Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

8.0

เขียนโดย Raji

วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.00 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559 17.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) Login 6 : Demon Application

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Login 6 : Demon Application

       เวลาบ่ายสามโมง

       คาบก่อนเลิกเรียนวันนี้เป็นการฝึกต่อสู้จริงกับสัตว์เทวะ นักเรียนในห้องคิงเลยย้ายออกมาข้างนอกค่าย

       ณ ฝั่งประตูเข้า-ออกทางทิศตะวันออกของมหาวิทยาลัยเมื่อก้าวพ้นรั้วกำแพงมหาลัยออกไปก็จะพบกับถนนที่ตัดแยกเป็นสองทาง เส้นทางแรกตัดเข้าหาถนนใหญ่ ส่วนเส้นที่สองแคบกว่าเส้นแรกและตัดเข้าไปในดงป่าละเมาะ

       พวกเขาจะต้องเดินไปตามเส้นทางที่สองเพื่ออกไปยังพื้นที่ต่อสู้เพราะในค่ายมีการควบคุม ฮาบิแททพอยซ์เอาไว้ทำให้ไม่มีสัตว์เทวะอยู่ในบริเวณใกล้เคียง

       ระหว่างการเดินทางนั้นแสงแดดยามบ่ายสาดแสงจ้าชวนให้ร้อนอบอ้าว

       อิงศรต้องปลดกระดุมคอเสื้อออกหนึ่งเม็ดพลางร้องคำรามว่า

       “ร้อนชะมัด”

       แล้วใช้แขนเสื้อที่พับถกขึ้นจนสั้นปาดเหงื่อที่ไหลออกจากใบหน้า

       พวกเขาเดินผ่านถนนที่ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งเป็นลูกรังมากขึ้นรองเท้าคอมแบทเหมือนจะรัดแน่นขึ้นด้วยเพราะเท้าขยายตัวจากการเดินอย่างต่อเนื่องจนรู้สึกเจ็บระบมที่นิ้วเท้า

       วิวสองข้างทางไม่มีอะไรให้ดูมากนักนอกจากดงกล้วยที่ขึ้นหนาเป็นป่า ก่อนโลกจะล่มสลายเส้นทางสายนี้ผู้คนสัญจรผ่านไปมากันด้วยจักรยานยนต์เพราะเส้นทางคับแคบไม่เหมาะกับการขับรถเข้ามา ความยาวของเส้นทางก็ไม่น่าคบหาด้วยฝ่าเท้าเลยซักนิด

       การที่ต้องมาเดินในวันที่อุณหภูมิสูงราวกับอยู่ในกระทะด้วยชุดเครื่องแบบทหารฝึกหัดที่ทั้งหนาทั้งหนักแบบนี้รู้สึกว่ามันไม่ต่างอะไรกับตกนรกทั้งเป็นเลย

       หลังจากเดินมาได้พักหนึ่งก็ได้เงาช่วยให้ร่มเย็นสบายขึ้นมาเล็กน้อย สายตาของนักเรียนหลายต่อหลายคนหันไปมองวัตถุที่ช่วยบังแสงแดดให้กับพวกเขาในขณะที่มีบางส่วนไม่ได้สนใจกับมันเพราะรู้อยู่แล้วว่าคืออะไร แต่อิงศรเป็นพวกแรกเพราะเขาพึ่งย้ายมาที่นี่ได้แค่เดือนเดียวเจ้าสิ่งนี้จึงเป็นของแปลกใหม่สำหรับเด็กหนุ่ม วัตถุที่ช่วยบังแดดให้กับพวกเขาคือก้อนหินทรงกลมผิวเรียบไม่ขรุขระขนาดของมันใหญ่โตมโหฬารยิ่งกว่าตึกใบหยกทั้งหลังประมาณสองถึงสามเท่าได้

       อิงศรรู้สึกเหมือนมีอะไรดลใจให้เขายึดติดกับหินก้อนมหึมานี้ ทั้งที่คนอื่นๆ ในห้องแค่มองมันแล้วอุทาน จากนั้นก็หมดความสนใจ แต่อิงศรกลับไม่เป็นแบบนั้น

       “…”

       อีกครั้งหนึ่งที่อิงศรรู้สึกว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังมองมาที่เขา เด็กหนุ่มหันไปในทันทีแต่หนนี้ก็ยังคว้าน้ำเหลวเพราะทิศทางที่ว่าคือกลุ่มของพวกนักเรียนที่เดินนำเขาไปแล้วและมีกันอยู่หลายคนจนบอกไม่ได้ว่าใครเป็นใคร

       ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องไปต่อแล้วเพราะเขาเป็นคนเดียวที่รั้งท้ายกลุ่มโดยที่เขายังมีความรู้สึกโหยหากับเจ้าหินมหึมาก้อนนี้อยู่แต่ก็ยอมกลั้นใจลืมมันแล้ววิ่งตามหลังกลุ่มไป

 

       หลังจากเดินมาร่วมครึ่งชั่วโมงในที่สุดพวกเขาก็มาถึงพื้นที่ฝึกฝน

       ที่นั่นเป็นเขตของหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งที่ตอนนี้ถูกทิ้งร้างไปแล้วตั้งแต่วันที่โลกล่มสลาย

       ทางกองทัพได้เข้ามาเก็บกวาดและทำเป็นสถานที่ฝึกเพราะมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมและมีสัตว์เทวะที่ระดับไม่สูงมากอาศัยกันอยู่เกลื่อนหมู่บ้าน ด้วยความที่ว่าก่อนโลกจะล่มสลายนั้นหมู่บ้านแห่งนี้มีฟาร์มเพาะพันธุ์เป็ดและห่านอยู่ท้ายหมู่บ้าน ปศุสัตว์เหล่านั้นพอถูกไวรัสเล่นงานเข้าก็เกิดการกลายพันธุ์…

 

White Avian Zodiac Lv. 25

[/////2100:2100/////]

 

       สัตว์เทวะรูปร่างครึ่งคนครึ่งนกดั่งในครุฑในเทพนิยาย มีร่างกายปกคลุมด้วยขนสีขาวราวกับหิมะ พวกมันหลายสิบตัวเกาะอยู่บนหลังคาบ้านทาวน์เฮ้าส์แต่ละหลังไม่เกินสองตัว

       พวกนักเรียนตกอยู่กลางวงล้อมสัตว์เทวะแต่กลับไม่มีใครแสดงท่าทีเป็นกังวลหรือเกรงกลัวพวกมันเลยนั่นก็เพราะสัตว์เทวะเหล่านี้เป็นประเภทไม่โจมตีก่อนดังนั้นถ้าเราไม่ไปทำอะไรมันก็จะไม่มาระรานด้วย

       นอกจากกลุ่มของนักเรียนทั้งยี่สิบเอ็ดคนก็มีนายทหารระดับสูงที่มีเลเวลเฉียด 50 กันอีกประมาณสี่นายคอยคุ้มกันรอบๆ ให้และมีอาจารย์ฝึกสอนเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่นที่อายุราวยี่สิบปีขึ้นเป็นผู้ควบคุมชั้นเรียนในวันนี้

       อาจารย์สาวมีเรือนผมสีดำยาวถึงกลางหลังสวมชุดเครื่องแบบทหารยศร้อยเอกและใส่แว่นตากรอบเล็กมีใบหน้าขึงขังและการแสดงออกที่ค่อนข้างเจ้าระเบียบ

       อาจารย์สาวมีชื่อว่า รัตนชา วรเมฆา มีเลเวลห้าสิบซึ่งสูงกว่าพวกทหารคุ้มกันเสียอีก สิ่งที่อยู่ในมือของเธอคือแผ่นรองเขียนที่แนบใบรายชื่อของนักเรียนในห้องเอาไว้ อาจารย์สาวไม่ได้ขานชื่อนักเรียนแต่ละคนเพื่อเช็คจำนวนคนแต่ใช้วิธีนับเอาแล้วเช็คชื่อลงในใบรายชื่อคงเพราะจำนวนนักเรียนที่น้อยแล้วก็คงจำหน้าแต่ละคนกันได้แล้วเพราะว่าที่นี่เป็นห้องคิงซึ่งได้รับการจับตามองมากที่สุดนักเรียนแต่ละคนต่างก็เป็นที่รู้จักกันในค่ายว่ามีฝีมือมากขนาดไหนมีการจัดอันดับอยู่เสมอคนที่ผลประเมินไม่ดีก็มีสิทธิเด้งหลุดออกจากห้องนี้ทันทีเช่นกันและในบรรดาพวกที่ว่าตอนนี้ อิงศรอยู่ในระดับหมิ่นเหม่แต่นั่นก็เพราะพึ่งย้ายมาวันแรกส่วนใหญ่จะยังไม่ถูกประเมินจนกว่าผ่านไปครบสามเดือน

 

       ระหว่างที่รอให้อาจารย์ตรวจเช็คจำนวนนักเรียน อิงศรก็ออกสำรวจไปรอบๆ แต่พอจะออกนอกพื้นที่ก็ถูกพวกทหารคุ้มกันสั่งให้ถอยกลับไปรวมกลุ่มจึงได้สำรวจเพียงแค่บริเวณที่นักเรียนยืนอยู่กันเท่านั้น

       เป็นบริเวณลานกว้างปูด้วยพื้นซีเมนต์ที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากแนวบ้านทาวน์เฮ้าส์ที่ตั้งเรียงรายซ้ำๆ กันไป

       หลังจากตรวจเช็คนักเรียนจนครบทุกคนแล้วอาจารย์สาวก็ประกาศคำสั่ง

       “เดี๋ยววันนี้จะให้จับคู่กันฝึกแล้วไปล่าสัตว์เทวะที่กำหนดมานะคะ”

       แล้วพวกนักเรียนก็เริ่มเข้าหาคู่กับคนที่รู้จักแต่อิงศรพึ่งจะย้ายมาวันนี้ดังนั้นเขาจึงไม่มีคู่ที่สำคัญกว่านั้นจำนวนนักเรียนเป็นเลขคี่ที่หารแล้วเหลือหนึ่งซึ่งก็คือเขาพอดีอีก

       “พี่ศรคู่กับผมนะครับ”

       มีเสียงแบบนั้นดังมาแล้วมือของอิงศรก็ถูกดึงไปโดยกวินทร์

       “ถ้านายมาคู่กับชั้นก็ต้องมีคนไม่มีคู่คนหนึ่งน่ะสิ”

       “อ๋อถ้าเรื่องนั้นพี่นรินท์จัดการให้แล้วครับคู่เดิมของผมคือพี่นรินท์แต่เพราะวันนี้พี่ศรพึ่งย้ายมาเขาเลยให้มาคู่กับพี่แทน”

       ได้ยินดังนั้นอิงศรก็มองหาตัว นรินท์ทันทีและพบว่าเธอ... เอ้ยเขากำลังพูดคุยกับอาจารย์อยู่

       “ดังนั้นวันนี้ผมขอเป็นคนฝึกเดี่ยวนะครับ”

       “ได้จ้ะถ้าเป็นเธอครูก็วางใจ”

       จากบทสนทนาที่ได้ยินดูเหมือนจะตกลงกันได้โดยง่ายสมกับเป็นจุดสูงสุดของนักเรียนในค่ายผู้ครองตำแหน่งนักเรียนที่มีผลประเมินมาเป็นอันดับหนึ่งถ้าจะไม่ใช่แค่เรื่องคุยโม้เสียแล้ว

       อิงศรกำมือแน่นแล้วลองจินตนาการว่าตัวเองจะสามารถฆ่านรินท์ได้หรือไม่

       ถ้าเป็นพลังฝีมือของตัวเองในตอนนี้จะต่อสู้และเอาชนะได้รึเปล่ามีบ่อยครั้งที่ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นเวลาเจอคนที่มีฝีมือและสุดท้ายมันก็จะถูกปัดตกไปเองเพราะมีกฎห้ามทำการต่อสู้กันเองอย่างพร่ำเพรื่อ

       อย่างไรก็ดีนิสัยอยากแข่งขันเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้ก็เป็นเพราะรับอิทธิพลมาจากการฝึกของสิงห์

       เด็กหนุ่มส่ายหัวพยายามสลัดหลุดความคิดเหล่านั้นไปให้พ้นๆ สิ่งที่เขาจะต้องทำในตอนนี้ก็คือหาทางทำให้คะแนนประเมินของตัวเองตกต่ำลงโดยเร็วหากยังมัวแต่นิ่งนอนใจจะต้องถูกสิงห์หิ้วเข้ากองทัพแบบถอนตัวไม่ขึ้นอย่างแน่นอน

       ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นี้เองเสียงของกวินทร์ก็ดังมา

       "พี่ศรเดม่อนแอพของพี่ศรเป็นยังไงบ้างเหรอ"

       เด็กหนุ่มดวงตาเป็นประกายฉายแววอยากรู้อยากเห็น แต่ทว่า...

       "เดม่อนแอพ(Demon App) ?"

       อิงศรทำหน้าฉงนจากนั้นก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในการสอบเมื่อเช้า สิงห์ได้ส่งของบางอย่างที่เรียกว่า เดม่อนแอพ มาให้ด้วยและผู้คุมสอบก็ช่วยติดตั้งของสิ่งนั้นลงในธนูของเขาแล้ว

       อิงศรเรียกหน้าจอ 'Inventory' ขึ้นมาแล้วหยิบธนูออกมาจากหน้าจอนั้นก่อนจะทำให้มันหายไป จู่ๆ ก็มีหน้าจอใหม่เด้งขึ้นมาเป็นหน้าจอขนาดเล็กที่มีเขียนข้อความเอาไว้เพียงประโยคเดียวว่า

       'อุปกรณ์ติดตั้งแอพปีศาจเปิดใช้งานแล้ว'

       ไม่กี่วินาทีต่อมาหน้าจอนั้นก็เปลี่ยนเป็นหน้าจอใหม่ที่มีกรอบบนสุดของจอเขียนเอาไว้ว่า 'Weapon'

       ภายใต้หน้าจอนี้แสดงข้อมูลของธนูที่เด็กหนุ่มกำลังถืออยู่

 

Name: Steel Bow

Atk: 40 + 2

St: 0 + 1

Ma: 0 – 2

Vi: 0 - 1

Ag: 0 + 2

Demon App: [Fairy] Troll

 

       อิงศรเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยเพราะธนูของเขามีการเปลี่ยนค่าพลังเกิดขึ้นซึ่งแต่เดิมค่าพลังเหล่านั้นจะไม่มีตัวเลขที่บวกต่อท้าย     กันมาถ้าเช่นนั้นแล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไรกันที่สำคัญคือมีข้อมูลที่เขาไม่เคยเห็นปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอรายละเอียดอาวุธด้วย      ‘Demon App’ มันคืออะไรกันแน่

       “ลองกดที่ชื่อของปีศาจหลังคำว่าเดม่อนแอพดูสิครับ”

       กวินทร์เสนอมาอย่างนั้น ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกเพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่

       อิงศรแตะนิ้วลงไปที่หน้าจอเกิดเสียงดัง ติ๊ง~ แล้วหน้าจอก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

 

[Detail: ภูตในเทพปกรณัมนอร์สมีคำบ่งบอกถึงรูปลักษณ์ต่างๆ ไว้มากมายแต่ที่มีความเกี่ยวพ้องกันมากที่สุดคือเป็นจิตวิญญาณที่ชั่วร้ายและคอยกลั่นแกล้งผู้คนว่ากันว่าหากโดนแสงอาทิตย์พวกมันจะกลายเป็นหิน

Ability: ดึงความสนใจจากเป้าหมายมาที่ตัวเองด้วยการยั่วยุเป็นระยะเวลาหนึ่ง]

 

       “มันมีไว้ทำอะไรกันแน่เนี่ย”

       อิงศรเปรยแบบงงๆ แล้วกวินทร์ก็ทำท่าตกใจเหมือนกับว่าเขาพูดอะไรที่ไม่เป็นปกติออกมา

       “พี่ศรไม่รู้จักเหรอ?”

       เด็กหนุ่มที่มีวัยอ่อนกว่าถามมาอย่างนั้น… จะว่ายังไงดีล่ะถึงน้ำเสียงกับท่าทางจะแสดงออกชัดเจนว่าตกใจจริงๆ ไม่ได้แสร้งหลอกด่าแต่มันก็ชวนหงุดหงิดที่โดนมองด้วยสายตาแบบนั้น

       สายตาเหลือเชื่อที่เหมือนกับมีคำว่า ’ไม่รู้ได้ไง’ ลอยอยู่นั่น

       “งั้นแกรีบอธิบายมาเลยตกลงมันคืออะไรกันแน่ไอ้เดม่อนแอพเนี่ย…ชั้นพึ่งได้มาเมื่อเช้าหลังสอบเสร็จเอง”

       “เอ๋? นี่แสดงว่าคุณสิงห์ไม่ได้บอกรายละเอียดไว้ก่อนส่งมอบปีศาจให้เหรอครับ”

       เพราะกวินทร์เริ่มส่งเสียงดังเกินไปจนเป็นที่สะดุดตาอิงศรจึงส่งสายตาปรามให้เขาเบาเสียงลง

       “คือว่างี้นะครับ”

       เด็กหนุ่มลดเสียงลงแล้วพูดต่อ

       “เดม่อนแอพเนี่ยก็เหมือนเป็นไอเทมที่ช่วยให้อาวุธของเราแข็งแกร่งขึ้นถ้าติดตั้งมันกับอาวุธแล้วก็จะได้รับการพัฒนาสเตตัสตามที่เห็นน่ะครับส่วนจะเพิ่มมากหรือน้อยก็ขึ้นกับชนิดของปีศาจที่ใส่ลงไป”

       ได้ฟังดังนั้นอิงศรก็ทำหน้าเหมือนจะเข้าใจทั้งหมด

       เจ้าเดม่อนแอพนี่ก็คล้ายกับระบบเพิ่มพลังให้อาวุธแบบในเกมที่เขาเคยเล่นมาก่อน เกมทุกเกมต่างก็มีระบบนี้เพื่อช่วยให้ผู้เล่นพัฒนาขีดจำกัดในการต่อสู้ได้สิ่งนี้ก็คงจะเหมือนกัน

       “แล้วก็เรายังสามารถใช้สกิลของปีศาจได้ด้วยนะครับ”

       สกิลของปีศาจ?

       นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ที่จริงข้อมูลเกมทั้งหมดที่อิงศรอ่านมาจากระบบนั้นไม่มีเรื่องเกี่ยวกับเดม่อนแอพเขียนอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขาก็ได้มันมาครอบครองแล้วโดยที่ไม่รู้ตัวเลยซักนิดเดียว

       เหมือนกวินทร์จะรับรู้ได้เองว่าอิงศรยังคงสับสนถึงได้เริ่มอธิบายต่อ

       “พวกเราห้องคิงจะได้รับเดม่อนแอพมาติดตั้งกันคนละอันครับเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยก่อนจะเข้าไปอยู่ในหน่วยขับไล่ผู้รุกรานโดยที่คุณสิงห์จะเป็นคนสัมภาษณ์แล้วก็อธิบายรายละเอียดเรื่องนี้ให้นักเรียนห้องนี้ทุกคน”

       “แต่เมื่อเช้าเจ้าสิงห์มันโยนไอ้นี่มาให้แล้วก็มุดหัวหายไปเลยนะแล้วชั้นจะไปรับรู้เรื่องเดม่งเดม่อนแอพอะไรนี่ได้ไงกันล่ะเฮ้ย!”

       “แปลกจัง...ปกติแล้วการมอบเดม่อนแอพให้กับใครซักคนเนี่ยถือว่าเป็นเรื่องใหญ่นะครับต้องเดินเรื่องกันวุ่นเลยล่ะแล้วก็ถ้าตกชั้นจากห้องนี้ไปก็จะต้องถูกริบเดม่อนแอพกลับไปด้วยเป็นของที่มีค่าขนาดนั้นเลยนะครับ”

       ฟังจากน้ำเสียงที่ดูจริงจังนั่นก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องตกใจขนาดนั้นตอนที่รู้ว่าเขาได้เดม่อนแอพมาโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

       ดังนั้นเพื่อที่จะไม่พลาดอะไรไปอีก อิงศรปิดหน้าจอปัจจุบันแล้วเรียกหน้าจอใหม่ขึ้นมาเป็นหน้าจอที่มีหัวข้อเขียนไว้ว่า ‘Skill’ ภายใต้หน้าจอนั้นแบ่งเป็นสองชั้นที่จอด้านบนมีเมนูและตัวเลือกเรียงรายกันเป็นตับ

       มีไอคอนสี่เหลี่ยมเล็กๆ เบียดเสียดกันเป็นจำนวนมากอยู่ถัดลงมาจากเมนูเหล่านั้น

       ส่วนจอด้านล่างมีข้อความเขียนอยู่ที่มุมซ้ายบนว่า ‘Short Cut’

       กลับมีไอคอนเพียงหยิบมือปรากฏให้เห็น บนไอคอนแต่ละอันต่างก็มีรูปหรือสัญลักษณ์และสีแตกต่างกันออกไป

       จากจอด้านบนอิงศรกดปุ่มตัวเลือกและเมนูต่างๆ อย่างชำนาญประเดี๋ยวเดียวไอคอนจำนวนมากที่เคยปรากฏอยู่บนจอก็ลดลงจนเหลือเพียงไอคอนเดียวเมื่อเขาวางนิ้วลงไปบนไอคอนนั้นก็มีข้อความลอยขึ้นมา

       

     ‘[Fairy] Troll’

       อิงศรลากไอคอนนั้นลงมายังจอ ’Short Cut’ ที่อยู่ด้านล่างแล้วปิดหน้าจอทั้งหมดลง

การกระทำดังกล่าวเป็นการเลือกสกิลจากที่ตัวเองมีอยู่ทั้งหมดขึ้นมาตั้งเป็นชุดสกิลที่เรียกใช้งานได้ทันทีเรียกว่าการทำทางลัดสกิล ที่เมื่อทำท่าทางตามที่กำหนดก็จะสามารถใช้งานได้

       “สกิลมันเป็นยังไงลองใช้ดูเดี๋ยวก็รู้เอง”

       อิงศรพูดออกมาอย่างนั้นก่อนจะหันไปเรียก กวินทร์

       “เอ่อ…” เด็กหนุ่มชะงักคำพูดเพราะนึกชื่ออีกฝ่ายไม่ออก

       “กวินทร์ครับ”

       กวินทร์ช่วยบอกให้รู้เหมือนจะเดาใจเขาออก

       แล้วในตอนที่คิดจะถามออกไปว่า… ช่วยมาเป็นหนูลองสกิลให้หน่อยอยู่นั่นเอง...

 

       “ช่วยด้วย!!!”

       มีเสียงตะโกนดังมาแบบนั้นจากเส้นทางที่นำลึกเข้าไปในหมู่บ้าน ทุกคนหันไปตามเสียงเรียก

       ที่นั่นมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กำลังวิ่งมาหา ด้านหลังเธอนั้นมีตัวประหลาดไล่กวดมา เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมามีผิวหนังเป็นเกล็ดสีเขียวมรกตห่อหุ้มทั้งตัว ปากมีขนาดใหญ่โตและมีกรามเหมือนจระเข้ เคลื่อนไหวแบบสัตว์เลื้อยคลานสี่ขามีหางยาวขนาดประมาณท่อนซุงยามที่มันคืบคลานหางก็จะสะบัดไปฟาดโดนกำแพงบ้านแล้วลากเอากำแพงของบ้านข้างๆ หลุดตามกันออกมาด้วย

       ชื่อของมันปรากฏอยู่บนป้ายแสดงสถานะที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ นามแห่งสัตว์เทวะระดับจ่าฝูง…

 

Heraldic Beast Deity: Leviathan Guardian Sebek Lv.35

[/////25000:25000/////]

 

       จ่าฝูงสัตว์เทวะไล่บี้เด็กผู้หญิงอย่างกระชั้นชิดขึ้นทุกขณะ แม้จะเห็นภาพแบบนั้นอยู่ตำตาแต่กลับไม่มีใครเคลื่อนไหวหรือคิดที่จะเข้าไปช่วยเด็กผู้หญิงคนนั้นเลยซักคนเดียว

       เพราะมองออกว่ามันคือกับดัก...

       เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่มีจอแสดงชื่อกับแถบพลังชีวิต นั่นก็หมายความว่าเธอถูกทำเป็น NPC ไปแล้ว มันเป็นการทำให้มนุษย์สูญสิ้นสภาพจากการใช้งานระบบเกมทำให้ไม่สามารถต่อสู้ได้และไม่ได้รับการปกป้องจากระบบค่าพลังชีวิตพูดให้สั้นก็คือกลับไปเป็นแค่มนุษย์ปกติธรรมดาๆ

       พวกที่ทำแบบนี้กับมนุษย์ได้นั้นก็มีแต่เผ่าพันธุ์ของพวกต่างดาวและเมื่อคิดคำนึงถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดการที่มนุษย์ NPC จะมีชีวิตอยู่รอดท่ามกลางฝูงสัตว์เทวะด้วยตัวคนเดียวนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย เด็กคนนั้นเป็นตัวล่อที่มนุษย์ต่างดาวปล่อยมาอย่างเห็นได้ชัด

        เหมือนกับเมื่อสามปีก่อนเด็กสาวที่มีชื่อว่าสีดาเธอเป็นเหยื่อที่ถูกจับทำ NPC ไปแล้วและอิงศรกับพรรคพวกก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้จนนึกไม่ถึงว่าเธอคือสัญญาณเตือนที่บอกว่าพวกมนุษย์ต่างดาวกำลังใกล้เข้ามาแล้วพวกเขากลับยังนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่เดิมได้เป็นเดือนๆ จนถูกฆ่าตายหมด…

       แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของเธอมันเป็นความผิดของเขาที่มองถึงแผนการของพวกมนุษย์ต่างดาวไม่ออก

       อิงศรมองไปยังพวกนักเรียนจากนั้นก็มองไปที่พวกทหารคุ้มกันแล้วก็อาจารย์ ไม่มีใครคิดจะขยับจริงๆ ถ้างั้นเด็กคนนั้นก็ต้องตายอย่างแน่นอน

       "จะขอเตือนไว้ก่อนนะคะ"

       สายตาเย็นชาเบื้องหลังแว่นตาของอาจารย์สาวมุ่งมาที่เขา เหมือนกำลังประเมินความสามารถของผู้ถูกจ้อง

       "เพราะว่าเธอพึ่งจะย้ายห้องมาวันนี้และพึ่งจะเคยออกมาข้างนอกค่ายอาจจะไม่รู้แต่ว่าห้ามออกไปช่วยเด็กคนนั้นโดยเด็ดขาด     เพราะมีความเป็นไปได้ที่เธอจะเป็นเหยื่อล่อของพวกมนุษย์ต่างดาวที่อยากจะล่อพวกเราออกไปให้เสียขบวน"

       ก็เป็นไปตามที่คาดไว้... 

     แต่อาจารย์สาวก็ประเมินเขาต่ำไปหน่อยนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อยู่ข้างนอกโดยที่ไม่ได้รับการปกป้อง ท่าทางว่าข่าวลือเรื่องหัวกะทิจากศูนย์ใหญ่จะไม่ได้มีรายละเอียดถึงขั้นนั้นรวมอยู่ด้วย

       "ถ้าฝ่าฝืนคำสั่งแล้วออกไปโดยพลการจะต้องถูกพักการเรียนแล้วคะแนนประเมินก็จะตกลงด้วย"

       คำพูดนี้แหละที่เขาอยากจะได้ยิน อิงศรเผยยิ้มขึ้นที่มุมปากในทีสุดก็เจอหนทางลดคะแนนประเมินกับทำให้ตัวเองหลุดจากสถานะเข้าใกล้ประจำการในกองทัพเสียที แต่แล้ว…

       “จะบ้าเหรอ!!”

       เสียงของกวินทร์ดังลั่นจนได้ยินกันหมดทุกคน แล้วสายตาทั้งหมดก็ย้ายไปที่เด็กหนุ่มผู้ตะโกนออกมา

       “แล้วเราจะยืนดูอยู่แบบนี้เนี่ยนะครับ?!”

       “จะว่าไป…” อาจารย์สาวดันแว่นขึ้น

       “เธอเองก็พึ่งย้ายมาอาทิตย์ที่แล้วนี่นะ ชื่อกวินทร์ใช่ไหมถ้าอย่างนั้นก็จะขอเตือนเธอด้วยอีกคนเราจะไม่เข้าไปช่วยเด็กคนนั้นจนกว่าศัตรูจะเผยตัวออกมาก่อน”

       น้ำเสียงของเปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็นไม่สิมันแทบจะไร้อารมณ์เลยต่างหากเหมือนไม่สำนึกด้วยซ้ำไปว่ากำลังจะมีคนตายอยู่ต่อหน้า

       “บ้ากันไปใหญ่แล้วนะนั่นให้ยืนดูคนตายไปต่อหน้าต่อตาอยู่เฉยๆ ผมทำไม่ได้หรอก”

       พูดออกมาอย่างนั้นแล้วเรียกดาบออกมาจากหน้าจอ ‘Inventory’

       “ถ้าเธอฝ่าฝืนคำสั่งครูจำเป็นต้องหักคะแนนเธอนะแล้วเราจะไม่มีการเข้าไปช่วย…”

       “ช่างสิอยากหักก็หักเลย!”

       แล้วเจ้าหนุ่มใจร้อนก็วิ่งหน้าตั้งออกไปจากกลุ่มละครตลกดำเนินไปอย่างนั้น

       อิงศรถอนหายใจพลางยกมือขึ้นเกาหัวเด็กหนุ่มมีใบหน้าหงุดหงิดสายตาฉายแววความไม่พอใจออกมาเป็นอย่างมาก

       “โดนชิงตัดหน้าไปซะแล้วเหรอเนี่ย”

       เขาพึมพำอย่างเสียดายแล้วมองดู กวินทร์ที่วิ่งไปหาสัตว์เทวะจ่าฝูงแบบลืมตายด้วยความรู้สึกขุ่นมัว

 

       สัตว์เทวะจ่าฝูงอ้าปากอันใหญ่โตของมันแล้วเตรียมจะงาบเด็กหญิงถ้ายังดำเนินต่อไปแบบนี้เธอจะถูกกลืนเข้าไปทั้งเป็นในคำเดียว

       “เดม่อนแอพ! สาปมันเลยแจ็คโอแลนเทิร์น(Jack-o'-lantern)”

       กวินทร์ตะโกนแล้วก็ตวัดดาบฟาดออกไป เกิดคลื่นพลังรูปเสี้ยวพระจันทร์วิ่งออกมาจากดาบ

       คลื่นพลังเคลื่อนเข้าไปปะทะที่บริเวณศีรษะของสัตว์เทวะจ่าฝูงและพริบตาต่อมาหัวของมันก็กลายเป็นฟักทองแกะสลักเป็นรูป     ใบหน้าด้วยเหตุนั้นเหมือนจะทำให้มันมองเส้นทางไม่เห็นจึงเคลื่อนไหวสะเปะสะปะรวมถึงปากของมันที่กลายเป็นลูกฟักทองไปแล้วจึงพลาดโอกาสที่จะกินเด็กคนนั้นไป

       ในช่วงนั้นเอง กวินทร์ก็เข้าถึงตัวเด็กหญิง

       “ไม่ต้องกลัวนะพวกพี่มาช่วยแล้ว”

       เด็กหนุ่มพูดปลอบแล้วอุ้มเธอขึ้นจากนั้นก็หันหลังเตรียมที่จะวิ่งกลับไปรวมกลุ่ม

       แต่หัวฟักทองของสัตว์เทวะดันกลับคืนสู่สภาพเดิมซะก่อนเพราะว่าพลังของเดม่อนแอพที่ใช้ไปนั้นมีเวลาจำกัดอยู่ สัตว์เทวะจ่าฝูงเงื้อเขี้ยวของมันไปที่เด็กหนุ่ม

       กวินทร์ที่อุ้มเด็กหญิงอยู่และหันหลังให้ไม่มีทางตอบโต้ได้ทัน

 

       “บัฟแอโรว่!!”

       มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาเป็นเสียงของอิงศรแล้วตอนนั้นลูกธนูเพลิงก็พุ่งเข้าไปในปากของสัตวเทวะจ่าฝูงและระเบิดออกกลายเป็นมหิงสาเพลิง

       สัตว์เทวะจ่าฝูงถูกขวิดและดันจนถอยหลังไปหลายก้าวก่อนที่มันจะกลืนมหิงสาเพลิงเข้าไปด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว ยังไงเสียกวินทร์ก็วิ่งหนีจากมันไปไกลเกินจะไล่ทันแล้ว

 

       เด็กหนุ่มกลับเข้ามารวมกลุ่มได้สำเร็จแล้วจึงวางตัวเด็กผู้หญิงที่ช่วยมาลง ท่ามกลางสายตาที่หลากหลายซึ่งจับจ้องมาต่างก็มีความรู้สึกต่างกันไป แต่เขาก็หาได้สนใจมันไม่ที่สนใจมีเพียงอิงศรที่ยังถือคันธนูอยู่เพราะพึ่งช่วยยิงสกัดสัตว์เทวะจ่าฝูงให้เมื่อครู่

       “ขอบคุณนะครับพี่ศร!”

       อิงศรเมินคำขอบคุณนั้นแล้วหันไปพูดกับอาจารย์สาว

       “อาจารย์ครับถ้าจะยังไงช่วยหักคะแนนผมด้วยก็แล้วกันนะเพราะว่าผมเองก็ฝ่าฝืนคำสั่งไปเหมือนกัน”

       “เอ๋! แต่ว่าเดี๋ยวสิครับเรื่องนั้นน่ะ”

       กวินทร์ทำท่าจะคัดค้าน

       “กวินทร์และอิงศรหักจิตพิสัยคนละสิบคะแนน”

       น้ำเสียงของอาจารย์สาวนั้นเด็ดขาด แต่เด็กหนุ่มทั้งสองกลับมีท่าทางการแสดงออกที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

       ในขณะที่กวินทร์กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจและมีสีหน้าอมทุกข์แต่อิงศรกลับ..

       “วู้ฮู้!”

       เขาส่งเสียงด้วยความยินดีพลางกำหมัดอย่างสะใจที่โดนหักคะแนนเสียที แต่ทว่า…

       “และสำหรับความเก่งกับความเฮงได้เพิ่มคนละยี่สิบคะแนนทั้งสองคนทำได้ดีมาก”

       แล้วอาจารย์สาวก็ออกปากชมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนละมุนกว่าปกติแทนเหมือนเธอจะยิ้มขึ้นมาด้วยนิดหน่อย

       ทันทีที่ได้ยินคำตัดสินใหม่นั้นกวินทร์ก็ส่งเสียงด้วยความดีใจ

       “เห!? จริงเหรอครับ! ไชโย!!”

       แล้วกระโดดโลดเต้นไปมา

     "นี่เธอคิดว่าตัวเองเป็นศาสตราจารย์มักกอนนากัลหรือไงเนี่ย"

     คราวนี้อิงศรกลับเป็นฝ่ายที่คอตกและทำท่าหดหู่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

     ปฏิกิริยาอันแปลกประหลาดของอิงศรทำให้คนทั้งห้องพากันมองด้วยความฉงนระคนสงสัย

     “มันบ้ารึเปล่าน่ะถูกหักคะแนนแทนที่จะเสียใจดันทำท่าซะยังกะถูกหวยพอได้คะแนนเพิ่มดันเสียใจยังกะญาติเสีย”

     “อะไรของมันฟระเนี่ยตรูล่ะงง”

      “เป็นผู้ชายที่ประหลาดดีนะ…”

      มีเสียงแบบนั้นดังมาแต่อิงศรก็ไมได้ให้ความสนใจกับมัน

 

       “เอาล่ะไหนๆ ก็ช่วยมาแล้วฝากพวกเธอคุ้มครองเด็กคนนั้นด้วยล่ะเดี๋ยวสัตว์เทวะพวกครูจะจัดการเอง”

       อาจารย์สาวสั่งพร้อมกับออกมายืนข้างหน้านักเรียนทุกคน น้ำเสียงของเธอเหมือนจะนุ่มนวลขึ้นถึงตรงนี้ อิงศรก็พอจะเดาออกแล้วว่าการแสดงท่าทีเย็นชาในตอนแรกคงจะเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกจิตพิสัยเรื่องคุณธรรมและความชอบธรรมของนักเรียนในสถานการณ์ต่างๆจะปฏิบัติตัวกันอย่างไรและดูเหมือนพวกเขาจะไปทำให้เธอถูกใจเข้าซะแล้ว หากปล่อยเอาไว้แบบนี้หนทางแห่งการหนีจากกองทัพจะยิ่งปิดแคบลงจะต้องทำอะไรซักอย่าง…

       ฆ่าอาจารย์ฝึกสอบทิ้งซะเลยดีไหม…. ความคิดชั่ววูบแล่นเข้ามาแต่นั่นก็ได้แค่คิดการเลือกแบบนั้นมันหักดิบเกินไปมันไม่ใช่เส้นทางที่มนุษย์ควรเลือกเดินดังนั้นเขาจึงรีบลืมความคิดนั้นไปทันที

       เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้าแบบที่ทำอยู่เป็นประจำเวลามีเรื่องเครียดๆ ด้วยความหวังที่ว่าความว่างเปล่าของท้องฟ้าจะช่วยแบ่งเบาภาระที่สุมอยู่ในอกไปบ้าง แต่ท้องฟ้าที่โปร่งใสเสียจนไม่มีเมฆลอยอยู่เลยซักก้อนทำให้แสงแดดเจิดจ้าจนแยงเข้าตา อิงศรหลับตาลงทันที

       “บ้าเอ้ย”

       เขาสบถด้วยความหัวเสียหลังจากนั้นก็มีรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่เหนียวเหนอะแต่ละลายได้คล้ายกับของเหลว

       เย็น… ความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากสิ่งนั้นหยดลงบนแก้มเด็กหนุ่มเปิดเปลือกตาออกทันที

       ภาพที่จะปรากฏแก่สายตาคืออาจารย์และพวกทหารคุ้มกันสาธิตวิธีการจัดการสัตว์เทวะให้นักเรียนดูแล้วจากนั้นพวกเขาก็จะกลับเข้าสู่ชั่วโมงเรียนแสนน่าเบื่อหน่ายกันตามปกติ

       …แต่ทว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว…

 

       ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของเด็กหนุ่มทันทีหลังจากที่ลืมตาอีกครั้งคือร่างของอาจารย์สาวที่เหลือเพียงแค่ท่อนล่างสิ่งที่หยดลงบนแก้มของเขาคือหยดเลือด…

       หลังจากช่วงเวลาแห่งการนิ่งเงียบไปพักนึง

       “กรี้ดดด!”

       “อ…อาจารย์!”

       พวกนักเรียนพากันตะโกนและกรีดร้อง

       ร่างกายท่อนบนของอาจารย์สาวนั้นกองอยู่บนพื้นใกล้กับท่อนล่างที่ยังยืนค้างอยู่ในท่าเดิม

       แถบแสดงพลังชีวิตของอาจารย์สาวกลายเป็นว่างเปล่าไปแล้ว

 

       “หึ…ฮ่าๆๆ…โง่เง่ากันซะจริงนะชาวโลกดันตกหลุมพรางกระจอกพรรคนี้เอาง่ายๆ ซะได้”

       เด็กผู้หญิงที่พวกเขาช่วยเอาไว้พูดออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เหมือนกับที่ได้ยินในตอนแรกนอกจากนี้ในมือของเด็กหญิงยังถือทวนยาวที่เปื้อนไปด้วยเลือด เธอคือคนที่สังหารอาจารย์สาว…

       คิดได้แค่นั้นร่างของเด็กหญิงก็ขยายใหญ่ขึ้น เริ่มจากเสื้อผ้าที่ฉีกขาดก่อนจานั้นก็เป็นผิวหนังที่หุ้มร่างกายแล้วเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ก็กลายเป็นหญิงสาวผิวซีดขาวสวมชุดแจ็คเก็ตสีดำติดขนมินท์สีขาวและมีผ้าคลุมสีเดียวกันทาบทับ แถบแสดงพลังชีวิตและชื่อปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของหล่อนเป็นชื่อที่เขียนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษสีฟ้า…เครื่องหมายความเป็นมนุษย์ต่างดาว…

 

Nobelium Lv. 95

[/////14030:14030/////]

 

       นรินทร์เป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยาตอบโต้กับเครื่องแต่งกายของศัตรู

       “ผ้าคลุมสีขาว…มนุษย์ต่างดาวชั้นครู!”

       จากนั้นทุกคนก็สังเกตเห็นกันหมด บรรยากาศเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังในพริบตา

       “อ…อะไรกันน่ะ..ชั้นครูงั้นเหรอ”

       “ตายแน่…พวกเราตายแน่ๆ ”

       “ใครก็ได้ช่วยด้วย!”

 

       ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นปฏิกิริยาของทุกคนที่ตอบโต้ออกมาหลังจากได้ยินว่ามีมนุษย์ต่างดาวชั้นครูปรากฏตัว

       ทั้งที่เป็นห้องของนักเรียนที่มีแววได้ไปต่อในฐานะมือปราบผู้รุกรานแต่กลับกรีดร้องและร่ำไห้กับอีแค่มนุษย์ต่างดาวตัวเดียวถ้ามันไม่มีคำว่า ‘ชั้นครู’ ติดมาด้วยเรื่องมันคงจะไม่เป็นแบบนี้

       ในบรรดามนุษย์ต่างดาวนั้นก็มีการแบ่งวรรณะชนชั้นกันออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ สองกลุ่ม กลุ่มแรกคือพวกที่คิดเองไม่เป็นและมีพลังเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาแค่สองถึงสามเท่า หนึ่งตนใช้ปาร์ตี้ทหารที่เลเวลต่ำกว่ากันไม่เกินสิบแค่สี่นายเข้าไปรุมก็สามารถจัดการได้เรียกว่าพวก ‘ชั้นศิษย์’ และอีกพวกที่เรียกว่า ’ชั้นครู’ พวกนี้จะคิดเองได้และคอยสั่งการพวกชั้นศิษย์อีกที

       พวกชั้นครูจะมีพลังเหนือกว่ามนุษย์ถึงหกเท่าในช่วงเลเวลที่ยังไม่เกิน 90 และจะมีเพิ่มเป็นสิบสองเท่าเมื่อเลเวลเกิน 90 ไปแล้วพวกนี้จะมีคลุมสีขาวเป็นเครื่องหมาย ว่ากันว่าในบรรดาชั้นครูด้วยกันแล้วยังมีพวกที่สูงขึ้นไปกว่านั้นอีกคือระดับที่เรียกว่า ‘ราชครู’ พวกนี้จะมีเลเวลสูงสุดของเผ่าพันธุ์ต่างดาวคือเลเวล 144 ….

       พวกชั้นครูแต่ละตนก็จะจัดการยากง่ายต่างกันไปจากข้อมูลที่ได้มาในการเรียนฝึกฝนของค่ายว่ากันว่าชั้นครูหนึ่งตนต้องใช้ทหารเลเวล 50 เกินสิบคนขึ้นไปถึงกระนั้นก็ยังมีความเสียหายมากอยู่ดีอาจจะถึงขั้นตายยกปาร์ตี้เลยก็ได้

‘ชั้นครู’ จึงมีความหมายตามที่ว่ามาหรือก็คือพวกเขาไม่มีทางเอาชนะได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อ

 

       “ใจเย็นไว้ก่อน! มันมาแค่คนเดียวช่วยกันรุมต้องจัดการได้แน่พวกเธอก็มาช่วยด้วยสิ”

       เสียงของนายทหารคุ้มกันช่วยเรียกสติที่แตกกระเจิงของพวกนักเรียนกลับคืนมาพวกเขาเข้ามายืนล้อมมนุษย์ต่างดาวเพื่อเป็นแนวหน้าให้พวกนักเรียน เมื่อเห็นดังนั้น

       “ช…ใช่แล้วเรามีกันตั้งเยอะ”

       “มันมาแค่คนเดียวถ้ารุมพวกเราชนะได้อยู่แล้ว”

       “ฆ่ามันเลยแก้แค้นให้อาจารย์!”

       แล้วทุกคนก็เรียกอาวุธออกมาเตรียมทำการต่อสู้

       “เฮอะๆ อย่าลำพองให้มันมากนักไอ้พวกNPCทั้งหลาย”

       มนุษย์ต่างดาวพูดกลั้วเสียงหัวเราะ ทันใดนั้นก็มีเงาพุ่งลงมาจากหลังคาบ้านทาวเฮ้าส์ที่อยู่รอบๆ แล้วทหารคุ้มกันทั้งสี่นายที่เข้ามาเป็นแนวหน้าการปะทะก็ถูกฆ่าตายในทันที แถบพลังชีวิตของพวกเขาแสดงเป็นศูนย์ในพริบตา

       เงาที่พุ่งลงมาเหล่านั้นปรากฏตัวขึ้นล้อมรอบพวกนักเรียนเอาไว้สี่ทิศทาง เป็นมนุษย์ต่างดาวชั้นศิษย์ชุดแจ็กเก็ตสีดำติดขนมินท์แบบเดียวกัน เลเวล 45 จำนวนสี่ตน

       สถานการณ์พลิกผันไปอีกครั้งและหนนี้คือความสิ้นหวังอย่างแท้จริง

 

       “อีหรอบนี้ได้ตายกันหมดแหงแซะ”

       อิงศรเปรยออกมาเช่นนั้น น้ำเสียงของเด็กหนุ่มไม่ได้แสดงความกังวลออกมาด้วย จะเป็นเพราะเขามีวิธีรับมือกับพวกมันหรือว่าปลงที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วกันแน่…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา