เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์)

8.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.52 น.

  15 ตอน
  2 วิจารณ์
  17.79K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 13.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) เจ้าหัวใจมาเฟีย (ฉบับรีไรต์) ตอนที่ 1 50%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร

            คุณหมอหนุ่มวรวุฒิกำลังยืนอยู่หน้าประตูทางออกของโรงพยาบาล ชะเง้อมองหาร่างอรชรของใครบางคนอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเธอเดินใกล้เข้ามายังต้องรีบเช็ดฝ่ามือชื้นเหงื่อกับกางเกงเพราะทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าเธอ หัวใจของคุณหมอหนุ่มเป็นต้องตื่นเต้น

                แพรวายิ้มทักทายตามมารยาท เมื่อเดินออกมาพบกับพี่ชายของเพื่อน ซึ่งทำงานอยู่ในโรงพยาบาลเดียวกัน

                รอยยิ้มหวานเป็นกำลังใจชั้นเยี่ยม เรียกความมั่นใจให้วรวุฒิเอ่ยปากกับหญิงสาว “น้องแพรครับ วันนี้เราไปทานกลางวันที่ร้าน... ตรงข้ามโรงพยาบาลด้วยกันนะครับ”

                “เห็นทีต้องปฏิเสธพี่วุฒินะคะ บังเอิญว่าแพรมีเคสด่วน นี่ยังต้องวานให้แม่บ้านไปซื้อข้าวเที่ยงมาให้เลย” แพรวาตอบและเรียกขานด้วยความสนิทชิดเชื้อ ซึ่งเรียกตามเพื่อนสนิทของตนที่เป็นน้องสาวแท้ๆของวรวุฒิ

                “อ่อ...”  แม้จะผิดหวังอยู่มากแต่ก็รู้ว่างานต้องสำคัญกว่าเสมอ “งั้นไม่เป็นไร เอาไว้ให้น้องแพรว่างก่อนก็ได้ครับ”

                แพรวายิ้มรับและเดินตรงไปยังลานจอดรถ เมื่อเห็นดังนั้นวรวุฒิจึงถามขึ้นอีกครั้ง

                “แล้วนี่น้องแพรจะไปไหน”

                “แพรลืมของไว้ในรถน่ะค่ะ”                     

                วรวุฒิพยักหน้ารับและนึกถึงเรื่องที่ค้างคาใจขึ้นได้จึงเอ่ยถามในทันทีเพราะคิดว่าคงไม่ทำให้เธอเสียเวลามากนัก “ได้ยินส้มเล่าให้ฟังว่า น้องแพรจะไปเรียนต่อที่มาดริดจริงๆ เหรอครับ”

                แพรวายิ้มแหยๆ แบ่งรับแบ่งสู้ตอบ “โอ๊ย... ยังไม่รู้ว่าจะสอบได้รึเปล่า แพรก็เพ้อเจ้อวาดฝันกับยัยส้มไว้เท่านั้นเองค่ะ”

                แพรวาเอ่ยถึงวรนุช ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ของคุณหมอวรวุฒิ ตอนนี้แต่งงานและย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน ซึ่งเป็นประเทศที่แพรวาอยากจะไปเยือนสักครั้งด้วยความชอบส่วนตัวและอีกเหตุผลหนึ่งที่เอื้อประโยชน์ต่อการทำงานของตน

                เพียงเท่านั้นวรวุฒิก็ได้คำตอบอยู่ในใจแล้วเพราะรู้ถึงขีดความสามารถของแพรวาเป็นอย่างดี เธอคือนักกายภาพบำบัดมือหนึ่งของโรงพยาบาลแห่งนี้

                “พูดอย่างนี้แปลว่าเร็วๆ นี้พี่คงต้องเลี้ยงส่งน้องแพรไปเรียนต่อแน่ๆ” น้ำเสียงของวรวุฒิมีความเสียดายเจืออยู่ซึ่งแพรวาเองก็รับรู้ได้

                อันที่จริงแล้วเธอรับรู้มาโดยตลอดว่าคุณหมอหนุ่มมีความรู้สึกเฉกเช่นชายหนุ่มพึงมอบให้คนรัก แต่เธอกลับไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย จึงเลือกที่จะปฏิบัติตัวเป็นเสมือนน้องสาวคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดเกินเลยมาตลอด

                “งั้นแพรขอตัวก่อนนะคะ” แพรวาบอกหลังจากที่หยิบแฟ้มเอกสารมากอดเอาไว้แนบอก

                “ครับ” วรวุฒิได้แต่รับคำและมองตามแผ่นหลังบอบบางของนักกายภาพบำบัดสาวซึ่งเดินห่างออกไปเรื่อยๆ

                ความหวังของเขาดูเหมือนรางเลือนออกไปทุกที เมื่อได้รู้ว่าเธอมีโอกาสสูงมากที่จะไปศึกษาต่อในต่างแดน ความสนใจเกินเพื่อนของน้องสาวเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่แพรวายังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสาม

                แม้บ่อยครั้งจะรบเร้าให้วรนุชเป็นแม่สื่อแม่ชักแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยได้สมหวังสักครั้ง เวลาห้าปีที่ไม่เคยนึกชอบผู้หญิงอื่นใดแต่ดูเหมือนว่าแพรวาเองก็ไม่เคยคิดเกินเลยหรือให้ความหวังเขาสักเพียงน้อยนิด บางครั้งเขาก็นึกท้อพร้อมกับเกิดคำถามขึ้นในใจว่า...

                หรือถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะต้องบอกความในใจให้แพรวาได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมา

                นั่นเป็นแค่เพียงความคิดเพราะไม่รู้ว่าจะเอาความกล้าที่ไหนไปพูดคุยกับเธอเช่นนั้นและเป็นอีกวันที่เขาต้องขับรถกลับบ้านด้วยความผิดหวังอีกเช่นเคย

 

                ไม่กี่นาทีต่อมา... แพรวาก็เดินเข้ามาในห้องทำงานของตนแล้วทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน ก่อนจะเหลือบสายตามองไปยังประตูห้องที่ถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับเสียงของผู้ช่วยหน้าห้องที่ดังขึ้น

                “คุณแพรคะพี่วางประวัติคนไข้พร้อมฟิล์มเอกซเรย์ไว้บนโต๊ะนะคะ ท่านผู้อำนวยการบอกว่าเคสนี้เป็นเคสพิเศษ คนไข้จะมาพบตอนบ่ายโมงครึ่งค่ะ” สมร ผู้ช่วยพยาบาลรายงาน

                “รับทราบค่า” ตอบรับพร้อมกับเปิดแฟ้มไล่สายตาตามประวัติของคนไข้ จากนั้นจึงหยิบฟิล์มเอกซเรย์ขึ้น จึงได้เห็นว่ากระดูกขาตรงช่วงหน้าแข้งหักทำการถอดเฝือกมาแล้ว เหลือแค่รอเข้ารับการกายภาพบำบัดตามขั้นตอน ซึ่งก็เหมือนคนไข้ปกติทั่วไป

                แพรวานึกแปลกใจจึงเปิดประตูห้องออกไปถามผู้ช่วยพยาบาล “พี่สมร แพรดูแล้วนะคะ ก็รักษาไปตามขั้นตอนจะพิเศษตรงไหนคะ”

                “ก็พิเศษตรงที่ระบุว่าคุณแพรต้องดูแลคนไข้ด้วยตัวเองจนกว่าจะหายเป็นปลิดทิ้งเหมือนเคสของลูกสาวท่านรัฐมนตรีนั่นแหละค่ะ คนไข้เป็นนักฟุตบอลอยู่ในความดูแลของท่านสุเมธค่ะ”

                แพรวาพยักหน้ารับกับคำอธิบายแล้วถอยหลังกลับเข้ามาในห้องทำงานของตนเช่นเดิม

                วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ เป็นการนำเอาเครื่องมือที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัย ประกอบกับการกายภาพบำบัด การฟื้นฟู มุ่งเน้นในการเพิ่มสมรรถภาพด้านร่างกาย เทคนิคการเตรียมความพร้อม รวมไปถึงการโภชนาการ และจิตวิทยาการกีฬาเข้ามาทำการรักษานักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บจากการแข่งขัน เพื่อทำให้อาการบาดเจ็บต่างๆ หายเป็นปกติ โดยใช้ระยะเวลาในการรักษาน้อยลงกว่าที่ผ่านมา หรือเรียกว่าเวชศาสตร์การกีฬา

                ในประเทศไทยยังมีบุคลากรในด้านนี้น้อยมาก ส่วนมากบุคลากรด้านนี้จะมีในประเทศที่เป็นมหาอำนาจทางการกีฬา มีการเรียนการสอนกันอย่างแพร่หลาย จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้แพรวาอยากจะเรียนต่อในสาขานี้ เพื่อความเชี่ยวชาญ

                คิดมาถึงตรงนี้ก็อดตื่นเต้นกับการประกาศผลสอบเข้าศึกษาระดับปริญญาโทในวันพรุ่งนี้

                ก๊อก... ก๊อก...

                เสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้นปลุกให้นักกายภาพบำบัดสาวหลุดออกมาจากห้วงความคิดของตน ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา โดยมีร่างของผู้อำนวยการโรงพยาบาลกับชายร่างท้วมและบุรุษพยาบาลซึ่งเข็นรถเข็นพาคนไข้เข้ามาในห้อง

                “คุณแพรวา... นี่ท่านสุเมธ เป็นผู้จัดการสโมสร...” วัชระ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเป็นฝ่ายแนะนำให้นักกายภาพบำบัดสาวได้รู้จักกับชายร่างท้วม อดีตนักการเมืองชื่อดัง แต่ตอนนี้วางมือและผันตัวมาเป็นผู้จัดการสโมสรฟุตบอล... ซึ่งคะแนนอยู่ในกลุ่มท็อปโฟร์ของตาราง

                แพรวาจึงพนมมือไหว้ด้วยความอ่อนน้อม ก่อนที่ผู้อำนวยการจะแนะนำเธออย่างคร่าวๆ

                “ท่านครับ... นี่คุณแพรวา เป็นนักกายภาพบำบัดมือหนึ่งของโรงพยาบาล”

                “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” แพรวากล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเกรงใจ

                “อย่าถ่อมตัวเลยหนู ฉันได้ยินว่าหนูเป็นนักกายภาพบำบัดที่รักษาลูกสาวท่านรัฐมนตรี... ที่ถูกรถชนเมื่อสองเดือนก่อน จนตอนนี้เดินได้ปกติแล้ว ท่านรัฐมนตรี... ออกปากชมหนูใหญ่เลยว่าหนูเก่งมากแถมปราบลูกสาวจอมดื้อของท่านเสียอยู่หมัด ฉันก็เลยอยากจะให้ช่วยดูแลนิพนธ์เขาหน่อย เขาเป็นศูนย์หน้าของสโมสร... แต่โชคร้ายที่คู่ต่อสู้เข้าสกัดบอลรุนแรงเหมือนตั้งใจเล่นนอกเกม หวังว่าหนูคงจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ” สุเมธร้องขอระคนกดดันอยู่ในที

                ใช่ว่าสุเมธจะไม่รู้ถึงสายสัมพันธ์ในครอบครัวของวัชระและแพรวา แต่การวางตัวของทั้งคู่ซึ่งดูเป็นทางการทั้งที่ความจริงแล้ว วัชระนั้นมีศักดิ์เป็นลุงเขยของแพรวา ก็ทำให้สุเมธรู้ว่าลุงและหลานคู่นี้แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันโดยสิ้นเชิง

                “ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจนะคะ การกายภาพบำบัดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อาการดีขึ้นเร็วกว่าเดิม อีกส่วนหนึ่งต้องมาจากกำลังใจของคนไข้เอง เพราะการที่เราจะทำให้ข้อต่อและกล้ามเนื้อซึ่งไม่ได้เคลื่อนไหวมาเป็นเวลานาน กลับมาเคลื่อนไหวให้มีประสิทธิภาพเหมือนเดิมย่อมต้องเกิดความเจ็บปวดขึ้น คนไข้ต้องทำใจยอมรับและอดทนกับความเจ็บปวด แต่ถ้าเมื่อไหร่ท้อแท้หมดหวัง การรักษาจะไม่สัมฤทธิ์ผลเลย” แพรวาอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ

                “ไม่ท้อแน่นอนครับ ผมอยากหาย อยากกลับไปลงสนามอีกครั้ง คุณหมอช่วยผมด้วยนะครับ” คนไข้หนุ่มรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้รู้ดีว่าต้องเผชิญกับความเจ็บปวด ยากลำบากสักเพียงใดก็สัญญากับตัวเองว่าจะอดทนเพราะอยากกลับไปลงสนามอีกครั้งในเร็ววัน

                “ค่ะ แต่อย่าเรียกว่าคุณหมอเลยนะคะ เรียกว่าพี่แพรจะดีกว่า ไหนๆ ต่อจากนี้ก็ต้องเจอกันทุกวันอยู่แล้ว” แพรวาบอกด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

                เมื่อทุกอย่างลงตัว เข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว แพรวาจึงนัดเวลาคนไข้ในทันที “พรุ่งนี้เจอกันเก้าโมงเช้านะคะ”

                “ครับผมจะมาให้ตรงเวลา” คนไข้หนุ่มรับคำพร้อมด้วยรอยยิ้มแห่งความหวัง

                “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอตัวกลับก่อน พรุ่งนี้จะให้คนพานิพนธ์มาให้ตรงเวลา” สุเมธบอกในขณะที่รับไหว้จากนักกายภาพบำบัดสาว

                วัชระ ทิ้งระยะห่างให้ทั้งคู่ออกไปจากห้องเสียก่อนจึงหันมาบอกกับหลานสาว ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่แตกต่างไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง

“เย็นนี้น้องแพรรีบกลับบ้านนะ ลุงกับป้ามีเรื่องจะคุยด้วย” บอกเพียงเท่านั้นก็เดินออกจากห้อง ไม่ได้เปิดโอกาสให้แพรวาได้ซักถามต่อว่าอย่างไร

                วัชระ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาล แต่งงานกับคุณป้าแท้ๆ ของเธอ ลุงและป้าซึ่งเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองซึ่งคอยให้ความรักความอบอุ่น คอยปลอบโยนในตอนที่เธอต้องสูญเสียพ่อและแม่ผู้ให้กำเนิดไปอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์

                พ่อของเธอและป้าน้อมปลูกบ้านคนละหลัง ในที่ดินมรดกตกทอดซึ่งอยู่ในรั้วรอบขอบชิดเดียวกัน ในตอนที่เธอเคว้งคว้าง เศร้าสร้อยเพราะการจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับของพ่อและแม่ จึงมีลุงและป้าคอยดูแลเอาใจใส่ รักใคร่ไม่ต่างจากลูกในไส้

                แพรวาคือจุดศูนย์รวมของทุกคนในบ้านมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะวัชระและน้อมนั้นไม่ได้มีลูกด้วยกัน ทั้งคู่จึงรักและเอ็นดูแพรวามาตั้งแต่แบเบาะ ความขี้อ้อนและเอาแต่ใจตัวเองที่มักจะมาในรูปแบบต่างๆ โน้มน้าวใจให้คนทั้งบ้านคล้อยตามและยอมรับในความต้องการนั้นไม่มีใครเก่งกาจเกินแพรวา

               

                แม้จะต้องฝ่าการจราจรอันคับคั่งในเมืองหลวง แต่แพรวาก็มาถึงบ้านก่อนเวลาอาหารราวสี่สิบนาที ความเมื่อยล้าที่เกิดขึ้นสูญสลายไปในชั่วพริบตาเมื่อเดินลึกเข้ามาในครัวตามกลิ่นหอมของอาหาร

                “กลับมาแล้วค่า”

                เสียงหวานดังมาก่อนจะปรากฏตัว นั่นเป็นเรื่องปกติที่ทำให้ผู้เป็นป้าอมยิ้มกับความสดใสของหลานสาว แม้จะยังง่วนอยู่กับการทำอาหารเย็น และยืนหันหลังให้กับทิศทางที่หลานสาวจะเดินเข้ามา แต่เพราะเลี้ยงดูมาแต่เล็กแต่น้อย มีหรือที่จะไม่รู้ว่าแพรวากำลังน้ำลายสอกับอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนเคาน์เตอร์ด้านหลังตน

                “โอ้โห! วันนี้วันพิเศษอะไรคะ ป้าน้อมทำอาหารยังกับจะเลี้ยงคนทั้งซอย” แพรวากระเซ้าเย้าแหย่พลางเดินมาซ้อนด้านหลัง สวมกอดผู้เป็นป้าทั้งยังขโมยหอมแก้มฟอดใหญ่ ทำตัวออดอ้อนเช่นที่เคยปฏิบัติมาตลอด

                ป้าน้อมได้แต่ยิ้มรับอย่างมีความสุขแต่ไม่ได้บอกถึงเหตุผลที่ตั้งใจทำเฉพาะเมนูโปรดของหลานสาว แต่กลับออกปากไล่ให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแทน

                แม้จะมีท่าทางอิดออดแต่แพรวาก็ยอมเปลี่ยนมือจากรอบเอวของผู้เป็นป้า บังเอิญสายตาไปกระทบเข้ากับหางกุ้งสีสดซึ่งรอดพ้นจากการห่อหุ้มด้วยเกล็ดขนมปังแล้วผ่านการทอดอีกครั้งหนึ่ง ทว่ามือบางที่ตั้งใจจะเอื้อมไปหยิบกลับต้องชะงักค้าง

                “ห้ามใช้มือหยิบอาหารเด็ดขาด แล้วรีบไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้” แม้จะกำชับเสียงดุแต่หลานสาวกลับฉีกยิ้มกว้างเพราะรู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่คำขู่

                “เจ้าค่า คุณนาย!” แม้จะรับปากแต่กลับรีบหยิบหางกุ้งชุบเกล็ดขนมปังทอดขึ้น ก่อนจะเผ่นแน่บวิ่งออกจากห้องครัวด้วยความเร็วที่ไม่ต่างจากนักวิ่งร้อยเมตร

                แม้จะต้องส่ายหน้าอย่างระอาใจกับท่าทีไม่รู้จักโตของหลานสาว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชอบให้แพรวามาออดอ้อนออเซาะ นอนหนุนตักดูทีวีด้วยกันแต่เมื่อมองเห็นอาหารหลายจานตรงหน้า ก็อดใจหายไม่ได้กับเหตุผลในการทำของโปรดซึ่งเปรียบเสมือนเลี้ยงฉลองที่แพรวาสามารถสอบชิงทุนไปเรียนที่สเปน

                “ถ้าคุณแพรไม่อยู่บ้านเงียบแน่ๆ เลยนะคะ” แม่บ้านสาวบอกจากความรู้สึกแท้จริง

                น้อมพยักหน้ารับเห็นด้วยกับคำพูดของแม่บ้านยิ่งนัก “ฉันก็เป็นห่วง ไม่อยากให้น้องแพรไปอยู่ไกลหูไกลตาสักเท่าไหร่ ผู้หญิงตัวคนเดียวไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เกิดอะไรขึ้นใครจะคอยช่วยเหลือ แต่มาคิดๆดูอีกที ทั้งหมดนี้ก็เพื่ออนาคตของน้องแพรเอง ไม่ใช่ว่าจะไปกันได้ทุกคน โอกาสมาถึงแล้วก็ควรไขว่คว้าเอาไว้”

                เหมือนกับเอาข้อดีข้อเสียทั้งสองอย่างมากองรวมกัน แม้สุดท้ายแล้วจะรู้คำตอบดีแต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงได้แต่ถอนหายใจและสั่งให้แม่บ้านสาวยกอาหารออกไปตั้งโต๊ะ ก่อนที่ลุงและหลานจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับลงมาชั้นล่างอีกครั้งหนึ่ง

               

                ราวสิบห้านาทีต่อมาทุกคนก็นั่งประจำเก้าอี้โต๊ะอาหาร เมนูอันโปรดปรานของแพรวาวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ยิ่งทำให้เจ้าตัวยิ้มอย่างมีความสุข

                “แพรรู้ว่าวันนี้ต้องมีอะไรพิเศษเกี่ยวกับตัวแพรแน่ๆ ใช่ไหมคะ” ถามเพราะเคยเกิดเหตุการณ์คล้ายๆ เช่นนี้มาแล้ว เพียงแค่เธอไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วเป็นเรื่องน่ายินดีใด

                “ผลสอบฯ ของน้องแพรออกมาแล้วนะ พอดีว่า... เพื่อนของลุงเป็นประธานกรรมการคัดเลือกโครงการที่น้องแพรไปสอบเอาไว้ เขาโทรมาแสดงความยินดีกับลุง บอกว่าคะแนนสอบของน้องแพรอยู่ในขั้นดีมาก แล้วภาคปฏิบัติก็ได้คะแนนเกือบเต็มด้วย” วัชระอธิบาย

                “แปลว่าแพรจะได้ไปมาดริดใช่ไหมคะ” ถามด้วยน้ำเสียงและแววตาตื่นเต้น

                “ก็ไม่ผิดนัก เหลือแค่รอประกาศอย่างเป็นทางการ แล้วก็สัมภาษณ์แต่ลุงคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร”

                “ป้าก็เลยฉลองให้เราเสียเลย เพราะพรุ่งนี้ลุงต้องเดินทางไปสัมมนาที่เชียงใหม่” ผู้เป็นป้าตอบ อดยิ้มไปกับหลานสาวไม่ได้

                วัชระและน้อมรู้ดีว่ากรุงมาดริดคือเมืองในฝันที่หลานสาวชื่นชอบในวัฒนธรรมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลายปีมานี้ฟุตบอล บาสเกตบอล เทนนิสในสเปนได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลก เพราะมีนักกีฬาชื่อดังเข้าไปเล่นในลีกของประเทศอยู่หลายคน

                กระแสการกีฬาในสเปนโด่งดังรุดหน้าเกินประเทศอื่นๆ ในแถบเดียวกัน ยิ่งทำให้เวชศาสตร์การกีฬาโด่งดังขึ้นเป็นเงาตามตัว

                ในขณะที่แพรวากำลังดีใจอย่างสุดขีดแต่เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจและสีหน้าเป็นกังวลของผู้เป็นป้าแล้ว รอยยิ้มของแพรวาก็จางลงในทันที

                “ฉันก็เป็นห่วงน้องแพรเหลือเกิน ผู้หญิงตัวคนเดียวไม่รู้จะไปอยู่ยังไง” เปรยขึ้นมาในขณะที่มองหลานสาวด้วยแววตาเป็นกังวล

                “ผมก็เป็นห่วงแต่ทั้งหมดนี้เพื่อก็อนาคตของน้องแพร อีกอย่างหลานสาวคนนี้ไม่เคยทำตัวเหลวไหลแล้วที่ผ่านมาก็แสดงให้เราเห็นแล้วว่าสามารถดูแลตัวเองได้ดีเยี่ยมแค่ไหน” วัชระปลอบใจภรรยาและเอื้อมมือไปตักอาหารให้อย่างเอาอกเอาใจ “อีกอย่างน้องแพรมีเพื่อนสนิทที่นั่น ก็คงพอจะช่วยเหลือกันได้”

                “ใช่ค่ะ ป้าน้อมไม่ต้องเป็นกังวลนะคะ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จ แพรจะโทรไปหายายส้ม วานให้ช่วยหาอพาร์ตเมนต์สภาพดีมีระบบรักษาความปลอดภัยก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” แพรวาปลอบผู้เป็นป้าอีกแรง

                “เพื่อนน้องแพรคนนี้ใช่ไหม ที่เป็นน้องสาวของหมอวรวุฒิ” วัชระถามเพื่อความมั่นใจ

                “ใช่ค่ะ ส้มแต่งงานกับหนุ่มสเปน แล้วทั้งคู่ก็มีพรสวรรค์ในด้านการทำอาหาร ตอนนี้เปิดร้านอาหารไทย-สเปน อยู่ในมาดริดค่ะ”

                “แล้วเรื่องที่พักของเราจะเอายังไง” น้อมย้ำถามขึ้นมาอีกครั้ง

                “ความจริงแล้วแพรอยากไปหาที่พักด้วยตัวเองมากกว่า เพราะฝากให้คนอื่นดูให้ก็ไม่รู้ว่าจะถูกใจจริงๆ รึเปล่า”

                “ลุงเห็นด้วยกับน้องแพรนะ ต้องหาที่เราอยู่แล้วสบายใจ ปลอดภัย ไม่ควรต้องไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก อาจจะแพงหน่อยก็คงไม่เป็นไร” วัชระเสริม

                “นั่นสิ เรื่องค่าเช่าไม่ต้องเป็นห่วง ป้าจะจัดการให้เอง” น้อมบอกหลานสาวและหันไปขอความเห็นจากสามี “หรือเราจะบินไปส่งน้องแพร ดูให้แน่ใจว่าได้ที่พักน่าอยู่ ปลอดภัยแล้วค่อยบินกลับ”

                “ทำอย่างนั้นลุงกับป้าก็เหนื่อยแย่สิคะ นั่งเครื่องบินทีละหลายๆ ชั่วโมงจะแย่เอา อีกอย่างแพรไม่อยู่ไม่มีใครคอยนวดให้นะค้า...” ลากเสียงยาวพยายามทำให้ความกังวลใจของผู้เป็นป้าคลี่คลายลงบ้าง ในขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณทางสายตาขอความช่วยเหลือจากคุณลุง

                “จริงอย่างที่น้องแพรพูดนั่นแหละ ปวดเมื่อยเนื้อตัวน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าไปส่งแล้วคุณไม่ยอมกลับมากับผมเนี่ยสิ ผมแย่เลยนะ” วัชระส่งสายตาออดอ้อนภรรยา

                “ฟังพูดเข้า แก่จนป่านนี้แล้วยังจะพูดจาไม่อายหนุ่มสาว”

                จบคำพูดเสียงหัวเราะของทุกคนก็ดังขึ้นอย่างครื้นเครง ความกังวลใจรางเลือนลงชั่วขณะเพราะคุณป้าทำเสียงดุกลบเกลื่อนความเขินอายทุกครั้งที่คุณลุงแสดงความรักออกมาอย่างไม่ปิดบัง

 

                เวลาหนึ่งเดือนนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว... ป้าและหลานสาวใช้เวลาหมดไปกับการตระเตรียมข้าวของเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองจะไปหาซื้อสินค้าจำเป็นได้ที่ไหน แม้จะรู้ว่าสิ่งของบางอย่างนั้นสามารถหาซื้อได้อย่างง่ายดายแต่แพรวาก็ไม่อยากจะขัดใจผู้เป็นป้า เพราะรู้ดีว่าทั้งหมดที่ได้รับนั้นเกิดขึ้นเพราะความรักและเป็นห่วง

                ถึงวันที่ต้องร่ำลากันจริงๆ แม้จะตั้งใจเอาไว้แต่แรกว่าจะไม่ร้องไห้ให้ลุงและป้าต้องเป็นห่วง แต่เมื่ออ้อมกอดอันอบอุ่นโอบล้อมรอบกาย ฝ่ามือที่ลูบขึ้นลงอยู่บนแผ่นหลังและคำอวยพรที่หลุดออกจากปากของลุงและป้า กลับเป็นตัวกระตุ้นให้แพรวาต้องร้องไห้ออกมาด้วยความคิดถึง

                เมื่อขึ้นไปนั่งอยู่บนเครื่องบินลำใหญ่ ภาพรันเวย์ที่ตัดกับท้องฟ้ายิ่งทำให้เธอรู้สึกใจหาย ทันทีที่เครื่องบินลอยละล่องอยู่เหนือปุยเมฆ แพรวาก็เอื้อมมือไปปิดหน้าต่างทันที

                หลายคนอาจจะชอบมองท้องฟ้าสีครามและปุยเมฆนุ่มแต่เธอกลับรู้สึกว่ามันทำให้คิดถึงบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ และคงจะต้องนั่งร้องไห้ให้อับอายคนอื่นจึงได้แต่หลับตาลงด้วยความรู้สึกอันสับสน มีทั้งความตื่นเต้นดีใจผสมปนเปกับความเศร้าสร้อยจนเธอแยกแยะออกจากกันไม่ได้

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา