กระทืบธรณี เหยียบนรก พลิกสวรรค์

7.7

เขียนโดย ใต้แผ่นฟ้า

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.18 น.

  16 ตอน
  0 วิจารณ์
  19.02K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 กันยายน พ.ศ. 2559 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) เทศกาลคบเพลิง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 10 เทศกาลคบเพลิง

ผ่านมาได้สิบกว่าวันแล้ว ที่แท้ที่นี่คือหมู่บ้านชนเผ่าเซียง ตั้งอยู่ในเขตเมืองเหอหวง จิ้นเหอโชคดีเดินมาถูกทาง มันคิดจะไปสำนักศักสิทธ์ ต้องเดินขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือสู่เมืองซานตง ตอนนี้ร่างกายมันสมบูรณ์แข็งแรงดีแล้ว มันจึงคิดจะจากไป ทว่าอี้เฟยกับเหนี่ยวรั้งมันไว้บอกว่าอีกสามวันจะมีงานเทศกาลคบเพลิง ให้มันอยู่ชมเป็นเพื่อนก่อนค่อยจากไป มันไม่เคยเห็นในความอยากรู้มันจึงตอบตกลง

ช่วงเช้าในวันงานเทศกาล หลังจากอี้เฟยฝึกวิชาที่ลานสุริยันจันทราเสร็จ บนเรือนใหญ่นอกจากอี้เฟยแล้วก็มีพี่สาวยีนาและพี่สาวมีนาอีกคน ทั้งหมดกำลังจัดเตรียมเครื่องดนตรี เห็นเครื่องดนตรีอยู่สี่ชนิด จิ้นเหอรู้จักแต่ซออย่างอื่นมันหารู้จักไม่ อี้เฟยเห็นมันทำหน้าสงสัย

“อันนี้กู่เจิ้ง(พิณ) อันนี้เอ้อหู(ซอ) อันนี้เซียว(ขลุ่ย) และ อันนี้ผีผา” อี้เฟยชี้นิ้วบอกให้มันดูทีละอัน

“ส่วนอันนี้ของส่วนตัวข้า ขลุ่ยผิวจำนรรจา” มันเป็นขลุ่ยเหล็กสีดำด้านสนิทไร้ประกาย

“แต๊ง.!..แต่ง แต่ง..” เป็นพี่สาวยีนาเริ่มดีดนิ้วใส่พิณช้าๆ

“ติ๊ว..!..ตี้ว..ตี๊ว.....” เป็นพี่สาวมีนามือพริ้วไหวเร็วยิ่งไล่เสียงผีผา

“ฮู....ฮู่...ฮู้...” อี้เฟยเริ่มเป่าขลุ่ย

ทั้งสามบรรเลงออกมาเป็นช่วงทำนองช้าๆ อยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเร่งจังหวะเร็วขึ้น เครื่องดนตรีทั้งสามประสานกันอย่างลงตัว จิ้นเหอเหลือบตามองดูซอ มันเหม่อลอยครุ่นคิดถึงหมิงลู่ เสียงดนตรียามนี้ไม่เข้าหูมันเลย ผ่านไปซักพักเสียงดนตรีหยุดลง มันจึงตื่นจากภวังค์

“คุณหนู ไต้ซือน้อย พวกข้าขอตัวก่อน” พี่สาวยีนากล่าวพร้อมพยักหน้ากับพี่สาวมีนา ทั้งคู่ต้องไปเตรียมงานส่วนอื่นต่อ

“อี...อี๊...อี...” อี้เฟยหยิบซอขึ้นมาเล่นเพราะเห็นจิ้นเหอมันจ้องมองนานแล้ว

“ข้าขอลองบ้างได้ไหม” จิ้นเหอกล่าวออกมาเมื่อเห็นอี้เฟยหยุดสีซอแล้ว

อี้เฟยเพียงยื่นส่งให้มัน จิ้นเหอรับมาแล้วเริ่มสีช้าๆ เสียงที่บรรเลงออกมาช่างหงอยเหงาแสนเศร้า อี้เฟยปล่อยมันเล่นซักพัก อี้เฟยเป่าเสียงขลุ่ยสอดแทรกเข้ามาประสาน ดั่งกับทั้งสองมีเรื่องเศร้าหมองอยู่ในจิตใจ ปล่อยใจหวนคิดคำนึงหา จวบจนเสียงแผ่วเบาและจางหายไป ทั้งสองยังคงนั่งนิ่งเงียบจนผ่านไปซักพัก

“จิ้นเหอข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเล่นได้ไพเราะถึงเพียงนี้” อี้เฟยเอ่ยออกมาก่อน

“เจ้าเองก็เช่นกัน ข้าเพิ่งเคยได้ฟังเสียงขลุ่ยที่ไพเราะเยี่ยงนี้” จิ้นเหอกล่าวตามจริงที่มันรู้สึก

“จริงหรือ” อี้เฟยเผยยิ้มชมชอบที่มีคนกล่าวชมตนเอง

“เจ้าไปขี่กระต่ายดำเป็นเพื่อนข้าหน่อย เย็นนี้มีแข่งม้า” อี้เฟยเอ่ยปากชวนไปซ้อมขี่ม้า

“ไปซิ” จิ้นเหอลุกตามอี้เฟยไปคอกม้า

แล้วก็ถึงช่วงเวลาเย็น ผู้คนทั้งเผ่ามารวมตัวกันที่ลานกว้างกลางหมู่บ้าน ประมาณสามสิบกว่าคน จิ้นเหอเห็นบางคนถือธนู บางคนถือแส้ ต่างมองจ้องขึ้นไปบนเวทีเตี้ยๆ ซึ่งแม่เฒ่ายืนอยู่ หลังจากแม่เฒ่ากล่าวภาวนาต่อจี๋เอ๋อร์ (ดวงวิญญาณบรรพชน )ของเผ่าจบ มือยกถือคบเพลิงขึ้นถือตรงไปที่กองฟืนกลางลาน แม่เฒ่าโยนคบเพลิงลงบนกองฟืน เพลวไฟลุกขึ้นโชติช่วง ชาวเผ่าต่างเฮกันลั่น เสียงอึกทึกครึกโครมเสียงรัวกลองลั่นสนั่น หนุ่มสาวต่างทยอยเดินตามเสียงกลองไปด้านนอกของหมู่บ้าน

จิ้นเหอขึ้นซ้อนอี้เฟยบนหลังเจ้ากระต่ายดำ ไปที่ทุ่งโล่งนอกหมู่บ้าน ด้านนี้เป็นการแข่งขันความเร็วของม้า ซึ่งอี้เฟยลงแข่งด้วย นางเป็นตัวเต็งแต่หาใช่เป็นเพราะนาง แต่เป็นเพราะเจ้ากระต่ายดำตะหาก

“เจ้าคอยดูข้าแสดงฝีมือนะ” นางปล่อยจิ้นเหอลง นำม้าไปไปรวมกลุ่มกับผู้เข้าแข่งขัน

“ไต้ซือน้อยด้านนี้เจ้าค่ะ” เสียงพี่สาวยีนาตะโกนเรียกมันให้ไปยืนส่งกำลังใจให้คุณหนูอี้เฟยด้วยกัน

“คุณหนูลงแข่งครั้งนี้ครั้งที่สอง ครั้งแรกคุณหนูก็ชนะครั้งนี้คงชนะอีก” เสียงพี่มีนายกยออี้เฟยใหญ่

พอเสียงแตรดังขึ้นทุกผู้คนหันไปมองที่สนามแข่งขัน ธงสีเขียวพลันสะบัดลง ม้าทั้งหมดต่างออกฮ่อวิ่งตะบึงไปด้านหน้า เสียงเชียร์ดังสนั่นหวั่นไหว เฮ เฮ ตามความคาดหมายอีเฟ้ย เข้าเส้นชัยธงแดงโบกสะบัด เสียงตีกลองรัวระวิง เสียงปรบมือให้กำลังใจ เสียงอึกทึกเฮโลในชัยชนะ ต่อจากนั้นเป็นการแสดงโชว์ขี่ม้าผาดโผน ตอนนี้อี้เฟยได้กลับมายืนรวมกลุ่มแล้ว

“เจ้าเก่งมากเลย เก่งที่สุดในโลก” จิ้นเหอกล่าวชมแกมเหน็บแนม

“ข้าเก่งที่สุดอยู่แล้ว” อี้เฟยกล่าวพร้อมยืนยืดตัวตรง ยักคิ้วหลิ่วตา

“เจ้าดูการขี่ม้าของเผ่าเซียงเราให้ดีนะ” อี้เฟยแนะนำให้มันชมดู

ชาวอี๋ (Yi) คือชนเผ่าเชียงโบราณ เมื่อ 3000 ปีก่อน ชนกลุ่มนี้ก่อตั้งตนเองเป็นกลุ่มชนและเรียกชื่อตามถิ่นที่อยู่อาศัย ได้แก่ กลุ่ม ลิ่วอี๋ ชีเชียง จิ่วตี ในยุคที่กลุ่มชนเชียงโบราณอพยพร่อนเร่มารวมกับชนเผ่าต่างๆในประวัติศาสตร์จีนเรียกกลุ่มชนโบราณนี้ว่า “ชนร้อยเผ่า” เผ่าเซียงได้ผสมผสานศิลปะ และวัฒนธรรม เกิดเป็นอารยธรรมของตนเองขึ้นมา สร้างสรรค์และสืบสานงานด้านวรรณกรรม ศิลปกรรม ชาวอี๋เป็นผู้บุกเบิกการใช้ปฏิทินสุริยคติเป็นกลุ่มแรก ซ้ำยังเชี่ยวชาญการระบำรำร้อง สืบสานจวบจนปัจจุบัน

เสียงแตรดังขึ้นอีกหน เมื่อธงเขียวโบกสะบัดลง ม้ากับคนบังคับต่างวิ่งออกมา ทั้งหมดมีสามคู่ คนขี่เริ่มพลิกตัวมาอยู่ใต้ท้องม้า ทั้งสามคนทำโดยพร้อมเพรียงกันหมด มีนอนก้มหมอบบนหลังม้า กลับตัวปลายขาไปทางหัวม้า มีขึ้นไปยืนขี่บนหลังม้าจับบังเหียนมือเดียวแล้วปล่อยสองมือกางแขน เป็นการทรงตัวที่ยอดเยี่ยมยิ่ง ที่เด็ดสุดม้าทั้งสามตัวถูกบังคับยกสองขาหน้าขึ้น จับบังเหียนมือเดียวยืนด้วยขาเพียงข้างเดียว กางมือออกโบกสะบัดให้ผู้คนที่ยืนชมดู เรียกเสียงปรบมือเสียงผิวปากดังสนั่น

หลังจากจบการแสดงโชว์ขาหน้า ม้าทั้งหมดต่างวกกลับไปทางเดิม ตอนนี้มีแท่นเป้าเป็นหุ่นฟางออกมาตั้งสามตัว ม้าทั้งสามวิ่งวกกลับมาแต่ละตัวใช้ความเร็วสูงสุด คนบังคับต่างเอี้ยวตัวมือล้วงหยิบลงไปในกระเป๋าข้างตัวม้า หนึ่งนั้นเป็นธนู ดาบโค้ง และ ขวาน ธนูถูกปล่อยออกมาก่อนสามดอกปักที่หุ่นฟางไม่พลาดเป้า ด้านคนถือขวาน เหวี่ยงขวานหมุนแหวกอากาสพุ่งเข้าใส่เป้าแตกกระจุยกระจาย คนถือดาบโค้งเป็นคนสุดท้ายวิ่งเข้าตัดคอหุ่นฟางขาดกระเด็น เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง เสียงกลองรับส่งตีรัวระวิง

ต่อมาเป็นการแข่งยิงธนูบนหลังม้า ใครยิงเข้ากลางเป้ามากสุดชนะไป จิ้นเหอดูด้วยความตื่นเต้นลุ้นระทึก
หัวเราะเบิกบานใจไปพร้อมๆ กับอี้เฟยและพวกพี่สาว จวบจนจบรายการม้าทั้งหมด

กลับมาด้านใน ตรงลานรอบกองไฟ ตอนนี้ มีการเอาทรายมาเทบนพื้นเป็นนูปวงกลม มีทั้งสิ้นสามวง ชายฉกรรจ์ต่างถอดเสื้อ เดินเข้าไปในวงกลม มีทั้งหมดสามคู่ เมื่อเสียงเป่านกหวีดจบลง ทั้งหมดต่างวิ่งเข้าหาคู่ตัวเอง มีปัดกระแทก ใช้ฝ่ามือตบ บ้างกอดรัดฟัดเหวี่ยง เสียงเชียร์สนุกสนาน ดูคนปล้ำกันล้มลุกคลุกคลาน

“เจ้าลงแข่งกับข้าไหมเจ้าทึ่ม” อี้เฟยเอ่ยท้าทายใบหน้ายิ้มแป้น

“ข้าไม่กล้าหรอก เดียวเจ้าไม่ปล้ำข้า” มันหัวเราะแกล้งอีเฟยแล้วกล่าวต่อ “ เจ้าคงจะซัดข้าปลิวออกนอกวงซะมากกว่า” กล่าวจบหัวร่อต่ออย่างสนุกสนาน

“ชิ.! “อี้เฟยทำหน้างอ กระทืบเท้าลงพื้น

จิ้นเหอเผยยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทีของอีเฟ้ยแสดงออกมา รวมทั้งพี่สาวทั้งสองต้องแอบยิ้ม เมื่อได้ผู้ชนะแล้ว มีการจัดสถานที่ใหม่ คนไหนไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ต่างแยกย้ายกลับไปบ้านเพื่อเตรียมมาร่วมงานฉลองในตอนกลางคืน


ในคืนที่รัตติกาลเงียบสงัด
จันทราคืนเพ็ญสาดแสงนวล
นภาเปิดหมู่ดาวระยิบระยับ
กลิ่นหอมกำจรของมวลหมู่แมกไม้
เกลียวลมเคลื่อนสั่นกระทบผ่าน
ปลอบปล่อยจิตวิญญาณชวนล่องลอย

บริเวณรอบกองไฟเห็นผู้คนพลุกพล่าน ที่บนเวทีมีโต๊ะเตี้ยสี่ตัวด้านข้างวางไว้ด้วยเครื่องดนตรีทั้งสี่ชนิดถัดไปมีกลองใหญ่ เว้นถัดมาเป็นเก้าอี้โต๊ะสูงมีท่านแม่เฒ่านั่งอยู่ ถัดมาด้านข้างมีโต๊ะเตี้ยอีกสองตัว ด้านล่างบนพื้นปูด้วยเสื่อสานมีโตะไม้เตี้ย วางอยู่โดยรอบ อาหารคาวหวานจัดอยู่เต็มโต๊ะ มีเว้นช่วงทางเดินเอาไว้ อีกด้านหนึ่งน่าจะเป็นที่ประกอบอาหาร กลิ่นอาหารหอมอบอวล ไก่ย่างอยู่บนกองไฟ หมูในป่าก็มีอยู่ด้วย แล้วยังมีหม้อต้มใบใหญ่ ผักผลไม้ ไหสุรามากมาย ผู้คนล้วนสับเปลี่ยนชุดใหม่ตบแต่งประทิลโฉมงดงามตา

“คาราวะท่านแม่เฒ่า” แม่เฒ่าเพียงพยักหน้ารับ ผู้คนที่มาแล้วต่างพากันไปคาราวะแม่เฒ่าก่อน ใครเจอกับใครต่างกล่าวทักทายซึ่งกันละกัน บรรยากาศรื่นเริงล้วนเป็นกันเอง

พี่สาวทั้งสองมาแล้วโดยมีอี้เฟยเดินนำหน้าพวกนางมา พวกนางศีรษะพันด้วยผ้าเป็นทรงกลมสูง พันรอบเอวด้วยผ้าทอมือและปักลวดลายงดงาม สวมกระโปรงจีบยาว สีสันฉูดฉาดเป็นลายขวาง สวมเครื่องประดับเงินและทองตุ้มหู กำไล แหวน สร้อยระย้า

“คาราวะจิ้นเหอ คาราวะไต้ซือน้อย” อี้เฟยกับพี่สาวทั้งสองเอ่ยทักทาย

“คาราวะอี้เฟย คาราวะพี่สาวทั้งสอง” จิ้นเหอกล่าวทักทายกลับ แล้วเดินตามสาวๆ เข้าไปหาท่านแม่เฒ่า

“คาราวะท่านยาย” อี้เฟยกล่าวกับแม่เฒ่าชรา

“คาราวะท่านแม่เฒ่า” จิ้นเหอกับพี่สาวทั้งสองกล่าวแทบจะพร้อมกัน

“อืม พวกเจ้าไปนั่งเถอะ” ท่านแม่เฒ่าพยักหน้ารับ

เมื่อแม่เฒ่าเห็นว่าทุกคนน่าจะมาครบกันหมดแล้ว จึงลุกขึ้นยืนชาวเผ่าต่างยืนขึ้นตาม แม่เฒ่าเริ่มกล่าวภาวนานำ ผู้คนในเผ่าต่างกล่าวประสานเสียงดังกังวาล เป็นใจความเคารพบูชาต่อธรรมชาติ ดิน ทอง น้ำ ไม้ ไฟ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ที่ทรงปกปักคุ้มครองชนเผ่า เมื่อเสียงบทภาวนาจบลง

พี่สาวมีนาเริ่มขับร้องเครื่องดนตรีผีผาขึ้นมา บทเพลงบรรเลงเบาๆ บรรยายถึงการต้องออกไปใช้ชีวิตทุ่งหญ้า ล่าสัตว์ หาสมุนไพร การศึกสงคราม อยู่ในที่อันตราย แล้วต้องคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัวที่อบอุ่นปลอดภัย
จิ้นเหอตอนแรกคิดว่าจะมีเครื่องดนตรีอื่นด้วย แต่มีเพียงพี่สาวมีนาบรรเลงเพลงเดี่ยว

“เพลงนี้ชื่อ อี๋จู๋ อู๋ฉวี่” อี้เฟยกระซิปบอกมัน(ทำนองเพลงกุหลาบแดง999ที่คนไทยนำมาร้อง)

“อืม..ไพเราะจับใจ ขอบใจที่บอก” จิ้นเหอกล่าวตายังจ้องมองคณะนักดนตรีที่อยู่บนเวที

พลันเสียงดนตรีเปลี่ยนจังหวะ เป็นเสียงรัวแผ่วเบาของผีผา เสียงเครื่องดนตรีอื่นสอดประสาน พริ้วไหวแผ่วหวานแว่วดุจเสียงขลุ่ย กรีดนิ้วพริ้วพรายของเสียงพิณ เสียงโหยต่ำขึ้นสูงของเสียงซอ หนุ่มสาวต่างเดินออกมารอบล้อมกองไฟที่ลุกโชน หญิงสาวเริ่มขยับร่ายรำท่วงท่าอ่อนช้อยกรีดกราย ชายหนุ่มทะมัดทะแมงเข้มแข็ง เสียงความสนุกสนานรื่นเริง จังหวะเร่งเร็วขึ้น ทำนองหนักแน่นขึ้น ใช้การดีดแบบสะบัดรัวและกวาดสาย

ผู้คนเริ่มดื่มกิน ข้าวปลาอาหารมีสมบูรณ์ เสียงปรบมือเสียงย่ำเท้าเริงระบำ เสียงร่ำร้องประกอบเสียงดนตรี ทุกผู้คนต่างมีใบหน้ายิ้มแย้มอ้าปากไม่หุบ ระทึกกึกก้องไปทั่วหุบเขา ต่างแสดงความเป็นตัวตนของชนเผ่าเซียง แม่เฒ่าขยับไม้เท้ากระแทกพื้นตามจังหวะ หัวโยกสั่นไหวตาหลับลงปลดปล่อยจิตวิญญาณ

“ไปกันจิ้นเหอ” อี้เฟยก้มค้อมโค้งให้มันก่อนจับรวบแขนดึงมันออกไปที่กลางลาน

“เจ้าร่ายรำกับข้า โยกเหวี่ยงส่ายพร้อมกัน เริ่มเลย” เป็นอี้เฟยกำลังสนุกสนาน จับมือจิ้นเหอเหวี่ยงมือเหวี่ยงขวาตามจังหวะเพลง

“เจ้าช้าลงหน่อย” จิ้นเหอกล่าวเริ่มเต้นรำวนไปรอบกองไฟ

ท่วงทำนองอันไพเราะงดงาม จังหวะอันครึกครื้น เร่งร้อน ของเพลงระบำเผ่าอี๋ เสียงดนตรีสะท้อนถึงกลิ่นไอ และบรรยากาศที่สนุกสนานรื่นรมย์ของความเป็นชนเผ่าเซียงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ท่วงทำนองเพลงชักนำให้เกิดจินตนาการภาพความงามของชนเผ่าเล็กๆ ในหุบเขาห่างไกลในคืนอันมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์นวลที่ส่องสว่างโอบกอดขุนเขาในราตรีกาล กับแสงคบเพลิงที่สุมอยู่กลางลานเต้นรำ หนุ่มสาวชาวอี๋รวมตัวกันรอบกองไฟ เต้นรำสนุกสนานรื่นเริงในคืนวันเทศกาล

“เจ้าจะไปไหน” จิ้นเหอเอ่ยถามเมื่ออี้เฟยปล่อยมือมันขณะออกห่างตัวไป

“เต้นร่วมกับทุกคนไง” อี้เฟยตอบขณะเริ่มเข้าร่วมเต้นกับคนอื่น

“คำนับคุณหนู” พวกชาวบ้านกล่าวเมื่อเห็นอี้เฟย ต้องให้ความเคารพนางก่อนถึงกล้าเต้นร่วมด้วยกับนาง

ท่วงทำนองที่แกร่งกร้าวพลันหยุดชะงักลง ตามด้วยทำนองที่เชื่องช้าและแผ่วเบา หางเสียงร้อยประสานย้อนกลับผ่อนจังหวะแผ่วเบาลง ราวกับการเต้นรำที่เหนื่อยล้า หนุ่มสาวหยุดพักความสนุกสนานลงชั่วครู่ ผู้คนต่างเดินกลับไปนั่งที่เดิม เพื่อดื่มกินพูดคุยกันต่อ จิ้นเหอเหลียวมองพี่สาวยีนากับมีนา นางร่ายบรรเลงเพลงช่างน่าประทับใจยิ่ง

“จิ้นเหอเจ้าลองนี่หมูในป่าย่าง” อี้เฟยกล่าวขณะหยิบชิ้นหมูวางลงบนจานให้มัน

“อืม..หนังมันกรอบอร่อยกว่าที่วันนั้นเยอะเลย” จิ้นเหอฉีกกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย

“แล้วนี่เรียกว่าอะไร” จินเหอถามถึงชามซุปด้านหน้าที่เพิ่งมีคนยกมาให้ ส่งกลิ่นหอมหวนชวนชิม

“เนื้อลูกตุ้ม รสชาติมันจะเปรี้ยวเผ็ดเจ้าลองกินดู

“โอ้.. อร่อยจังรสชาดจัดจ้านดี” จิ้นเหอกล่าวขณะตักชิมคำที่สอง มันเป็นเนื้อหั่นตัดชิ้นค่อนข้างใหญ่ต้มจนเปื่อยรสชาติซึมเข้าเนื้อ

พลันทำนองเพลงกระชั้นถี่ขึ้น เร่งไล่ให้เร็วและดุดันขึ้นอีกครั้ง ทำนองเพลงปลุกเร้าโหมกระหน่ำ ดั่งวงดนตรีทั้งวงร่วมบรรเลงประสานทำนอง ผู้คนต่างลุกขึ้นร่วมเริงระบำ เต้นรำรอบกองไฟอันสนุกสนาน ดั่งกองไฟที่โหมปะทุลุกโชน ส่งทำนองเพลงและบรรยากาศรื่นเริงสู่จุดสูงสุด

“จิ้นเหอไปกันรอบสุดท้ายแล้ว อิอิ” เป็นอี้เฟยกล่าวเร่งเร้า

“ไปกันอี้เฟย” จิ้นเหอรีบลุกตาม ตัวมันเองบังเกิดความสนุกคลื้นเคลงร่วมไปด้วย

รอบนี้ผู้คนต่างดื่มกินมาเต็มที่ ลีลาจึงไม่มีเก็บกั้นกันเอาไว้ หัวโยกส่ายสะบัด มือไม้ออกสเต็บลีลา ขาไขว้สลับผัดเปลี่ยน บ้างเอาเอาหัวปักลงพื้นเป็นฐานหมุนตัวเกลียว บ้างตีลังกาสามตลบใช้แขนข้างเดียวเป็นฐานกวาดวาดเท้าสามร้อยหกสิบองศา พอขาจะชนแขนยกแขนหลบ บางคนเต้นเป็นทีมท่าเดียวกัน มือลูบคลำเป้าพร้อมโดยเพรียงกัน ต่างร่ำร้องออกมา โย่ว..โย่ว


จิ้นเหอกับอี้เฟยกลับมานั่งที่แล้ว ช่วงสุดท้ายเพลง บรรเลงซ้ำทำนองหลัก แผ่วเบา แว่วหวิว พลิ้วหวาน คงเหลือเพียงหนุ่มสาวที่ตกอยู่ในภวังค์รัก เคล้าคลอพลอพลอดมิห่าง ณ. หุบเขาห่างไกลแห่งนั้น

 

 

 

 

 


http://metchs.blogspot.com/2011/11/52.html

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา