เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์)
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.52 น.
แก้ไขเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 13.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์) ตอนที่ 1 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความท่าอากาศยานอาดอลโฟ ซัวเรซ มาดริด-บาราคัส ประเทศสเปน
แพรวาผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองมาอย่างไม่มีปัญหา เธอเดินออกมาจากบริเวณดังกล่าวนั้นด้วยความหงุดหงิด โมโห โกรธเคือง เรียกว่าเอาอารมณ์ยอดแย่ทุกอย่างมาผสมรวมกันน่าจะอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้ดีที่สุด
จนถึงตอนนี้ซึ่งเดินมาหยุดตรงสายพานลำเลียงสัมภาระ แพรวายังยัดพาสปอร์ตเข้าไปในกระเป๋าถือโดยไม่ได้เหลือบสายตาไปมองสักนิดว่ามันจะสอดเข้าไปในช่องใดของกระเป๋า แต่กลับก้มลงมองนามบัตรใบจิ๋วที่กำมือเอาไว้จนแน่น
“อาเชอร์ เฟร์นานโด ไอ้คนเส็งเคร็ง!” ไม่บ่อยนักที่แพรวาจะก่นด่าใครสักคนเช่นนี้ แต่เขาเหมาะสมแล้วกับคำด่าว่านั้นเพราะกล้าดีมาหยามเกียรติศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง
อย่าว่าแต่เอาผิดเขาได้เลย แค่เพียงคำขอโทษที่ควรได้รับก็ยังไม่รู้ว่าจะเรียกร้องจากใคร ต้องตำหนิที่เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ครู่ใหญ่จนปล่อยให้เขาเดินหายไปอย่างไร้ร่องรอย ถึงแม้ว่าจะดึงสติกลับมาได้และรีบเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากเครื่องบินให้เร็วขึ้น สอดส่ายสายตามองหาตัวต้นเหตุที่ยั่วยุให้ต้องขุ่นเคืองใจแต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่เห็นเขาอยู่ดี
ราวสิบห้านาทีต่อมาแพรวาจึงเดินออกไปยังประตูผู้โดยสารขาเข้าประเทศ ซึ่งตอนนี้มีผู้คนมากหน้าหลายตามายืนรอรับญาติสนิทมิตรสหายของตน เช่นเดียวกันกับดวงตากลมโตของเธอที่กำลังมองหาเพื่อนสนิท
“แพรวา แพร... ทางนี้” วรนุชซึ่งยืนรอและจับตามองอยู่บริเวณประตูรีบเอ่ยเรียกและโบกมือให้เพื่อนสาวที่กำลังเดินออกมาพร้อมรถเข็นคันหนึ่ง
ชั่วอึดใจต่อมารอยยิ้มและเสียงหัวเราะของสองสาวซึ่งกอดกันกลมก็ดังขึ้นจนหนุ่มสเปนซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลอดยิ้มตามไม่ได้ ภรรยาและเพื่อนสนิทของภรรยากำลังทักทายกันด้วยภาษาที่เขาไม่อาจเข้าใจ แต่จากกิริยาท่าทางก็บ่งบอกให้รู้ว่าทั้งคู่กำลังดีใจ ตื่นเต้นอย่างสุดขีดในการพบหน้ากัน
“โอ๊ย... คิดถึงเธอที่สุดแล้วก็ดีใจที่สุดที่เธอมาอยู่ด้วยกัน” วรนุชบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหลังจากที่ดึงตัวออกมาจากอ้อมกอดของกันและกัน เช่นเดียวกับแพรวาที่เริ่มสำรวจความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนสนิท
“คิดถึงเหมือนกัน ไม่เจอกันตั้งนานสวยขึ้นนะเนี่ย” แพรวาชมจากใจจริง
วรนุชยิ้มพลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้ถ่อมตัวกับคำชื่นชมนั้นเลย “แหงล่ะ ชีวิตดี๊ดี... มีความรักและสามี”
จบคำพูดของวรนุชสองสาวก็หัวเราะอย่างครื้นเครง หากสายตาของแพรวาเหลือบไปเห็นสามีของวรนุชซึ่งยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล จึงรีบสะกิดวรนุชแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการ
“นี่... ฟรานเชสสามีฉันเองจ้ะ” วรนุชแนะนำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน
แพรวายื่นมือออกมาสัมผัสกับมือใหญ่ของฟรานเชสในทันที “สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ฟรานเชส”
“เช่นกันครับ ยินดีต้อนรับสู่มาดริด” ฟรานเชสกล่าวต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะเป็นฝ่ายอาสาตัวเข็นรถเข็นซึ่งบรรทุกกระเป๋าเดินทางอยู่สองใบใหญ่ตามสายตาออกคำสั่งของภรรยา
เมื่อฟรานเชสเดินนำหน้าออกไปยังลานจอดรถ วรนุชก็หันมาตีคิ้วให้ด้วยความภูมิใจเป็นหนักหนาที่สามีอยู่ในโอวาท ไม่ใช่แค่คุยโม้โอ้อวดให้เพื่อนฟังผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น
แพรวาหัวเราะร่วนเพราะรู้ดีว่าวรนุชนั้นต้องการสื่อสารเช่นไร ทั้งยังยอมรับว่าฟรานเชสเป็นหนุ่มสเปน ในอุดมคติของวรนุชที่เคยเพ้อหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เขามีเส้นผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาชวนฝันอย่างไม่ต้องสงสัยว่า วรนุชต้องเคลิบเคลิ้มทุกครั้งเมื่อได้สบสายตา
ราวครึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งหมดก็เดินทางมาถึงคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในย่านแหล่งพักอาศัยของฟรานเชสและวรนุช ห้องพักขนาดสองห้องนอน สองห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยกำลังพอเหมาะสำหรับครอบครัวเล็กๆ เพียงเท่านี้ก็นับว่าอยู่อย่างสะดวกสบายแล้วในกรุงมาดริด หนึ่งในมหานครของโลกที่ผู้คนส่วนมากใฝ่ฝันว่าจะได้มาสัมผัสบรรยากาศเช่นนี้สักครั้งในชีวิต
วรนุชจัดให้แพรวาพักในห้องว่างที่เหลืออยู่อีกห้องหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่กำลังช่วยกันเก็บข้าวของจากกระเป๋าเดินทางออกมาจัดเรียง
“ถุงนี้พี่วุฒิฝากมาให้แล้วก็บอกว่าถ้าลาพักร้อนได้จะรีบมาเยี่ยมให้เร็วที่สุด” แพรวาถ่ายทอดคำพูดของวรวุฒิอย่างไม่ตกหล่น
ส่วนน้องสาวกลับส่ายหน้าระอาใจในสารที่พี่ชายฝากมา “สามปีนี่ก็ปาเข้าไปพันกว่าวันแล้วนะ ทำไมพี่ชายฉันนึกอยากจะมาเยี่ยมน้องสาวในตอนที่เธอมาอยู่ที่นี่กันนะ”
เป็นเรื่องปกติที่วรนุชจะทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักเกี้ยวสาวให้พี่ชาย แต่ดูเหมือนว่าแพรวาจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และครั้งนี้ก็ไม่ต่างไปจากครั้งที่ผ่านมา
“ส่วนนี่... เด็ดสุดของฝากจากป้าน้อม สารพัดน้ำพริกที่เธอบ่นว่าอยากกิน” แพรวาทำเป็นหูทวนลมพลางยกกระปุกน้ำพริกซึ่งซีลพลาสติกหลายชั้นออกมาจากกระเป๋า
น้ำพริกกะปิ น้ำพริกตาแดง น้ำพริกเผา ปิดท้ายด้วยกะปิน้ำปลาหวานสูตรเด็ดซึ่งเคยได้ลิ้มลองอยู่บ่อยครั้งตอนเรียนมหาวิทยาลัย เพียงเท่านี้คนที่คิดถึงอาหารรสชาติจัดจ้านก็ลืมเลือนเรื่องของพี่ชายไปชั่วคราว
“ว้าว... อยากจะกระโดดจูบแก้มป้าน้อมจริงๆ นี่แค่ได้ยินว่ามีกะปิน้ำปลาหวานฉันยังน้ำลายสอ คิดถึงมะม่วงเปรี้ยวๆ แล้ว” บอกพลางหยิบเอาถุงของฝากนั้นมากอดไว้แนบอก ทั้งยังทำหน้ามีความสุขนักหนาแต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ลืมไถ่ถามถึงสารทุกข์สุกดิบญาติผู้ใหญ่ของเพื่อน “แล้วลุงกับป้าน้อมสบายดีใช่ไหม มาคิดๆ ดู ฉันไม่ได้กลับเมืองไทยมาสามปีกว่าแล้วนะเนี่ย”
“สบายดี... แต่ป้าน้อมดูซึมๆ ตั้งแต่ที่รู้ว่าฉันต้องมาอยู่ที่นี่”
“คงคิดถึงแล้วก็เป็นห่วงน่ะสิ” บอกและชวนคุยไปอีกเรื่องเมื่อเห็นสีหน้าของแพรวาสลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด “หรือไม่ป้าน้อมก็คงกลัวว่าเธอจะเอาหนุ่มสเปนไปฝากเป็นหลานเขยล่ะม้าง...”
อารมณ์อันแจ่มใสค้างชะงักเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ทั้งยังไม่เข้าใจว่าทำไมไพล่คิดไปถึงใบหน้าของอาเชอร์ เฟร์นานโด ผู้ชายที่เห็นเธอเป็นเพียงสาวเอสคอร์ต มีประโยชน์แค่เพียงให้เขาใช้เป็นเครื่องมือเขี่ยผู้หญิงอีกคนทิ้ง!
โอ...คุณพระช่วย! นี่เธอจำชื่อเสียงเรียงนามเขาได้ขึ้นใจเชียวเรอะ
แพรวาตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเองจนไม่รู้ตัวว่าวรนุชเอ่ยปากเรียกอยู่หลายครั้งแล้ว
วรนุชขมวดคิ้วมุ่นเพราะไม่เข้าใจในท่าทีของเพื่อนสาวที่แสดงออกมา จึงเข้าไปทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าพลางเอื้อมมือกุมหัวไหล่บอบบาง “แพรวา... แพร เป็นอะไรไป”
“ปะ...เปล่า” ตอบและสบสายตาของเพื่อน
“เปล่าอะไร เรียกตั้งนานยังไม่รู้สึกตัว เจ็ตแล็กรึเปล่า”
“ฮื่อ... ก็อาจจะเป็นงั้น” ปรับเวลาไม่ได้ก็คงต้องมีบ้างแต่ความจริงแล้วเธอกำลังนึกถึงใบหน้าของผู้ชายบางคนอยู่ต่างหาก
“แพร... ถามอะไรหน่อยได้ไหม เธอต้องรับปากฉันนะว่าจะตอบมาตรงๆ” วรนุชคิดเอาไว้ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่พี่ชายโทรศัพท์มาปรับทุกข์เรื่องความสัมพันธ์กับแพรวาแล้ว เมื่อได้เจอตัวจึงไม่รีรอที่จะเอ่ยถามให้เข้าใจ “อาทิตย์ที่แล้วพี่วุฒิโทรมา เมาเหล้าด้วยนะ พูดจาไม่ต่างจากคนอกหัก ถามจริงๆ เถอะแพร เธอไม่เคยนึกชอบพี่วุฒิบ้างเลยเหรอ”
แพรวาถอนหายใจและส่ายหน้าอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด “ความรู้สึกมันบังคับกันได้ที่ไหน ถ้าฉันชอบพี่วุฒิก็คงจะชอบไปตั้งนานแล้ว”
“งั้นเธอคงอึดอัดไม่น้อยที่พี่วุฒิตามตื๊อแถมฉันยัง...”
แพรวาเอ่ยขึ้นก่อนที่เพื่อนสาวจะพูดจบประโยค “ฉันรู้ว่าเธอทำไปเพราะหวังดี ถามว่าอึดอัดไหมก็ไม่เท่าไหร่เพราะพี่วุฒิไม่ได้ตื๊อเสียจนฉันรำคาญ แต่ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้กลัวว่าสักวันต้องผิดใจกันน่ะสิ”
“นิดนึงก็ไม่ชอบเลยเหรอ?” ย้ำถามอีกครั้งเพราะอยากให้เพื่อนสนิทเปลี่ยนสถานะมาเป็นพี่สะใภ้เสียมากกว่า แต่เมื่อได้รับคำยืนยันอย่างหนักแน่น วรนุชจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เธอรู้คำตอบดีพอๆ กับฉันเพราะแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ถ้ามีเวลาว่างฉันแค่อยากให้เธออธิบายให้พี่วุฒิเข้าใจฉันด้วย” แพรวาปฏิเสธได้อย่างนุ่มนวลทั้งยังขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในคราวเดียวกัน
คำพูดเตือนสตินั้นทำให้วรนุชได้คิด เพราะถ้ามีใครมาบังคับใจเธอก็คงจะไม่ยอมเช่นกัน “เรื่องพี่วุฒิไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะคุยให้เอง”
แพรวายิ้มและเริ่มลงมือจัดของใช้ส่วนตัวอีกครั้ง “ไม่ลองบอกพี่วุฒิให้เปิดใจให้น้องแก้วบ้างล่ะ ถึงจะขายขนมจีบพี่วุฒิออกหน้าออกตาไปบ้าง แต่ฉันว่าน้องแก้วดูซื่อๆ จริงใจดีนะ”
“น้องแก้วคือ?...”
คำถามนั้นดังขึ้นและทำให้แพรวาต้องอธิบายความเป็นมาของพยาบาลหน้าห้องคุณหมอวรวุฒิ ซึ่งหลายคนในโรงพยาบาลรู้ดีว่าน้องแก้วคนนี้ปลาบปลื้มในตัวคุณหมอวรวุฒิมากสักเพียงใด ในขณะที่วรนุชเริ่มซักไซ้รายละเอียดเพราะไม่เคยได้ยินพี่ชายพูดถึงเลย
ก๊อก... ก๊อก...
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้บทสนทนาที่กำลังออกรสต้องหยุดชะงักลง สองสาวหันไปมองยังคนที่เปิดประตูห้องเข้ามาหลังสิ้นสุดเสียงอนุญาตของวรนุช
ฟรานเชสชะโงกหน้าเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “อาหารเย็นพร้อมแล้วนะครับ สาวๆ”
“ค่ะ ใกล้จะเสร็จแล้ว เดี๋ยวตามไปนะคะ” วรนุชตอบแล้ววางมือจากการจัดของ “ไปหาอะไรกินก่อนดีกว่าจะได้มีแรงมาจัดของต่อ”
ทั้งคู่เดินออกจากห้องไปยังโต๊ะอาหารซึ่งตั้งอยู่ในมุมหนึ่งหน้าเคาน์เตอร์ครัวขนาดย่อม วรนุชกดบ่าบอบบางของเพื่อนให้นั่งลงบนเก้าอี้ ในขณะที่ฟรานเชสทำหน้าที่ยกอาหารหลายจานออกมาวางบนโต๊ะพร้อมพรีเซนต์แต่ละจานราวกับนั่งอยู่ในรายการทำอาหาร
วรนุชยังยืนซ้อนด้านหลังเก้าอี้ที่แพรวานั่ง เธอผายมือเป็นเชิงให้สามีแนะนำอาหาร
“จานแรกเป็นปลาทรายแดงอบเกลือ ตามด้วยสตูแบบมาดริดแท้ๆ เสิร์ฟในหม้อดิน อีกจานคือรีซอตโต้กุ้งกับสลัดหอยเชลล์ ตบท้ายด้วยเค้กช็อกโกแลตชื่อดังของร้านเรา” ฟรานเชสบอกแล้วเดินมาเลื่อนเก้าอี้รอภรรยา
วรนุชหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ เธอเดินอ้อมมายังที่นั่งประจำของตนแต่สายตาปะทะเข้ากับเสื้อกันหนาวของแพรวาซึ่งพาดอยู่บนเก้าอี้ จึงหยิบขึ้นตั้งใจจะเอาไปห้อยไว้ยังขาตั้งมุมห้อง จังหวะเดียวกันนั้นก็มีบางอย่างร่วงหล่นลงบนพื้นจึงก้มลงหยิบกระดาษแผ่นจิ๋วซึ่งยับย่นให้คลี่ออก
“อาเชอร์ เฟร์นานโด” น้ำเสียงของวรนุชนั้นทั้งตกใจและประหลาดใจในขณะที่เดินมาทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงกันข้ามกับแพรวา “เธอไปรู้จักเขาด้วยเหรอ รู้จักได้ยังไง รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
แพรวาไม่รู้ว่าจะตอบคำถามไหนก่อนหลังดีแต่ที่ทำให้แปลกใจมากก็คือปฏิกิริยาของคู่สามีภรรยาตรงหน้า ฟรานเชสมองหน้าเธอสลับกับวรนุช บ่งบอกว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินสักเท่าไหร่จนกระทั่งยื่นมือไปรับเอานามบัตรที่เธอขยำจนยับนั้นมาไว้ในมือ
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะรู้จักดอนอาเชอร์ด้วย” ฟรานเชสครางแล้วส่งนามบัตรกลับไปให้ภรรยาเช่นเดิม
แพรวาส่ายหน้าเพราะทั้งสองคนกำลังจดจ้องเธอด้วยแววตาและสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม “มะ...ไม่รู้จัก แล้วทำไมต้องทำท่าประหลาดขนาดนี้ด้วย”
“ก็เขาเป็นคนดัง ใครบ้างจะไม่รู้จัก ขนาดฉันยังรู้จักเขาเลยหรือเธอไม่รู้” วรนุชถาม
“ก็เพิ่งจะรู้นี่แหละ” กระแทกเสียงตอบ เพราะนึกถึงใบหน้าของเขาทีไรเป็นต้องอารมณ์เสียทุกที ถึงจะเป็นคนดังแล้วมีสิทธิ์อะไรมาขโมยถ่ายรูปตอนเธอหลับ
“แล้วไปรู้จักเขาได้ยังไง แพรวา... บอกมาเลยนะ” วรนุชซักไซ้
แพรวากลอกสายตาไปมาหาคำแก้ตัว “กะ...ก็เพิ่งรู้จักจากที่เธอพูดนี่ไง เขาดังยังไง คือ... หมายถึงเป็นใครมาจากไหน ทำไมเธอสองคนต้องทำหน้าตื่นอย่างนี้แค่เห็นนามบัตรเขาเอง”
“โธ่... จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงล่ะครับ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นนักธุรกิจแถวหน้าที่ร่ำรวยติดอันดับโลกแต่ชาวสเปนก็รู้ๆ กันว่าเขาเป็นมาเฟีย” ฟรานเชสตอบ
“มาเฟีย?...” แพรวาทวนคำอย่างไม่อยากเชื่อทว่าทั้งฟรานเชสและวรนุชกลับพยักหน้าเร็วๆ สำทับคำพูด
“ต้นตระกูลของพ่อเขาเป็นมาเฟียอิตาลี แม่เป็นชาวสเปนแต่หย่าร้างกันมาหลายปีแล้ว เขามีอู่ต่อเรือดูผิวเผินก็เหมือนนักธุรกิจทั่วไป แต่มีข่าววงในแพร่ออกมาว่าดอนอาเชอร์คนนี้ไม่สนใจว่าลูกค้าที่มาสั่งต่อเรือจะเอาไปใช้แบบผิดกฎหมายรึเปล่า ขอให้มีเงินจ่ายเขาก็สามารถเป็นคู่ค้าของเขาได้ทั้งนั้น ในทางกลับกันผมคงไม่ต้องบอกว่า ดอนอาเชอร์มีวิธีจัดการกับคนที่โกงเขาโหดเหี้ยมสักแค่ไหน คนทั่วไปถึงเข้าใจว่าเขาเป็นมาเฟีย แต่ไม่มีใครกล้าเรียกเท่านั้นเอง” ฟรานเชสอธิบายอย่างละเอียด
“อ่อ... มิน่าล่ะ” แพรวาครางรับและมีคำตอบให้กับตัวเองแล้วว่าเพราะเหตุใดเมื่อเธอยกเอาตำรวจขึ้นมาข่มขู่ เขาถึงไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านใดๆ เลย
ที่แท้ก็พวกนอกกฎหมาย รวยได้โดยไม่สนใจความถูกต้อง นิสัยแย่ๆ แบบนี้ไงถึงได้ดูหมิ่น หยามเกียรติ หยามศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงอย่างที่เธอเพิ่งเจอมา
“มิน่าอะไร ดอนอาเชอร์ทำอะไรเธอรึเปล่า” วรนุชถามด้วยความเป็นห่วง
“มะ...ไม่ ก็บอกแล้วว่าเพิ่งรู้จักเขาดีจากที่ได้ยินเธอสองคนเล่าให้ฟังนี่แหละ”
“แล้วนามบัตรเขามาอยู่ในเสื้อเธอได้ยังไง” วรนุชยังข้องใจ
แพรวานิ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะส่ายหน้า กระอ้อมกระแอ้มตอบคำถามแบบกำปั้นทุบดิน “คือ... ฉันคงจะใช้รถเข็นต่อจากคนที่ทิ้งนามบัตรเขาไว้ล่ะมั้ง แล้วฉันก็กลัวว่าจะลืมของถึงได้เก็บทุกอย่างยัดเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อ ฉันหิวแล้วนะ ลงมือกินได้รึยัง”
แม้จะเป็นคำตอบที่ไม่ทำให้เข้าใจได้เลยสักนิดแต่เมื่อได้ยินว่าเพื่อนเริ่มหิว วรนุชก็รีบพยักหน้าแล้วลงมือรับประทานอาหาร แน่นอนว่าแพรวาเป็นคนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาจนสองสามีภรรยาไม่มีท่าทีว่าจะกลับไปสงสัยในเรื่องของนามบัตรอีก
ราวชั่วโมงต่อมาหลังอาหารมื้อเย็น แพรวาก็อาบน้ำชำระร่างกายจนอยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาทรุดนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สายตายังจดจ้องอยู่ที่นามบัตรใบจิ๋วที่วางอยู่ไม่ไกลในขณะที่กำลังชั่งใจว่าจะจัดการกับมันอย่างไร
ท้ายที่สุดแพรวาตัดสินใจโยนนามบัตรใบนั้นลงในถังขยะ เพราะฟังจากคำพูดของฟรานเชสและวรนุชที่เอ่ยถึงเขาแล้ว คงไม่ต่างจากเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงหากเธอยังดึงดันจะเอาเรื่องกับมาเฟียผู้ทรงอิทธิพลของประเทศนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการให้เขาลบรูปภาพดังกล่าว
แต่วรนุชก็บอกอยู่แล้วว่าผู้หญิงของดอนอาเชอร์ยังยืนเรียงแถวหน้ากระดาน รอเพียงแค่เขากระดิกนิ้วเรียกเท่านั้น เขาคงไม่เสียเวลาเอาภาพของเธอไปแบล็กเมล์หรอก
‘รีทัชอย่างเดียวคงไม่พอ กลัวว่าต้องจ่ายเงินให้ช่างแต่งอึ๋มอีกน่ะสิ’
คำพูดดูแคลนแถมยังไร้มารยาทวิจารณ์สัดส่วนของเธอยังดังก้องอยู่ในหู แพรวาสะบัดศีรษะจนผมเผ้ากระจายก่อนจะคลานขึ้นเตียงนอนด้วยความหงุดหงิดใจ เพราะไม่รู้ว่านานสักแค่ไหนถึงจะลบภาพใบหน้าคร้ามคมของมาเฟียไร้มารยาทออกไปจากความทรงจำ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ