The Demola Phase 4 มหากาพย์มนุษย์เหนือโลก เฟส 4

8.5

เขียนโดย Geoner

วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.59 น.

  27 ตอน
  2 วิจารณ์
  32.95K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 12.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

26) ความทรงจำของเธอ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

23.45 น.

บ้านพักของชิฮิโระ

 

 

 

ในห้องที่มืดและมีเพียงแค่แสงจากโคมไฟที่หัวนอนส่องสว่าง ชิฮิโระที่นอนหงายหน้าโดยที่ตามร่างยังมีผ้าพันแผลอยู่ ก็ได้ครุ่นคิดถึงเรื่งราวบางอย่างที่เธอได้พูดคุยกับฮัตโตริไปเมื่อเช้านี้

 

// เธอแน่ใจนะว่าเห็นจริง ๆ ...ที่ว่าคานาอิใช้พลังพิเศษได้น่ะ!? //

 

คำพูดดังกล่าวของฮัตโตริยังคงดังก้องในหัวของเธออยู่เรื่อย ๆ เธอพยายามหลับตาและปล่อยเรื่องราวที่ผ่านมาไป

“นี่เรา...มาคิดมากเรื่องนั้นทำไมกันนะ?”

 

// ชิฮิโระ...เด็กคนนั้น...เธอมีชื่อเต็ม ๆ ว่าอะไรอย่างงั้นเหรอ? //

 

// ...เธอชื่อว่า ‘คานาอิ มาเทีย แอนเน็ต’ ค่ะ //

 

 

ประโยคสนทนาระหว่างเธอและฮัตโตริยังคงผุดเข้ามาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง

“...ทำไมตอนฉันพูดชื่อนั้นขึ้นมา...ถึงต้องตกใจขนาดนั้นกัน?”

ระหว่างที่เธอกำลังตั้งคำถามตัวเอง มือของเธอที่วางอยู่ข้างตัวเธอ รู้สึกว่าเตียงเกิดสั่นขึ้นมาจากสั่นเล็กน้อยจนค่อย ๆ เริ่มแรงขึ้นเรื่อย

 

 

 

 

 

 

23.50 น.

 

 

ตูม !

 

 

เสียงระเบิดดังสนั่นมาจากข้างนอกแต่แรงระเบิดกลับมากพอที่จะทำให้เธอกระเด็นหล่นจากเตียงของตัวเองจนเธอไม่ทันตั้งตัว เธอลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเลและเดินตรงไปที่หน้าประตูก่อนเธอจะเปิดออกไปดูสาเหตุของแรงระเบิด และเมื่อเธอเปิดออกไปก็ต้องช็อกกับภาพที่ปรากฏตรงหน้าของเธอ

พื้นที่ด้านหน้าห้องพักของเธอปรากฏเป็นหลุมขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยเปลวเพลิง รถยนต์ที่จอดอยู่ทางข้างหน้าก็เต็มไปด้วยไฟที่กำลังลุกไหม้

เธอทั้งตกใจและสับสนในเวลาเดียวกัน จนยืนนิ่งไปเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไร เธอทอดสายตาไปตามแนวทางที่ระเบิดเป็นทางใหญ่ก่อนจะรับรู้ว่าเส้นทางนั้นเชื่อมไปถึงโรงเรียนมาฮาระกุชิ!

เธอสลัดทุกอารมณ์ที่มีอยู่ก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปที่ห้องของตัวเองเพื่อเปลี่ยนชุดกลับเป็นชุดนักเรียนและเตรียมหยิบหอกที่อยู่ในห่อผ้าที่ใต้เตียงมาพร้อมกับเธอ รวมถึง Evoker ของเธอเองมาห้อยไว้ที่คอ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้องออกไปอย่างรีบมากชนิดที่ว่าเธอเลือกที่จะกระโดดลงจากชั้นสองของหอพักแทนจะลงทางบันได แต่มันก็ทำให้เกิดทุลักทุเลมากกว่าเดิมแต่เธอก็ยังคงวิ่งต่อได้ และได้ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปยังทางโรงเรียน ระหว่างที่วิ่งไปเธอล้วงหยิบมือถือจากกระเป๋าเสื้อนักเรียนและเปิดเครื่องขึ้นมาก่อนจะเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ของใครบางคนก่อนจะโทรออกไปทั้งยังวิ่งอยู่

“...ฮัลโหล...คุณน้า เรย์ได้อยู่กับคุณหรือเปล่า ?”

ดูเหมือนคนที่เธอโทรหาจะเป็นแม่ของเรย์

// ปะ...เปล่าจ๊ะ...เธอขอไปเที่ยวบ้านเฟย์เมื่อเย็นนี่เอง...ว่าแต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? // แม่ของเรย์ที่อยู่ปลายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย

“...หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น...คุณน้ารีบไปหาที่ปลอดภัยก่อนเถอะค่ะ...เดี๋ยวหนูจะเป็นคนไปตามเรย์เอง!”

 

 

 

//...ถ้างั้น...ระวังตัวหน่อยนะ…//

“...ค่ะ คุณแม่…”

 

 

 

เมื่อชิฮิโระพูดจบเธอก็ได้กดวางสายไป แต่ก่อนที่จะเก็บเครื่องเข้าไปก็มีใครบางคนโทรแทรกเข้ามาพอดิบพอดีเธอจึงกดรับไปโดยไม่ทันได้ดูว่าใครโทรมาด้วยความรีบร้อน

“ฮัลโหล!?”

// ฮัลโหลชิฮิโระจัง ฉันเองฮัตโตริ ! //

“ฮัตโตริซัง !?”

คู่สนทนาปลายสายของเธอคือฮัตโตริ ชายชราที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ฮัตโตริติดต่อเธอมา

// ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนอย่างงั้นเหรอ? //

“ฉันกำลังมุ่งหน้าไปที่มาฮาระกุชิค่ะ ! สาเหตุของเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี่เกิดมาจากที่นั่นใช่มั้ยคะ?”

// เรื่องนั้นฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉันขอความช่วยเหลือฉุกเฉินไปแล้วล่ะ //

“ความช่วยเหลือฉุกเฉิน?”

// ว่าแต่เธอน่ะ จะไม่อพยพไปนอกเมืองแน่เหรอ? //

“...ไม่ค่ะ สถานการณ์แบบนี้พลังของฉันก็พอจะทำอะไรได้บ้าง...ถึงว่าจะยังไม่หายดีก็ตาม และอีกอย่างพวกเรย์อาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้...เพราะฉะนั้นฉันจะไปค่ะ!”

// ...งั้นระวังตัวด้วยนะ! //

“ค่ะ...ฮัตโตริซังเองก็รักษาตัวด้วยนะคะ”

หลังจากเธอกล่าวลากับฮัตโตริแล้วก็กดวางสายไปทันทีและเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อของเธอไป ก่อนจะวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิมและตั้งหน้าตั้งตามุ่งตรงไปยังโรงเรียนมาฮาระกุชิ…

 

 

 

 

 

 

 

โรงพยาบาลทัตสึมิ

00.00 น.

 

 

 

 

ภาพที่พร่ามัวจากสายตาของใครคนหนึ่งในสภาพที่นอนอยู่กับพื้นค่อย ๆ เรียกสติตัวเองกลับคืนมาและเรียกกำลังทั้งหมดในตัวเพื่อพยายามพยุงตัวขึ้นมา ชายตาไปรอบ ๆ พยายามโฟกัสว่ากำลังเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเอง

“...เกิดอะไรกันเนี่ย?”

เสียงจากไฟที่กำลังลุกไหม้สาดกระทบใบหน้าจนเปิดเผยถึงตัวตนของเจ้าคำถามเมื่อครู่

« ทาคุยะ »

ทาคุยะที่พยายามทรงตัวยืนอยู่พร้อมกับคำถามมากมายที่ปรากฏในหัวเขาพาตัวเองเดินวนดูพื้นที่รอบ ๆ ที่เขาอยู่ พยายามมองหาใครสักคนอยู่ด้วยใจที่ร้อนรน

“มิโยริซัง! ซุซุยซัง!” ทาคุยะตะโกนเรียกชื่อหญิงชายสองคนที่มาเฝ้าเขาตอนนี้ล้มหน้าราบไปกับพื้นใกล้กับช่วงของตัวตึกที่เหมือนถูกอะไรบางตัดขาดเป็นสองส่วน และเมื่อทาคุยะกำลังรีบเดินเข้าไปหาทั้งคู่ ตัวห้องของเขาก็เกิดค่อย ๆ พังหล่นลงไปในรอยแยกที่เกิดจากการระเบิด ร่างของทั้งคู่กำลังไหลไปตามพื้นและจวนจะตกอยู่เต็มที ทาคุยะตัดสินใจวิ่งกระโดดเข้าไปหาทั้งคู่ก่อนจะคว้าร่างของทั้งคู่มาไว้ในอ้อมกอดเขาโดยที่ทั้งสามคนได้ตกลงมาจากห้องนั้นแล้ว เขาตัดสินเอาตัวเองลงนำไปก่อนทั้งคู่หวังเพื่อว่าอย่างน้อยทั้งสองคนก็จะได้รอดต่อไปได้ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ หลับเตรียมพร้อมกับสิ่งที่จะเกิด…

 

 

 

วู่ม !!

 

 

 

เกิดอะไรบางอย่างดังขึ้น ทาคุยะที่หลับตาอยู่ก็ได้ลืมตาขึ้นมาเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้น

กลุ่มควันสีดำจำนวนมากปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มตัวของเขาและทั้งสองคนที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาทำให้ในตอนที่เขาถึงพื้นแล้ว เขาแทบจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรแม้แต่น้อยรวมไปถึงมิโยริและซุซุยที่ตอนนี้เขาได้ค่อย ๆ ประคองทั้งคู่ให้นอนอยู่กับพื้น ก่อนที่เขาจะหันมาให้ความสนใจกับกลุ่มควันสีดำปริศนาที่ได้ช่วยเขาแต่ก่อนที่เขาจะได้คิดอะไรต่อ กลุ่มควันดังกล่าวค่อยลอยเข้ามารวมกันต่อหน้าของเขาและค่อย ๆ ก่อนเป็นรูปเป็นร่างที่เขาคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตาเขาเปิดกว้างจนแทบจะทะลักออกมาจากเบ้าตา ปากของเขาสั่นแทบไม่หยุดเมื่อกลุ่มควันทั้งได้มารวมตัวกันหมดแล้ว

 

 

“...เม..โกะ..!?”

 

 

ทาคุยะเอ่ยชื่อของน้องสาวตนเองขึ้นมา เพราะควันสีดำดังกล่าวในตอนนี้มีรูปร่างที่เหมือนน้องสาวของเขาอย่างไม่มีผิด!

“...ทำไม..นี่...แกเป็นใครกันแน่..!?”

ทาคุยะที่ถึงแม้จะรู้สึกสับเล็กน้อยแต่เจ้าก็ยังจำคำพูดของพวกเอกรวมไปถึงความจริงที่เขาได้รับรู้ ว่าน้องสาวที่กลับมาหาเขาตั้งแต่วันที่เขาพบว่าเธอตายแล้ว เป็นแค่ ‘เฟียร์’ แปลงกายมาจากความกลัวที่ต้องสูญเสียน้องสาวของเขา

“...ตาพี่บ้า...นี่ฉันเอง..”

เขาตกตะลึงกับคำตอบที่เขาได้รับแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ปักใจเชื่อง่าย ๆ

“...อย่ามาหลอกฉันซะให้ยากเลย!! ตัวตนจริง ๆ ของแกคือ ‘เฟียร์’ ใช่มั้ยล่ะ!!!” ทาคุยะตอบกลับไปอย่างมั่นใจพร้อมรอดูท่าทีของอีกฝั่ง

"..ใช่...ฉันคือเฟียร์"

 

“....”

“แต่ในคราวเดียวกัน...ฉันก็คือเมโกะ”

“...หมายความว่าไง!?”

“...ฉันคือวิญญาณที่ถูกเฟียร์ครอบงำ...ตัวตนจริง ๆ ของฉันคือ ‘มิอิจิ เมโกะ’ ...ตลอดหลายสิบปีมานี้เฟียร์ไม่ใช่แค่ดูดกลืนความกลัวของมนุษย์แต่รวมไปถึงร่างวิญญาณของคนเหล่านั้นเช่นกัน แต่มันไม่ได้แค่ดูดเฉพาะคนที่ยังมีชีวิต...แม้แต่คนที่ตายไปในเมืองนี้ วิญญาณก็จะถูกครอบงำเหมือนกับฉัน...ตั้งแต่วันที่ฉันจมไปที่ใต้ก้นสระโรงเรียนวันนั้น วิญญาณของฉันก็ถูกฉาบมืดไปด้วยสีดำ…”

“...เธอ...เมโกะ...จริง ๆ งั้นเหรอ?” ทาคุยะที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดใจที่เต็มไปด้วยความต่อต้านของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป

“...เป็นพี่ที่ไม่เอาไหนเลยนะ...ปล่อยให้ฉันต้องรอจนอดทานข้าวกลางวันเลย…!!”

ระหว่างร่างที่เป็นวิญญาณของเมโกะกำลังตัดพ้ออยู่นั้น ทาคุยะที่เอาแต่ยืนนิ่งมาตั้งแต่เมื่อครู่ก็ได้วิ่งเข้าโผเข้ากอดร่างกลุ่มก้อนควันสีดำที่เป็นน้องสาวของเขาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาฉาบไปด้วยน้ำตาแห่งความโศกเศร้า

“...พี่!! ...ดีใจจริง ๆ!!!” ทาคุยะกล่าวไปทั้งน้ำตาในขณะที่ยังกอดร่างวิญญาณของน้องสาว

เธอทำท่ายื่นมือเข้ามาจับที่แก้มทั้งสองข้างของทาคุยะ

“...ตอนนี้มีเรื่องใหญ่กว่าที่ต้องกังวลนะ...”

“.!?”

สิ่งที่เมโกะเอ่ยขึ้นมาทำให้ทาคุยะที่กำลังใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง

“ตอนนี้บางอย่างกำลังเกิดขึ้น...ที่โรงเรียน...มันทำให้วิญญาณที่โดนเฟียร์ครอบงำกระจายไปทั่วเมือง...มาจากพลังบางอย่าง...ฉันเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร...แต่ระเบิดเมื่อครู่ทำให้เส้นทางวิญญาณเกิดเสียสมดุล...”

“เส้นทาง...วิญญาณ?”

“!!??”

ระหว่างที่ทาคุยะกำลังเอ่ยสงสัยถึงคำพูดดังกล่าวที่เมโกะได้กล่าวมา จู่ ๆ ร่างของเมโกะก็เกิดแสงกะพริบราวกับร่างควันอันแสนเลือนรางของเธอกำลังค่อย ๆ หายไป

“ฉัน...ไม่มีเวลาแล้ว...พี่ต้องไปที่โรงเรียนนั่น...พี่อาจจะเจอคำตอบ...และช่วยฉันได้”

“เดี๋ยวก่อน! ...ถ้าช่วยเธอแล้ว...เธอจะกลับมาได้ใช่มั้ย!?”

ทาคุยะพยายามตะโกนถามร่างของเมโกะที่ค่อย ๆ จางหายไป เมโกะที่กำลังค่อยหายไปก็ได้ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำถามนี้จากพี่ชาย

 

 

“ล้อเล่นรึเปล่าพี่ ? ฉันนะตายไปแล้วนะ…”

 

 

นี่เป็นคำพูดสุดท้ายของเมโกะก่อนที่เธอจะจางหายไปอย่างสมบูรณ์ ทิ้งไว้แต่ทาคุยะที่ต้องช็อกเพราะเห็นน้องจากตัวเองไปอีกครั้งแล้ว ก่อนเขาจะนึกถึงเรื่องสุดท้ายที่เธอบอกกับเขาไว้ได้ เขาหันไปมองทิศที่โรงเรียนตั้งอยู่ก่อนจะพบว่าทิศดังกล่าวมีกลุ่มก้อนควันสีดำคล้ายโดมครอบคลุมทั้งโรงเรียนอยู่

 

 

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ?”

 

 

 

 

 

 

00.15 น.

โรงเรียนมาฮาระกุชิ

 

 

 

เคร้ง!!

 

 

เสียงดาบที่ถูกฟันกระทบกลุ่มควันสีดำปริศนาที่ปรากฏขึ้นมาครอบคลุมทั่วบริเวณของโรงเรียนดังสนั่นไปทั่ว เอกที่พยายามจะใช้ดาบจาก Evoker ของเขาทำลายกำแพงหนีดูเหมือนจะไม่ได้ผล เจ้าตัวเริ่มหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อย ๆ กับปัญหาที่เกิดขึ้น

“...แม่งเอ๊ย! มันเกิดอะไรขึ้นอีกกันแน่ละเนี่ย!!”

เอกตะโกนออกมาด้วยโทสะ ฟูโกะที่เห็นท่าไม่ได้จึงพยายามเดินเข้าไปสงบสติอารมณ์เอก

“...ใจเย็น ๆ ก่อนนะ...มันอาจจะมีทางอื่นก็ได้...เพราะอย่างนั้น...ค่อย ๆ คิดหาวิธีดีกว่านะ…” ฟูโกะกล่าวกำเอกด้วยรอยยิ้มแห้งดูเหมือนเธอค่อนข้างจะเริ่มอ่อนล้ากับที่ต้องเผชิญหน้าเรื่องแปลกที่เกิดขึ้น เอกทันทีที่เห็นท่าทีของฟูโกะเขาก็เริ่มรู้สึกถึงเหตุผลที่เธอสื่อ ก่อนจะปล่อยหายใจเฮือกใหญ่และก้มหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย

“...อ่า...เธอพูดถูก...แต่ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง เรย์ก็เสียเลือดมากถ้าขืนติดอยู่ในนี้นานเกินไป เรื่องมันอาจจะแย่ลงขึ้นเรื่อย ๆ ...และเธอเองก็อาจจะเป็นอะไรไปด้วย…”

“เอ่อ...อ่า...งั้นเหรอ…” ฟูโกะตอบกลับเอกไปอย่างอาย ๆ หลังที่เขาแสดงความเป็นถึงความปลอดภัยของเธอ

 

 

 

คึ่ก! คึ่ก!

 

 

 

“!!??”

“เกิดอะไรขึ้นนะ !?”

 

 

 

 

ทั้งคู่ต่างเกิดอาการตกใจที่จู่แผ่นดินก็ไหวอีกครั้ง เอกพยายามประคองฟูโกะเอาไว้ ก่อนที่เขาจะหันไปเห็นว่ารถพยาบาลอีกสองคันที่มีร่างของเรย์และเฟย์กำลังถูกเส้นควันสีดำจำนวนมากดึงเข้าไปหากำแพงสีดำปริศนา ส่วนหน้ารถที่สัมผัสกำแพงจู่ ๆ ก็ดูเหมือนกำลังถูกดูดกลืนเข้าไปในตัวกำแพง

“...เวรแล้ว!”

เอกวิ่งออกจากจุดที่ยืนอยู่เข้าไปหารถคันที่เรย์อยู่ทันที ก่อนจะค่อย ๆ ประคับประคองร่างของเธอออกมาแล้ววิ่งกลับไปที่ฟูโกะยืนอยู่

“ฝากเธอด้วย!” เขาพูดก่อนจะค่อย ๆ วางร่างลงตรงหน้าฟูโกะ เธอเห็นแบบขึงรีบย่อตัวลงมาคอยรับประคองร่างเรย์ไว้ และเงยขึ้นมามองเอกที่กลับเข้าไปในรถอีกครั้งเพื่อจะไปช่วยพยาบาลที่ติดอยู่ในรถ แต่ทว่าเมื่อพยายามเอื้อมมือไปจับพวกเขา ควันสีดำก็พวยพุ่งขึ้นมาจากทั่วทิศทางก่อนมันจะพยายามดึงเอกเข้าไปพร้อมกับรถทั้งคัน

“หา!? ...อึ๊ก!! ...เวรเอ๊ย!!!”

เอกพยายามขัดขืนและดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดูท่าว่ามันจะไม่ได้อะไรเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่ความกลัวในใจเขาจะเริ่มขยายตัวขึ้นในใจเขาเรื่อย ๆ เขาพยายามหันกลับไปมองที่ท้ายรถ ภาพบุคคลสุดท้ายที่อยู่ข้างนอกที่กำลังพยายามวิ่งมาทางเขาพร้อมกับพูดอะไรบางอย่างและพยายามเอื้อมมือมาหาเขา ภาพตรงหน้าเริ่มเบลอขึ้นเรื่อย ๆ หูของเขาเริ่มที่จะไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง เข้าตัวกระชากแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อพยายามเอื้อมไปหาคนที่วิ่งมาหาเขาอยู่พร้อมน้ำตา

 

 

 

“ฟูโกะ !!!”

 

 

เด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยอารมณ์สิ้นหวังกำลังค่อยร่วงหล่นไปในที่ ๆ มืดมิด ไร้ซึ่งแสงสว่าง ในหัวของเขาคิดแล้วว่าต้องตายแน่ ๆ ก่อนเขาโดนอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่หลังอย่างแรง ก่อนจะพบว่าสภาพที่กำลังตกจากที่สูงเมื่อครู่ได้หยุดลงแล้ว เข้าเหมือนกำลังเหยียบพื้นอยู่ แต่รอบ ๆ ก็เป็นสีดำมืดสนิทไม่อาจรู้ได้ว่าทิศไหนเป็นทิศไหน เขาพยายามประคองตัวเองลุกขึ้นมา ก่อนเขาจะหันมองรอบ ๆ ตัวเองด้วยความสับสนและความกลัวก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นอะไรที่หางตาตัวเองจากที่ลองหันมองรอบ ๆ ตัวเอง

 

 

มันเป็นรูปร่างของเด็กผู้หญิงผมยาวในชุดเจ้าหญิง ที่เขาเหมือนคุ้นตาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน กำลังยืนอยู่ห่างจากเขาไม่มากนัก และเมื่อเอกพยายามก้าวเข้าไปหาเธอหนึ่งก้าว ก็เริ่มมีหยดเลือดไหลลงมาจากตาทั้งสองข้างของเด็กสาว และเมื่อเลือดหยุดลงที่ปลายเท้าของเธอ ทุกอย่างรอบตัวของก็สั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง!

เอกที่เห็นท่าไม่ได้การจึงพยายามที่จะหันหลังวิ่งหนี แต่ทว่าร่างกายกลับขยับไม่ได้อย่างใจนึก แม้แต่จะพยายามพูดก็ทำไม่ได้ และไม่กี่อึดใจหัวของเขาก็เกิดปวดขึ้นมาราวกำลังถูกช้างตัวใหญ่เหยียบหัวของเขา แต่ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนก็ไม่อาจร้องหรือส่งเสียงให้รับรู้ถึงความเจ็บปวดได้ เขากลอกตาไปมาด้วยความทรมาน ก่อนที่อาการของเขาจะค่อย ๆ เริ่มบรรเทาลงจนหายและกลับเป็นปกตอแค่เพียงชั่วครู่ เขาค่อย ๆ ลดมือทั้งสองข้างของเขาที่จับไว้ที่หัวของเขาลงก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา และเขาก็ถึงกับตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า…

 

สถานที่รอบ ๆ ตัวเขาในตอนนี้ได้กลายเป็นบ้านหลังใหญ่ที่ดูหรูหราและมีกลิ่นอายของความเก่าแก่ เขาพยายามตั้งสติอีกครั้งก่อนที่จะค่อย ๆ เดินตามหาทางออกจากที่แห่งนั้นทั้ง ๆ ที่ยังไม่สามารถตอบคำถามมากมายในใจเขาได้ เอกเดินไปตามทางเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงบางอย่างดังแว่วมาจากทางข้างหน้า เขาพยายามเดินให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้รู้ถึงต้นตอของเสียง และเมื่อเขาเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงจากที่ตอนแรกฟังไม่ได้ศัพท์ก็เริ่มชัดมากขึ้น มันเป็นเสียงร้องที่ฟังดูเหมือนใครบางคนกำลังร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน

เขาได้ยินชัดเจนมากที่สุดเมื่อเขามายืนถึงหน้าห้อง ๆ หนึ่ง แต่ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปค่อย ๆ พลักประตู เสียงร้องดังกล่าวก็ได้หยุดหายไป แต่เสียงดังขึ้นมาแทนกลับเป็นเสียงร้องของเด็กทารก!

เขาค่อย ๆ แง้มประตูอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะพยายามดูว่าเกิดขึ้น

“ยินดีด้วยค่ะท่าน ! ได้แฝดสาวค่ะ ! ”

ผู้หญิงในชุดแม่บ้านสีน้ำตาลกล่าวก่อนจะอุ้มร่างทารกทั้งสองส่งให้กับผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียง เธออยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้าและเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่ม เอกพยายามมองหน้าของเธอให้เห็นชัด ๆ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็มองไม่เห็น

“...ว่าแต่เธอจะตั้งชื่อให้ทั้งว่าอะไรดีล่ะ...หรือจะรอให้เขากลับมาก่อน…” หญิงสาวอีกคนที่อยู่ในนั้นถามผู้หญิงที่นอนอยู่ที่เตียง ดูเรียบง่ายราวกับว่าทั้งคู่ดูสนิทสนมกันมาก ซึ่งแตกต่างจากแม่บ้านที่อยู่ด้วย

“...ไม่หรอก...ฉันคิดชื่อเผื่อไว้แล้วล่ะ…”

“...อย่างนั้นเองเหรอ ว่าแต่ชื่ออะไรล่ะ? ”

 

 

“คนพี่ชื่อ ‘คาสัตซึกิ’ ส่วนคนน้อง ‘คานาอิ’ ....”

 

 

เอกที่แอบยืนฟังอยู่ที่หน้าถึงกับตะลึงและชะงักไปชั่วครู่หลังจากได้ยินชื่อของ ‘คานาอิ’ ถูกพูดถึงขึ้นมา มันทำให้เขาเริ่มคิดขึ้นมาแล้วว่าสิ่งที่อยู่ต่อหน้าของเขาอาจจะเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับคานาอิ แต่หลังจากที่เขาหันกลับไปเพื่อจะแอบดูเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ จู่ ๆ ห้องที่เคยมีคนอยู่เมื่อครู่ก็เปลี่ยนไป

 

 

บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนเป็นตอนกลางคืน เสียงพูดคุยที่เต็มชีวิตชีวายเมื่อครู่ถูกเติมเต็มด้วยเสียงร้องของความโศกเศร้า หญิงสาวเมื่อครู่ที่อยู่บนเตียงพร้อมกับลูกของเธอ ตอนนี้เธอกลับนั่งเกาะอยู่ชายเตียงแนบหน้าไปกับที่นอนพร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือของลูกสาวคนหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียง เธอยังคงร้องไห้ไปทั้งที่ยังกุมมือของเด็กคนนั้นแน่นราวกับกลัวว่าจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นกับเธอ และความกลัวที่เริ่มทวีคูณขึ้นมากก็ค่อย ๆ กลายเป็นความจริงมากขึ้นไปอีก

“...ฉันขอโทษนะ...แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไง...เธอก็ไม่ดีขึ้นเลย…” ผู้หญิงที่อยู่ด้วยกับเธอเมื่อครู่ก็พูดขึ้นมาจากอีกมุมของห้องในความมืดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความเป็นห่วง

“...นี่จะไม่มีทางอื่นรักษาคานาอิแล้วอย่างนั้นเหรอ ? ”

เธอพูดโต้กลับไปทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา

“...ขอโทษด้วยนะ...คานาเอะ...มันไม่มีทางแล้วจริง ๆ การที่มนุษย์ผู้มีพลังพิเศษอย่างพวกเรา...ถ้าหากมีลูกกับคนที่พลังแตกต่างกัน เปอร์เซ็นต์ที่เด็กจะมีชีวิตรอดก็แทบจะ…”

“พอได้แล้ว !!!!! ”

“...”

หลังจากสิ้นเสียงตวาดของคนเป็นแม่ที่ได้ฟังและตระหนักถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับลูกตัวเอง บรรยากาศห้องก็กลับสู่ความเงียบ ไม่มีใครปริปากพูดอะไรอีกเลย

เอกที่แอบเฝ้าดูอยู่ที่หน้าประตูก็เริ่มรู้สึกว่าบางอย่างที่เขากังวลกำลังจะเกิดขึ้น และในช่วงพริบตาเดียวเขาต้องรู้สึกตกใจอีกครั้งหนึ่งเมื่อจู่ ๆ สถานที่ที่เขายืนอยู่ก็เปลี่ยนไปเป็นสนามหญ้าโล่ง บรรยากาศโดยรอบจากช่วงมืดกลายเป็นช่วงเย็นแก่ ๆ ท้องฟ้าและแสงรอบตัวก็เริ่มจะมืดลงและตรงหน้าของเขาก็มีสิ่งที่เขาแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง

 

 

หลุมศพที่บนป้ายหินสลักชื่อของ คานาอิ มาเทีย แอนเน็ต…

 

 

เอกจ้องมองไปยังป้ายชื่อหลุมศพอย่างไม่ละสายตา ความคิดในหัวที่เริ่มขัดแย้งของเขา ทำให้เขาแทบจะพูดอะไรไม่ออกแม้แต่ส่งเสียงอุทานยังทำไม่ได้

‘...นี่มัน...เรื่องจริงงั้นเหรอ? ...ถ้างั้นคานาอิที่ฉันรู้จักล่ะ ? ’ คำถามหลักในหัวของเอกดังก้องในหัวของเขา

หลังจากที่เขายืนอยู่ท่ามกลางความสับสน เขาได้ยินเสียงใครบางคนกำลังเดินผ่านสนามหญ้ามาจากด้านหลัง และเมื่อเขาหันไปก็ปรากฏเป็นร่างของหญิงสาวที่เอกคิดว่าน่าจะเป็นแม่ของคานาอิ

เอกร้อนรนเพราะเขากลัวว่าอีกฝ่ายเห็นเขาลุกล้ำเข้ามาในที่ของเธอเพราะเธอเดินตรงมาหาเอก แต่แทนที่เขาจะโดนทักหรือเรียก เธอผ่านกลับเดินผ่านทะลุตัวของเขาไป

‘...เอ๋ !? ’

แต่หลังจากเขาผวาไปชั่วคราวเขาก็ได้หันกลับไปมองคนที่เดินผ่านทะลุตัวเขาไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างหน้าป้ายหลุมศพพร้อมทั้งในมือก็ได้ถือช่อดอกไม้ช่อหนึ่งเอาไว้ เธอค่อยย่อตัวลงไปวางดอกไม้ที่หน้าป้าย ดวงตาของเธอนั้นแดงก่ำและดูเต็มไปด้วยน้ำตา

“...ท้ายที่สุดก็เป็นอย่างที่ ‘โคโนะเอะ’ บอก...ไม่ว่าแม่จะพยายามยังไงก็ไม่สามารถช่วยลูกได้...แม่ขอโทษจริง ๆ ! ” เธอพูดถึงลูกสาวของเธอทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของเธอ บอกถึงความพยายามของเธอ ถึงแม้ว่าลูกของเธอไม่อาจลุกขึ้นมาปลอบโยนแม่ของเธอได้อีกแล้ว…

เอกที่ยืนดูเรื่องราวที่เกิดก็เริ่มเกิดความเศร้าขึ้นมาแทนที่ความสงสัยของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าที่จริงแล้ว คานาอิ คือใครกันแน่? ...

แต่ทุกอย่างก็ถูกตัดตอนไปเมื่อจู่เขาก็สังเกตเห็นใครอีกคนกำลังเดินมาทางนี้อยู่

“...ไม่ได้เจอกันนานนะ เจ้าหญิงมาเทีย” เสียงจากบุคคลปริศนาดังขึ้นมาจนทำให้เธอที่กำลังยืนร้องไห้อยู่รีบปาดน้ำตาของตนเองออกพร้อมกับหันไปหาเจ้าของเสียง

คนที่เดินมาคือผู้หญิงที่มีรูปร่างสูงมาก ขนาดที่ว่ามีความสูงราว ๆ เอก ทั้งร่างของเธอมีเสื้อฮู้ดตัวใหญ่สีน้ำตาลปกปิดอยู่ มีผมยาวสีส้มที่เด่นชัด แต่สิ่งที่ทำให้เอกสะดุดตามากที่สุดคือ

‘รอบ ๆ ปากของเธอมีรอยที่เหมือนรอยเย็บของเข็ม’

เอกจ้องมองหญิงสาวปริศนาเดินผ่านเขาเข้าไปหาแม่ของคานาอิ

“...จูโน่...เธอมาทำอะไรที่นี่? ” เธอถามหญิงสาวที่ชื่อ ‘จูโน่’ กลับไปหลังจากเธอเดินจนมาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าหลุมศพของคานาอิ

“...ฉันมีอย่างที่สำคัญมาก ๆ จะขอร้อง…” เธอตอบกลับไปหามาเทียโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอ เธอจ้องมองไปที่ป้ายชื่อหลุมศพโดยสายตาที่ดูเศร้า

“...ขอร้อง ? ...เรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ ? ”

จูโน่เลือกจะไม่แต่กลับค่อย ๆ หันมาหามาเทียโดยที่เธอก็ค่อยผลักแขนของตัวที่เหมือนอุ้มอะไรไว้บางอย่างใต้ผ้าคลุม มาเทียที่เห็นสิ่งที่จูโน่วอุ้มอยู่ก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง

 

“...เธอช่วยดูแลลูกสาวฉันแทนฉันจะได้หรือเปล่า ? ”

 

มาเทียยืนนิ่งอย่างตกตะลึงไปชั่วครู่ พร้อมมองไปยังเด็กน้อยที่นอนหลับอยู่ในอ้อมอกของจูโน่

“เธออาจจะคิดว่ามันฟังบ้า ๆ ...แต่ตอนนี้ฉันกำลังมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น...ฉันไม่อาจจะทำให้เด็กคนนี้ต้องมาตกอยู่ในอันตรายเพราะปัญหาของฉัน...เพราะฉะนั้น…”

 

 

!!??

 

 

ยังไม่ทันที่เอกจะได้ฟังคำพูดของจูโน่เสร็จ ทุกสิ่งรอบ ๆ ตัวเขาก็เปลี่ยนไปในพริบตาอีกครั้ง เขาพบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องนอนของใครสักคนหนึ่ง ในห้องมีแสงจากโคมไฟเก่า ๆ ที่อยู่ตรงหัวที่นอนคอยส่องสว่าง เด็กคนที่เขาเห็นจูโน่อุ้มมาด้วยเมื่อครู่ ตอนนี้ได้มานอนอยู่บนเตียงนั้น ก่อนเขาจะได้ยินเสียงคนเดินมาจากทางข้างตัวเขา

เด็กน้อยค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้น ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ หันมองไปรอบตัวเธอด้วยความสะลึมสะลือ

“...คุณแม่? ...คุณแม่อยู่ไหน? ...” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน

“...หนูตื่นแล้วเหรอจ๊ะ? ” มาเทียเดินเข้าไปนั่งที่ของเตียงก่อนจะพูดทักทายกับเด็กคนนั้น

“...คุณน้าเป็นใครเหรอ? ...ที่นี่ที่ไหน? ...แม่หนูอยู่ไหน? ”

มาเทียไม่ตอบอะไรแต่กลับยิ้มขึ้นมาก่อนจะยื่นมือไปวางบนหัวของเด็กนั้นด้วยความอ่อนโยน และลูบหัวของเด็กคนนั้นอย่างเอ็นและปลอบโยน ระหว่างที่เธอลูบไปที่มือของเธอก็ส่องแสงอ่อน ๆ บางอย่างขึ้นมา

 

“...ลูกไม่ต้องกลัวนะคานาอิ...แม่อยู่ตรงนี้แล้ว”

 

หลังจากที่มาเทียพูดเสร็จ แสงที่มือของเธอก็ค่อย ๆ หายไป สายตาของเด็กน้อยคนนี้ก็ค่อยเปลี่ยนไปและพูดขึ้นกับมาเทีย และเหตุการณ์ตรงหน้าก็ทำให้ขอสงสัยของเอกได้รับคำตอบแล้ว..

 

“...คุณแม่...หนูฝันแปลกมากเลย...หนูฝันว่าแม่กำลังไปที่ไหนสักที่หนึ่งโดยที่หนูไม่ได้ไปด้วย…”

 

 

 

 

!!??

 

 

เป็นอีกครั้งที่เอกถูกเปลี่ยนสถานที่ที่เขาอยู่ แต่ครั้งนี้กลับเป็นสถานที่ที่ดูเหมือนสนามเด็กเล่น กลุ่มคนที่เหมือนยืนคุยกันเรื่องอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด เอกตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อให้ได้ฟังชัดขึ้น

“เด็กนั่นมันปิศาจ ! มันเกือบจะฆ่าลูกของฉันเลยนะ ! ”

ผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่ในกลุ่มตะโกนขึ้นมาพร้อมชี้หาลูกชายของเขาที่สภาพมอมแมมและคราบเลือดที่เปื้อนอยู่บนเสื้อ

“เด็กคนนี้แค่ป้องกันตัวเอง! ลูกคุณกับพรรพวกรวมหัวกันแกล้งเธอต่างหากล่ะ! ฝั่งคุณต่างหากล่ะที่ผิดที่ไม่ยอมดูพวกเด็กดี ๆ นะ ! ” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับพยายามให้คานาอิยืนหลบอยู่ข้างหลังเธอ

“เหอะ ! พวกตัวประหลาดอย่างแกมีสิทธิ์พูดด้วยรึไง ? เผ่าพันธุ์พวกนะมันตัวอันตราย ไม่สมควรจะมีหน้ามาอยู่ในถิ่นของพวกข้าด้วยซ้ำ ! ”

หลังจากที่ชายคนพูดเสร็จหญิงที่ยืนบังคานาอิอยู่ก็ได้ตบเข้าไปที่หน้าของเขาอย่างแรงด้วยความโกรธ ทว่าการที่เธอทำแบบนั้นไปกลับเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์เพราะสายตาของชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่รอบ กลับเต็มไปด้วยความมุ่งร้ายและไม่ทันที่เธอจะหันไปคว้าคานาอิเพื่อจะพาวิ่งหนี เธอถูกชายที่เธอตบหน้าไปเมื่อครู่ คว้าคอเสื้อเธอเอาไว้ก่อนจะซัดหมัดเข้าใส่หน้าของเธอจนเธอล้มลงไปกับพื้น คานาอิเองที่อยู่ด้านหลังก็โดนชนจนล้มไปเหมือนกัน

 

“คานาอิจัง !! รีบหนีไปเร็ว !! ” เธอพยายามตะโกนบอกให้คานาอิเอาตัวรอดไปจากกลุ่มชายฉกรรจ์

ทว่าคานาอิดันถูกคนในกลุ่มจับตัวไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะวิ่งหนี

“ปล่อยหนูนะ!!! ...บอกให้ปล่อยไง!! ...ฮามุโกะซังช่วยหนูด้วย!! ”

คานาอิส่งเสียงร้องเสียงดังลั่น ให้น้าของเธอที่นอนอยู่กับพื้นโดยมีคนหนึ่งในเหยียบตัวเธอไว้อยู่มาช่วยเธอ

“เฮ้ย! มาช่วยกันจับตัวอีคนโตหน่อยสิ !! ”

ฮามุโกะโดนเหยียบอยู่เมื่อได้ยินแบบนั้นถึงกับหน้าถอดสีด้วยความกลัว เพราะสิ่งที่ตามมาอาจจะเป็นจริงอย่างที่เธอคิด ชายร่างใหญ่อีกสามคนมาช่วยกันจับตรึงร่างของเธอไว้ในสภาพนอนหงาย ก่อนที่คนที่เธอได้ตบหน้าไปจะก้มตัวลงมาหาเธอ

“นี่แก!! ...อย่ามาทำอะไรบ้า ๆ นะ...ปล่อย!! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ !!!!!!! ”

เธอส่งเสียงร้องจนสุดชีวิตแต่ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้ ชายคนที่ก้มลงมากระชากเสื้อผ้าของเธอจนขาดรุ่งริ่ง ก่อนที่มันจะค่อย ๆ ถอดกางเกงของมันออกและลงมือข่มขืนเธอต่อหน้าของคานาอิ

“อ้าก !!!! ..หยุด !! หยุด !! หยุดสักที !!! ฉันเจ็บ !!! ปล่อยฉันนะ !!! ”

“หนวกหูจริงโว้ย !! อยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่เป็นรึไงว่ะ !! ”

เสียงร้องสุดแสนทรมานของฮามุโกะเงียบลงทันทีหลังจากที่ชายที่ลงมือข่มขืนเถอะบันดาลโทสะบีบคอของเธออย่างแรง เธอพยายามดิ้นเอาชีวิตรอด น้ำลายที่เริ่มไหลออกมาจากปาก พร้อมกับตาทั้งสองข้างที่ต่างเบิกโพลงเพราะเธอหายใจไม่ได้ จนร่างที่พยายามดิ้นไปมาของเธอค่อย ๆ ช้าลงจนเธอหยุดขยับตัวไป…

 

 

“ฮามุโกะซัง!!!!!!!! ”

 

“!? ”

 

 

เสียงกรีดร้องด้วยความเศร้าและความโกรธของคานาอิดังขึ้นก่อนที่คนที่จับตัวเธออยู่ถูกคลื่นบางอย่างที่มาจากตัวเธอที่แล่นผ่านทะลุตัวเองไปและเพียงเสี้ยววินาทีนั้น ชายคนดังกล่าวก็ค่อย ๆ ล้มลงไปในสภาพที่ดวงตาเป็นสีขาวโพลนก่อนจะสิ้นลมไปในทันที

 

 

“...นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นกันว่ะ !! ”

 

 

ก่อนที่แต่ละคนจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คลื่นจากตัวคานาอิก็ได้วิ่งผ่านตัวพวกมันไปเกือบทุกคน ก่อนที่แต่ละคนจะค่อย ๆ ตายกันไป เหลือไว้เพียงคนที่ข่มขืนฮามุโกะที่ยังคงรอดอยู่และพยายามถอยหนีคานาอิที่กำลังเดินเข้ามาหา

“ด..เดี๋ยวก่อน!! ...เรากันได้นะหนูน้อย!! ..ที่ลุงทำลุงก็แค่ล้อเล่นเองนะ…!! ”

ยังไม่มีโอกาสได้พูดต่อเข้าพบว่าร่างนั้นต่างเกร็งตึงและขยับไม่ไปด้วยความกลัว และภาพที่เขาเห็นเป็นภาพสุดท้ายคือ เด็กสาวที่สายตาเต็มไปด้วยความอำมหิต

และหลังจากนั้นศีรษะของชายคนนั้นก็ระเบิดออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที ทั้งดวงตาและชิ้นส่วนสมองกระจัดกระจายเต็มพื้น  คานาอิเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร่างของฮามุโกะ ก่อนที่เธอจะปล่อยให้ร่างกายตัวเองทรุดนั่งลงไป และเมื่อเธอทรุดลงถึงพื้นน้ำตาของเธอก็เริ่มไหลขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

“ทำไม...สุดท้ายมันจบด้วยการที่หนูเป็นตัวประหลาดทุกครั้งตลอดเลยล่ะ? ....”

 

 

 

 

!?

 

 

เอกที่ยังไม่หายช็อกกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นพบว่าตัวเองถูกย้ายที่อีกครั้ง แต่ครั้งกลับเป็นสถานที่ที่เขารู้จักเป็นอย่างดี

 

ห้องศิลปะโรงเรียนมาฮาระกุชิ

 

และไม่โอกาสเขาจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เขาเห็นตัวเองอีกคนกำลังเก็บเตรียมของสำหรับงานเทศกาลอยู่ ก่อนที่จะเห็นคานาอิเดินเข้ามาหาตัวเขาและมีบทสนทนาร่วมกันเหมือนเมื่อครั้งแรกที่เขาและคานาอิได้รู้จักกัน เอกพยายามนึกหาถึงเหตุผลที่ว่าทำไมความทรงจำของเขาและเธอถึงถูกฉายกลับมาให้เขาได้เห็นอีกครั้ง

'...ทำไมล่ะ...ทำไมจู่ ๆ ความทรงจำของฉันกับคานาบันดาลถึงได้ปรากฏขึ้นมาล่ะมันมีความหมายอะไรอย่างงั้นเหรอ? ..'

 

 

 

!!?

 

 

และระหว่างที่เอกครุ่นคิดอยู่จู่ ๆ ภาพความทรงจำมากมายระหว่างเขาและคานาอิที่มีต่อกันก็ปรากฏขึ้นมาในหัว ทั้งงานเทศกาล คืนที่เฟย์ต้องสูญเสียพ่อ คืนวันคริสต์มาส คืนวันปีใหม่และที่เรียวกังของทาคุยะ ภาพช่วงเวลาที่ทั้งคู่ใช่ร่วมกันและผจญผ่านมาด้วยกันและเมื่อภาพความทรงจำสุดท้ายก็เปลี่ยนกลับมาเป็นเรื่องเริ่มต้นในห้องศิลปะที่ทั้งคู่ได้เจอกัน เอกพบว่าตอนนี้ตัวเองยืนอยู่หน้าห้องศิลปะอีกครั้ง แต่ครั้งนี้บรรยากาศโดยรอบ กลับทำให้เขามั่นใจว่านี่ไม่ใช่แค่ภาพในอดีต เอกรีบเปิดประตูเข้าไปดูข้างในก่อนจะพบว่า

มีรังดักแด้สีดำขนาดใหญ่อยู่กลางห้อง...และข้างในนั้นคือ คานาอิ !

“คานาอิ !! ” เอกตะโกนเรียกเธอ แต่เมื่อทันทีที่เขาเรียกเธอ เส้นหนวดและควันสีดำจำนวนมากโผล่มาจากรอบ ๆ ดักแด้ก่อนจะพุ่งเข้าใส่เขาตรงจนกระเด็นออกจากห้องไปชนกำแพงข้างนอก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามดันตัวเองลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างทุลักทุเลก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหาดักแด้อีกครั้ง และครั้งนี้เมื่อหนวดสีดำที่พุ่งตรงมาหาเขา เขาก็เริ่มจะหาทิศทางหลบได้ก่อนที่จะตัดสินใจคว้า Evoker ที่คอขึ้นมาถือไว้ในมือ และเมื่อถึงจังหวะที่หนวดสีดำพุ่งมาหาเขาจากรอบทิศทาง เจ้าตัวก็ได้บีบ Evoker ในมือจนแตก ก่อนจะเอ่ยชื่ออาวุธที่เขาจะเรียกใช้ออกมา

 

 

“คาลิเบอร์ !!”

 

 

เศษ Evoker ที่แตกกระจายไปมารวมกับพลังแสงของเอกกลายมาเป็นดาบที่ส่องแสงสีทอง ก่อนที่เอกจะทำการฟาดดาบวนรอบตัวเข้าหนึ่งครั้ง จนหนวดทุกหนวดที่พุ่งเข้าสลายหายไป ก่อนที่เจ้าตัวจะเอื้อมมือไปจับตัวรังดักแด้สีดำไว้ เขาปล่อยมือจากดาบเพื่อให้มันกลับสภาพเดิมเป็น Evoker ก่อนที่เขาจะเอามาห้อยคอไว้เหมือนเดิม เขาเหวี่ยงแขนอีกข้างมาจับตัวดักแด้ไว้ ก่อนจะใช้พลังแสงเคลือบเป็นเกราะที่แขนและใช้แรงที่มีอยู่ทั้งหมดออกแรงงัดดักแด้ให้แตกออก เขาพยายามออกแรงงัดมากขึ้นเรื่อยจนในที่สุดดักแด้ก็ค่อย ๆ เปิดออกให้เห็นคานาอิที่นอนคดอยู่ข้างใน

 

 

“คานาอิ !!! ”

 

 

เอกตะโกนเรียกเธออีกครั้งและดูเหมือนว่าครั้งนี้เธอจะสามารถได้ยินเสียงของเขาแล้ว เธอค่อยลืมตาขึ้นมาและหันไปมองที่ที่มีแสงส่องลงมาก่อนดวงตาเธอจะเบิกกว้างหลังเห็นเอกอยู่ที่ปลายแสงนั้น น้ำตาเธอเริ่มไหลขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มแห้ง

“จับมือฉันไว้เร็ว !” เอกยื่นมือลงไปหาเธอ เธอพยายามดึงแขนออกจากดักแด้และยื่นมือไปหาเขา และเมื่อเอกจับแขนเธอได้ เขาก็ได้ใช้แรงทั้งหมดดึงเธอออกมาจากดักแด้จนเอกและคานาอิกระเด็นลงไปกองกับพื้น ดักแด้เมื่อคานาอิออกมาก็เริ่มค่อย ๆ สลายหายไปในอากาศแทบจะทันที เอกที่เมื่อได้โอกาสช่วยเธอออกมาได้แล้วก็พยายามประคองเธอให้ลุกขึ้นนั่ง

"นี่ ! มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ ?" เอกถามคานาอิที่สายตาดูว่างเปล่าก่อนที่เธอจะโผเข้ากอดเขาแทนที่จะตอบคำถามของเขา พร้อมทั้งปล่อยน้ำตาออกมาและร้องเสียงดัง

 

 

"...อย่าทิ้งฉันไปอีกเลยนะ !!"

 

 

เขาอึ้งไปกับสิ่งที่เธอพูดก่อนจะค่อย ๆผลักเธอออกจากอ้อมกอดอย่างช้า ๆ และจับไหล่ของเธอแน่นก่อนจะจ้องมองไปที่ตาของเธอและยิ้มออกมาแห้ง ๆ

" ...ใครบอกว่าฉันจะทิ้งเธอกันเล่า !"

คำพูดของเขาทำให้คานาอิยิ่งหยุดน้ำตาของเธอไม่สามารถหยุดไหลได้ แต่ความรู้สึกที่เศร้าโศกในคราวแรกของเธอแปรเปลี่ยนเป็นความสุขกับสิ่งที่เธอได้ยิน

" ...เอาเป็นว่าตอนนี้...เรารีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า " เอกพูดกับเธอก่อนจะค่อย ๆ พยุงตัวคานาอิขึ้นมาจากพื้นแล้วพยุงเธอไว้จากข้างหลังไว้

"...แล้วเราจะออกไปยังไงล่ะ ?" คานาอิเอ่ยถามกับเอกก่อนที่เอกจะหันไปมองรอบ ๆ ตัวเขา เขาไปสะดุดตากับหน้าต่างของห้อง เขาเดินตรงไปที่หน้าต่างก่อนจะพยายามเปิดมันออก

เขามองไปที่พื้นที่ข้างนอก ที่ตอนนี้มืดสนิทเพราะถูกปกคลุมไปด้วยกำแพงควันปริศนาสีดำ เขาพยายามมองไปที่ทิศที่ฟูโกะอยู่ ก่อนจะเห็นเธอพาเฟย์และเรย์มาไว้ที่หน้าทางเข้าโรงเรียน เขาใช้พลังแสงเคลือบไปที่ขาทั้งสองข้างของเขาก่อนจะกระโดดลงมาจากชั้นสองของตึกผ่านทางหน้าต่างลงมาก่อนจะรีบวิ่งไปที่ที่ฟูโกะอยู่ ระหว่างที่เขาวิ่งอยู่ที่ห้องศิลปะก็เกิดควันสีดำโพยพุ่งออกมาจนทั้งห้องระเบิดเป็นจุณ ควันที่พุ่งออกมาตรงมาหาที่ตัวคานาอิทั้งหมด

"เวรแล้ว !!" เอกอุทานขึ้นมาก่อนจะใช้พลังแสงของเขาขึ้นมาปกคลุมร่างของเขาทั้งร่างรวมไปถึงร่างของคานาอิด้วย ก่อนที่ควันสีดำจะพุ่งเข้าใส่ทั้งคู่ ควันสีดำที่ดูไม่มีอะไรแต่เมื่อมันโดนสะท้อนไปทั่วทิศทางหลังจากชนไปที่ร่างของทั้งคู่ที่มีเกราะแสงอยู่ กลับสามารถตัดต้นไม้หรือคอนกรีตได้เป็นเสี่ยง ๆ เมื่อเขาวิ่งไปถึงที่ทางเข้าเขาพยายามตะโกนเตือนฟูโกะที่กำลังยืนเฝ้าร่างของเฟย์และเรย์อยู่

 

 

" ฟูโกะรีบก้มลงเร็ว !!" เธอรีบทำตามเสียงของเขาแทบจะทันที เอกวางร่างของคานาอิไว้ข้างหลังก่อนจะวิ่งกลับไปที่กลุ่มควันที่ตาม เขาหยิบ Evoker ขึ้นมาใช้อีกครั้ง

"โนริมิซุ โอดาชิ !!" 

เอกเรียกชื่ออาวุธขึ้นมาอีกครั้งโดยครั้งนี้เป็นดาบขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมา เขาฟาดดาบไปที่กลุ่มควันก่อนที่จะเกิดแสงออกมาเป็นคลื่นและตัดผ่านควันที่พุ่งเข้ามา

" รีบพาทุกคนออกไปให้พ้นจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย !!" เอกหันไปบอกกับฟูโกะก่อนที่เธอจะเริ่มค่อยพาทั้งสามคนที่อยู่ข้างหลังไปทีละคน คานาอิที่พอเดินเองได้ ก็พาตัวเองรีบเดินออกไปจากที่ที่อยู่

เอกที่ฟาดดาบใส่กลุ่มควันอีกครั้งกลับพบว่าควันที่ถูกฟันแยกออกต่างพุ่งผ่านตัวเขาไปโดยที่เขาป้องกันไว้ไม่ทัน

"คานาอิหนีเร็ว !!!"

 

 

ฉึก !!!

 

เลือดที่พุ่งออกมาจากการถูกควันนั้นพุ่งเข้าใส่ร่างของใครบางคนค่อย ๆ ไหลหยดลงพื้น เอกที่หันไปก็ต้องพบกับภาพที่ทำให้ใจของเขาแทบแตกสลาย

 

ฟูโกะที่เอาตัวเข้าบังตัวคานาอิจนถูกแทงเข้าจากข้างหลัง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา