The Demola Phase 4 มหากาพย์มนุษย์เหนือโลก เฟส 4

8.5

เขียนโดย Geoner

วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.59 น.

  27 ตอน
  2 วิจารณ์
  32.94K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 12.21 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

24) โอกาส

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     20.10 น.
 
บ้านของเรย์
 
 
 
หลังจากที่เอกเดินทางกลับมาจากร้านของฮัตโตริ เอกก็กลับมาจัดการเก็บเสื้อผ้าของเขาเข้ากระเป๋าเดินทางอย่างตั้งหน้าตั้งตา หลังจากที่เขาได้บอกเรื่องที่เขาจะต้องกลับไปที่บ้านเกิดกับฟูโกะ เมื่อเสื้อตัวสุดท้ายของเขาถูกพับลงกระเป๋า
 
เขาเดินไปหยิบของชิ้นเล็กชิ้นน้อยรอบ ๆ มาใส่ด้วยตามลงไป จนกระทั่งเขาสะดุดตาเข้ากับรูปหมู่ของเขากับเพื่อน ๆ ที่ถ่ายกันในช่วงงานปีใหม่ที่ร้านของฮัตโตริ ความทรงจำดี ๆ มากมายก็พรั่งพรูมาในหัวของเขาอีกครั้ง มันทำให้ใจของเขารู้สึกคิดถึงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าเขาไม่อยากจะจากทุก ๆ คนไป เอกถอนหายใจก่อนที่จะค่อย ๆ วางรูปใส่ลงไปในกระเป๋าและปิดกระเป๋าไป
 
หลังจากที่เขาจัดกระเป๋าเสร็จ เอกก็ค่อย ๆ เดินออกมาจากห้องอย่างช้า ๆ และให้เงียบที่สุด เขาเดินไปที่หน้าห้องคุณแม่ของเรย์ และได้วางซองจดหมายซองหนึ่งไว้ที่หน้าประตู เอกค่อย ๆ โค้งตัวคำนับที่หน้าห้องของเธอและหันเดินไปที่หน้าประตูทางออกทันที เขาก้มตัวลงไปหยิบรองเท้ามาใส่อย่างเงียบ ๆ และเดินตรงที่ประตู ทว่าในขณะที่เขากำลังเอื้อมมือไปเปิดมัน เขาก็รู้สึกได้ว่าใครสักคนกำลังจ้องมองเขาอยู่
 
" จะไม่ล่ำลากันแบบนี้ก็แย่นะสิ "
 
" !! "
 
คุณแม่ของเรย์กล่าวกับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเหมือนอย่างเคย แต่ทว่าครั้งนี้บรรยากาศรอบ ๆ ตัวเธอนั้นเปลี่ยนไปจนเอกรู้สึกได้
 
" ...ผมรู้ครับว่ามันเสียมารยาท...แต่ว่าผม.. "
 
" น้าเข้าใจ "
 
" เอ๋ ? "
 
" น้าเข้าใจความรู้สึกของเอกนะ การที่อยู่ ๆ จะต้องมาจากเพื่อนที่อุตส่าห์ได้พบเจอกันแบบนี้น่ะ ถ้ายิ่งต้องบอกลากันตรง ๆ ก็ทำไม่ได้สินะ "
 
" คุณน้า... "
 
" เพราะฉะนั้น ไม่เป็นอะไรหรอกนะ "
 
เอกที่ได้ฟังคำพูดของเธอก็ไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไร นอกจากคำขอบคุณที่เขามีให้กับเธอ
 
" ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ " เอกกล่าวขอบคุณพร้อมโค้งคำนับเธอ ก่อนที่เขาจะหันกลับไปที่ประตูและเปิดมันออก
 
 
 
" ลาก่อนนะครับรินโกะซัง "
 
" ลาก่อนนะเอกคุง "
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
22.45 น.
 
สนามบินนาริตะ
 
 
 
 
 
 
 
เอกกำลังนั่งรอเที่ยวบินสำหรับเดินทางกลับไปที่ไทย โดยมีฟูโกะนั่งรอเป็นเพื่อนด้วยระหว่างที่นั่งรอ ทั้งสองก็ต่างพูดคุยถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อวาน
 
" ....ตอนนี้ทางทาคุยะเองก็ให้การสารภาพกับตำรวจแล้วถึงคดีที่เขาก่อเอาไว้ เขายังไม่มีบทลงรุนแรงมากเนื่องจากว่าพยานหลักฐานบางอย่างดันไม่ตรงกับตัวเขานะ ทำให้คดีที่เขาต้องรับผิดมีแค่คดีที่เขาฆาตกรรมนักเรียนหญิงที่กลั่นแกล้งน้องสาวของเขา "
 
" ไม่แปลกหรอก เพราะนอกจากเรื่องแรกแล้ว ที่เหลือเขาก็แค่ทำหน้าที่หลอกล่อให้พวกนักเรียนนั้นไปให้เจ้าเฟียร์ที่แปลงเป็นน้องสาวของเขากัดกิน มันเลยทำให้คดีหลัง ๆ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเขาเป็นคนลงมือเอง... "
 
"แต่ฉันก็อดสงสารทาคุยะคงไม่ได้เหมือนกัน ที่ดันต้องมาพัวพันกับเรื่องพรรคนี้ "
 
" แต่ก็โชคดีนะ ที่เรื่องการหายตัวไปของกลุ่มนักเรียนจบแล้ว เจ้าเฟียร์ตัวนั้นก็ดูจะเป็นตัวเดียวที่อันตรายที่สุดนะตอนนี้...เพราะฉะนั้น ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ก็ช่วยทำหน้าที่แทนฉันทีละกันนะ... "
 
 
 
// ท่านผู้โดยสารที่จะเดินทางไปประเทศไทย... //
 
 
 
เสียงประกาศดังขึ้นทำให้เอกรู้ว่าถึงเวลาที่เขาต้องไปจริง ๆ แล้ว เขารู้สึกใจหายเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเวลาของเขาที่จะอยู่ที่นี่หมดลงแล้ว เขาลุกขึ้นต่อหน้าฟูโกะก่อนที่จะหันไปหยิบกระเป๋าเดินทางของเขาและเตรียมจะเดินไปขึ้นเครื่อง เขาจ้องมาที่ใบหน้าของฟูโกะที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยความรู้สึกที่เขาอธิบายไม่ได้
 
" เอ่อ...คือว่าฉันต้องไปแล้ว...นะ " เอกพูดกับฟูโกะด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก
 
" ....ถ้างั้นโชคดีนะ...หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก " เธอพูดกับเอกด้วยรอยยิ้มเล็กเหมือนอย่างที่ผ่านมา
 
เอกพยักหน้าตอบรับก่อนที่จะหันหลังเดินออกจากตรงนั้นไป เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับบางอย่างแต่เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร
 
" เดี๋ยวก่อน !! "
 
เสียงของฟูโกะดังไล่มาจากด้านหลังของเขา ก่อนที่เธอจะวิ่งเข้ามาสวมกอดเอกที่หันมามองที่ต้นเสียงอย่างที่เขาไม่ทันตั้งตัว เขารู้สึกแปลกใจมาก เขาพยายามพูดอะไรสักอย่างแต่ปากของเขาถูกความรู้สึกบางอย่างปิดกั้นเอาไว้ไม่ให้พูดอะไรออกมา ก่อนที่ทั้งคู่จะต่างคนต่างค่อย ๆ คลายออกจากอ้อมกอด เอกพยักหน้าที่เป็นเหมือนการขอบคุณให้กับฟูโกะก่อนที่เขาจะเดินหายไปท่ามกลางผู้คนที่เดินไปขึ้นเครื่องเที่ยวเดียวกับเขา...
 
เอกเดินขึ้นเครื่องมาและเดินตรงไปที่ที่นั่งของตนทันที ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งไปพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า
 
คนเริ่มทยอยขึ้นเครื่องมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งผู้โดยสารคนสุดท้ายได้ก้าวขึ้นมาบนเครื่อง ก่อนจะพนักงานแอร์โฮสเตสจะมีการเข้ามาสาธิตและอธิบายเหมือนปกติ ระหว่างที่เครื่องบินกำลังเริ่มนำเครื่องขึ้น เอกที่นั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างก็หันมองออกไปข้างนอกเพื่อที่เขาจะได้เห็นทิวทัศน์ของที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะต้องกลับไปบ้านเกิดโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาอีกครั้งหรือไม่
 
 
 
[ อย่ามาล้อเล่นนะ !!! ]
 
 
 
เสียงปริศนาที่ฟังดูบิดเบี้ยวจนแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของชายหรือหญิงดังก้องเข้ามาในหัวของเอกจนเขาไม่ทันตั้งตัว และทำเขาเกิดความรู้สึกกดดันประหลาดเข้ามารอบตัวของเขา เจ้าตัวพยายามหันมองไปที่ผู้โดยสารรอบ ๆ แต่ทว่ากลับไม่มีใครเลยส่งสัญญาณอันตรายออกมา มันทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นเรื่อย ๆใบหน้าเริ่มเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
 
[ ถ้าขืนปล่อยไว้แบบนี้ ทุกอย่างก็เสียเปล่า.. ]
 
เสียงปริศนาดังเข้ามาในหัวของเขาอย่างต่อเนื่อง เหมือนกำลังพูดถึงอะไรบางอย่าง เขาพยายามรวบรวมสติอารมณ์ที่กำลังขวัญกระเจิง และพยายามตั้งสติเพื่อมองให้เห็นภาพบางอย่างที่อยู่หน้าตนเอง
 
< นั่นใครน่ะ !? > เอกคิดคำถามขึ้นมาในหัว หวังให้ต้นตอเสียงตอบเขากลับมา แต่ดูเหมือนว่าอีกฝั่งจะไม่ได้ฟังอะไรที่เขาพูดเลย
 
[...เธอจะมีโอกาสให้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นน่ะ จากนี้...จะไม่มีคำว่า โอกาส อีก ]
 
เสียงปริศนาได้พูดตอบโต้เขากลับมาอีกครั้ง โดยครั้งนี้ภาพที่ปรากฏในหัวของเอกก็เด่นชัดมากขึ้น เป็นสถานที่ ๆ เขามีความรู้สึกคุ้นเคยอีกทั้งยังใครบางคนยืนอยู่ในนั้น ท่ามกลาง’ นาฬิกา’ มากมาย
 
 
 
“น...นี่มัน!?”
 
 
 
 
 
22.45 น.
 
สนามบินนาริตะ
 
 
 
 
 
เอกกำลังนั่งรอเที่ยวบินสำหรับเดินทางกลับไปที่ไทย โดยมีฟูโกะนั่งรอเป็นเพื่อนด้วยระหว่างที่นั่งรอ ทั้งสองก็ต่างพูดคุยถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อวาน
 
" ....ตอนนี้ทางทาคุยะเองก็ให้การสารภาพกับตำรวจแล้วถึงคดีที่เขาก่อเอาไว้ เขายังไม่มีบทลงรุนแรงมากเนื่องจากว่าพยานหลักฐานบางอย่างดันไม่ตรงกับตัวเขานะ ทำให้คดีที่เขาต้องรับผิดมีแค่คดีที่เขาฆาตกรรมนักเรียนหญิงที่กลั่นแกล้งน้องสาวของเขา... "
 
" ไม่แปลกหรอก เพราะนอกจากเรื่องแรกแล้ว ที่เหลือเขาก็แค่ทำหน้าที่หลอกล่อให้พวกนักเรียนนั้นไปให้เจ้าเฟียร์ที่แปลงเป็นน้องสาวของเขากัดกิน มันเลยทำให้คดีหลัง ๆ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเขาเป็นคนลงมือเอง... " เอกพูดตอบกลับฟูโกะ
 
" แต่ฉันก็อดสงสารทาคุยะคงไม่ได้เหมือนกัน ที่ดันต้องมาพัวพันกับเรื่องพรรคนี้ "
 
" แต่ก็โชคดีนะ ที่เรื่องการหายตัวไปของกลุ่มนักเรียนจบแล้ว เจ้าเฟียร์ตัวนั้นก็ดูจะเป็นตัวเดียวที่อันตรายที่สุดตอนนี้...เพราะฉะนั้น ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ก็ช่วยทำหน้าที่แทนฉันทีละกันนะ…!!?? "
 
ระหว่างที่กำลังพูดอยู่ มันทำให้เขารู้สึกฉุดคิดได้ถึงอะไรบางอย่าง ราวกับว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ตอนนี้ มัน ‘เคยเกิดขึ้นมาแล้ว’
 
เอกที่ในตอนแรกมีสีหน้าปกติ ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เจ้าลุกลี้ลุกลนยืนขึ้นพร้อมกับมองไปรอบตัวเพื่อทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่ตนเองเจอ ไม่ใช่ความฝัน!
 
ฟูโกะตกใจทันทีที่เห็นเอกจู่ ๆ ก็ลุกขึ้นกะทันหัน 
 
“เอก เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ?” ฟูโกะถามเอกด้วยความสงสัย
 
“...ฟูโกะ...นี่ฉันยังไม่ได้ขึ้นเครื่องไปใช่รึเปล่า !? ” เอกเลิกที่จะถามกลับแทนที่จะตอบคำถามของเธอ
 
“อ่า...ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสิ ก็เธอเองยังยืนอยู่ตรงนี้อยู่เลยนะ”
 
 
 
//ท่านผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางไปประเทศไทย…//
 
 
 
ระหว่างที่ทั้งคู่คุยกันอยู่ เสียงประกาศเที่ยวบินก็ดังขึ้นมาทันที
 
“แต่ตอนนี้เธอต้องไปจริง ๆ แล้วนะ” ฟูโกะหันมาพูดกับเอกหลังจากได้ยินเสียงประกาศแต่ทว่าเอกได้จับแขนของเธอก่อนที่จะพาเดินตรงไปที่ทางออก
 
“เดี๋ยวก่อนสิเอก ! เธอจะไม่ขึ้นเครื่องงั้นเหรอ ?”
 
“ตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่า ฉะนั้น รีบตามมาเร็ว !”
 
ฟูโกะที่เห็นเอกทำท่าจริงจังจึงตามเอกออกนอกสนามบินไปโดยดี จนกระทั่งเมื่อทั้งคู่ออกมาจากตัวอาคารแล้ว เอกถึงค่อย ๆ หยุดวิ่งและปล่อยแขนของฟูโกะลง
 
 
 
“...มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอเอก?” เธอถามเอก
 
“มันอาจจะฟังดูบ้า ๆ นะ แต่สิ่งที่ฉันกำลังจะพูด มันกำลังเกิดขึ้นจริง ๆ ...ดูเหมือนว่าเวลามันถูกย้อนกลับ!!”
 
“เวลาถูกย้อนกลับ!? …มันจะเป็นไปได้ไงกันล่ะ”
 
“ตอนที่ฉันรู้สึกตัวเหมือนขึ้นเครื่องไปแล้ว จู่ ๆ ก็มีเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นมาในหัว แล้วเหมือนฉันจะเห็น…!?” ระหว่างที่เอกกำลังเรื่องราวให้เธอฟัง จนมาถึงประเด็น ๆ หนึ่ง เขาก็รู้สึกว่าเรื่องมันเลือนราง ไม่ว่าเขาจะพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
 
“เธอเห็นอะไรอย่างนั้นเหรอ?” ฟูโกะถามด้วยความสงสัยหลังจากเห็นเอกหยุดชะงักไป
 
“….เอาเป็นว่าเราช่างเรื่องนี้ก่อนดีกว่า เรารีบกลับไปที่ทัตสึมิกันก่อนเถอะ!”
 
“อะ...อืม!” ฟูโกะตอบตกลงเอกไปก่อนที่ทั้งคู่จะวิ่งไปขึ้นรถตู้ที่ทั้งคู่ใช้นั่งมา ในหัวของเอกเต็มไปด้วยความสับสนและความร้อนรนราวกับว่ามันกำลังมีบางอย่างเกิดขึ้น!!
 
 
 
 
 
 
 
 
 
23.10 น.
 
ดาดฟ้าโรงเรียนทัตสึมิ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
กลางดาดฟ้าโรงเรียนทัตสึมิยามค่ำคืนปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำครึ้มทั่วเมือง ลมที่พัดผ่านทั่วทั้งเมืองให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ร่างของเรย์ที่ถูกเชือกมัดนอนอยู่กับพื้นโดยที่หัวของเธอมีแผลแตกขนาดใหญ่ เลือดที่ค่อยไหลไปตามเส้นผมของเธอโฉลมให้ผมของเธอเป็นสีแดงเลือด สติของเธอค่อย ๆ กลับมา ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา ถึงแม้ภาพจะพร่ามัวแต่เธอก็ยังสามารถเห็นเงาร่างของใครบางคนอยู่ตรงหน้าของเธอ
 
“เฟย์? .....” เรย์พูดกับเงาเลือนรางที่อยู่ตรงหน้าของเธออย่างไม่ลังเล
 
“….” เฟย์ที่นั่งอยู่กลับนั่งเงียบและเลือกที่จะไม่ตอบกลับเรย์ไป
 
“มัน...เกิดอะไรขึ้น? ...ทำไมล่ะ?” เรย์พยายามขยับตัวจนเธอรู้สึกได้ว่าที่หัวของเธอเกิดแผลขนาดใหญ่ที่ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดจนเธออยากร้องไห้
 
“...เธอไม่ควรจะเห็นมันตั้งแต่แรก...ถ้าแค่เป็นเหมือนคนอื่น ๆ แต่แรก มันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้เลยแท้…”
 
เฟย์เริ่มหันมาพูดกับเธอโดยที่ใบหน้าของเขาท่ามกลางความมืดนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา
 
 
 
 
 
“แม้แต่เธอเองก็ไม่เป็นข้อยกเว้นเรื่องความผิดพลาดอย่างนั้นสินะ...เหมือน ‘พ่อ ‘ของเธอ”
 
 
 
 
 
“!?” เรย์ถึงกับตกใจขึ้นมาเมื่อจู่ ๆ เฟย์ก็กล่าวถึงพ่อของเธอ
 
“ทำไม? ...พ่อฉันทำอะไร…อย่างนั้นเหรอ? “เธอถามเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
 
“พ่อของเธอเป็นคนที่สมควรได้รับผลจากกระทำที่ตามมา”
 
“...แล้วมันคืออะไรกันล่ะ!? สิ่งที่พ่อฉันสมควรได้รับน่ะ พ่อฉันผิดอะไร!?” เรย์พยายามโต้กลับ
 
 
 
 
 
“...พ่อเธอเป็นคนพรากแม่ไปจากฉันยังไงล่ะ!”
 
 
 
 
 
“!?”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
///
 
 
 
 
 
 
 
3 ปีก่อน
 
วันที่ 30 กันยายน
 
 
 
 
 
 
 
‘วันที่หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน ต้องมาจากฉันไป อย่างไม่มีวันกลับ วันที่พ่อของฉันตอกย้ำถึงความอ่อนแอและไร้ประโยชน์ของตัว ฉันทั้งโกรธทั้งเศร้า มันมีความรู้สึกมากมายที่ฉันไม่สามารถอธิบายทุกอย่างออกมาได้...ก่อนที่ต่อมาฉันจะเริ่มออกตามหาเจ้าของรถเฮงซวยที่มันชนแม่ของฉัน ฉันเริ่มถามจากสถานีขนส่งของเมือง แต่ก็ไม่ได้ความอะไร แต่บางทีก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าเล่นตลกอะไร...ระหว่างที่ฉันกำลังเดินกลับจากตัวเมืองผ่านเขาทัตสึมิ ฉันก็ได้เห็นมันอีกครั้ง ...รถคันเดียวกันกับที่สังหารเธอจอดหลบอยู่ในป่า ฉันไม่รีรอที่จะตรงเข้าไปที่ตัวรถทั้งที แต่มันก็ไม่มีใครอย่างที่ฉันคาดไว้ ฉันตัดสินใจเดินตรงเข้าไปในป่าก่อนที่ฉันจะเห็นบ้านไม้เก่า ๆ ที่อยู่ริมลำธารใหญ่ ก่อนที่จะนึกถึงเรื่องที่เธอเคยเล่าให้ฟังมาได้ว่า บ้านหลังนี้น่าจะเคยเป็นหลังเดียวกับที่ ชิฮิโระ เคยอยู่….แต่ก่อนฉันจะคิดอะไรไปมากกว่านี้ ก็มารู้ตัวอีกทีว่าเดินมายืนอยู่ที่หน้าบ้านหลังนั้นแล้ว ฉันค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปและพยายามกวาดสายตามองให้รอบ ๆ ก่อนจะเห็นใครบางคนนั่งหันหลังทำอะไรบางอย่างอยู่ตรงกลางบ้าน ในบ้านเต็มไปด้วยขยะมากมายส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งไปทั่ว’
 
 
 
 
 
“เฮ้!! แกน่ะ!!”
 
‘ฉันตัดสินใจตวาดเสียงเรียก และทันทีที่พูด มันก็หยุดทุกสิ่งทุกอย่างที่มันทำอยู่และรีบหันหน้ามามองฉันด้วยท่าทางตื่นตระหนกปนหวาดระแวง สภาพเนื้อตัวที่มอมแมมและหนวดเครา ฉันนึกไม่ออกเลยว่าไอหนอนี่มันเป็นใคร’
 
“กะ...แกเป็นใคร!? … มาที่นี่ได้ยังไง!?”
 
‘หมอนั่นถามกลับมาด้วยท่าที่หวาดกลัวสุดขีด มันเริ่มทำให้ทุกอย่างกระจ่างแล้ว มันต้องทำอะไรมาสักอย่างแน่นอน’
 
“แกเป็นเจ้าของรถที่จอดข้างนอกใช่มั้ย!?”
 
“รถ? … นี่หรือว่า!? … แกกับคนในแก๊งตามฉันมาถึงนี่เลยงั้นเหรอ!?”
 
 
 
 
 
‘แก๊ง? มันเป็นเจ้าของรถที่ฉันตามหาแน่ ๆ แต่แก๊งที่มันหมายถึงคืออะไร ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก แต่ตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวที่สำคัญ...คือฉันจะให้มันชดใช้กับสิ่งที่มันทำ!!’
 
 
 
 
 
“อ...อย่าเข้ามานะเว้ย!! ถ้าเข้ามาฉันจะแทงแกให้ไส้ไหลเลย!!!” ‘มันเริ่มออกอาการตื่นตระหนกมากขึ้น เมื่อฉันเริ่มเดินเข้าไปหามันเรื่อย ๆ จนมันถือมืดพกขึ้นมาขู่ แต่แค่นั้นมันก็ไม่มากพอที่จะทำให้ฉันกลัวได้หรอก!!
 
ฉันรีบพุ่งเข้าไปจับมือที่มันถือมีดอยู่ก่อนจะพลักมันล้มไปกองอยู่ก่อนที่ฉันจะแย่งมีดจากมันมาและแทงเข้าไปที่ขาของมันจนปลายมีดทะลุไปอีกด้านของขามัน!’
 
 
 
 
 
“อ๊า!!!!! อ๊ากกกก!!!” ‘มันร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานดิ้นพล่านไปมาราวกับหมูในโรงฆ่าสัตว์ แต่ทว่ามันก็ไม่ได้ทำให้ฉันเกิดความสงสารหรือปราณีกับมันเลย ในใจฉันตอนนี้มีแต่ความพึงพอใจที่ได้เห็นมันดิ้นรนทรมาน สมกับสิ่งที่มันทำ ฉันกระชากมีดออกจากขามันและกระหน่ำแทงไปไม่ยั้งที่ตัวของมันอย่างบ้าคลั่งและควบคุมไม่ได้’
 
“อ๊ากกกกกก!!!!! …อึ๊กกก!! ขอร้องล่ะ!!! หยุดทีเถอะ!! ฉันขอละ!! ฉันยังมีลูกมีเมียต้อง!!??”
 
‘ก่อนที่มันจะพูดต่อถึงตอนจบ มีดในมือของฉันก็แทงทะลุคอหอยของมัน มันดิ้นไปมาด้วยความทรมานพยายามเอามือทั้งสองของมันที่เหวอะหวะมากดแผลที่คอที่มีเลือดไหลออกมาเรื่อยไม่หยุดจนกระทั่งร่างของมันค่อย ๆ แน่นิ่งไป ร่างของมันนอนจมกองท่ามกลางกองเลือดมากมายพร้อมด้วยแผลที่เหวอะหวะราวกับโดนเครื่องตัดหญ้าฟัน อีกทั้งดวงตาที่เบิกโพลนทั้งสองข้างที่ขาวโพลน’
 
“...สำเร็จ...ในที่สุด..!?” ‘ระหว่างที่ฉันกำลังจะยินดีกับความสำเร็จของตัวเอง ฉันก็ได้เหลือบไปสังเกตเห็นของที่มันกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ในตอนแรก มันเป็นกระเป๋าใบสีดำที่ข้างในเต็มไปด้วยเงินมากมาย ฉันเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ด้วยความสงสัย ฉันก้มลงไปหยิบกระดาษที่อยู่ในกระเป๋านั้นออกมาเปิดอ่านดู’
 
 
 
 
 
// นี่คือเงินใช้ก้อนสุดท้ายแล้ว! จากนี้ไปห้ามพวกแกเข้าใกล้ลูกเมียฉันอีก!! //
 
 
 
 
 
‘นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ไอ้เลวมันกำลังหาเงินตั้งมากขนาดนี้มาใช้นี้ใครกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเจ้าหนี้มันก็คง..’
 
 
 
 
 
คึ่ก คึ่ก!!
 
 
 
 
 
‘เสียงบางอย่างดังมาจากหน้าประตู ก่อนที่ฉันจะเรียบเดินออกไปทางด้านหลังบ้านอย่างรวดเร็วแต่ก็พยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุด แค่ไม่กี่วินาทีก็มีเสียงดังขึ้นมาจากทางหน้าบ้าน ฉันค่อย ๆ อ้อมข้างตัวบ้านมาก่อนที่จะแอบชะเง้อมองดูเหตุการณ์ข้างในบ้าน ข้างในบ้านตอนนี้มีชายใส่สูทสีดำยืนอยู่ถึงสามคน ฉันพยายามฟังว่าคนพวกนั้นกำลังคุยอะไรกัน’
 
 
 
 
 
“เวรเอ๊ย! ใครเป็นคนลงมือว่ะเนี่ย สภาพเละฉิบหายเลย!”
 
“หรือมีคนของเราเจอมันก่อนเราแล้ว?”
 
“เป็นไปไม่ได้! ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง พวกเราก็ต้องรู้เรื่องนี้แล้ว!”
 
“ลูกพี่มีกระเป๋าใส่เงินวางอยู่ด้วย…”
 
“งั้นเหรอ? คงมีใครพยายามมาแย่งเงินมันละมั้ง แต่กลางป่าเนี่ยนะ? ...ช่างมัน หยิบเงินมา และรีบออกไปกัน เอาเงินที่ตัวมันมาด้วย จะทิ้งไว้ก็เสียดาย”
 
 
 
 
 
‘ชายคนหนึ่งหยิบกระเป๋าใส่เงินขึ้นมาก่อนเดินไปคลำที่กระเป๋ากางเกงของมัน แล้วหยิบเอากระเป๋าสตางค์ออกไปด้วย ก่อนที่อีกคนจะเดินออกไปนอกบ้านสักพัก แล้วกลับมาพร้อมกับถึงน้ำมันถังใหญ่ มันสาดน้ำมันนั้นไปรอบ ๆ บ้าน ก่อนจะมาราดที่ตัวศพของไอสารเลวนั้น ผู้ชายอีกคนที่อยู่หยิบไฟแช็กขึ้นจุดแล้วโยนเข้าไปบ้านท่ามกลางพื้นที่ ๆ ชุ่มไปด้วยน้ำมัน ไฟได้เริ่มลุกไหม้ขึ้นมาอย่ารวดเร็ว ทั้งสามคนเดินออกมาจากบ้านแล้วตรงไปที่รถยนต์คันหนึ่งที่จอดห่างออกไป คนที่ถือกระเป๋าเงินในตอนแรกเปิดกระเป๋าสตางค์ที่หยิบออกมาด้วยแล้วได้หยิบเงินจำนวนหนึ่งออกไป ก่อนจะโยนมันทิ้งเข้าไปในบ้าน แต่ด้วยความไม่ทันสังเกต กระเป๋าสตางค์ที่มันโยนไปนั้น ไม่ได้เข้าไปในบ้านแต่อยู่ที่หน้าบ้าน แต่มันก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้วเดินตรงขึ้นไปบนรถ ก่อนที่รถคันดังกล่าวจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไป ฉันที่แอบหลบเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ที่อยู่หน้าบ้านแล้วเปิดออกดูเพราะอยากรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของมัน จนกระทั่งฉันเจอรูปถ่ายเต็มตัวของมันในท่านั่งคุกเข่า จนพบว่ารูปมันถูกพับครึ่งให้เห็นแต่รูปของมัน และเมื่อพอฉันคลี่รูปออกแบบเต็ม ๆ มันกลับทำให้หัวใจฉันแทบหยุดเต้นไปชั่วขณะ’
 
 
 
\\\
 
 
 
 
 
“ใช่...ในรูปนั้นมันมีเธอกับฉันตอนเป็นเด็กอยู่ด้วย เรย์…”
 
 
 
 
 
เรย์ที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เฟย์เล่ามาก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกแล้ว
 
“ฮึก! ...เรื่องนี้มันจะ...เป็นเรื่องจริงได้ยังไง? ...ในเมื่อพ่อฉันเสีย...ไปตั้ง 10 กว่าปีแล้ว!”
 
เรย์พยายามพูดขัดเฟย์ทั้งน้ำตา
 
“...เธอเคยเห็นศพเขารึเปล่าล่ะ?” เฟย์ถามเธอกลับไป
 
“….” เรย์ถึงกับพูดไปต่อไม่ถูก เพราะเธอเองก็ไม่เคยเห็นศพพ่อของตัวเองจริง ๆ
 
“...พ่อเธอคงจะติดหนี้กับแก๊งยากูซ่า เลยจำเป็นต้องตีตัวออกห่างจากเธอและก็แม่ของเธอ พยายามทำทุกวิธีเพื่อหาเงินมาชดใช้…”
 
“หุบปาก!! ...หุบปาก!!! หุบปาก!!! หุบปาก!!! หุบปาก!!! หุบปาก!!!” เรย์ตะโกนใส่เฟย์จนเขาต้องหยุดชะงัก
 
“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย!!?? คุยกันดี ๆ ไม่ได้งั้นเหรอ!!?? ทำไมถึงกับต้องฆ่าเขาเลยล่ะ!!!?? ตอบมาสิ!!!” เรย์พยายามลุกขึ้นเอาหัวยันกับพื้นแล้วพยายามตั้งตัวไว้ ก่อนจะพูดตะโกนใส่เฟย์ด้วยความโกรธ โดยที่น้ำตาของเธอก็ยังไม่หยุดไหล
 
“...แล้วไง!!? คุยดี ๆ ต่อ แล้วไง!!?? ให้พ่อเธอติดคุกเหรอ!? เสียค่าปรับเหรอ!? แล้วหลังจากก็มาอยู่พร้อมกันอย่างมีความสุขเหรอ!? โดยที่ครอบครัวฉันต้องแตกเป็นเสี่ยงเพราะความเห็นแก่ตัวของพ่อเธอนะเหรอ!?” เฟย์บันดาลโทสะใส่เรย์ในที่สุดตลอดเวลาที่เขาเงียบมาตอนนี้เขาก็เริ่มที่จะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว เขาเข้าไปกระชากตัวของเรย์ขึ้นมาก่อนจะพาเธอไปที่ริมดาดฟ้า
 
“...สุดท้ายเธอมันก็เห็นแก่ตัวเหมือนพ่อของเธอ ทำทุกอย่างเพื่อความสุขของตัวเองโดยไม่ใส่ใจคนอื่น!!! ฉันอุตส่าห์คิดว่าอย่างน้อย...เธอจะเป็นข้อยกเว้น...เป็นคนที่จะช่วยสมานรอยแผลของฉันแท้ ๆ แต่แล้วไง? สุดท้ายมันก็ต้องมากลายเป็นเรื่องแบบนี้!!!!!”
 
สิ้นสุดคำพูดของเขา เฟย์ก็ได้โยนเรย์ลงจากดาดฟ้าทันที สิ่งที่เฟย์เห็นเป็นครั้งสุดท้ายคือสายตาที่เรย์จ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า ก่อนที่ร่างของเธอจะค่อย ๆ ล่วงลงไป
 
เรย์ที่กำลังค่อย ๆ ร่วงลงไปในหัวของเธอมันกลับโล่งไปชั่วขณะ เธอหลับตาและทำใจรับความเจ็บปวดชั่วขณะ ก่อนที่เธอจะไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป…
 
 
 
 
 
เรย์สัมผัสถึงร่างของเธอที่ถูกกระทบอะไร ทว่ามันไม่ใช้พื้นดินแต่มันกลับเป็นแขนของใครบาง เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะรู้คนที่เป็นคนรับเธอคือคนที่เธอคุ้นเคยมากกว่าใคร
 
 
 
 
 
“...อะ...เอก! …” เรย์เรียกชื่อของชายที่ได้ช่วยชีวิตเธอไว้ทั้งน้ำตา
 
เขาค่อย ๆ วางร่างของเธอลง ก่อนเธอจะเห็นฟูโกะวิ่งตามมาจากข้างหลัง
 
“เรย์จัง! เป็นอะไรมากรึเปล่า?”
 
“...ฟู...โกะจัง” ฟูโกะค่อย ๆ พยุงร่างของเธอแล้วค่อย ๆ พาเรย์เดินไปที่ทางออกโรงเรียน เรย์ได้หันมามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างหลังของเธอผ่านไหล่ของฟูโกะ
 
เอกได้ยืนจ้องมองไปที่เฟย์ที่ยืนอยู่ชั้นดาดฟ้า เขากำหมัดแน่นจนเล็บเขาได้ทิ่มเข้ามือจนเลือดไหลออกมาเต็มมือด้วยความโกรธ
 
 
 
 
 
“แกคิดจะทำอะไรวะ ??!!!!” เอกตะโกนดังสุดเสียงด้วยความโกรธ
 
 
 
 
 
เฟย์ที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าได้มองลงไปด้วยความสับสนและความโกรธ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจโดดลงจากดาดฟ้าพร้อมกับบีบ Evoker ที่มืออย่างแรงและทำการเรียกพลังพิเศษมาใช้ก่อนถึงพื้น
 
เฟย์ลงมาถึงพื้นพร้อมกับสายฟ้าที่ออกมาจากตัวเขานับไม่ถ้วน และยืนเผชิญหน้ากับเอกตรง ๆ
 
 
 
 
 
“ฉันคิดจะทำอะไร...มันก็เรื่องของฉัน!!!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา