The Demola Phase 4 มหากาพย์มนุษย์เหนือโลก เฟส 4
เขียนโดย Geoner
วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.59 น.
แก้ไขเมื่อ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 12.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
27) Your way of life
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ฟูโกะ !!!”
เสียงตะโกนของเอกที่ส่งไปถึงฟูโกะ ทำให้เธอหันกลับมามองเพื่อนที่กำลังวิ่งมาหาเธอ โดยภาพตรงหน้านั้นเริ่มพร่ามัวก่อนที่ร่างของเธอจะถูกกระชากผ่านตัวของเอกที่กำลังวิ่งมาหาเธอไปโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว
“ไม่นะ ! ...ฟูโกะ !! ”
เอกรีบหันไปหาฟูโกะที่ถูกกระชากไปและพยายามคว้าตัวเธอไว้ แต่ทว่ามือของเขาก็ไม่สามารถคว้าอะไรไว้ได้นอกจากอากาศ ทำให้ร่างของเธอถูกดึงเข้าไปในกลุ่มควันปริศนาทันที
“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้นะโว้ย !! ”
เอกพูดอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะวิ่งตรงเข้าไปฟันกลุ่มควันดำดังกล่าว แต่ดาบของเขาที่ถูกฟาดเข้าไปที่ควันกลับถูกกระแทกและผลักตัวเขาให้กระเด็นออกไป เอกที่ที่ถูกผลักจนกระเด็นออกไปก็ได้พลิกตัวให้อยู่ในท่ายืนก่อนจะลงถึงพื้นอย่างทุลักทุเล เมื่อเขาตั้งตัวได้ เขาก็พร้อมที่จะวิ่งเข้าใส่มันอย่างไม่คิดอีกครั้ง แต่ทุกการกระทำของเขาหยุดลงในทันที เมื่อเขารู้สึกถึงแรงกดดันที่ออกมาจากกลุ่มควันปริศนา
« สะสมพลัง...มากพอแล้ว ! »
เสียงปริศนาดังออกมาจากควันดำดังกล่าว มันเป็นน้ำเสียงทุ้มใหญ่ที่เหมือนกับเสียงของชายและหญิงพูดในเวลาเดียวกัน
และเมื่อทันทีที่เสียงพูดดังขึ้น พื้นรอบตัวของเขาก็ได้เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กำแพงควันสีดำรอบ ๆ โรงเรียน ค่อยไหลมารวมกัน ณ จุดที่กลุ่มควันกลางโรงเรียน เอกรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกดูดเข้าไปหาจุดศูนย์กลางนั้น เขาหันไปมองที่คนอื่นที่อยู่ข้างหลังเขา และได้เห็นว่ากำแพงที่ขวางไว้ในตอนแรกได้ค่อย ๆ หายไป ในหัวแว็บแรกของเขานึกถึงเรื่องที่เขามีโอกาสพาคนอื่น ๆ ออกไปให้พ้นจากเขตโรงเรียนแต่ความคิดนั้นก็ถูกรั้งไว้ด้วยความคิดที่จะต้องช่วยฟูโกะ เขายืนนิ่งด้วยความสับสน ไม่รู้จะควรทำอะไร ความเครียดเริ่มครอบงำตัวเขาจนเขากัดฟันด้วยความโกรธที่เขาจะต้องเลือกช่วยอย่างใดอย่างหนึ่ง จนกระทั่งความคิดอีกอย่างต้องพ่ายแพ้ไป เขาตัดสินใจหันหลังวิ่งกลับไปหาคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังเขา
เอกคว้าทุกคนมาแบกไว้ทั้งสามคนก่อนที่จะรีบวิ่งลงไปที่เมืองด้วยความเจ็บใจ เขาหันกลับมามองที่จุดที่ฟูโกะถูกดึงเข้าไปอีกครั้งจนสังเกตว่ากลุ่มควันที่ลอยอยู่รอบ ๆ เริ่มกลายเป็นรูปร่างบางอย่าง แต่เขาหันหน้ากลับมาตั้งหน้าตั้งตาวิ่งพาคนที่รอดหนีออกไปจากที่โรงเรียน
เขาวิ่งลงมาจากโรงเรียนอย่างเหน็ดเหนื่อย เขาเริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มล้าและแทบจะหมดเรี่ยวแรง จนขาที่กำลังล้าของเขาเกิดพลิกจนทำให้เขาล้มลงพร้อมกับคนอีกสามคนที่เขาพาลงมาต่างล้มลงไปกับพื้นรอบ ๆ เขา เจ้าตัวได้แต่กัดฟันและพยายามกลั้นความเจ็บปวดและเหนื่อยล้าในตอนนี้เอาไว้ และพยายามพาตัวเองเดินไปหาเพื่อนคนอื่น ๆ ที่นอนล้มอยู่กับพื้น แต่ดูเหมือนร่างกายของเขาจะมาถึงขีดสุดแล้ว ร่างของเอกทรุดลงไปในท่าคุกเข่า แม้เขาจะพยายามรั้งสติไว้มากเท่าไหร่แต่ดูเหมือนร่างกายจะไม่ตอบสนองความหวังดีของเขาอีกแล้ว และขณะเดียวกับที่เขาจะล้มไปทั้งตัว มือของใครบางคนก็ได้มาโอบรับตัวเขาไว้ก่อนที่หน้าของเขาจะถึงพื้นถนน
“เอก! แข็งใจไว้ก่อนนะ ! …”
เอกค่อย ๆ เงยหน้ามองเจ้าของเสียงที่คุ้นเคยผู้เป็นคนคอยพยุงเขาในตอนนี้
“...คานาอิ…” เอกกล่าวชื่อของเธอด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ก่อนจะเอื้อมแขนของเขาขึ้นมาจับแขนทั้งสองข้างของเธอ
“เธอยัง...ไหวอยู่ใช่มั้ย ? ” เอกถามคานาอิ
“อ่า...อืม”
“ถ้างั้น...ช่วยพาเรย์...กับเจ้าบ้าเฟย์หนีไปที่เมืองด้วยได้มั้ย ? ”
“เธอจะบ้าเหรอ !? แล้วเธอล่ะ ? ”
“...ฉันจะอยู่ต่อ...อย่างน้อยฉันพอจะมีทางทำอะไรสักอย่าง...กับไอควันสีดำนั่น...แล้วอาจจะช่วยฟูโกะได้...เพราะอย่างนั้น…” ระหว่างที่เอกจะพูดต่อ เขาก็ถูกคานาอิใช้หัวของเธอกระแทกหน้าผากเขาอย่างแรงจนเอกตกใจไปชั่วครู่
“...หยุดทีได้มั้ยเอก...ทำไมเธอไม่หัดเป็นห่วงตัวเองซะบ้างแทนที่จะมัวแต่มาห่วงคนอื่น !? ”
“....ไม่เป็นไรหรอก”
“ !? ” คานาอิที่ได้ยินคำตอบที่แสนจะน่าเศร้าก็ได้มองลึกเข้าไปที่แววตาอันเหน็ดเหนื่อยของเอก เอกค่อยดึงแขนทั้งสองข้างของคานาอิออกจากไหล่ของเขา ก่อนที่จะพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นโดยที่มีคานาอิคอยช่วยพยุงเอาไว้
และในช่วงเดียวกันนั้นเอง! หนวดสีดำปริศนาก็ได้พุ่งเข้ามาจากทางข้างหลังของทั้งคู่ เอกที่ตื่นตระหนกก็รีบโอบตัวของคานาอิไว้และพยายามกันตัวของเธอไว้!
ฉึก !!
เสียงบางสิ่งบางอย่างที่ถูกของมีคมตัดเข้าอย่างจัง ดังขึ้นมาจากข้างหลังของเอก เขารีบหันไปดูต้นตอก่อนจะพบเจอกับคนที่เขาคุ้นเคย
“ ชิฮิโระ !! ”
เอกเอ่ยชื่อของเจ้าของหอกยาวที่มีออร่าสีแดงอยู่รอบ ๆ
“หมอบลงก่อน ! ” ชิฮิโระตะโกนบอกคนอื่นโดยที่ไม่ได้หันหน้าไปกลับไปมองก่อนเธอจะควงหอกที่อยู่ในมือของเธอจนออร่าสีแดงเริ่มเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเธอหยุดควงมัน ที่ช่วงปลายไปจนถึงครึ่งหนึ่งของปลายหอกก็ปกคลุมไปด้วยเพลิงสีแดง ก่อนเธอจะชี้หอกไปที่ทางเงาสีดำที่ตามพวกเอกมาแต่แรก เปลวเพลิงขนาดใหญ่ก็ได้โพยพุ่งออกมาพุ่งตรงเข้าแผดเผาเงาที่ตามมาจนสิ้น
เมื่อปัญหาถูกกำจัดลง เธอจึงลดอาวุธลง แล้วหันไปสำรวจคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังเธอที่ต่างก็ทึ่งในสิ่งที่ชิฮิโระได้ทำไปเมื่อครู่
“...สุดยอดเลย…” คานาอิเอ่ยมาด้วยความที่เธอเพิ่งจะเคยเห็นพลังของชิฮิโระจริง ๆ จัง ๆ ครั้งแรก
“...เรย์จัง ! ...ทุกคน ! ยังอยู่ดีใช่รึเปล่า !? ”
ชิฮิโระรีบวิ่งกลับมาดูเพื่อนของเธอที่นอนอยู่กับพื้นกันแทบทุกคน เธอตรงเข้ามาดูสภาพของทุกคน แต่คนที่ดูเหมือนว่าเธอจะมีความกังวลเป็นพิเศษคือเพื่อนรักของเธอที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย
“มันเกิดอะไรขึ้นกัน! ทำไมเรย์จังถึงได้เลือดโชกแบบนี้ล่ะ! เรย์จัง! เธอไหวรึเปล่า !? ” เอกที่ถูกชิฮิโระหันมาถามก็ได้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเหลือบไปมองร่างที่ไม่ได้สติของที่อยู่ไม่ห่างมากนัก เขาคิดอย่างหนักว่าเขาควรจะบอกความจริงให้ชิฮิโระรู้หรือไม่
“...ความจริงแล้ว…” ระหว่างที่เอกกำลังจะบอกความจริงให้เธอรู้ ก็มีเสียงบีบแตรรถดังมาจากข้างหลังของเธอ
“เอ๊ะ !? ”
ทุก ๆ คนต่างก็ถึงกับประหลาดใจที่จู่ ๆ ก็เสียงรถตรงมาหาทางพวกเขาในช่วงเวลาแบบนี้ เอกพยายามมองให้เห็นว่าใครเป็นคนที่ขี่รถมา แต่ด้วยไฟรถที่สว่างจ้ามากทำให้แทบมองอะไรไม่เห็นเลย จนกระทั่งรถได้เข้ามาจอดอยู่ข้าง ๆ ทาง ไม่ห่างจากพวกเอกมากนัก
“รถโรงพยาบาลทัตสึมินี่...มีใครเป็นคนเรียกมางั้นเหรอ? ” ชิฮิโระเห็นรถพยาบาลที่จอดอยู่ก็ได้หันมาถามคนอื่น แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเป็นคนเรียกรถพยาบาลมาอีกนอกจาก 3 คันก่อนหน้าที่ฟูโกะเป็นคนโทรเรียก
บุคคลปริศนาที่อยู่ในรถก็ได้เปิดประตูพร้อมกับก้าวขาออกมาจากรถ และเมื่อคน ๆ นั้นหันหน้ามา ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าที่ช็อกและตกใจ
“ทาคุยะ!!” ทุกคนต่างเอ่ยชื่อของคนที่ขี่รถพยาบาลมาอย่างพร้อมเพรียง เจ้าตัวคนที่ถูกขานชื่อจ้องมองมาทางพวกเอกที่อยู่ไม่ห่างจากเขามากนัก
“ยังไหวกันอยู่ใช่มั้ย!? ถ้ายังไหวก็รีบขึ้นไปรถซะ!”
ทาคุยะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น คนอื่นที่อยู่ตรงข้ามกับเขา กลับทำสีหน้าที่ดูไม่ค่อยไว้ใจทาคุยะเอาเสียเลย หลังจากเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันมานี้
“ชิฮิโระ! คานาอิ! รีบพาเรย์กับเฟย์ไปขึ้นรถซะ!” ทั้งคู่ที่ถูกเอ่ยชื่อหันมามองที่เอกด้วยความแปลกใจ เมื่อเอกออกคำสั่งพวกเธอ
“เราจะเชื่อใจหมอนี่ได้งั้นเหรอ?” ชิฮิโระถามเอกที่กำลังค่อยลุกยืนขึ้น
“ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาสงสัยกันแล้ว อย่างแรกที่เราต้องทำคือ ออกไปจากเมืองนี้...ทาคุยะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะหมายเอาชีวิตเราอีกแล้วล่ะ” เอกพูดกับเพื่อน ๆ ของเขาที่ยังคงมีความกลุ้มกังวลอยู่ ก่อนที่ทุกคนจะค่อยๆ ตอบรับเหตุผลของเขาและค่อยพากันลุกไปที่รถพยาบาลที่ทาคุยะยืนดูอยู่ ชิฮิโระเป็นคนอุ้มเรย์ขึ้นไปที่หลังรถ ส่วนเอกเป็นคนแบกเฟย์ไว้บนบ่าเพื่อเดินไปที่รถ โดยมีคานาอิเดินตามมาติด ๆ หลังจากเขาพาเฟย์เข้าไปไว้ในท้ายรถแล้วเจ้าตัวเดินออกมาจากข้างรถ ตรงมาทาคุยะที่ตั้งท่าจะขึ้นไปขับรถ
“...ว่าแต่นายมาที่นี้ได้ยังไง?” เอกถามถึงข้อสงสัยของเขาที่มีต่อทาคุยะ ทาคุยะที่กำลังก้าวขาขึ้นไปนั่งบนรถก็หยุดชะงักจากคำถามของเอก ก่อนจะหันมาหาทางเอกที่ยืนอยู่ๆ ไม่ห่างจากเขานัก
“...ก็แค่...มีคนขอร้องมา…”
“...?” คำตอบของเขาทำให้เอกเกิดความสงสัยมากขึ้นไปกว่าเมื่อครู่
“...ใครขอร้องนายงั้น…!!?”
“!!??”
ระหว่างที่เอกจะถามต่อ ทั้งคู่ต่างก็หยุดไปหลังจากที่พื้นเริ่มเกิดแรงสั่นสะเทือนมากขึ้นเรื่อย ๆ รุนแรงชนิดที่ต้นไม้รอบ ๆ โค่นล้มกันเป็นกลุ่ม พื้นเริ่มแตกร้าวและเริ่มยกตัวสูงขึ้นเป็นชั้น ๆ ทาคุยะที่เห็นแบบนั้นก็รีบขึ้นรถและทำการสตาร์ทรถทันที เอกก็ไม่รอช้าที่จะขึ้นไปที่ด้านหลังของรถ ทาคุยะรีบถอยรถและเหยียบคันเร่งรถออกตัวลงจากถนนตรงไปยังตัวเมือง แต่ระหว่างที่รถคนนี้กำลังมุ่งหน้าตรงลงไปยังเมือง พื้นถนนด้านหลังก็เกิดทรุดลงไปจากระดับพื้นเดิมไล่ตามรถมาอย่างกระชั้นชิด และไม่อึดใจถนนที่ทรุดลงไปก็ได้ไล่ตามรถคันนี้ทันเข้าจนได้ ทาคุยะพยายามเหยียบคันเร่งอย่างสุดแรงเกิดด้วยความตื่นตระหนก ทุกคนที่คนที่อยู่ท้ายรถพากันผวาและตกใจ เอกรีบลุกไปเปิดประตูหลังของรถพยาบาลดู ก่อนจะพบว่าท้ายรถติดหลุมขนาดใหญ่อยู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะสังเกตเห็นว่าพื้นที่ยุบไปแล้วก่อนหน้านี้เริ่มถูกกระแทกดันขึ้นมาไล่มาตามทางที่ทรุดไปแล้ว เขาตัดสินใจกระโดดลงมาจากรถก่อนจะทำให้เคลือบแขนของตนเองด้วยเกราะแสงก่อนจะทุ่มกำลังสุดชีวิตเพื่อยกท้ายรถให้ออกจากหลุม ด้วยน้ำหนักของรถที่มากอยู่พอตัวรวมไปกับน้ำของคนทั้ง 5 ชีวิตที่อยู่บนรถตอนนี้ เอกตัดสินใจสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วกลั้นเอาไว้ ก่อนจะออกกำลังแขนสุดแรงเกิดจนท้ายรถลอยขึ้นมาจนพ้นหลุมดังกล่าว แต่เมื่อท้ายรถกลับมาวิ่งต่อได้แล้วตัวรถก็ได้พุ่งไปต่ออย่างไม่รีรอ แต่เอกก็กลับเลือกที่จะไม่ตะโกนให้รถหยุด เขาจ้องมองรถที่กำลังวิ่งห่างไปเรื่อย ๆ จนเขาเห็นว่าจู่ ๆ ท้ายประตูรถก็ถูกเปิดออก และมีใครบางคนที่อยู่ท้ายรถ เขาพยายามจ้องมองจนพบว่าเป็นคานาอิที่กำลังทำท่าทางตะโกนอะไรสักอย่างอยู่ แต่เอกก็ไม่รู้ว่าอีกฝั่งพยายามบอกอะไร เพราะตอนนี้รถคันนั้นก็ได้วิ่งไปพ้นระยะที่เขาจะมองเห็นแล้ว เขาละสายตาจากรถพยาบาลและตัดสินใจหันกลับไปที่โรงเรียนอีกครั้ง เอกวิ่งย้อนกลับไปที่โรงเรียนซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยกลุ่มก้อนควันขนาดมหึมาที่ขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ ลอยอยู่เหนือโรงเรียนมาฮาระกุชิ
“...ดูเหมือนสถานการณ์จะเลวร้ายกว่าที่คิดแล้วแหะ…” เขาตัดพ้อระหว่างที่กำลังวิ่งขึ้นไปอยู่ ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างกำลังออกมาจากกลุ่มก้อนควันสีดำ ก่อนที่มันจะร่วงหล่นลงมาที่พื้นทางข้างหน้าไม่ห่างจากเอกนัก ก่อนที่เขาจะรู้ว่าสิ่งที่ร่วงหล่นลงมาคือเฟียร์ทั้งหมดที่ก่อนหน้านี้เขาและเพื่อนช่วยกันกำจัด เฟียร์มากมายต่างพุ่งถาโถมเข้ามาหาเอกที่วิ่งตรงเข้าไปหาพวกมันอย่างไม่เกรงกลัว เขาหยิบ Evoker ออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะกำมันจนแตก
“โจชิ โยซามุ!!”
เขาตะโกนเรียกชื่อบางอย่างขึ้นมาก่อนที่เศษจาก Evoker และเกราะแสงที่แขนของเอกค่อยสร้างรูปร่างออกมาเป็นดาบซามูไรในมือของเขา จากนั้นที่ขาของเขาก็เริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาเคลือบเป็นเกราะ และเมื่อเกราะที่ขาของเขาสร้างขึ้นมาสำเร็จเร่งกำลังวิ่งการวิ่งให้สูงขึ้นไปอีก และกระโดดเข้าใส่เฟียร์ที่วิ่งกรูเข้ามาหาเขา เฟียร์นับร้อยพยายามโจมตีเอกที่กระโดดลงมากลางกลุ่มของพวกมัน แต่ด้วยความไวของเอกในตอนนี้ทำได้เพียงแค่โจมตีใส่อากาศเปล่า และเมื่อเอกเห็นท่าทีว่าพวกมันตามความเร็วของเขาไม่ทัน เขาจึงเริ่มลงมือกวัดแกว่งดาบในมือของเขาเข้าโจมตีพวกมันทีละตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยการโจมตีแค่ครั้งเดียว ร่างของเฟียร์ที่ถูกเอกโจมตีก็ระเบิดสลายกลายเป็นชิ้นแทบในชั่วพริบตา เอกที่กำลังไล่ฆ่าเฟียร์ที่กำลังเข้ามาหาเขาอย่างไม่หยุดหย่อน สามารถสำผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่อยู่ในกลุ่มควันสีดำมหึมาใจกลางโรงเรียน เฟียร์ที่กำลังเข้ามาจู่โจมอีก ก็ได้หยุดชะงักไปและทุกตัวต่างหันกลับไปมองกลุ่มควันที่ให้กำเนิดพวกมันขึ้นมา เอกรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติกำลังเกิดขึ้น ก่อนที่เอกจะได้ทันคิดอะไรเฟียร์ทั้งหมดที่เหลือที่ล้อมเข้าอยู่ต่างพากันมุ่งตรงไปยังก้อนควันสีดำ บ้างก็บินกลับเข้าไป บ้างก็ปีนขึ้นไปที่อาคารเรียนก่อนจะโดดกลับเข้าไปในกลุ่มควัน เอกที่เห็นสถานการณ์ดูท่าไม่ดีก็ได้เตรียมอาวุธขึ้นมากันรับไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
ครืนนนนน!!!
เสียงบางอย่างดังออกมาจากกลุ่มก้อนควันดังกล่าว ก่อนที่มันจะเกิดคลื่นพลังขนาดใหญ่ระเบิดออกมาและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใกล้ ๆ อาคารเรียนทุกอาคารที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างก็ถูกทำลายสลายเป็นผุยผง คลื่นขยายตัวกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ และตรงเข้ามาหาเอก เขาถึงตกตะลึงกับจำนวนพลังมหาศาลที่กำลังถาโถมมาหาเขา เอกที่เมื่อรู้ว่าดาบไม่น่าจะช่วยอะไรเขา จึงทำให้มันคืนสภาพกลายเป็น Evoker เหมือนดังเดิมก่อนจะเก็บมันเข้ากระเป๋าเสื้อไป และทำท่าเหมือนจะถอยหนีออกมา จนในเสี้ยววินาทีนั้นเอกก็คิดถึงเรื่องหนึ่งได้ขึ้นมา
‘ถ้าคลื่นนี้มันขยายตัวได้เรื่อย ๆ พวกคนที่ยังหลงเหลืออยู่ในเมือง พวกเรย์ที่กำลังหนีออกนอกเมืองด้วยรถพยาบาล ก็คงมีหวังถูกคลื่นเฮงซวยเล่นงานเอกได้’
เอกที่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ได้ก็ได้หยุดวิ่งและหันกลับไปเผชิญหน้ากับเคลื่อนพลังมรณะนี้อีกครั้ง
“เวรเอ๊ย!!” เอกใช้พลังแสงขึ้นมาเคลือบเป็นเกราะอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่ใช้แค่ที่แขนกับขา แต่เป็นทุกส่วนของร่างกาย ก่อนจะโฟกัสให้เกราะที่แขนและขาหนากว่าทุกส่วน
เขาตั้งท่ารับคลื่นที่ขยายใหญ่ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเมื่อคลื่นดังกล่าวขยายมาจนถึงตัวเขา เอกก็พบว่าคลื่นพลังนี้ดูท่าจะรับไม่ง่ายเหมือนที่คิด เพราะในขณะที่เขาพยายามใช้พลังแสงที่โฟกัสไปที่มือทั้งสองข้างเพื่อพยายามต้านทานคลื่นเอาไว้ สัมผัสในคลื่นที่เขารู้สึกได้มันเต็มด้วยความทุกข์ทรมานอย่างที่เขาอธิบายไม่ได้ เอกพยายามยึดตัวเองไม่ให้ถูกดันไปมากกว่านี้จนสุดชีวิต กระทั่งเท้าทั้งสองข้างถูกกดดันจนจมพื้นไปเรื่อย ๆ
“อ้ากกกกกกกกก!!!”
เอกส่งเสียงร้องคำรามดังก้องพร้อมกับพยายามต้านทานคลื่นให้ได้จนถึงที่สุด แต่ก็ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะมาได้เพียงเท่านี้ เมื่อเกราะรอบ ๆ ตัวของเขาเริ่มแตกสลายไปทีละส่วน เปิดช่องว่างให้คลื่นพลังทำความเสียหายแก่ส่วนต่าง ๆ ของร่างเขา ขาที่ถูกบางอย่างบาดจนเลือดไหลนอง และในช่วงวินาทีสุดท้ายที่เกราะที่แขนของเขาจะหายไป เอกได้ตัดใจที่จะสู้พร้อมกับหยุดทุกการต่อต้านและปล่อยให้ร่างของตนเองค่อย ๆ ถูกคลื่นพลังทำลายเขาจนสิ้น แต่ถึงชีวิตของเขาใกล้จะจบลง ใบหน้าของเขาในช่วงวินาทีนั้นกลับเป็นใบหน้าของความโล่งใจและปล่อยวาง…
‘...สุดท้ายก็...ทำเท่าที่ทำได้ล่ะนะ…’
[มันจะแปลกมั้ย? ถ้ามนุษย์คนต้องการตายแทนที่จะมีชีวิตอยู่ ปลายทางของคนเหล่านั้น มักจะลงเอยด้วยการสูญเสียและความโศกเศร้าเสมอ…]
!!
ประโยคที่คุ้นดังก้องกังวานขึ้นมาในหัวของเอก ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาและพบว่าสถานที่รอบตัวของเขาได้เปลี่ยนไป กลายเป็นที่ ๆ เต็มไปด้วยสีขาว จนแทบแยกไม่ออกเลยว่ากำลังอยู่ทิศไหน มันเป็นสถานที่ที่ตัวเขาเองไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว
“ที่นี่มัน...หึ ฉันคงตายแล้วสินะ…”
[เปล่าหรอก เธอยังสบายดีอยู่]
เสียงเด็กปริศนาที่เคยพูดกับเขาเมื่อนานมาแล้ว ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา ก่อนเอกจะรีบหันกลับไปหาต้นตอของเสียง แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปจากเดิม เพราะแต่เดิมที่เขาได้ยินแต่เสียง ครั้งนี้สิ่งที่อยู่ต่อหน้าเอกคือร่างโปร่งใสที่แทบเลือนรางจนมองไม่เห็น แต่เอกก็สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาเป็นร่างของเด็กผู้ชายอย่างแน่นอน
“นี่เธอ…”
[อ่า...นี่เป็นครั้งแรกที่เราเจอกันตัวต่อตัวสินะ]
“...ว่าแต่ที่บอกว่าฉันยังสบายดีอยู่ก่อนหน้ามันหมายความว่ายังไงนะ”
[เธอลืมไปแล้วเหรอ โลกนี้เป็นที่โลกที่อยู่ระหว่างความเป็นจริงและความฝัน เหตุการณ์ที่กำลังขึ้นข้างนอกตอนนี้ก็เหมือนกำลังถูกหยุดเวลา ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นที่โลกภายนอก ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับโลกนี้หรอก]
“...แล้วทำไม..”
[...เพราะผมต้องไปแล้วนะสิ]
“..!!?”
เอกที่กำลังถามเด็กน้อยถึงเหตุผลที่ว่าช่วยเขาไว้ทำไม ถูกอีกฝั่งตอบกลับมาด้วยประโยคที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ
“หมายความว่ายังไง? ที่ว่านายจะต้องไปแล้วนะ...”
[ก่อนหน้าที่เราเจอกัน...ผมยังไม่มีพลังมากพอที่จะคงสภาพเป็นร่างกายเพื่อพูดคุยกับเธอได้เลย ได้มากที่สุดก็แค่เสียง...แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป...โลกนี้กำลังเปลี่ยนไป...ตัวตนของผมกำลังถูกเรียกหา...]
“ถูกเรียกหา...งั้นเหรอ….”
[....ผมเชื่อนะ ว่าสักวันเราจะได้กันอีก...]
“....”
[...อย่าทำหน้าเศร้าไปสิ ผมเข้าใจดีว่าเธอผ่านอะไรมาบ้างในชีวิต ถึงเธอจะไม่รู้ตัว...แต่ผมนะเฝ้าดูเธอมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้วล่ะ เพราะงั้นผมถึงได้เข้าใจสถานภาพของเธอแบบชัดเจน]
“....”
[ถึงสุดท้ายทุกคนจะทอดทิ้งนายไปเหมือนอย่างที่ผ่านมา...แต่อย่างน้อยนายก็ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อคนที่จากนายไปแล้วนะ...เหมือนอย่างที่คนสำคัญของเธอคนหนึ่งเคยบอกเธอไว้ไง..]
“!!” เอกถึงกับต้องอึ้งเมื่ออีกฝั่งพูดถึงความหลังเก่าของเขาออกมาอย่างทะลุปรุโปร่ง และเพราะด้วยคำพูดนั้น มันทำให้เขานึกได้ถึงประโยคหนึ่งที่เขาเคยได้ยินมาแล้ว เมื่อนานแสนนาน…
// มันจะแปลกมั้ย? ถ้ามนุษย์คนต้องการตายแทนที่จะมีชีวิตอยู่ ปลายทางของคนเหล่านั้น มักจะลงเอยด้วยการสูญเสียและความโศกเศร้าเสมอ…แทนที่คนเหล่านั้นพยายามจะมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อจดจำเรื่องราวดี ๆ ที่พวกเขาเคยมี คนที่พวกเขารัก สิ่งที่พวกเขารัก ทุกเสี้ยววินาทีแห่งความสุขที่พวกเขามีให้กัน...เพราะอย่างนั้น ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ก็จงใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุดนะ...เอก //
คำพูดดังกล่าวไหลเข้ามาในหัวของเอก พร้อมกับภาพเลือนลานของใครบางคนที่เป็นเจ้าของคำพูดนั้น ทำให้น้ำตาของเอกค่อยไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ร่างกายก็พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจะยืนไหว ร่างที่โปร่งใสของเด็กปริศนาที่ได้เห็นท่าทางของเอกก็ได้แสดงกิริยาถึงความโล่งอกโล่งใจ ก่อนที่ร่างกายของเขาจะค่อย ๆ เริ่มหายไปเรื่อย ๆ เอกได้เงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมาจ้องมองเด็กปริศนาอีกครั้ง
“...นี่...นายชื่ออะไรงั้นเหรอ?”
เด็กน้อยที่ร่างกายเริ่มจางหายไปก็ได้ยิ้มที่มุมปากหลังจากได้ยินคำถามนั้น
[...อาร์คานา...ฉันชื่ออาร์คานา]
หลังจากเด็กน้อยได้กล่าวชื่อของตนเองแล้ว เอกในโลกแห่งความเป็นจริงก็ได้ตื่นขึ้นมา และพบว่าแขนทั้งสองข้างของเขายังพยายามต้านคลื่นมรณะนี้ไว้อยู่ แต่ครั้งนี้เขามีความตั้งใจที่แน่วแน่ แต่ถึงเขาจะพยายามแค่ไหน คลื่นพลังนี้ก็ดูจะมากเกินไปสำหรับตัวเขา แขนที่เริ่มรู้สึกถึงความช้ำและความเหนื่อยล้าก็ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว
ตูมมม!!!
กำลังคลื่นพลังที่เอกต้านอยู่ จู่ ๆ ก็หยุดไปทันทีที่เกิดเสียงระเบิดที่ดังสนั่นดังมาจากเหนือหัวของเขา เอกรีบหันขึ้นไปมองทิศทางของเสียงระเบิดที่ดังขึ้น ก่อนที่เขาจะเห็นว่าคลื่นพลังขนาดใหญ่ถูกคลื่นพลังบางอย่างอีกกลุ่มพุ่งเข้าขนจนค่อยสลายหายไป
“...นี่มัน…?”
เอกมองย้อนหันกลับไปข้างหลังของเขา และเขาได้พบกับยานบินรูปร่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และที่นอกตัวยานมีใครกำลังยืนอยู่บนนั้น
หญิงสาวในชุดคนชั้นสูงสีขาว ผมสีดำทวินเทล และในมือของเธอก็ได้ถือดาบคาตานะเอาไว้อยู่ เธอกระโดดตัวลงมาจากยานก่อนจะถึงพื้นอย่างนุ่มนวล ราวกับว่าร่างกายของเธอนั้นบางเบาดังขนนก และเมื่อมองไปรอบพื้นที่ของเธอ สายตาของเธอได้พบเข้ากับเอกโดยบังเอิญและนั้นทำให้เธอแสดงอาการตกใจเมื่อได้เห็นเอก
“...อะ...เอกงั้นเหรอ!?” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูประหลาดใจมาก ก่อนจะเดินตรงมาเขาโดยไม่มีความลังเลแต่อย่างใด เอกที่ยังมีความรู้สึกที่ไม่ไว้วางใจเธอก็พยายามถอยห่างเธอ แต่ทว่าร่างกายของเขาก็เลือกที่จะไม่ต่อต้านไปมากกว่านี้ เพราะยิ่งเธอเดินเข้ามาใกล้เขาเรื่อย ๆ เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“...ใช่...ใช่เธอจริงด้วย เอก!”
“...เอ๋?”
วูมมมมมม!!!
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังจะสนทนา มีเสียงดังบางอย่างมาจากทางในโรงเรียน ควันสีดำที่ลอยรวมกันอยู่ ก็ค่อย ๆ เปิดเผยรูปร่างมาจากการรวมกันของเฟียร์หลาย ๆ ตัว
กลายเป็นปีกที่มีรูปร่างคล้ายปีกผีเสื้อขนาดมหึมาที่แผ่กระพือออก มีขนาดที่กว้างใหญ่กว่าโรงเรียนมาฮาระกุชิ พื้นที่โดยรอบปกคลุมไปด้วยเงาดำทมิฬ และ ณ ใจกลางของปีกก็ปรากฏเป็นร่างของมนุษย์ที่ไม่มีเสื้อผ้า และไม่มีแม้แต่กระทั่งอวัยวะที่บ่งบอกได้ว่าเป็นเพศไหน สายตาที่ขาวโพลนของมันจ้องลงมาที่ทั้งสองคน ก่อนมันจะเริ่มส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ก่อนจะมีแสงถูกยิงออกมาจากปีกของมันพุ่งตรงมาที่ทั้งคู่ยืนอยู่ หญิงสาวปริศนาที่เห็นการโจมตีที่กำลังพุ่งตรงมาทิศทางของเธอก็ไม่รอช้ารีบดึงแขนของเอกให้หลบไปที่ข้างหลังของเธอ ก่อนที่เธอจะเหวี่ยงดาบปะทะกับลำแสงที่พุ่งเข้ามาจนมันสลายหายไป ก่อนตัวของเธอจะมีแสงสีฟ้าขึ้นมาที่รอบ ๆ ตัวของเธอ เอกที่ได้เห็นถึงพลังของเธอก็ทั้งรู้สึกประหลาดใจ และตกตะลึง
หลังจากที่ลำแสงทั้งหมดถูกทำลาย เธอก็ได้ลอยตัวขึ้นไปหาเจ้าสิ่งลึกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเผชิญหน้ากันกลางอากาศในระยะที่ห่างกันไม่มาก
“...สุดท้ายแกก็คืนชีพขึ้นมาจนได้นะ ‘โฟบอส’ ” เธอพูดกับเจ้าตัวที่ลอยอยู่ตรงข้ามกับฝั่งของเธอ ราวกับว่าทั้งคู่เคยได้พบกันมาก่อนแล้ว
“...เจ้าหญิงแห่ง ‘มาเทีย’ นี่เอง...นานมากแล้วเหมือนกัน นับตั้งแต่วันที่พวกของแกสังหารข้าไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน”
“งั้นคราวนี้ก็ไม่ต้องห่วงไปหรอก...ฉันจะทำให้มั่นใจเลยว่าแกจะคืนชีพกลับมาไม่ได้อีก!”
เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างพูดประโยคที่ตัวเองอยากพูดแล้ว การต่อสู้ก็ได้เริ่มต้นขึ้น!
เจ้าสิ่งลึกลับที่เธอเรียกว่าโฟบอส กระพือปีกอันใหญ่มหึมาแล้วพุ่งเข้าหาเธออย่างรวดเร็วจนตาแทบมองไม่ทัน พื้นที่รอบ ๆ ที่มันบินผ่านเกิดเป็นลมพายุรุนแรง มันใช้แขนที่มีกรงเล็บขนาดใหญ่อันแหลมคมแหว่งไปหาเธออย่างรุนแรง แต่ทว่ากรงเล็บของมันถูกหยุดไว้ได้ด้วยดาบคาตานะของเธอ เธอใช้ดาบผลักกรงเล็บของมันออกไปก็จะบินพุ่งตัววนผ่านไปรอบ ๆ แขนของโฟบอส แล้วมาหยุดอยู่ต่อหน้าของมันโดยที่มันแทบจะไม่ทันได้รับรู้อะไร
“นะ...หน็อยแน่แก!!!?” โฟบอสบอสใช้แขนข้างเดิมที่มันใช้โจมตีเข้ามาจับตัวของเธอไว้ แต่มันรู้สึกได้ว่าแขนข้างดังกล่าวของมันไม่ยอมขยับดังที่ใจมันนึกได้ มันจ้องมองไปที่แขนข้างดังกล่าวด้วยความตกใจ เพราะแขนข้างนั้นได้ถูกตัดออกไปแล้ว แล้วกำลังร่วงหล่นไปที่พื้นด้านล่าง
“อ้ากกกกก!!! ...นังสารเลว!!!!” โฟบอสบันดาลโทสะโจมตีอีกครั้งด้วยการยิงคลื่นสีดำออกจาปากเข้าใส่เธอในระยะประชันชิด คลื่นดังกล่าวที่ถูกยิงออกมานั้นถูกยิงลากยาวไปจนถึงนอกเมือง สิ่งก่อสร้างโดยรอบถูกทำลายจากแรงระเบิดอย่างราบคาบ แต่ทว่ามันก็ต้องถึงกับตกใจอีกครั้งที่คนที่มันโจมตีใส่ในระยะประชิดเมื่อครู่ พุ่งออกมาจากคลื่นสีดำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะใช้ดาบของเธอแทงไปที่กลางใบหน้าของมันเข้าอย่างจัง และเธอใช้โอกาสดังกล่าวแหว่งมันออกไปจากตำแหน่งที่เธออยู่
โฟบอสที่ถูกเหวี่ยงออกไปพยายามตั้งหลักอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แทนที่มันจะพยายามสู้ต่อ มันก็เริ่มรู้หวาดกลัวที่จะสู้ต่อขึ้นมา
“หึ โฟบอส แห่งความกลัว ดันกลับมาเป็นฝ่ายหวาดกลัวซะเองงั้นเหรอ?” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเชิงเยาะเย้ยกับโฟบอส และนั้นก็มากพอที่จะให้โทสะของโฟบอสทวีคูณมากขึ้นไปอีก
“ฮึ่ม!! หุบปาก!! หุบปาก!! กล้าทำเป็นพูดดี ก่อนหน้านี้ที่แกสู้กับฉัน ถ้าไม่มีเพื่อนของแกช่วย แกมันก็จบเห่!!” โฟบอสพูดระลึกถึงเหตุการณ์ที่เคยผ่านมาในครั้งอดีต
“...งั้นฉันจะบอกอะไรดี ๆ ให้แกฟังก่อนจะหายไปจากโลกนี้ให้...ฉันตอนนี้กับเมื่อ 17 ปีที่แล้วนะ มันไม่เหมือนเดิมแล้ว!!”
หลังจากที่เธอพูดเสร็จเธอก็ได้ชูดาบคาตานะไว้เหนือหัว ชี้ไปบนท้องฟ้า รอบ ๆ ตัวเธอเริ่มมีออร่าสีฟ้าสว่างขึ้นมาเรื่อย จนบรรยากาศรอบ ๆ เริ่มสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว โฟบอสรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้า และเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมองมันก็ได้แสงบางอย่างพุ่งตรงลงมาจากท้องฟ้า ก่อนที่จะไปรวมกันที่ดาบคาตานะที่อีกฝ่ายถืออยู่ จนเมื่อแสงปริศนาไปรวมกันที่ดาบจนหมดแล้ว เธอค่อย ๆ ชี้ดาบมาทางที่โฟบอสอยู่
“สตาร์ไลท์ เอ็กซ์เตอมิเนชั่น!!!”
หลังจากสิ้นประโยคของเธอ ลำแสงสีฟ้าได้โพยพุ่งออกมาจากดาบและได้พุ่งทะลุผ่านตัวของโฟบอส เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่ว ก้อนเมฆน้อยใหญ่ต่างพากันหายไป ร่างของโฟบอสค่อย ๆ ถูกแสงดังกล่าวทำลายไปเรื่อย ๆ มันส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างและปีกของมันกำลังถูกความร้อนเผาไหม้ และสลายไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่มีส่วนหนึ่งของร่างมันที่หลุดกระเด็นออกมาก่อนที่ร่างหลักกำลังสลายไป ชิ้นส่วนดังกล่าวค่อย ๆ ตกลงไปเรื่อยโดยระหว่างที่มันกำลังหล่นไป ตัวชิ้นก็ค่อย ๆ สลายไปตามทาง เอกที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ที่ยังคงตกตะลึงกับการต่อสู้ที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ ก็ได้สังเกตเห็นถึงชิ้นส่วนบางอย่างที่กำลังใกล้จะตกลงมา เขาพยายามเพ่งตา มองไปวัตถุดังกล่าว และเขาก็ถึงกับช็อกที่เขาได้เห็นมือของใครบางคนโผล่ออกมาจากวัตถุดังกล่าว เขารีบวิ่งไปหาสิ่งนั้นทันทีโดยไม่รีรอเพราะนั้นอาจจะเป็นสิ่ง ๆ เดียวกับที่เขาคิด เขากระโดดพุ่งตัวไปรับมันก่อนที่จะมันจะตกถึงพื้น เมื่อเขารับมาได้แล้ว เอกค่อย ๆ วางมันลงกับพื้น ก่อนจะพยายามดึงชิ้นส่วนต่าง ๆ ออกเพื่อช่วยคนที่ติดอยู่ และเมื่อเขาดึงชิ้นส่วนดังกล่าวจนได้เห็นใบหน้าของคนที่อยู่ข้างใน ดวงตาของเขาก็เริ่มมีน้ำตาออกมา
“ฟะ...ฟูโกะ!! ...เฮ้!! ได้ยินที่ฉันพูดรึเปล่า!?”
เอกค่อย ๆ ดึงร่างของเธอออกมาจากชิ้นส่วนดังกล่าว มาไว้ในอ้อมกอดของเขาพร้อมกับพยายามเรียกสติของฟูโกะคืนมา
“...นั่น...เอกเหรอ?” ฟูโกะที่ได้ยินเสียงเรียกของเอกค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองหน้าของเขา แววตาของเธอดูเหมือนราวกับคนที่เหนื่อยล้าจนไม่อาจจะลืมตาตื่นมาได้เต็มที่
“เธอไม่เป็นอะไรแล้วนะ...รอก่อน ฉันจะรีบพาเธอไปหาหมอเดี๋ยวนี้ล่ะ!” เอกค่อย ๆ อุ้มฟูโกะขึ้นมา ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งไปออกนอกโรงเรียน
“...เอก...ตัวเธออุ่นดีจัง” ฟูโกะที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็ได้พูดบางอย่างที่เขาแปลกใจขึ้นมา
“เอ๋?”
“...นานมากแล้ว...ที่ฉันไม่ได้อ้อมกอดที่อบอุ่นแบบนี้...หลังจากที่แม่ฉันเสีย...นั้นก็นานมากแล้ว...แม้แต่พ่อฉันเองหรือจะญาติก็ไม่เคยมีใครมอบความให้กับฉันเลย…”
“...”
“...แต่ตั้งแต่ที่เธอมาช่วยฉัน...เธอแนะนำฉันให้เพื่อน ๆ เธอรู้จัก...เธอคอยคุยเป็นเพื่อนฉัน...เธอพยายามเข้ามาช่วยฉันโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นยังไง...ฉันดีใจมาก ๆ เลยนะ….” ฟูโกะพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
“...อะ...อ่า”
“...ฉันมีความสุขมาก ๆ เลยนะ…” ฟูโกะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เบาจนเอกแทบไม่ได้ยิน
“...ฟูโกะ...เธอเป็นอะไรมากรึเปล่า? ...”
“.....”
“ฟูโกะ”
“.....”
“นี่...ฟูโกะ”
“ฟูโกะ...เฮ้! เธอได้ยินฉันรึเปล่า!?”
“....”
ฝีเท้าของเอกที่วิ่งอยู่ค่อย ๆ ช้าลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหยุดลง สีหน้าของเขาเริ่มซีดเผือดเพราะบางสิ่งที่เขากลัวอาจจะกำลังเกิดขึ้นแล้ว เขาพยายามยืนหน้าของเขาเข้าไปหาฟูโกะ จนจมูกของเขาและเธอใกล้จะชนกันแล้ว…
เธอไม่มีลมหายใจแล้ว…
น้ำตาของเอกไหลเอ่อออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างก่อนจะหยดลงไปบนใบหน้าที่ยังคงมีรอยยิ้มของฟูโกะอยู่
“...ฮึก...ฟูโกะ....ฮือ….นี่มัน...โกหกใช่มั้ย!?”
มันใช้เวลาไม่นานที่การพยายามกลั้นความรู้สึกของเอกจะไม่เป็นผล ก่อนที่เขาจะปล่อยน้ำตาแห่งความโศกเศร้าออกมาอย่างบ้าคลั่ง โดยที่เขายังกอดร่างอันไร้วิญญาณของฟูโกะไว้แน่น ราวกับว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยเธอไป…..
...ฉันรักเธอนะ…
เวลา 07.35 น.
ชานเมืองทัตสึมิ
ณ ชานเมืองทัตสึมิ ที่ที่ประชาชนที่อาศัยอยู่ต่างพากันมาหลบภัยกันชั่วคราว พลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากหน้าหลาย โดยไม่ห่างกันนักก็มีรถพยาบาล และเต็นท์สำหรับดูแลผู้ป่วยและผู้ได้รับบาดเจ็บ ผู้คนกลุ่มดังกล่าวสังเกตเห็นยานบินลำใหญ่กำลังบินตรงมาที่ ๆ พวกเขาอยู่ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ ลงจอดในลานกว้าง เจ้าหน้าที่บางส่วนวิ่งตรงไปที่ยานที่จอดแล้วพร้อมกับเตียงเคลื่อนที่ไปด้วย และเมื่อท้ายยานเปิดออก คนแรกที่เดินออกมาคือ หญิงสาว คนก่อนหน้าที่สู้กับโฟบอส
เธอเดินตรงไปหาเจ้าหน้าที่ ที่มายืนรอพร้อมเตียง
“...ข้างในมีผู้เสียชีวิตอยู่ 1 ราย...ส่วนอีกคนปลอดภัยดี...ฝากที่เหลือต่อด้วยละกันนะ” เธอออกคำสั่งกับเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าว ก่อนที่คนกลุ่มโค้งคำนับเธอและเดินตรงเข้าไปในยาน สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นเดินเข้าไปแล้วคือ ร่างของเด็กผู้หญิงที่นอนนิ่งสงบบนที่นั่งยาน โดยข้าง ๆ มีเด็กหนุ่มที่ใบหน้าปราศจากชีวิตชีวา ราวกับว่าจิตของเขาล่องลอยไปไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ผ่านไปสักพัก เจ้าหน้าที่พากันเดินลงมาจากยานพร้อมกับร่างของฟูโกะที่ถูกผ้าคลุมอยู่บนเตียง ก่อนที่เอกจะเดินตามลงมาด้วยเป็นคนสุดท้าย เขาจ้องมองเตียงที่มีร่างของฟูโกะถูกเข็นห่างออกไปเรื่อย ๆ เขามองไปจนกระทั่งไปเห็นคานาอิกำลังยืนอยู่ เขารีบวิ่งเข้าไปหาเธอที่กำลังเดินเข้าไปในเต็นท์ดูแลคนเจ็บ โดยด้านหน้าเต็นท์มีทาคุยะยืนกอดอกอยู่ด้านหน้าทางเขา แต่เอกก็ได้เดินผ่านเขาไปแล้วรีบตรงไปหาคานาอิ ซึ่งตัวทาคุยะเองก็ได้เห็นว่าเอกเดินทางมาถึงแล้วแต่เขาก็ทำได้แต่ชำเลืองมองเอกที่เดินผ่านเขาไป เอกวิ่งโผเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็วก่อนจะยื่นมือไปจับแขนของคานาอิไว้
“อะ...เอก!!?” คานาอิที่หันไปมองคนที่จับแขนของเธอก็ถึงดับตกใจที่ได้เห็นเขา
“พะ...พวกเธอเป็นไงบ้าง? ...แล้วเรย์ล่ะ?”
คานาอิที่ได้ยินคำถามสุดท้ายของเอก ก็มีสีหน้าและท่าทีที่เปลี่ยนไป
“...เกิด...อะไร!?” เอกเริ่มรู้สึกได้ว่ามีบางที่กำลังเกิดขึ้น และเป็นบางสิ่งที่แย่มาก ๆ
จนเอกเหลือบไปเห็นชิฮิโระกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ เตียงใครสักคนหนึ่งที่น่าจะเป็นเรย์อยู่ เขาตัดสินใจเดินผ่านคานาอิที่ใบหน้าซีดเผือดไป และเดินตรงไปหาชิฮิโระ ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นว่าคนที่อยู่บนเตียงนั้นมีผ้าขึ้นมาปิดที่ใบหน้าแล้ว แต่เอกก็ยังเลือกที่จะเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของชิฮิโระ และเมื่อเธอหันหลังมาเห็นเขา จู่ ๆ เธอก็โผเข้ามากอดเอกทั้งน้ำตา
“...มันเกิดอะไรขึ้น?” เอกเอ่ยถามชิฮิโระด้วยความสงสัย
“เอก...เรย์จังนะ...เรย์จังนะ!!”
“...”
“...จากพวกเราไปแล้ว!!”
ชิฮิโระเอ่ยพูดทั้งน้ำตาและน้ำเสียงที่สั่นเครือ เอกที่ได้ยินดังนั้นก็ได้หันไปมองที่เตียงอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเห็นว่าอีกฝั่งนั้น แม่ของเรย์ก็นั่งอยู่ด้วยพร้อมกับกุมมืออันเย็นยะเยือกของร่างลูกสาวที่ไร้วิญญาณ
“ทะ...ทำไม…?”
“....เราพยายาม...มาให้ทันเวลาที่สุดแล้ว...แต่เธอ...เสียเลือดมากจนเกินไป!!”
เธอบอกเหตุผลกับเอกทั้งน้ำตา และเอกที่ได้ยืนจ้องมองร่างของเพื่อนสมัยเด็กนอนแน่นิ่ง ก็ไม่สามารถที่จะยืนไหวอยู่ต่อไปได้ ร่างของเขาทรุดลงไปกับพื้นก่อนที่จะปลดปล่อยน้ำตาออกมาโดยที่มีชิฮิโระคอยอยู่ข้าง ๆ เขา…
คานาอิที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากทั้งคู่มากนัก ก็ได้แสดงสีหน้าเศร้าออกมา ก่อนเธอจะสังเกตว่ามีใครเดินมาหาเธอจากข้างหลัง
“...ขอโทษด้วยนะที่แม่ช่วยอะไรไม่ค่อยได้ คานาอิ…” หญิงสาวก่อนหน้านี้ที่สู้โฟบอสกล่าวขึ้นมาพร้อมกับเรียกคานาอิว่า ‘ลูก’
“...ไม่หรอกค่ะ แม่นะช่วยคนทั้งเมือง...ไม่สิ เกือบทั้งประเทศนี้ไว้จากไอปิศาจนั้น...เราไม่อาจจะช่วยคนทุกคนได้หรอก แม้ว่าเราจะพยายามแค่ไหน…” เธอพูดกับแม่เธอด้วยสีหน้าที่ยังคงเต็มไปด้วยความเศร้า
เวลา 08.12 น.
“...ถ้างั้น ตำนานเรื่องเฟียร์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมา มีสาเหตุมาจากเจ้าตัวใหญ่ยักษ์เมื่อคืนนี้อย่างนั้นสินะ…” ชิฮิโระพูดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคานาอิและแม่ของเธอที่โซนแจกอาหาร
“ใช่ มันคือโฟบอส หนึ่งในผู้ครอบครองพลังพิเศษแห่งความกลัว...เมื่อ 18 ปีก่อน ฉันและพรรคพวกของฉันเป็นคนจัดการกับมันลงได้ ณ ที่นี้ก่อนที่จะมีเมืองเกิดขึ้นมาเสียอีก จนไม่กี่ปีมานี้มีข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องเฟียร์เกิดขึ้น เราจึงตัดสินใจส่งคนมาสอดแนม...”
“คนสอดแนม...ฮัตโตริซังเหรอคะ!?”
เธอพยักหน้าหลังจากชิฮิโระถามมา
“...และผลจากการเฝ้าสังเกตการณ์เราพบว่าสิ่งที่ออกมาทำร้ายผู้คนเป็นแค่สิ่งที่ดูเหมือนเป็นแค่ส่วนน้อยของพลังที่โฟบอสปล่อยออกมาก่อนตาย...แต่ดูเหมือนเราจะคิดผิดมหันต์เลย...เจ้าพวกเฟียร์ที่โผล่มาทำหน้าที่ดูดกลืนความกลัวและพลังชีวิตคนเพื่อคืนชีพให้โฟบอสแทน…”
“....”
บรรยากาศรอบ ๆ ของวงสนทนาจู่ ๆ ก็ผันแปรเปลี่ยนไป กลายเป็นความอึดใจที่เต็มไปทั่วทุกที่
ระหว่างที่บรรยากาศกำลังหนักอึ้ง ก็ได้มีผู้ชายในเสื้อโค้ตสีดำสนิท ใส่หมวกสีดำที่ปิดจนมองเห็นหน้าไม่ค่อยชัด เดินเข้ามากลางวงสนทนา
“...ได้เวลาไปกันแล้ว โจเซฟกำลังรออยู่ที่หอประชุมผู้มั่งคั่ง” ชายคนดังกล่าวกระซิบเบา ๆ กับเธอ
“...ถ้างั้น ฉันต้องขอตัวก่อนแล้วกันนะ พวกเราจะส่งทีมฟื้นฟูกับดูแลมาเพิ่ม ถ้ามีอะไรคาดเหลือก็ติดต่อฉันผ่านทางฮัตโตริได้นะ...แล้วก็...เสียใจเรื่องเพื่อนของเธอด้วยนะ….”
“...ขอบคุณมากค่ะ” ชิฮิโระโค้งคำนับเธอ
ก่อนที่เธอจะเดินหันหลังกลับไปที่เต็นท์ดูแลคนเจ็บ ก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นว่าแม่ของเรย์ได้เดินออกมา จากเต้นด้วยสภาพที่ดูเหนื่อยล้าและใบหน้าที่ฉาบไปด้วยความเศร้า เธอรีบเดินตรงเข้าไปหาแม่ของเรย์แทบจะทันที
“คุณน้า ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ?”
“....” เธอไม่ได้ตอบคำถามของชิฮิโระ
“...คุณน้า? ..!?”
ระหว่างที่ชิฮิโระกำลังพูดอยู่ จู่ ๆ เธอก็ถูกดึงเข้าไปสวมกอดโดยไม่ทันตั้งตัว
“...ได้โปรด...เรียกฉันว่าคุณแม่เถอะ…” ชิฮิโระที่ได้ยินประโยคดังกล่าวก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
“...ค่ะ...คุณแม่…” เธอตอบรับคำขอของเธอกับกอดประคองเธอไว้ด้วยความสุขท่ามกลางความโศกเศร้า…
ระหว่างที่เธอกำลังกอดแม่ของเรย์อยู่ เธอได้เห็นเฟย์ที่ก่อนหน้านี้ยังนอนรักษาตัวอยู่ ตอนนี้มานั่งอยู่ขอบเตียงที่มีร่างไร้วิญญาณของเรย์ สีหน้าของเขามีทั้งความสับสนและความเสียใจปะปนกัน สิ่งที่เขาทำไปแต่ต้นมันเป็นสิ่งที่ตัวเขา ความเห็นแก่ตัวและอารมณ์ชั่ววูบของเขาเอง มันไม่อาจจะให้อภัยได้….
“...เอาล่ะ...คานาอิ ลูกต้องกลับไปที่บ้านก่อนนะ ป่านนี้พี่สาวคงเป็นห่วงแย่แล้ว…”
เธอหันไปพูดกับคานาอิที่ตอนนี้เหมือนกำลังกระวนกระวายอยู่
“...มีอะไรเหรอคานาอิ?” เธอถามลูกสาว
“...เอกหายไปไหนแล้วเหรอ?”
ณ ตัวเมืองทัตสึมิ ที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
เอกเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย ท่ามกลางเศษซากบ้านเมือง หิมะที่ค่อย ๆ ตกลงมาจากท้องฟ้า ลมหนาวที่พัดโชยเอาความหนาวเย็นเข้าปกคลุม
“...ทุก ๆ ย่างก้าวเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง...แต่ในขณะเดียวกัน...ในความสิ้นหวังก็ยังคงมีความหวัง...การที่คนสำคัญของเราจากไป...สิ่งที่สำคัญที่สุดคือในตอนนี้...คือมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อจดจำคนเหล่านั้น…”
ประโยคคำพูดที่เอกรำพึงรำพันขึ้นมา ทำให้เข้านึกถึงสิ่งสำคัญของเขาที่ยังเหลืออยู่ ทุกเหตุการณ์ ทุก ๆ คนที่เขาประสบพบเจอ ต่างก็ให้บทเรียนมากมายแก่ตัวเขา ทั้งผู้คนที่ต่างเอ่ยปากแทนตัวว่าเป็นเพื่อนของเขา หรือบ้างก็บอกว่าเขาคือคนสำคัญเขาเอื้อมมือมาจับสร้อยคอที่ห้อยอยู่ พร้อมกับนึกถึงเรื่องราวความทรงจำที่ผ่านมาของเขาและเรย์ ความทรงจำสำคัญที่เขามีต่อเพื่อนรักคนสำคัญ และอีกคนที่เขาจะลืมไม่ได้เลย
“...ฟูโกะ” ความทรงจำและความรู้สึกที่เอกมีต่อเธอที่ถึงแม้สุดท้ายเขาจะไม่ได้มีโอกาสแม้แต่จะบอกลาเธอ ทั้ง ๆ ที่เธออยู่ในอ้อมแขนของเขาในตอนนั้น เอกเดินต่อไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางหิมะขาวโพลน ในเมืองที่ไร้ผู้คน มีเพียงเสียงของสายลมที่หนาวเหน็บพัดโชยมา
“...ฉันจะหาทางของตัวเอง...เพื่อทั้งตัวฉันเองและกับทุกคน...แม้ว่านั้นจะแปลว่าฉันจะหายไปตลอดกาลก็ตาม....”
After The End : END
NEXT CHAPTER : Children Of Destiny (2019)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ