Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

8.0

เขียนโดย Raji

วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.00 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.12K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559 17.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) Login 4 : Restart แห่งการจากลา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Login 4 : Restart แห่งการจากลา

   

       หลังได้รับข้อความสั่งให้หนีจากอิงศรแล้ว มิ่งขวัญก็วิ่งกลับมาถึงห้างสรรพสินค้าและทันทีที่ขึ้นไปถึงชั้นลอยซึ่งเชื่อมไปสู่สถานีรถไฟฟ้าก็เจอพวกเด็ก ๆ จากสถานสงเคราะห์อยู่กันครบห้าคนแต่กลับไม่เจออิงศรและสีดา

       อย่างไรก็ตามเขาได้รับการฝากฝังจากอิงศรมาให้พาทุกคนที่มารวมตัวกันหนีไปขึ้นรถไฟก่อน

 

       "ทุกคนรีบไปที่สถานีกันเหอะ"

       มิ่งขวัญสั่งทันทีที่เข้ามารวมกลุ่ม แล้วทุกคนก็เริ่มวิ่งไปยังสถานี โดยมีฟูกับมิกซ์นำหัวแถว ส่วนมิ่งขวัญคอยรั้งท้ายเพื่อระวังหลังให้

       "ขวัญแล้วพี่ศรล่ะ!?"

       เสียงของฟูดังมาจากแถวหน้า

       "ไม่รู้... เดี๋ยวก็มามั้งรีบไปก่อนเถอะ"

       มิ่งขวัญตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก

 

       และแล้วพวกเขาก็มาถึงสถานี ถัดจากนั้นก็วิ่งข้ามประตูเก็บตั๋วไปจนถึงบันไดอีกที่จะขึ้นไปยังชั้นชานชาลาที่หนึ่ง ภายในสถานีไม่มีสัตว์เทวะแล้วเพราะการทำลาย จุดพลังงานตอนที่ยกกันมาสำรวจคราวก่อน

       ตอนนั้นเองเส้นทางเบื้องหน้าบันไดก็ถูกปิดโดยชายผมแดงที่จู่ ๆ ก็โผล่มาขวาง โดยที่พวกเขาแทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าชายคนนี้เข้ามาในสถานีตั้งแต่เมื่อไหร่

       ชายคนดังกล่าวมีผิวซีดขาวกว่าปกติ สวมเสื้อโค้ทสีแดงมีขนมินท์สีขาวที่ปกคอเสื้อ ชื่อที่เขียนบนหน้าจอแสดงแถบพลังชีวิตเขียนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษสีฟ้า ตรงกับที่อิงศรแจ้งมา ดังนั้นชายคนนี้จึงเป็นศัตรู ส่วนความเก่งกาจที่ขนาดอิงศรยังบอกว่าอย่าไปยุ่งด้วยนั้นแค่มองตัวเลขเลเวลที่ลอยอยู่ข้างชื่อก็รับรู้ได้

 

Lithium LV. 144

[/////39608:39698/////]

 

     ไหนจะมีรังสีฆ่าฟันที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจนรู้สึกได้อีก ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย... 

     มิ่งขวัญนิยามความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ออกมาอย่างนั้น

     สัมผัสของชายผมแดงทำให้มือที่จับดาบสั่นจนต้องเอามืออีกข้างมาช่วยประคอง ความรู้สึกเย็นยะเยือกแผ่วาบไปทั่วสันหลังนอกจากนี้ยังรู้สึกถึงสายตาที่คมกล้าดุจดาบกำลังทิ่มแทงเข้ามาจากอีกฝ่าย ถึงแม้จะมีแว่นตาที่มีเลนส์ประหลาด ๆ สะท้อนแสงออกเป็นสีรุ้งได้ใส่อยู่ก็ตาม

 

       "นอกจากเป้าหมายแล้วที่เหลือก็ให้กำจัดทิ้งทั้งหมดสินะ..."

       เหมือนจะได้ยินชายผมแดงพึมพำออกมาเช่นนั้นก่อนจะลั่นวาจาอย่างตรงไปตรงมา

       "คนที่ผมต้องการมีเพียงชาวโลกที่ชื่ออิงศรกับมิ่งขวัญ ถ้าไม่มาขัดขวางจะยอมไว้ชีวิตพวกเธอให้ก็ได้"

       น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจแล้วยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกดูถูกดูแคลน ทำเหมือนกับว่าพวกเขาจะขายเพื่อนขายครอบครัวให้โดยง่าย

 

       "พูดบ้า ๆ ใครมันจะไปยอมทำตามที่แกบอกกันเล่า! "

       ฟูตะหวาดเสียงดังลั่น

       ถูกอย่างที่ว่าหากมันคิดว่าพวกเราจะขายพวกเดียวกันเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็มันคิดผิดถนัดเลย... 

     มิ่งขวัญเห็นด้วยกับฟูอยู่ในใจ ถึงอิงศรจะห้ามเอาไว้ไม่ให้เข้าปะทะก็ตามแต่ได้ยินที่พูดมาเมื่อกี้แล้วไม่โกรธก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว

       ชายผมแดงเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง ตอนนั้นเสียงปืนของมิกซ์ก็ดังขึ้นทำให้ได้ยินไม่ครบทั้งหมดแต่เหมือนจะเปรยว่า

       "โง่เขลาสมกับเป็นชาวโลกซะจริง..."

       แต่ลูกกระสุนก็พุ่งออกไปแล้วก่อนที่ชายผมแดงจะรู้ตัวเสียอีก ลูกกระสุนจะต้องเข้าเป้าอย่างแน่นอนเพราะถ้าไม่รู้ตัวก่อนก็ไม่มีทางที่จะหลบได้ ทว่า...

       ความคิดเช่นนั้นมันผิดพลาด...

       ผิดพลาดตั้งแต่ตอนที่คิดจะสู้กับสัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์ตนนี้แล้ว

       ร่างของชายผมแดงเรือนหายไปดั่งภาพลวงตา พริบตาถัดมาก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ามิกซ์ราวกับเล่นกล...

 

       เป็นไปได้หรือที่คน ๆ หนึ่งจะหายตัวจากที่หนึ่งไปยังอีกที่ได้แถมยังหลบกระสุนปืนที่ยิงออกไปก่อนจะรู้ตัวได้ด้วยอีกต่างหาก

       แล้วตอนนั้นเองก็มีเสียงเหมือนกับกระดูกถูกกระชากจนหลุดออกจากกันดังพล่อก

       ถัดมาศีรษะของมิกซ์ก็หลุดกระเด็นไปต่อหน้า

       กว่าจะเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตอนที่เลือดซึ่งพุ่งออกจากคอที่ขาดไปแล้วของมิกซ์หยดลงบนแก้ม สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาก่อนที่ชายผมแดงจะเลือนหายไปอีกครั้งคือเจ้านั่นค้างอยู่ในท่าที่เหมือนกับปัดมือออกไป...

     เป็นไปได้อย่างนั้นหรือที่ใช้แค่มือเปล่าก็ตัดหัวคนได้อย่างง่ายดายเหมือนหักกิ่งไม้

     มิ่งขวัญได้แต่ย้ำถามกับตัวเองว่านี่คือฝันร้ายใช่ไหม

 

       "กรี้ดดด!!"

       เสียงกรีดร้องของพลอยดังขึ้น แล้วเธอก็ถูกทะลวงหน้าอกทะลุไปถึงกลางหลัง สิ้นใจตามมิกซ์ไปทันที กระทั่งเน็กซ์และนิวที่ยังลืมตาดูโลกได้ไม่ถึงสิบปีก็ถูกช่วงชิงชีวิตไปด้วยกัน

       "อึก..."

       ฟูส่งเสียงออกมาเพียงเล็กน้อยทั้งที่ถูกทะลวงทะลุอกซ้ายด้วยมือเปล่า คงเพราะความเจ็บปวดที่ไปหยุดเสียงเอาไว้ ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็ไม่มีโอกาสจะรอดชีวิตเพราะสิ่งที่อยู่ในมือของชายผมแดงซึ่งทะลวงหน้าอกทะลุออกมาถึงหลังนั้นคือก้อนเนื้อหัวใจที่ยังเต้นตุบ ๆ และถูกขยี้แหลกคามือที่ย้อมเป็นสีแดงก่ำด้วยเลือดของครอบครัว

       จากนั้นชายผมแดงก็ถอนมือออก ร่างของฟูล้มลงราวกับขอนไม้

       ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว

       กว่าที่สมองจะประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้

       กว่าที่ความเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์จะถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตา

       ยังต้องใช้เวลาอีกหลายวินาที หลังจากนั้นแรงที่รั้งขาให้ยืนไว้ก็หายไปซะดื้อ ๆ

 

       มิ่งขวัญล้มตัวคุกเข่าอย่างสิ้นหวัง แต่กระนั้นชายผมแดงกลับโผล่มาอยู่ต่อหน้าและยื่นมือให้พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งคารมหรือความคิดที่อยากจะรักษาน้ำใจก็ไม่มีอยู่ในคำพูดนั้นเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว

       "เอ้า จะไปกันได้รึยัง"

       ทั้งที่น้ำตาคลอเบ้าแต่กลับร้องไม่ออก ชายตรงหน้าไม่ใช่คนที่ใช้น้ำตาแล้วจะแสดงความเห็นใจให้อย่างแน่นอน จิตใต้สำนึกบอกกล่าวออกมาเช่นนั้น

       หลังจากคำพูดนั้น มิ่งขวัญก็ไม่ได้ตอบกลับออกไปจึงมีแต่ความเงียบที่เกิดขึ้น

       จนกระทั่งชายผมแดงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเหมือนกับพึ่งรู้สึกตัวถึงอะไรบางอย่างจึงดึงมือกลับไปมองดูอย่างพินิจพิเคราะห์

 

       "อืม...ว่าแล้วเชียวรู้งี้น่าจะใส่ถุงมือก่อน เธอคงไม่ชอบเลือดสินะ แต่ว่าชั้นชอบมันมากเลยล่ะเพราะว่ามันเป็นสีแดงยังไงล่ะ"

       ชายผมแดงปรับน้ำเสียงในครั้งนี้ให้อ่อนลงจนฟังดูเป็นผู้เป็นคนกว่าเดิม แต่ไม่มีคนสติดีที่ไหนเขาพูดเรื่องพรรค์นั้นกันทั้งที่พึ่งฆ่าคนไปหรอก

       ระหว่างความช็อกกับความเศร้า ความกลัวกับความโกรธ ความรู้สึกทั้งหมดผสมปนเปเป็นเนื้อเดียวกันจนร่างกายไม่สามารถตอบสนองอารมณ์ทั้งหมดนั้นออกมาได้นอกจากการหลั่งน้ำตา

     ความเงียบสงัดดำเนินต่อมาหลังจากคำพูดของชายผมแดง ก่อนจะถูกทำลายด้วยเสียงโลหะกระทบพื้น

     มีกระป๋องเหล็กสองใบกลิ้งตกลงมาจากบันไดที่อยู่ทางด้านหลังของชายผมแดง

     และในตอนนั้นเอง

     "บัฟ---แอโร่ว! "

     น้ำที่เสียงคุ้นหูก็ดังข้ามมา ที่ตรงบริเวณกลางบันไดพอดี อิงศรยืนอยู่ที่นั่นแล้วแผลงศรลงมา ในจังหวะเดียวกับที่ควันสีขาวพวยพุ่งออกจากกระป๋องโลหะ

       ชายผมแดงไม่ได้หลบลูกธนูเหมือนตอนหลบลูกกระสุนเพราะวิสัยทัศน์ถูกบดบังจนคาดเดาไม่ได้ว่าลูกธนูจะมาจากทางไหน จึงเลือกที่จะจับมันด้วยมือเปล่าในตอนที่ลูกธนูจวนจะเข้าถึงตัว เขามีพลังถึงขนาดนั้นแต่ก็ไม่ได้เกินกว่าที่อิงศรคาดการณ์เอาไว้นัก

       ลูกธนูที่ชายผมแดงจับอยู่ได้ระเบิดออก เปลวไฟหลังการระเบิดไหลบ่าทับท่วมร่างก่อนจะก่อตัวเป็นมหิงสาเพลิงแล้วผลักไสร่างสีแดงออกไปจากม่านควัน

       ชายผมแดงพยายามใช้เท้าจิกพื้นเพื่อหยุดมหิงสาเพลิงแต่ก็ถูกดันจนลากเอาพื้นสถานีลอกเปิกไปเป็นทาง เขาถอยจนไปชนเข้ากับกำแพงกั้นจนทะลุและร่วงลงไปจากสถานีพร้อมกับมหิงสาเพลิงที่กำลังจะสลายไป

       ท่ามกลางควันจำนวนมหาศาล มิ่งขวัญรู้สึกได้ว่าตัวของเขาถูกลากออกไปจากกลุ่มควัน มีเสียงของอิงศรดังมาว่า

       "ทำใจดี ๆ ไว้ขวัญ"

       ไม่รู้ทำไมแต่พอได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนโยนนั่นแล้วเสียงสะอื้นที่ปล่อยไม่ออกถึงได้ไหลไม่หยุดแล้วมิ่งขวัญก็ร้องไห้คร่ำครวญไปตลอดทางที่หนี

       ณ ชั้นชานชาลารถไฟฟ้าที่สอง อิงศรกำลังสั่งเริ่มการทำงานของระบบคนขับอัตโนมัติ

     เสียงเครื่องยนต์คำรามดังกระหึ่มไปทั้งชานชาลาจนน่าหวั่นว่าเสียงจะนำพาศัตรูมาหา แต่อีกแค่ห้านาทีรถก็จะออกแล้ว จนกว่าจะถึงตอนนั้นคงทันแบบฉิวเฉียด

       เด็กชายเดินออกจากห้องคนขับและ ที่เบื้องหน้านั้นมิ่งขวัญนั่งกอดเข่ารอเขาอยู่ยังคงร้องไห้ไม่หยุด หลังจากเอาแต่พล่ามว่า ฟูตายแล้ว มิกซ์ตายแล้ว ทุกคนตายหมดแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนอกจากส่งเสียงสะอื้น

       อิงศรไม่คิดตำหนิในเรื่องนั้น เพราะขนาดตัวเขาเองที่แค่ไปเห็นตอนร่างกายของทุกคนถูกทำลายลงหมดเท่านั้นก็ยังแทบใจสลาย

       แต่มิ่งขวัญเป็นคนที่เห็นทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ ที่ยังพอมีสติอยู่เงียบๆ แบบนี้ได้ถ้าไม่ใช่เพราะสภาพจิตใจเข้มแข็งกว่าก็คงจะช็อกจนเพี้ยนไปมากกว่านี้ แต่ดูจากอาการคงไม่ใช่ทั้งสองอย่าง มิ่งขวัญเหมือนจะมีสิ่งที่ยังช่วยยึดเหนี่ยวเอาไว้มากกว่าจิตใจถึงยังไม่สลายไป

       "ขวัญเข้าไปรอในรถเถอะ"

       อิงศรพูด

       "..."

       แต่มิ่งขวัญยังคงไม่ขยับตัว อิงศรจึงพูดอีกครั้งแต่ปรับน้ำเสียงลดลงจนเหมือนกับอ้อนวอน

       "ขอร้องล่ะขวัญขึ้นไปรอที่รถเถอะ"

       เหมือนจะได้ผล มิ่งขวัญพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ตู้โดยสารอย่างว่าง่าย เด็กชายถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่แค่เดี๋ยวเดียวก็กลับมาตีสีหน้าจริงจังอีก

     นั่นเพราะยังมีอีกเรื่องที่ต้องไปทำ คือตามหาตัวสีดาที่ไม่สามารถติดต่อได้ด้วยระบบของเกม แต่ก่อนหน้านั้นจะต้องส่งมิ่งขวัญหนีไปที่ปลอดภัยก่อน

       อิงศรหันไปมองเสาค้ำยันสถานีต้นที่เขาเคยคุยกับมิ่งขวัญเมื่อสี่วันก่อน ตอนนี้มันถูกติดตั้งระเบิดเอาไว้สี่ลูก ที่ชั้นอื่นของสถานีก็มีติดไว้ทุกที่ ถ้ากดสวิตซ์เมื่อไหร่ทุกลูกจะทำงานพร้อมกันแล้วส่งสถานีแห่งนี้กลับคืนสู่ดิน

       อิงศรติดตั้งระเบิดเหล่านี้ หลังจากบอกให้ทุกคนหนีผ่านทาง 'Chat' แล้วเขาก็ใช้ทางลัดมุ่งหน้ามาสถานีก่อนเพื่อเตรียมการให้พวกมิ่งขวัญที่กำลังจะมาสามารถหนีไปได้โดยปลอดภัยจึงติดตั้งระเบิดเอาไว้ทุกจุดในสถานีกะเอาไว้ว่าเมื่อรถไฟออกไปแล้วจะทำลายสถานีทิ้งไม่ให้พวกมันไล่ตามไปได้

       หลังจากนั้นถ้าเคลื่อนไหวเพียงลำพังก็อาจจะพอเล็ดลอดสายตาศัตรูได้แล้วไปหาตัวสีดาให้เจอจากนั้นค่อยตามไปสมทบกับมิ่งขวัญทีหลัง แผนการทั้งหมดอยู่ในหัวของอิงศร เหลือก็แค่ปฏิบัติตามเท่านั้น

       อีกสามนาทีรถไฟจะออก บริเวณโดยรอบยังคงสงบดีหากสถานการณ์ดำเนินไปแบบนี้ก็ไม่มีอะไรต้องห่วง อิงศรจึงตัดสินใจจะออกไปตามหาสีดาตั้งแต่ตอนนี้เลย

       ทว่า ทันทีเขากำลังจะเดินออกไปจากชานชาลาอยู่นั่นเอง มิ่งขวัญก็ตะโกนมา

       "ศรจะไปไหนน่ะ?! "

       อิงศรหันกลับไปเตรียมจะบ่นว่าอย่าทำตัวเรื่องมาก... แต่ก็พูดไม่ออก ใบหน้าของมิ่งขวัญแสดงความกังวลและความกลัวออกมาอย่างชัดเจน

       เด็กชายจิกปากด้วยความเจ็บใจ เขาไม่อยากทิ้งน้องชายไปกับรถไฟเพียงลำพังในสถานการณ์แบบนี้หรอก แต่จะทิ้งสีดาไปก็ไม่ได้ สามเดือนที่ผ่านมาเธอคนนั้นเสมือนเป็นครอบครัวคนหนึ่งไปแล้ว ถ้าหากว่าที่หลงไปเป็น ฟู มิกซ์ พลอย เน็กซ์ หรือ นิว เขาก็ต้องไปช่วยให้ได้ จนกว่าจะเห็นกับตาว่าทุกคนยังอยู่หรือตายไปแล้ว

 

       "สีดา...ยังหาตัวเธอไม่เจอเลย ขวัญนายไปรอที่สถานีปลายทางก่อนเถอะเดี๋ยวจะตามไปทีหลัง"

       อิงศรกัดฟันพูดและหวังให้น้องชายเข้าใจ

 

       "ไม่ได้นะ! ขืน...ขืนทำแบบนั้น..."

       น้ำเสียงของมิ่งขวัญสั่นเครือ ใบแก้มอาบไปด้วยน้ำตาพลางพูดถ้อยคำที่แสนเจ็บปวด

       "ขืนทำแบบนั้นเดี๋ยวศรก็ถูกพวกมันฆ่าไปด้วยหรอก"

       พูดออกมาอย่างนั้นแล้วก็วิ่งมาฉุดแขนของเขาจะลากให้ไปที่ตู้โดยสารด้วยกัน

       "เราหนีกันเถอะนะศร"

       "อย่านะ...ขวัญ...ปล่อยสิ"

       อิงศรพยายามแกะมือน้องชายออก

       "ขวัญเราจะทิ้งครอบครัวไม่ได้นะช่วยเข้าใจแล้วรีบหนี"

       "ไม่เอา ขวัญไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว! "

       มิ่งขวัญพูดแทรกแล้วดึงแขนเขาแรงกว่าเดิม

       "ขวัญ!! "

       อิงศรกระชากแขนออกจนเผลอทำมือปัดใส่หน้าน้องไป มิ่งขวัญเซถลาเหมือนจะล้ม

       "อ๊ะ! "

       ด้วยความตกใจจึงรีบเข้าไปจับตัวน้องไว้

       "ขอโทษนะขวัญ เจ็บมากรึเปล่า"

       มิ่งขวัญส่ายหน้าก่อนจะยืนยันคำเดิม

       "ศรหนีไปด้วยกันเถอะนะ"

 

       อิงศรถอนหายใจอีกครั้ง พยายามคิดหาคำพูดที่จะทำให้มิ่งขวัญยอมเข้าใจ ตอนนั้นเองที่สถานการณ์ผันเปลี่ยนไปอีกครั้ง

จากด้านหลังเขารู้สึกได้ว่ามีร่างของมนุษย์คนใหม่เพิ่มขึ้นมาในชานชาลารถไฟ

     ดูเหมือนอีกฝ่ายจงใจทำให้พวกเขารู้เพราะถึงกับพูดออกมาเสียงดังให้ได้ยินกันอย่างชัดเจน

       "อ้าว ตรงนั้นมันพวกลูกของชาวโลกที่ ซุงลี่กำลังตามหาอยู่นี่น้า~"

       เจ้าของเสียงเป็นชายผิวซีดเหมือนกับพวกศัตรูมีผมสีเงินและสวมเสื้อโค้ทแบบเดียวกับชายผมแดง แต่ชุดของชายผู้นี้เป็นสีดำ

       “เอ๊~  ชื่ออะไรแล้วนะพวกเธอน่ะอ๋อใช่ ๆ อิงศรกับมิ่งขวัญ งั้นก็ต้องเรียกว่า ซุงอิง กับ ซุงมิ่ง สิน้า~ ผมล่ะทึ่งกับพวกเธอจริง ๆ     ทั้งที่เจอกับระดับราชครูแต่ก็ยังหนีรอดมาได้อีกเนี่ยไม่ทราบว่าทำได้ยังไงหรือครับ"

       ย่างก้าวของผู้มาใหม่แต่ละก้าวนั้นล้วนสง่างามแม้แต่เด็กที่ไม่สนใจเรื่องกิริยามารยาททางสังคมชนชั้นสูงอย่างเขาเองก็รับรู้ได้ เมื่อรวมใบหน้าที่งดงามเข้ากับลักษณะท่าทางอันสูงส่งเยี่ยงขุนนางแล้วนั่นก็ทำให้รู้สึกถึงความน่าเกรงขามคนละแบบกับที่ชายผมแดงมี

       อิงศรเพ่งสายตาไปที่หน้าจอแสดงชื่อและเลเวลของชายชุดดำ

Potassium LV. 144

[/////66666:66666/////]

 

       แล้วจิกปากพลางสบถว่า

       "โถ่เว้ยเจ้านี่ก็ระดับเดียวกับไอ้หมอนั่นเรอะ"

       "อะฮะ  สีหน้าแบบนั้นใช้ได้เลยนี่"

       ชายชุดดำกล่าวนำจากนั้นก็เริ่มพล่ามไม่หยุดปาก

       "สำหรับผมแล้วหนึ่งในสิ่งที่ชื่นชอบเกี่ยวกับชาวโลกมากที่สุดก็คือใบหน้ายามสิ้นหวังของพวกเธอเนี่ยแหละ ในตอนที่ความหวังสูญสิ้นไปต่อหน้านั่นน่ะมันงดงามยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดบนดวงดาวที่แสนโสมมแห่งนี้เลยเชียว"

 

       ราวกับว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ไม่สิทำเป็นไม่เห็นมากกว่า...

     อิงศรตีความอีกฝ่ายออกมาอย่างนั้น ทั้งที่เขายกคันธนูก็แล้ว ขึ้นลูกศรก็แล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ได้มีทีท่าจะป้องกันตัวเลยแม้แต่น้อย

จากจุดนี้ระยะห่างราว ๆ สิบสองเมตรไม่มีทางที่คนสายตาสั้นเช่นเขาจะยิงโดน ยิ่งกับสัตว์ประหลาดแบบพวกมันยิ่งเป็นไปไม่ได้เว้นแต่ว่า

 

       "ล็อกออน! "

       อิงศรประกาศใช้สกิลจากนั้นก็ดึงลูกศรเพลิงเหนี่ยวสายดีดออกแล้วพูดต่อทันทีว่า

       "ฟาสช็อต (Fast Shot) "

       แล้วแผลงธนูออกไป การยิงที่เหมือนกับยิงออกไปเพียงครั้งเดียว แต่ความจริงแล้วเขายิงออกไปสามครั้งด้วยกัน เป็นผลมาจากสกิลที่ใช้ ด้วยวิธีนี้ลูกธนูทั้งสามดอกจะได้รับการสนับสนุนจาก 'ล็อกออน' ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการยิงนี้จะไม่พลาดเป้า

 

       “เปล่าประโยชน์ เปล่าประโยชน์ เอเลี่ยนอย่างพวกผมน่ะเก่งกว่าชาวโลกตั้งสิบสองเท่าเชียวนะ...”

       จังหวะที่ชายชุดดำเอ่ยขึ้นมานั้นเป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกธนูเพลิงทิ่มแทงใส่ร่าง และในตอนที่สมองของอิงศรสรุปว่าลูกธนูเข้าเป้าไปแล้วนั่นเอง ร่างของชายชุดดำกลับเลือนหายไปจากสายตา

       "สิ้นหวังไปซะจะดีกว่าเพราะสีหน้าแบบนั้นมันงดงามมากกว่าน้า~"

       อิงศรหันเหสายตาไปยังทิศทางตรงกันข้าม ที่นั่นชายชุดดำกำลังยืนกอดอกอยู่ ดวงตาหรี่แคบจดจ้องมาทางพวกเขา มือข้างหนึ่งยกขึ้นป้องปากเหมือนกำลังหัวเราะเยาะ ส่วนอีกข้างนั้นกำลูกธนูเพลิงทั้งสามดอกเอาไว้ สมองเปลี่ยนข้อสรุปใหม่…

     เป็นข้อสรุปที่ยากจะเชื่อ แต่มันคือเรื่องจริงที่อีกฝ่ายรับลูกธนูเอาไว้ได้ทั้งหมด

 

       "ช่วยดิ้นรนอย่างเต็มที่แล้วก็สิ้นหวังลงไปอย่างงดงามให้ดูหน่อยเถอะ... "

       ชายผู้อ้างตัวว่าเป็นเอเลี่ยนกล่าวออกมาเช่นนั้น แล้วบีบธนูเพลิงที่กำเอาไว้ ลูกธนูหักเปาะและสลายตัวลงในทันที

       

เหลือเวลาอีกราวหนึ่งนาทีก่อนที่รถไฟจะออกจากสถานี แต่ศัตรูที่ไม่มีทางเอาชนะได้กลับยืนอยู่ต่อหน้า จากการนี้เองอิงศรก็ได้ข้อสรุปของการต่อสู้ในครั้งนี้ เป็นข้อสรุปที่น่าเศร้า...

       จะต้องมีใครซักคนเสียสละตัวเองยื้อศัตรูเอาไว้แล้วให้อีกคนหนีไปซึ่งคนที่จะโดยสารรถไฟขบวนนี้จะต้องเป็นมิ่งขวัญ จากนั้นเขาจะระเบิดสถานีแห่งนี้ไปพร้อมกับตัวเอง โครงเรื่องแบบนั้นคงจะดีที่สุด มันเป็นคำตอบที่สร้างขึ้นจากความหวังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด

       "ไม่มีทางเลือกแล้วสินะ"

       อิงศรพูดเหมือนจะสบถ

       "ขวัญนายรีบขึ้นรถไปซะอีกหนึ่งนาทีรถจะออกแล้ว ชั้นจะต้านเอาไว้ให้จนกว่าจะถึงตอนนั้น"

       น้ำเสียงของเขาเด็ดขาดเพื่อเป็นหลักประกันว่ามิ่งขวัญจะไม่ขัดขืนต่อประสงค์ดีที่จะเสียสละร่างนี้ต่อชีวิตให้ แล้วอิงศรก็พุ่งออกไปพร้อมกับขึ้นธนู

 

     "อะฮะ เลือดขึ้นหน้าแล้วสิแบบนั้นมันน่าเบื่อน้า~"

     เอเลี่ยนพูดเปรยๆ เหมือนจะเสียดาย จากนั้นร่างกายก็เริ่มเลือนหาย

     พริบตานั้นเองด้วยสัญชาตญาณพาไปอิงศรตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวสุดท้ายของศัตรูก่อนที่จะหายไปจากสายตา

     ร่างที่กำลังเลือนหายนั้นก็แค่ภาพติดตาที่เกิดจากการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนตามองไม่ทัน แต่การเคลื่อนไหวก่อนที่ภาพติดตาจะหายไปจะช่วยบอกล่วงหน้าได้ว่าอีกฝ่ายจะบุกเข้ามาจากทางไหน

       อิงศรอ่านการเคลื่อนไหวที่ว่าแล้วก็เหมือนจะจับจุดขึ้นมาได้เด็กชายหยุดวิ่งแล้วย้ายคันธนูไปทางซ้าย

 

       "เห เธอเร็วขึ้นกว่าเดิมรึเปล่านี่"

       เอเลี่ยนโผล่มาตรงจุดที่คันศรหันไปพอดี ถึงฟังจากน้ำเสียงจะดูเหมือนกำลังตกใจแต่สีหน้าก็ยังคงรอยยิ้มไว้ไม่เปลี่ยนแปลง

       "เสร็จฉันล่ะไอ้ปีศาจ! "

       อิงศรสบถใส่รอยยิ้มนั้นแล้วปล่อยมือจะแผลงศรออกไป แต่ทว่ามือของชายชุดดำได้ตวัดขึ้นมาก่อนสันมือนั้นฟันถูกกระดูกข้อต่อและแขนข้างซ้ายของอิงศรก็ถูกตัดขาดอย่างง่ายดายราวกับกระดาษ

 

       "ศร !!"

       มิ่งขวัญส่งเสียงตะโกนมาจากด้านหลัง ทั้งที่ควรจะขึ้นไปอยู่บนรถไฟแล้ว

       "อิเล็กทริกเบลด! "

       ตอนนั้นแขนของอิงศรที่ยังจับคันธนูไว้ก็ลอยเคว้งกลางอากาศ เลือดพุ่งทะลักออกจากส่วนที่โดนตัด เด็กชายใช้มือขวากดมันไว้

ความรู้สึกที่แขนซ้ายหายไปชั่วขณะ

       "อึก..."

       ความเจ็บปวดเริ่มแทรกเข้ามาร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการส่งเสียงครางแถบพลังชีวิตลดลงไปเกินครึ่งในการโจมตีนี้

อิงศร LV. 17

[//...160:850.....] 

       มิ่งขวัญวิ่งผ่านอิงศรไป แล้วกวัดแกว่งดาบที่มีสายฟ้าสถิตไปมาอย่างสะเปะสะปะ ถ้าคู่ต่อสู้เป็นสัตว์เทวะแค่นั้นก็คงจะทำอะไรได้บ้าง แต่มันใช้กับศัตรูที่มีความคิดและฝีมือเหนือชั้นกว่าไม่ได้

       แค่หวดดาบได้ไม่กี่ครั้งก็ถูกชายชุดดำจับแขนยกตัวลอยขึ้นเหนือพื้นก่อนจะถีบส่งจนร่างลอยละลิ่วกลับมากระแทกอิงศรแล้วลากกันกลิ้งโคโล่ไปหยุดอยู่หน้าประตูรถไฟ

 

       "โอ๊ะโอ๋ดูเหมือนว่าหนูน้อยหมวกแดงของเรากำลังจะมากันแล้วนะ"

       เอเลี่ยนกล่าวออกมา แล้วตอนนั้นเองก็มีผู้มาเยือนชั้นชานชาลาที่สองเพิ่มขึ้น ชายผมแดงเดินขึ้นบันไดมาพร้อมกับกลุ่มชุดดำที่เป็นพวกเดียวกัน

 

       เอเลี่ยนละความสนใจไปจากพวกเขาแล้วหันไปทางกลุ่มของชายผมแดง

       "อ้าว มาแล้วเหรอกำลังเล่นกันเพลิน ๆ เลยล่ะแต่ก็เริ่มน่าเบื่อแล้วเหมือนกัน"

       แล้วพูดคุยด้วยอย่างสนิทสนม

       ชายผมแดงมองมาทางอิงศรกับมิ่งขวัญที่ยังฟุบกันอยู่หน้าประตูรถไฟสลับกับเอเลี่ยนที่กำลังส่งยิ้มหน้าชื่นมื่นให้ อยู่สองถึงสามครั้งก่อนจะเริ่มตำหนินายเอเลี่ยนชุดดำ

       "ท่านลำดับที่สี่ ไปลงมือกับพวกเขาแบบนั้นเกิดตายขึ้นมาจะโดนท่านลำดับที่สามว่าเอาได้นะครับ"

       ได้ฟังดังนั้นเอเลี่ยนก็เหยียดยิ้มสนุกสนาน

       "ออมมือไว้แล้วล่ะเพราะถ้าขืนโดนท่านรูบิเดียมเล่นงานถึงเป็นผมก็คงเอาชีวิตไม่รอดหรอก เชิญเธอจับลูกหมาป่าใส่ตะกร้าต่อเลยซุงลี่หมวกแดง"

       ชายผมแดงทำเมินคำพูดเล่นสนุกนั้นแล้วเดินเข้ามาหาแต่ก็ทิ้งระยะห่างเอาไว้

       "จะไม่ทำร้ายพวกเธอหรอกนะยอมมอบตัวแต่โดยดีเถอะ"

       แล้วยื่นข้อเสนอตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายทิ้งระยะห่างเพื่อให้พวกเขาเชื่อในคำพูดที่ลั่นวาจามา

       อิงศรยันร่างกายท่อนบนขึ้นแล้วเปิดหน้าจอ 'Inventory' แล้วหยิบกระป๋องระเบิดควันกับสวิตซ์กดระเบิดออกมาถือด้วยมือขวาที่เหลืออยู่

       "จะหนีไปด้วยสิ่งนั้นสินะ"

      ชายผมแดงชี้มาที่รถไฟ พริบตาที่ความสนใจของพวกเอเลี่ยนมาถึงจุดนี้ ดวงตาของอิงศรก็เบิกกว้างขึ้น ...

     นี่มันสถานการณ์เลวร้ายสุดกู่ถ้าหากว่ารถไฟถูกทำลายขึ้นมาพวกเขาก็หมดทางรอด แต่ทว่า...

       "จะหนีไปก็ได้นะ"

       ชายผมแดงพูดอย่างนั้นราวกับจะมอบความหวังให้

       "แต่ยานที่ช้าเป็นเต่าคลานแบบนั้นน่ะแค่ประเดี๋ยวเดียวก็ตามทันแล้วเลิกคิดซะจะดีกว่า"

       แล้วพูดอย่างมั่นใจ น้ำเสียงนั้นไม่ได้แฝงคำโกหกไว้เลย

       "อะฮะ ข่มกันซะไม่เหลือให้ตั้งตัวเลยนะซุงลี่ถึงมันจะจริงก็เถอะ"

เอเลี่ยนชุดดำพูดกลั้วเสียงหัวเราะ

       เมื่อประเมินจากความสามารถที่ผ่านมาก็มีความเป็นไปได้ที่คำพูดทั้งหมดจะเป็นความจริง พวกเขาไม่สามารถหนีรอดได้...

        แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะหนีให้ดู จะต้องพามิ่งขวัญหนีไปให้จงได้ อิงศรสาบานกับตัวเอง นี่ไม่ใช่เรื่องของศักดิ์ศรีพี่ชายอีกแล้วแต่เป็นใจจริงที่อยากจะปกป้องครอบครัวเอาไว้

       แล้วก็พลางนึกถึงตอนที่ฟังมิ่งขวัญพูดแล้วรู้สึกหวั่นไหวเมื่อสี่วันก่อนขึ้นมา

       ถึงได้พึ่งจะมาเข้าใจเอาตอนนี้ ที่ตัวเขาเปลี่ยนไปไม่ใช่เพราะถูกความป่าเถื่อนของโลกนี้กลืนกินจนสูญเสียความเป็นคน แต่เป็นเพราะตัวเขามีความเป็นมนุษย์มากขึ้นต่างหาก เพื่อคนที่รักเพื่อครอบครัวที่ถวิลหามนุษย์สามารถจะกลายเป็นฆาตกรหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น

 

       "ขวัญฟังนะ ก่อนสิบวินาทีสุดท้ายที่ประตูรถจะปิด สัญญาณเตือนจะดังตอนนั้นชั้นจะใช้ระเบิดควันนี่ถ่วงเวลาพวกมันไว้แล้วนายก็รีบหนีขึ้นรถไฟไปซะ"

       อิงศรยกกระป๋องระเบิดให้ดูแล้วกระซิบ

       "ศรจะหนีไปด้วยกันใช่ไหม?"

       มิ่งขวัญยังคงถามคำถามเดิมอยู่ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะตอบตกลง สวิตซ์กดระเบิดจะต้องกดตอนอยู่ที่ชานชาลาเท่านั้นไม่อย่างนั้นระยะสั่งการจะไม่พอทำให้ระเบิดทั้งหมดทำงาน และต้องกดตอนที่รถไฟวิ่งออกไปจากสถานีแล้ว

       "อืม ชั้นจะไปด้วย"

       อิงศรพูดพลางหลบสายตา

       "ศร..."

     มิ่งขวัญเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง แต่แล้วเสียงสัญญาณรถไฟออกกลับดังขึ้น

     "ตอนนี้แหละไปเลย! "

     อิงศรขว้างระเบิดลงพื้น ไอควันจำนวนมหาศาลพวยพุ่งตลบอบอวลไปทั่วทั้งชานชาลา

     "ทำแบบนั้นไปก็เปล่าประโยชน์น่า"

     ชายผมแดงตะหวาด

     "เออนี่ซุงลี่"

     ชายเสื้อโค้ทสีดำเรียกเขาจึงหันไปสนทนาด้วยระหว่างที่รอให้ควันจาง

       "ตอนที่ผมมาเดินเล่นอยู่แถวนี้ก็เห็นมีระเบิดวางเอาไว้ให้ทั่วตึกเลยล่ะ นั่นเป็นของเธอรึเปล่า"

       "หือ? ไม่นะครับภารกิจตามล่าเราไม่พกของทำนองนั้นมากันหรอก"

       "งั้นก็ชักท่าไม่ดีแล้วล่ะ ทางที่ดีเราเตรียมรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นจะดีกว่านะ"

       ด้วยคำพูดนั้นทำให้ชายผมแดงย้ายมือไปวางลงกับดาบที่เอว

 

       เวลาผ่านไปจนกระทั่งประตูรถไฟปิดลงไอควันถึงได้จางหายและตอนนี้มิ่งขวัญก็ไปอยู่อีกฟากของประตูรถไฟเพียงลำพังตามโครงเรื่องที่อิงศรคิดไว้...

 

       "ขวัญ! เฮ้ขวัญ!  ทำไมทำแบบนี้ล่ะ!"

       แต่อิงศรกลับเป็นฝ่ายที่ทุบมือใส่ประตูรถจากฝั่งด้านในของตู้โดยสาร....

       นั่นก็เพราะตอนที่ระเบิดควันทำงานมิ่งขวัญที่ควรจะต้องเข้ามาอยู่ข้างในตามที่เขาพูดโกหกไว้ กลับเข้ามาแย่งสวิตซ์กดระเบิดไปจากมือแล้วผลักเขาเข้ามาในรถแทน

 

       "พี่ศรน่ะเวลาจะพูดโกหกจะไม่ยอมพูดตามใจขวัญอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ"

       เสียงของมิ่งขวัญไม่สามารถจะเล็ดลอดผ่านประตูรถไฟไปได้ อิงศรจึงไม่ได้ยินคำพูดของเขา

       "ขวัญก็กลัวนะ....กลัวที่จะตายเหมือนกัน..."

       เด็กชายกล่าวถ้อยคำทั้งน้ำตาพลางเหลือบสายตามองไปยังเสาค้ำยันสถานีต้นที่พวกเขาพูดถึงกันเมื่อสี่วันก่อน ตอนที่อิงศรยอมว่าตามอย่างง่าย ๆ ก็รู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้น

       "แต่ที่กลัวยิ่งกว่าก็คือโลกที่ไม่มีศรอยู่...โลกแบบนั้นน่ะขวัญอยู่ไม่ได้หรอก"

     และแล้วรถไฟก็เคลื่อนตัวออกจากสถานี อิงศรพยายามวิ่งสวนทางกลับไปยังตู้โดยสารท้ายขบวนด้วยกำลังทั้งหมดเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวยในสภาพที่เสียเลือดจากแขนข้างที่ขาด ภาพของมิ่งขวัญที่มองผ่านกระจกประตูรถในแต่ละบานนั้นทยอยห่างไกลออกไป

       จนกระทั่งภาพสุดท้าย คือภาพที่ร่างของมิ่งขวัญถูกชายผมแดงตวัดดาบผ่าลำตัวขาดกลาง แถบพลังชีวิตสุดท้ายที่มองเห็นก่อนที่ขบวนรถจะออกไปพ้นสถานีนั้นเหลืออยู่เพียงน้อยนิด

 

มิ่งขวัญ LV. 16

[/......66:1450.....]

 

       อิงศรเบ้ปากแล้วตะโกนสุดเสียง

       "ไม่ได้นะ! ถ้ากดระเบิดทั้งที่HPเหลืออยู่แค่นั้นล่ะก็.."

       อนิจจาเสียงของเขาส่งไปไม่ถึงมิ่งขวัญ ภาพบนกระจกกลายเป็นทิวทัศน์ด้านนอกสถานีไปเสียแล้ว

       หลังจากรถไฟวิ่งไปได้ระยะหนึ่ง ระเบิดที่วางไว้ก็เริ่มทำงานเป็นฝีมือมิ่งขวัญอย่างไม่ต้องสงสัยและด้วยพลังชีวิตที่มีอยู่แค่นั้นไม่มีทางรอดจากการถูกซากสถานีถล่มใส่ได้อย่างแน่นอน

        อิงศรได้แต่มองสถานีที่กำลงถล่มทลายกลับคืนสู่ดิน ทยอยห่างออกไปไกลจนกระทั่งลับสายตา

       "ขวัญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญ

ญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญ!!! "

 

       แล้วกรีดร้องจนคอแทบแตกก่อนล้มฟุบลงกับพื้น พลางส่งเสียงครางอย่างขมขื่น และหวังให้ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝันร้ายแล้วรีบตื่นจากมันเสียที 

     น้ำตาไหลเป็นสายจนกระทั่งดวงตาแห้งขอด แต่อิงศรก็ยังส่งเสียงสะอื้นไห้และครางออกมาอย่างเจ็บปวด

       ที่ผ่านมาเขาทำได้ดีในเรื่องของการสะกดข่มใจตัวเองไม่ให้แสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา แต่หนนี้ถึงจะพยายามสะกดข่มใจตัวเองอย่างหนักกว่าครั้งไหน ๆ ก็ไม่อาจหยุดความเศร้าเสียใจนี้ไว้ในอกได้เลย

 

       ความเจ็บปวดจากแขนที่ถูกตัดขาดนั้นหายไปและแขนที่โดนตัดก็งอกออกมาใหม่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังรู้สึกทรมาน รู้สึกอึดอัดที่จะหายใจ รู้สึกเจ็บปวดที่จะรับรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ในโลกที่ทุกคนตายจากเขาไปหมดแล้ว

       ทำไมถึงเป็นเขาที่ได้หนีมา...

       ทำไมมิ่งขวัญที่อ่อนแอถึงได้ทรยศต่อความหวังดี...

       ทำไมถึงผลักไสชะตากรรมแบบนี้ให้...

       คำถามต่าง ๆ ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีคำตอบ

       "..."

       เด็กชายอยากที่จะสบถถ้อยคำประชดประชันในชะตาชีวิตของตัวเองแต่ก็ไม่เสียงจะทำแบบนั้นจึงได้แต่สาปแช่งตัวเองที่มีชีวิตรอดอยู่ในใจ จนกระทั่งสติหลุดลอยไปในที่สุด

 

       สติของอิงศรกลับมาอีกครั้ง เด็กชายปรือตาขึ้นเล็กน้อย แล้วตรวจสอบสถานการณ์ของตัวเอง ตู้โดยสารท้ายขบวนที่ได้เห็นมิ่งขวัญเป็นครั้งสุดท้ายเขาตื่นขึ้นที่นั่น รถไฟดูเหมือนพึ่งจะเข้าจอดที่สถานี

 

       "ทุกนายจงดีใจซะในที่สุดพระเจ้าก็ตอบรับคำสวดภาวนาของพวกเราแล้ว"

       มีเสียงแว่วมาจากด้านนอกของรถไฟ

       "ผู้กอบกู้จะขี่ม้าสีขาวออกมาพร้อมกับธนูแห่งชัยชนะ จงไปเอาตัวผู้กอบกู้ของพวกเรามา! "

       น้ำเสียงนั้นหนักแน่นและแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม ยามเมื่อประตูรถไฟเปิดออก ก็มีคนในชุดเครื่องแบบทหารก้าวเท้าเข้ามาในรถ หนึ่งคน สองคน สามคน ไล่มาเรื่อย ๆ แต่ละบานประตูรถจะมีคนเข้ามาหนึ่งคน และทุกคนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง

       "แต่ก็เหลือเชื่อเลยแฮะส่งขบวนรถไฟเปล่า ๆ ไปดันวิ่งกลับมาเองได้ซะงั้นนายรู้อยู่ก่อนแล้วสินะสิงห์"

ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงของผู้ชายอีกคนดังมาจากด้านหลัง ตรงกับบานประตูสุดท้ายของขบวนรถไฟที่เขานั่งอยู่ จากนั้นก็มีเสียงที่ได้ยินในครั้งแรกดังตามมา 

       "ถ้าชั้นบอกว่าผู้กอบกู้จะมามันก็ต้องมา"

       เจ้าของเสียงก้าวเท้าเข้ามาในรถไฟเป็นชายในชุดทหารท่าทางเย็นชารูปหน้าคมสัน และไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ฉาบอยู่บนใบหน้าเพราะแทบจะไม่มีรอยย่นจากการยิ้มหรือหัวเราะปรากฎให้เห็นราวกับว่าเขาไม่เคยแสดงมันออกมา

       "พูดแบบมั่นใจขนาดนั้นอีกละเคยเผื่อใจกันหน้าแตกไว้บ้างไหมเนี่ย..."

       พวกเขาหยุดการสนทนากันเพียงเพราะมาเจออิงศรนั่งรออยู่ในรถไฟ

       "..."

       สายตาของชายไร้อารมณ์จ้องมาที่อิงศร

       "มาสายไปสี่เดือนยี่สิบสองวันสิบชั่วโมงกับอีกยี่สิบแปดวินาที แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนตามคำพยากรณ์ของซีลอร์ด นายคือผู้ถูกฟันเฟืองเลือกให้เป็น 'ผู้กอบกู้' อย่างนั้นสินะ"

       "..."

       อิงศรไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น ไม่เข้าใจด้วยว่าพวกคนเหล่านี้เป็นใครและต้องการอะไรจากเขา

     ระหว่างนั้นชายที่ยืนอยู่ข้างกันก็ลงมือกระทำบางอย่างด้วยการเปิดหน้าจอระบบเกมขึ้นแล้วย้ายจอหันมาทางอิงศร

       "สิงห์ เจ้าเด็กนี่อาชีพ 'เรนเจอร์' (Ranger) เหมือนกับชั้นเลยแต่อาวุธที่ติดตั้งเป็นประเภทธนูแหะ"

       โดนชายคนนั้นตรวจสอบข้อมูลไปแล้ว ...แต่จะสำคัญอะไรอีกล่ะ... อิงศรคิดแล้วสีหน้าก็พลอยหมองหม่นไปด้วย

       "งั้นก็ตรงตามคำพยากรณ์"

       ชายไร้อารมณ์ผู้ถูกเรียกว่าสิงห์สรุปคำพูดนั้นก่อนจะประชิดเข้ามา

       "จากนี้ไปชั้นจะขอใช้แกเป็นตัวหมากที่แสนสำคัญเพื่อกอบกู้มนุษยชาติล่ะนะเจ้าหนู"

       แล้วพูดพร้อมกับส่งมือมาเหมือนจะช่วยพยุงให้ลุกขึ้น

       "อย่ามาพูดบ้า ๆ นะ!"

       อิงศรตะหวาดใส่มือข้างนั้น แล้วแสดงใบหน้าอ่อนแอ ออกมาเป็นครั้งแรก

       "ชั้นน่ะ...ชั้นน่ะ...ปกป้องใครเอาไว้ไม่ได้เลย...แล้วนายยัง...จะบอกให้ชั้นเป็นผู้กอบกู้อะไรอีก"

       เด็กชายพูดตัดพ้อต่อชะตาชีวิตด้วยน้ำเสียงกล้ำกลืนสุดประมาณ

       "เกมของชั้นมันโอเวอร์ไปแล้ว!!"

       ตะโกนด้วยใบหน้าที่เจ็บปวดและมีหยาดน้ำตาไหลรินออกมา

       แต่ชายไร้อารมณ์ก็ไม่ได้แสดงความเห็นใจให้ ที่จริงใบหน้าของเขาหยุดนิ่งอยู่แบบนั้นตั้งแต่ที่เจอกันแล้วจนตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

 

       "เกมโอเวอร์งั้นเหรอ..."

       เขาพูดตอบกลับมา แล้วเก็บมือจากนั้นก็เชิดใบหน้าขึ้น

       "แล้วมันยังไงกันล่ะ ชีวิตที่รอดมาได้บนความตายของผู้คนนั่นนายคิดจะเอาไปใช้ทำอะไร"

 

       "เรื่องนั้น..!"

       อิงศรคิดจะพูดสวนแต่กลับถูกแทรกด้วยสายตาที่ดุดันซึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เรียบนิ่ง

       "เท่ากับว่าชีวิตในตอนนี้มันไม่ใช่ของนายอีกต่อไปแล้วชะตากรรมไม่ได้กำหนดให้นายมาจบอยู่ที่เส้นสตาร์ทนี่"

       ชายตรงหน้าตะหวาดออกมาเช่นนั้นแล้วก็ส่งมือมาให้อีกพลางพูดว่า

       "มากับชั้นสิ ! รีสตาร์ทเกมของนายอีกครั้งแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ซะ ! ชั้นจะชี้นำให้เอง !"

 

       หากยอมปล่อยให้ตัวเองเป็นคนอ่อนแอแล้วคว้ามือนั้นไว้ชะตาชีวิตหลังจากนี้คงจะบิดผันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ บรรยากาศบอกเล่าออกมาเช่นนั้น

       แต่จะสำคัญอะไรอีก...

       ตัวตนของเขาได้ตายไปตั้งแต่ตอนสถานีรถไฟที่ถล่มลงมาตอนนั้น ไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อปกป้องใครอีกแล้ว อิงศรคว้ามือนั้นไว้โดยไม่คิดลังเล

 

.....จากนั้นเพียงชั่วพริบตากาลเวลาก็ผันผ่านไปอย่างง่ายดายถึงสามปี.....

 

 

สามปีต่อมา

       ณ สวนสาธารณะในเขตมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ที่นี่ถูกโอบล้อมโดยธรรมชาติแสนจะเขียวขจี รอบสวนสาธารณะนั้นเป็นคูคลองที่ขุดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์ คลองมีความกว้างไม่มากแต่ก็ลึกกว่าที่เห็นถัดจากคลองไปนั้นเป็นรั้วอิฐที่เก่าจนพุพังลงมาเป็นซาก บางแห่งถูกรถขับเข้ามาชนตอนวันสิ้นโลกจนพังเสียหาย

       ภายในสวนเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติศาสตร์ของวิทยาลัย และบนหลังคาสามเหลี่ยมหน้าจั่วของอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เอง ก็มีเด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารทาบทับด้วยผ้าคลุมสีดำปรากฏตัวขึ้น

       เด็กหนุ่มมีเรือนผมสีดำหยิกหยักศกบ้างนิดหน่อยปอยผมที่ตกลงมาข้างหน้าหวีเก็บไปทางซ้าย เผยให้เห็นดวงตาที่ดูเย็นชาเล็กน้อย ชุดเครื่องแบบทหารสีเขียวลายพรางกับผ้าคลุมสีดำช่วยให้ผิวพรรณที่ขาวผ่องอยู่แล้วดูเด่นสะดุดตาขึ้น ถึงเป็นทหารแต่ก็มีผิวพรรณที่มีน้ำมีนวลยิ่งกว่าผู้หญิงจนบางครั้งก็ถูกเอาไปล้อในเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ

       ยามเมื่อสายลมพัดผ่าน ปลายผ้าคลุมสีดำก็จะโบกสะบัดพลิ้วไหว ในตอนนั้นเองเสียงคำรามของสัตว์เทวะก็ดังกึกก้อง

 

Heraldic Beast Deity: Zodiac Sagitarius Keeper Lv.10

[/////2000:2500///..]

 

       จ่าฝูงสัตว์เทวะครึ่งคนครึ่งม้าผู้รับใช้เทพแห่งจักรราศี กำลังควบห้อมาตามเส้นทางสะพานที่ตัดเลียบถนนด้านหน้าสวนสาธารณะและที่เบื้องหน้าสัตว์เทวะนั้นมีชายในชุดทหารแบบเดียวกันสองนายกำลังประจันหน้าอยู่

       เด็กหนุ่มจ้องมองการต่อสู้นั้นจากบนหลังคาพิพิธภัณฑ์ ในสายตาของเขานายทหารทั้งสองดูกระอักกระอ่วนกับการต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง

 

       "ผ่าสิเฮ้ย นี่มันมาถึงตรงนี้แล้วเหรอเนี่ย"

       "จะยังไงก็อย่าให้มันเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์เด็ดขาดเลยนะ ขืนเสียฮาบิแททพอยซ์ที่นี่ไปค่ายเราได้เละเทะแน่"

       นายทหารสนทนากันอย่างตึงเครียด มือที่จับอาวุธนั้นมีเหงื่อไหลอาบแสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังถูกไล่ต้อนไปสู่ความหายนะ จากสัตว์เทวะที่มีระดับแค่เลเวลสิบ...

     ถึงจะเป็นระดับจ่าฝูงสัตว์เทวะแต่มันก็แค่นั้น เด็กหนุ่มประเมินแล้วว่าเสียเวลาเปล่าถึงจะดูการต่อสู้พรรค์นี้ก็ไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้เลย

 

       "แย่แล้วเจ้านั่นมันกระโดดหนีเข้าไปแล้ว"

       เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นเมื่อ ครึ่งม้าครึ่งคนกระโดดข้ามหัวนายทหารลงมาในสวน

       "บ้าจริง! วันนี้คนเฝ้าฮาบิแททพอยซ์เป็นเด็กฝึกงานนะรีบไปช่วยเร็วเข้า"

     พวกเขากระโจนตามมาจากสะพานด้วย แต่ก็สายเกินไปสัตว์เทวะจวนเจียนจะเข้ามาถึงอาคารพิพิธภัณฑ์แล้ว

       "เจ้าเด็กฝึกงานนั่นไปทำอะไรอยู่บนนั้นน่ะ"

       "พลสำรองอิงศรรีบหนีไปเร็ว!!"

       พวกเขามองเห็นเด็กหนุ่มแล้วจึงส่งเสียงตะโกนมาเตือนให้รีบหนี แต่เด็กหนุ่มกลับเหยียดยิ้มพลางขึ้นลูกธนูเล็งไปยังสัตว์เทวะ

       "จงสถิตในคันศรข้า บัฟ - แอโร่ว!!"

       จากนั้นก็แผลงศร ลูกธนูที่พุ่งออกไปกลายเป็นมหิงสาเพลิงขวิดใส่สัตว์เทวะจนมันร่วงลงไปในคลอง

       "กิฟท์แอโร่ว(Gift Arrow)

       เด็กหนุ่มแผลงศรตามไปอีกสามครั้งอย่างแม่นยำ ลูกธนูทั้งหมดปักเข้าที่คอของสัตว์เทวะ อีกทั้งบนลูกศรแต่ละดอกยังมีระเบิดพ่วงติดไปด้วย

       "เกมโอเวอร์ไปซะ ไอ้สัตว์ประหลาด"

       เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับกดสวิตซ์สั่งให้ระเบิดทำงาน เกิดเสียงตูมครั้งใหญ่ประหนึ่งฟ้าถล่มดินทลายร่างของสัตว์เทวะแหลกเละไม่มีชิ้นดีก่อนจะสลายไปในภายหลัง แรงระเบิดยังหอบเอาน้ำในคลองขึ้นมาเทกระจาดสาดเป็นสายฝนตกใส่แค่นายทหารทั้งสองเท่านั้นอีกด้วย

 

       "ไอ้บ้าอิงศรนี่แกจงใจใช่ม้าย!!"

       หนึ่งในนายทหารที่โดนน้ำคลองสาดเป็นหัวหน้าของทีมได้ส่งเสียงตะหวาดตำหนิการทำงานมา แต่อิงศรเมินใส่คำพูดนั้นพลางมองตรงไปเบื้องหน้า

     ทอดสายตาออกไปไกลจนถึง แนวป่าคอนกรีตไร้ผู้คนซึ่งโลกหลังการล่มสลายสรรสร้างขึ้นยามที่มองดูซากอาคารเหล่านั้นภาพของเมื่อสามปีก่อนก็เหมือนจะหวนกลับมา เด็กหนุ่มหลับตาลง

       "จากตอนนั้นผ่านมาสามปีแล้วสินะ..."

     แล้วพึมพำออกมา

     ในที่สุดเขาก็ได้กลับมาสู่บ้านเกิด

     กลับมายังเมืองที่สูญเสียความหมายในการมีชีวิตอยู่ไปจนหมดสิ้น

       รวมถึงเป็นเมืองแห่งการเริ่มต้นในการต่อสู้กับ... 

     โลกที่ล่มสลาย สัตว์เทวะ และ มนุษย์ต่างดาว ของพวกเขา...

 

อิงศร LV. 42

[/////2990:2990/////]

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา