังนั้นเขาจึงเลือกที่นั่งด้านหลังสุดเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกอาจารย์ตั้งคำถามจะได้ไม่ต้องแสดงความสามารถอะไรออกไปให้เป็นที่โจ่งแจ้ง
แล้วอีกอย่างที่นั่งด้านหลังก็เป็นที่สุมหัวของพวกเด็กมีปัญหาแบบที่มักเห็นกันบ่อยๆ การมาหลบในที่แบบนี้จะได้รับอานิสงค์ความเป็นขยะสังคมช่วยปกปิดความโดดเด่นที่เป็นเด็กปั้นของพลเอกผู้บริหารค่ายฝึกแห่งนี้… แต่เหมือนจะไม่เป็นแบบนั้นซะแล้ว
อิงศรมองโต๊ะที่อยู่ตรงที่นั่งด้านหลังห้องรวมไปถึงโต๊ะที่อยู่ถัดลงไปทางด้านหน้าประมาณสามแถวจากทั้งหมดหกแถวนั้นไม่มีเก้าอี้วางอยู่เลย
แล้วเมื่อรองพิจารณาจำนวนของนักเรียนในห้อง ภาพที่นักเรียนเนืองแน่นไปหมดซึ่งมองเห็นตอนที่เข้ามาครั้งแรกนั้นกลับเป็นเหมือนภาพลวงตายามที่มองจากด้านหลังห้อง เพราะพวกนักเรียนนั่งกันกระจัดกระจายอยู่ที่ตรงที่นั่งแถวหน้า ทำให้ดูเหมือนว่ามีกันอยู่เยอะ แต่พอนับจริงแล้วทั้งห้องรวมถึงตัวเขาด้วยก็มีกันอยู่แค่ ยี่สิบเอ็ดคน
ตอนนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากทางด้านหน้าห้อง
“เอ่อ นายเป็นนักเรียนที่พึ่งย้ายมาใหม่วันนี้ใช่ไหม”
อิงศรหันไปยังทิศที่เสียงดังมา
เรือนผมสีดำมันคลับแลดูมีน้ำหนักน่าจะได้รับการดูแลมาอย่างดี ใบหน้างดงามสมกับเป็นกุลสตรี แววตาคมกริบทั้งที่ดูอ่อนโยนจนดูเหมือนกับอ่อนแอแต่กลับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งที่มีเทียบเท่าหรืออาจจะมากกว่าตัวเขาเสียอีก อิงศรเบนสายตาไปที่ชื่อซึ่งลอยอยู่บนหัวของเด็กสาว
นรินท์ Lv. 60
[/////4095:4095/////]
จากนั้นอิงศรก็ย้ายสายตาไปดูเลเวลของคนอื่นเพื่อจะเปรียบเทียบและนั่นทำให้เห็นสภาพโดยรวมเกือบทั้งหมด ห้องนี้มีอัตราสัดส่วนของชายหญิงแบบครึ่งต่อครึ่ง และทุกคนมีเลเวลเฉลี่ยใกล้เคียงกับที่เขามีอยู่ที่ประมาณ 40 ถึง 45 ดังนั้นเธอคนนี้จึงมีเลเวลสูงที่สุดในชั้นเรียน
“อะ… ใช่ครับ”
อิงศรตอบอย่างลนลานเพราะเหมือนจะปล่อยให้เธอรอคำตอบนานเกินไปแล้ว
“มิน่าล่ะ…คือว่านะห้องนี้คนมันน้อยน่ะอาจารย์เค้าก็เลยถอนเก้าอี้ด้านหลังออกไปหมดจะได้มาอยู่รวมกันข้างหน้าแทน”
แล้วเด็กสาวก็ชี้ไปยังโต๊ะที่ว่างซึ่งอยู่แถวหน้าสุดติดผนังฝั่งซ้ายของห้อง
“อาจารย์แจ้งมาแล้วว่าจะมีนักเรียนย้ายมาใหม่และเตรียมที่นั่งไว้ให้เธอแล้วล่ะ”
“ร…เหรอ เอ่อขอบใจนะ”
อิงศรจึงกล่าวตอบด้วยเสียงประหม่า แต่ในใจนั้นกำลังนึกสาปแช่งสิงห์อยู่เพราะดูเหมือนว่าเรื่องที่นั่งเจ้าตัวก็จะเป็นคนเลือกเอาไว้ให้เหมือนกันทำให้แผนปกปิดความสามารถตัวเองล้มไม่เป็นท่า
อิงศรจำใจต้องย้ายมานั่งข้างหน้าสุดแทน และเมื่อเขานั่งลงที่โต๊ะ
“สวัสดีนี่พี่อิงศรสินะครับ”
ก็มีเสียงทักทายอย่างสุภาพดังมาจากทางคนที่นั่งอยู่ข้างกัน อิงศรเบนสายตาไปยังทิศทางนั้น
เด็กหนุ่มมีเรือนผมสีน้ำตาลที่น่าจะมาจากการย้อมสี และทำทรงผมตั้งขึ้นไปออกแนวพังค์หน่อยๆ แถมยังใส่ผ้าคาดศีรษะสีแดงอีกทำให้ดูเชยเข้าไปใหญ่ เด็กคนนั้นกำลังส่งยิ้มมาให้เขา เป็นยิ้มที่สดใสไร้พิษภัย จากการสังเกตความอ่อนเยาว์ของใบหน้าแล้วดูเหมือนอีกฝ่ายจะเด็กกว่า น่าจะอายุประมาณสิบห้าปีได้
“…”
อิงศรไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรดีจึงได้แต่นิ่งเงียบ
“ผมชื่อกวินทร์ คุณสิงห์สั่งให้ผมมาเป็นลูกน้องของรุ่นพี่เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันนี้ไปขอฝากตัวด้วยนะครับ”
คำพูดของรุ่นน้องทำให้อิงศรถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
กวินทร์ Lv. 40
[/////3502:3502/////]
“ห๊ะ เป็นลูกน้องชั้นเนี่ยนะ…”
“อื้อ”
รุ่นน้องพยักหน้า
“ถ้ายังไงขอผมเรียกว่าพี่ได้รึเปล่า ผมน่ะฝันอยากจะมีพี่ชายซักคนมาตั้งนานแล้วช่วยเป็นพี่ให้ผมทีนะคุณสิงห์ก็อนุญาตแล้วด้วย”
ทันใดนั้นเอง ภาพของมิ่งขวัญก็ซ้อนทับลงบนตัวของรุ่นน้อง
“…”
“เป็นอะไรไปครับอยู่ๆ ก็นิ่งไปเฉยเลยหรือว่าพี่อิงศรจะไม่สะดวก”
“ป...เปล่า แต่ว่าเรียกแบบนั้นมันไม่ค่อยชินอะนะ…เรียกอิงศรเฉยๆ เถอะ”
“งั้นขอเรียกเป็นพี่ศรละกันนะครับเจอกันคนละครึ่งทาง”
แบบนั้นมัน…ก็ยิ่งเหมือนกับมิ่งขวัญเข้าไปอีกน่ะสิ ถ้าหากว่ามิ่งขวัญยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้ก็คงจะอายุประมาณนี้
เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่หน้าอกจนเผลอแสดงอาการออกไปทางสีหน้า แล้วเด็กสาวที่ทักเขาเป็นคนแรกก็เข้ามาถามด้วยใบหน้าเป็นห่วง
“เป็นอะไรรึเปล่าน่ะสีหน้าไม่ค่อยดีเลย…ไปห้องพยาบาลไหม”
อิงศรส่ายหน้าเร็วๆ
“ป..เปล่าไม่มีอะไร…แค่ยังไม่ค่อยคุ้นกับห้องเรียนน่ะ”
เด็กหนุ่มพูดแก้ตัวแบบมีพิรุธให้เห็น ทั้งที่การโกหกเป็นของถนัดแต่ในสถานการณ์แบบนี้กลับไม่สามารถพูดโกหกออกไปได้อย่างแนบเนียนหรือเป็นเพราะว่าตัวเขาในตอนนี้มันไม่ปกติจริงๆ กันแน่นะ
เด็กสาวดูอาการของเขาอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่
"พี่นรินท์เนี่ยเอาใจใส่คนในห้องเสมอเลยล่ะครับถ้ามีอะไรก็บอกพี่เขาได้เลยนะเพราะพี่เขาเป็นหัวหน้าห้อง”
“เหรอ..”
อิงศรตอบเสียงห้วน
หลังจากนั้นพอเริ่มใจเย็นลงในหัวก็มีความทรงจำผุดขึ้นมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับที่ค่ายแห่งนี้มีนักเรียนชายผู้เป็นหัวกะทิชั้นยอดและเป็นที่หนึ่งของค่ายอยู่ ซึ่งถูกจับเอามาประชันกับเขาในข่าวลือที่กำลังแพร่สะพัดอยู่ในขณะนี้
และห้องนี้เป็นห้องที่เรียกได้ว่าเข้าใกล้กับการถูกบรรจุเข้าหน่วยขับไล่ผู้รุกรานที่สุดแล้ว ดังนั้นเจ้าหมอนั่นจะต้องอยู่ที่นี่ด้วยอย่างแน่นอน
ถ้าจำไม่ผิดชื่อของหมอนั่นในข่าวลือก็คือ นรินท์….
อิงศรหันกลับไปทางด้านหลังอย่างปุบปับชนิดคอแทบหักแล้วควานสายตาหาตัวเด็กสาวเมื่อครู่จนเจอ
เขาพยายามอ่านชื่อจากป้ายแสดงสถานะบนหัวของเธออีกครั้ง
“นรินท์…ท็อปชายของที่นี่”
อิงศรเปรยออกมาโดยไม่รู้ตัว
“อ๋อใช่แล้วครับพี่นรินท์น่ะเขาเป็นท็อปฝั่งชายของค่ายที่ถูกพูดถึงกับพี่ศรบ่อยๆ ด้วยไงครับแหมได้มาอยู่ห้องเดียวกับคนเก่งๆ แบบนี้ผมล่ะปลื้มจริงๆ เลย”
คำพูดของกวินทร์เหมือนจะช่วยให้กระจ่างขึ้นมาอยู่บ้าง ก็ไม่น่าแปลกที่จะดูผิดเพราะว่าเครื่องแบบของทั้งผู้ชายและผู้หญิงก็เหมือนๆ กันหมด
“…”
ตอนนั้นเองที่อิงศรรู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมาทางพวกตน เด็กหนุ่มบ่ายเบี่ยงสายตาจากนรินท์ไปยังทิศทางที่คิดว่าเจ้าของสายตาน่าจะอยู่แต่ก็ไม่พบใครกำลังจ้องมาเลย
ไม่ได้คิดไปเอง… เขายืนยันกับตัวเองเช่นนั้นแล้วตั้งใจว่าคราวหน้าถ้ามีอีกจะต้องจับให้ได้
จากนั้นก็ล้มตัวลงนั่งที่อีกครั้ง ตอนนั้นเองประตูห้องก็เปิดออกโดยอาจารย์ผู้สอนจากทางด้านนอกของห้อง
อาจารย์เดินเข้ามาแล้วชั่วโมงเรียนก็เริ่มขึ้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ