สาวโอตาคุกู้วิกฤตพิชิตโลก
7.7
เขียนโดย Yaksa
วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 01.14 น.
13 ตอน
0 วิจารณ์
16.65K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) มื้ออาหารอันแสนลำบากใจ...
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ หลังการต่อสู้จบลงอัศวินรวมถึงทหารสาวต่างช่วยกันเก็บกวาดพื้นที่ทั้งเรื่องศพของออร์ค ตรวจเช็คความเสียหายโดยรวม และขนย้ายผู้บาดเจ็บกลับไปยังค่ายทหาร สำหรับชาวบ้านยังคงต้องหลบภัยอยู่ในเมืองไปอีกซักระยะจนกว่าสภาพบ้านเรือนจะกลับมาอยู่ในสภาพเดิม
ในตอนนี้พวกเราและนักรบสาวผู้ผ่านสมรภูมิย้ายกลับมาพักฟื้นที่ค่ายทหารใกล้ๆกับด่านประตูเมือง ซึ่งพอถามเอลเซ่ก็ได้ความว่าพวกเธอก็พักอาศัยอยู่ค่ายแห่งนี้ ผมนั่งดื่มน้ำอยู่ภายในห้องซึ่งมีไว้สำหรับพักผ่อนของกองทหารที่34เพียงคนเดียว เพราะคนที่เหลือกำลังอาบน้ำล้างตัวอยู่ในห้องอาบน้ำ
แต่ผมที่ไม่ได้ร่วมลงสนามต่อสู้ด้วยจึงอาบน้ำล้างตัวเท่าที่จำเป็นแล้วออกมานั่งรอทุกคนก่อนใคร อีกเรื่องคือมันเป็นห้องน้ำรวมผู้ที่มาใช้งานจึงไม่ได้มีเพียงกองที่34 แม้ว่าร่างกายของตอนนี้จะเป็นผู้หญิงแต่ผมก็ยังคงไม่มีความกล้ามากพอที่จะอาบน้ำร่วมกับผู้หญิงคนอื่นอยู่ดี
จะว่าไปไม่ได้เจอเดเน่มาตั้งแต่ช่วงเที่ยงแล้ว... ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะเป็นห่วงเราขนาดไหนกันนะ...
จู่ๆเสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นก็ดึงผมออกจากห้วงความคิดพร้อมๆกับการปรากฏตัวของหญิงสาวในชุดเดรสผู้มีใบหน้างดงาม เธอเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม
“อ้าว...อาบน้ำไวจังนะเจร่า...”
“อื้อ... แต่เดี๋ยวฉันขอกลับบ้านก่อนนะ...”
“อืม...แต่อันที่จริงเธอกลับบ้านนอนพักผ่อนเลยก็ได้นะ ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรอีกแล้วล่ะ”
“นั้นสินะ... งั้นฉันกลับเลยดีกว่า...”
ผมลุกขึ้นหยิบถุงกระดาษใส่วัตถุดิบข้างกายแล้วโบกมือลาลิซ่าก่อนจะเดินตรงไปยังประตูห้อง แต่ยังไม่ทันจะได้จับลูกบิดประตูก็ถูกเปิดออกเสียก่อน
“…เจร่า!”
ผู้ที่เปิดเข้ามารีบรุดเข้าโผกอดผมในทันที เส้นผมสีขาวของเธอส่งกลิ่นหอมให้ในระยะประชิด ก่อนจะผละออกแล้วใช้สองมือจับไหล่ผมไว้แน่น
“...ไปทำ...อะไรอยู่ที่ไหนมาเนี่ย...”
“จะ..ใจเย็นก่อนค่ะพี่เดเน่...”
เธอพยายามเค้นเสียงพูดทั้งที่ยังคงหอบเหนื่อยอยู่ ที่ใบหน้าก็ปรากฏหยาดเหงื่อออกมาเล็กน้อย ดูโดยรวมแล้วเธอคงจะออกวิ่งตามหาผมไปทั่วเลยสินะ
“เอ่อ... พอดีว่าเข้าไปช่วยงานทหารอะไรนิดหน่อยนะค่ะ”
“อะไรนะ! ทำอะไรอันตรายจริงๆเลย แล้วเป็นอะไรมากไหม?”
“สบายดีค่ะ ปลอดภัยทุกส่วน...แล้วพี่เดเน่มาที่นี่ทำไมเหรอคะ?”
“ก็ตามหาเธอนั้นแหละพี่กลับบ้านไปแล้วไม่เจอก็เลยวิ่งวุ่นตามหาไปทั่ว จนได้ความจากทหารยามที่ประตูเมืองน่ะว่าเธออยู่ที่นี่”
อุ...รู้สึกผิดแฮะ...
“ขอโทษนะคะที่ทำให้ต้องเป็นห่วง”
ผมกล่าวขอโทษพร้อมกับส่งยิ้มให้แต่ไม่คิดจะพูดเรื่องที่ร่วงลงมาจากฟ้าสูงยี่สิบเมตรเด็ดขาด ถ้าพูดออกไปไม่รู้ว่าเธอจะโวยวายเป็นห่วงขนาดไหนกันนะ
“อาจารย์เดเน่?”
“ท่านลิซ่า?”
เดเน่มองผ่านไหล่ผมไปยังลิซ่าที่อยู่ด้านหลัง การที่ทั้งสองคนต่างเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายออกมาก็หมายความว่ารู้จักกันสินะ
“ทั้งสองคนรู้จักกันด้วยเหรอคะ?”
ระหว่างถามผมก็มองไปหน้าของทั้งสองคนสลับกันไปมา
“อื้ม... เดเน่เป็นอาจารย์ของฉันน่ะ”
ลิซ่าตอบมาอย่างสบายๆพลางเดินไปนั่งที่เก้าอี้
“ทำไมท่านลิซ่าถึงมาอยู่ที่นี้ด้วยล่ะ?”
“ก็มีอะไรหลายๆเรื่องล่ะนะคะ”
ผมช่วยตอบคำถามนั้นแทนลิซ่า ส่วนคนที่ถูกถามนั้นก็ทำตัวสบายๆไม่ทุขไม่ร้อนอะไร เธอหยิบเยือกมารินน้ำลงแก้วแล้วยกขึ้นดื่ม
“แล้ว...อาจารย์กับเจร่าเกี่ยวข้องกันยังไงเหรอ?”
“อ๋อ...ฉันอาศัยอยู่บ้านเดียวกับพี่เดเน่น่ะ”
เธอดื่มน้ำอีกครั้งพลางเหล่มองมาที่เดเน่
“เป็นพี่น้องกันเหรอ?”
“เปล่าหรอก ฉันก็เพิ่งรู้จักพี่เดเน่ก็ตอนที่มาเมืองนี้น่ะ”
“ห๊า...นี่เธอยอมอาศัยอยู่กับคนที่ไม่รู้จักง่ายๆเลยเหรอ?”
“เสียมารยาทค่ะ...ฉันไม่ทำอะไรเด็กคนนี้หรอก”
สิ่งที่เดเน่พูดทำเอาผมนึกถึงคืนแรกที่เธอพาผมเข้าไปนอนในห้อง
“จะว่าไปนะคะ ท่านลิซ่าวันนี้ก็แอบหนีออกมาอีกแล้วสินะคะ...”
จู่ๆลิซ่าก็หลบสายตาเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
พอสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วให้บรรยากาศอีกแปลกออกดีแฮะ...
“...ก็วิชาที่เธอสอนมันน่าเบื่อนี่นา...”
เธอพูดเสียงค่อยแล้วยกน้ำขึ้นดื่มอีกครั้ง
“เอาเถอะค่ะ... ยังไงพวกเราขอตัวกลับก่อนก็แล้วกันนะคะ”
แต่ยังไม่ทันจะได้หันหลังกลับไปเปิดประตู ก็มีคนเปิดเข้ามาเสียก่อน
“อ่า...หิวจังเลยเจร่าทำอะไรให้กินหน่อยสิ...”
โลเรนเดินเข้ามาอย่างสบายๆ เธออยู่ในชุดกางเกงขาสั้นแบบรัดรูปและเสื้อกล้ามสีดำเผยให้เห็นหน้าท้องที่ดูแล้วมีกล้ามเนื้ออยู่เล็กน้อย
ดูกล้ามท้องนั้นแล้วความเป็นชายของเรารู้สึกอายขึ้นมาเลยแฮะ...
“อ้าว…? ใครน่ะ?”
“อย่ายืนบังประตูสิโลเรน…”
มีเสียงของเอลเซ่เอ่ยขึ้นจากด้านหลังโลเรนจึงเดินเข้ามาในห้องจากนั้นคนที่เหลือต่างก็ทยอยเดินเข้ามาเช่นกัน แน่นอนว่าพวกเธอเพิ่งจะอาบน้ำกันมาทำให้ทั้งผมหรือผิวยังคงเปียกชื้น
“ท่านลิซ่ายังไม่กลับเหรอคะ?”
เอลเซ่เอ่ยถามลิซ่าแทนทุกคนที่เดินเข้ามา
“อืม...ก็นะ ฉันไม่มีชุดสวมกลับน่ะ”
มิน่าเธอถึงได้อยู่ในชุดเดรสแบบนี้ ผมมองไปยังทุกคนรอบๆแล้วก็พบกับผู้ที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ แม้จะมีแครอลยืนประคองอยู่ข้างๆแต่เธอก็ไม่ได้มีบาดแผลบนร่างกายเลยแม้แต่น้อย
“คุณอัลม่าไม่เป็นไรแล้วเหรอคะ...”
“ก็ยังปวดๆอยู่บ้างแต่อย่างน้อยก็เดินเหินไหวล่ะนะ...”
เธอพูดพลางยิ้มน้อยๆ ดูแล้วยังคงสบายดีสินะ นั้นนับว่าดีแล้วถ้าหากว่าเธอกระดูกหักซักท่อนแล้วล่ะก็ผมคงรู้สึกผิดมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“แล้ว...คุณ...คุณแม่ของเจร่าเหรอ?”
โลเรนเดินเข้ามาพูดคุยในขณะที่เดเน่กลับทำท่าทีลุกลี้ลุกลนแปลกๆ
“สะ...เสียมารยาท ฉันเพิ่งจะยี่สิบต้นๆเองนะ”
“อ่ะเหรอ...งั้นก็ขอโทษด้วยนะ”
เธอกล่าวขอโทษด้วยท่าทีสบายๆอาจเพราะเธอมองว่าอายุของเดเน่พอๆกัน
แต่เราก็ไม่รู้อายุของใครในที่นี้เลยล่ะนะ…
เมื่อสังเกตว่าเดเน่มองไปยังรอบๆอย่างสงสัย ผมจึงอาสาช่วยแนะนำทุกคนให้เธอรู้จัก
“พี่เดเน่คะ...ทางนี้คุณเอลเซ่ คุณโลเรน คุณวินเชสต้า คุณอัลม่า แล้วก็คุณแครอลค่ะทุกคนเป็นอัศวินกองทหารที่34 ที่ฉันเคยร่วมเดินทางมาเมืองนี้น่ะคะ”
ผมผายมือและแนะนำชื่อตามลำดับ อัศวินกองทหารที่34เห็นดังนั้นก็พยักหน้าให้และส่งยิ้มให้เดเน่
“ส่วนทางนี้ก็พี่เดเน่ค่ะ ตอนนี้ฉันอาศัยอยู่กับเธอน่ะค่ะ”
“เอ่อ..ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
ทางเดเน่เองก็ผงกศีรษะให้เช่นกัน
“ว่าแต่เจร่าทำอะไรให้กินหน่อยสิ ฉันคิดถึงรสชาติที่เธอทำมากเลยนะ”
สิ่งที่โลเรนพูดทำให้ลิซ่าที่นั่งอยู่ลุกขึ้นเดินมายืนข้างๆผม
“เจร่าจะทำอาหารเหรอ?”
“อ่า...ก็ได้อยู่นะคะ แต่ว่าที่นี่มีครัวด้วยเหรอคะ?”
“อื้ม...อยู่อีกห้องหนึ่งน่ะ”
เอลเซ่ชี้ไปยังประตูอีกบานที่อยู่ตรงข้ามกับกระตูเข้าออกห้อง ถ้ามีครัวก็จะสามารถทำอาหารได้แต่วัตถุดิบที่ผมถืออยู่ในมือตอนนี้ช่างน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับจำนวนคนทั้งหมดในห้อง
“เอ่อ...แต่วัตถุดิบที่ฉันมีมันน้อยมากเลยนะคะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ในกล่องเก็บวัตถุดิบยังมีอีกเพียบ เธอใช้ได้เลย... ”
“เหรอคะ...ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ฉันจะทำให้”
“จริงเหรอ? จะได้ทานอาหารฝีมือเจร่าล่ะ…”
ลิซ่าพูดพร้อมกับโผกอดผม
เอ่อ...อาหารฝีมือของเรามันน่าสนใจขนาดนั้นเลยเหรอ?
“พี่เดเน่จะกลับก่อนเลยก็ได้นะคะ ไว้ฉันทำอาหารเสร็จก่อนก็จะกลับตามไปค่ะ”
“ไม่เป็นไร... ฉันเองก็จะช่วยทำด้วย”
เธอพูดพร้อมกับหยิบถุงกระดาษในมือผมไปถือไว้ แล้วเดินนำไปยังห้องครัวก่อนผมเสียอีก
ด้วยความที่ไม่รู้ว่าอาหารแบบไหนจะถูกปากลิซ่าบ้าง อีกทั้งหากใช้เวลามากเกินไปคงจะไม่ดีนัก ผมจึงเลือกทำของบ้านๆแต่อร่อยแน่นอนอีกทั้งยังรวดเร็วไปให้ทุกคนรองท้องก่อน
หลังจากทำอาหารเสร็จแล้วผมก็นำมาจัดบนโต๊ะ ด้วยความที่ห้องนี้กว้างพอสมควรแต่ก็ไม่ถึงกับใหญ่โตอะไร จำนวนคนทั้งแปดคนจึงสามารถทานอาหารภายในห้องได้อย่างไม่เบียดเสียดอะไรมากนัก และออกจะมีที่เหลือเสียด้วยซ้ำ
โดยผู้ที่นั่งหัวโต๊ะคือลิซ่าทางซ้ายมือเธอคือโลเรน อัลม่า แครอล วินเชสต้า ส่วนทางขวามือคือเอลเซ่ เรา และ เดเน่
ผมยังคงเดินเข้าๆออกๆห้องครัวอยู่เนืองๆ เพราะเหมือนว่าอาหารบนโต๊ะจะไม่พอสำหรับคนจำนวนแปดคนและพวกเธอเพิ่งจะลงสนามรบมาอีกด้วย
ระหว่างที่ทุกคนต่างทานอาหารร่วมโต๊ะกันและพูดคุยอย่างออกรส ในที่สุดผมก็สามารถกลับมานั่งติดโต๊ะได้เสียที
“จะว่าไป ตอนรับมือกับออร์กสีดำตัวนั้นก็ลำบากเอาการอยู่นะ”
โลเรนเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าของผู้ชนะพร้อมกับส่งเสียง ‘หึ’ ขึ้นจมูก
“แต่ไม่คณามือฉันหรอก”
“แต่ฉันเห็นใครก็ไม่รู้ปลิวไปกระแทกกับร้านแผงลอยแถวนั้นก็ไม่รู้สินะ”
วินเชสต้าเอ่ยออกมาพร้อมกับตักอาหารในจากเข้าปาก
“แต่ฉันก็ลุกขึ้นมาได้นะ แถมยังเดินไปสวนมันได้อีกด้วย”
เรื่องที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ทำให้ภาพเมื่อตอนเย็นกลับมาในหัวผมอีกครั้ง
“ช่วงเย็นฉันพลาดอะไรไปหรือเปล่า?”
เดเน่ที่นั่งข้างๆเอี้ยวตัวมาถามผมอย่างสงสัย
“ก็เรื่องการรับมือกับออร์คนั้นแหละค่ะ”
ผมพูดด้วยความเริงร่าอาจเพราะเพิ่งจะเคยได้ทานอาหารกับคนจำนวนมาขนาดนี้ซึ่งแม้แต่โลกเดิมเท่าที่จำได้ยังไม่เคยที่จะได้ชวนใครไปทานอาหารด้วยเลย
ช่างเป็นความสุขที่หาใดเปรียบจริง...
“แต่ที่เราชนะก็เพราะเจร่าล่ะนะ”
ลิซ่าพูดออกมาช่วยเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นผมแทน
“นั้นสินะคะ...จะว่าไปเจร่าสั่งการได้ดีเยี่ยมไปเลย”
“ถ้าไม่ได้เธอพวกเราคงจะแย่เลยล่ะ”
ทุกคนต่างมองมาที่ผมอย่างพร้อมเพรียง ผมที่เริ่มจะเขินสายตาของทุกคนก็ทำทีเป็นหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม
“แต่ตอนที่เธอร่วงลงมาจากฟ้าทำเอาฉันใจหายเลยนะ…”
!!...
น้ำที่กำลังจะไหลลงคอย้อนออกมาในทันที ผมรีบบิดไว้ไม่น้ำหกพรวดออกมา แต่ก็ทำได้ยากเพราะกำลังสำลักน้ำอยู่ เดเน่ที่นั่งข้างๆใช้มือลูบหลังผมอย่างแผ่วเบา
สำหรับผมแล้วไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย กลับรู้สึกหวาดกลัวเสียมากกว่า
“เจร่า...ที่แครอลพูดหมายความว่าไงเหรอ?”
เสียงพูดของเดเน่เปลี่ยนสัมผัสของฝ่ามือเธอให้เย็นยะเยือก
อย่างน้อยถ้าจะถามก็รอให้หายสำลักก่อนไม่ได้เหรอคะพี่เดเน่...
“อ๋อ… ฉันใช้เวทลอยตัวส่งเจร่าขึ้นไปดูตำแหน่งของออร์คน่ะ”
อาจเพราะมองว่าผมยังไม่สามารถตอบอะไรได้ในตอนนี้ แครอลจึงตอบคำถามของเดเน่แทนผม
ไม่ต้องอธิบายก็ได้ค่ะ... คุณแครอล...
เดเน่ได้ยินเช่นนั้นก็มองไปยังแครอลได้แววตาน่ากลัว ผมคงต้องรีบพูดอะไรซักอย่างแล้วสินะ
“ฉะ...ฉัน...เป็นคนขอให้... คุณแครอลส่งขึ้นไปเองค่ะ”
ผมดึงไหล่ของเดเน่เข้ามาใกล้แล้วพยายามพูดอธิบายออกไป
“แต่ก็ได้คุณแครอลช่วยไว้นะคะ”
“อื้ม...ฉันเองก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะฉะนั้นหายห่วง…”
อัลม่าช่วยเสริมคำพูดของผมแม้ว่าจะยังคงหยิบอาหารเข้าปากไม่หยุดก็ตาม
เมื่ออาการของผมดีขึ้นเดเน่ก็หยุดใช้มือลูบหลังผมแล้วมองไปรอบๆโต๊ะแทน ก่อนที่เธอจะปิดตาลงแล้วถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ...เอาเถอะเรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว เจร่าปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะนะ...”
อ๊ะ...รอดล่ะ...
“แต่คราวหลังก็บอกกันก่อน แล้วก็อย่าทำอะไรเกินตัวแบบนี้อีกนะ”
“ค่ะ...ขอโทษที่ไม่พูดออกไปตอนแรกนะคะ”
เดเน่ได้ยินดังนั้นก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ จังหวะนั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เดี๋ยวฉันเปิดให้เอง...”
เอลเซ่พูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปหมุนลูกปิดประตูแล้วเปิดออก
“โอ้...อยู่กันเยอะจังเลยนะ...”
ผู้ที่ปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูคือสตรีผู้ดูสง่า เธอผมยาวสีแดงที่ดูแปลกตาพร้อมทั้งใบหน้าราวกับผู้ดี ชุดที่เธอสวมอยู่นั้นคือชุดหนังสีดำคาดลายทองเรียกได้ว่าช่างดูหรูหราพอสมควร อีกทั้งยังสวมผ้าคลุมที่ดูแล้วทำมาจากหนังสัตว์ไว้เสียด้วย
ทั้งอัศวินกอนที่34และเดเน่ต่างจ้องมองไปยังผู้มาเยือนแล้วนิ่งเงียบไป ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปคุกเข่าให้อย่างรวดเร็ว
“ขอแสดงความเคารพค่ะ ฝ่าบาท...”
สิ่งที่ทุกคนปฏิบัติทำให้ความรู้เหมือนตอนได้รู้ว่าลิซ่าคือเจ้าหญิงกลับมาอีกครั้ง
หมายความว่านั้น...แม่ของลิซ่าเหรอ? ไม่สิดูจากการแต่ตัวแล้วน่าจะเป็นฝ่ายพ่อมากกว่า...
“แหม่…ไม่ต้องมากพิธีรีตองหรอกนะ”
อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างสบายๆ แต่ทุกคนยังคงนิ่งเงียบอยู่ในท่าคุกเข่าอยู่เช่นเดิม ซึ่งผมเองก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้เพราะความกดดัน
“ลุกขึ้นเถอะ...”
แม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดบอกให้ลุกขึ้น ทุกคนต่างก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน
“เฮ้อ...งั้นข้าขอสั่งให้ลุกก็แล้วกัน”
เมื่อได้รับคำสั่งทุกคนก็ลุกขึ้นยืนในทันที ลิซ่าลุกขึ้นเดินเข้าไปโผกอดผู้ที่ทุกคนต่างให้ความเคารพนับถือ
“ท่านพ่อ มาทำอะไรที่นี่คะ”
“ก็เป็นห่วงลูกน่ะสิถึงได้ตามมา... ได้ข่าวว่าออกไปสู้กับออร์คไม่ใช่เหรอ... เป็นอะไรมากหรือเปล่า?”
“ไม่บาดเจ็บตรงไหนค่ะ...”
“อื้ม... ดีแล้วล่ะ”
ผู้เป็นพ่อลูบใบหน้าของลูกสาวอย่างรักใคร่เอ็นดูก่อนจะออกเดินส่งเสียงของโลหะจากเครื่องประดับเสียดสีกันเข้ามาภายในห้อง เอลเซ่รีบเดินไปปิดประตูแล้วกลับมายืนที่ตำแหน่งเดิม
คุณพ่อของลิซ่าเดินตรงไปหยิบเก้าอี้สำรองมาแล้วนำมานั่งที่หัวโต๊ะฝั่งตรงข้ามกับลิซ่า ตอนนี้ผู้ที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่มีเพียงผม ลิซ่า และคุณพ่อของเธอ
ผมมองไปยังทุกคนด้วยสีหน้าหวาดหวั่นโดยไม่กล้าจะสบสายตาหรือแม้แต่หันไปมองผู้มาเยือน ทุกคนต่างส่งสัญญาณให้ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกมาไม่ว่าจะเป็นการขยับปากหรือขยับนิ้ว
แน่นอนว่าผมเองก็อยากจะรีบลุกไปเสียเดี๋ยวนี้แต่ติดที่ว่าขาของผมนั้นสั่นจนไม่สามารถขยับได้ สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้าให้ทุกคนด้วยใบหน้าราวกับจะร้องให้
กะ..กดดันสุดๆ...ไม่ไหวแล้ว...อยากจะหายไปเสียตรงนี้...
ภายในห้องเงียบกริบไม่มีใครเอ่ยอะไร ผมนั่งกุมมือบนตักอย่างเกร็งไปทั้งตัวจึงพยายามชำเลืองมองลิเซ่เพื่อขอความช่วยเหลือเธอก็ส่งเพียงร้อยยิ้มกลับมาให้
“ทานอาหารกันอยู่ไม่ใช่เหรอ? ไม่มานั่งล่ะ...”
เสียงของราชาทำลายความเงียบภายในห้องเพียงชั่วคราว ก่อนที่ประโยคนั้นจะถูกความเงียบกลืนหายไป
“นี่...อย่าให้ฉันต้องออกคำสั่งบ่อยจะได้ไหม...มานั่งเถอะ...”
เธอพูดพลางยกแขนขึ้นมาเท้าคาง ทุกคนที่ยืนอยู่ต่างค่อยๆเดินกลับมานั่งที่เดิมอย่างเก้ๆกังๆ แต่ก็เพียงแค่นั่งเท่านั้นไม่มีใครกล้าที่จะขยับตัวทำอะไรมากนัก ส่วนเดเน่และวินเชสต้าเป็นผู้โชคดีที่ได้นั่งใกล้องค์ราชามากที่สุด
พวกเธอต่างก้มหน้าต่ำลง ซึ่งผมก็เข้าใจดีเลยว่ารู้สึกกดดันมากแค่ไหน
“แล้วไม่ทานอาหารกันเหรอ? จะว่าไปทานอะไรกันอยู่ล่ะเนี่ย...”
องค์ราชายังคงเอ่ยชวนคุยเพียงคนเดียว เธอดึงจานอาหารของวินเชสต้าผู้อยู่ใกล้ที่สุดมาตรงหน้า แล้วหยิบช้อนตักอาหารเข้าปากในทันทีทำให้เจ้าของจานทำสีหน้าไม่ถูกกันเลยทีเดียว
“อืม...อร่อยนะเนี่ย ไม่สิอร่อยกว่าเชฟที่ปราสาททำเสียอีก”
ในตอนนี้สมองของผมไม่มีการตอบรับอะไรกับคำชมนั้นเลยแม้แต่น้อย
“คงไม่ว่านะที่ฉันทานไปหนึ่งคำ”
องค์ราชาดันจานกลับคืนให้เจ้าของเดิมของมัน วินเชสต้าก็ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆให้ก่อนจะกลับมาก้มหน้าเช่นเดิม
“อื้ม...แล้วไม่ทานกันต่อเหรอ... เอาเลยสิ…”
ได้ยินดังนั้นทุกคนต่างก็หยิบช้อนขึ้นมาแล้วตักอาหารเข้าปาก ผมแอบชำเลืองมองวินเชสต้า เธอตักอาหารขึ้นแล้วมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาแล้วส่งมันเข้าปากเหมือนกลั้นใจทาน
“ว่าแต่...ใครทำอาหารเหรอ?”
คำถามนั้นเหมือนกับคำสั่งบอกให้หยุด เกิดความเงียบขึ้นบนโต๊ะอีกครั้งไม่มีแม้แต่เสียงของช้อนกระทบจาน
ทุกคนรอบโต๊ะต่างส่งสายตามาให้ แต่ผมเริ่มขาดการวิเคราะห์จนแยกไม่ออกว่านั้นคือสายตาบอกให้พูดหรือเงียบกันแน่ ผมค่อยยกมือขึ้นทั้งๆยังคงก้มหน้าอยู่
“…อะ...เอ่อ...ฉะ... เอ๊ย!...ดิฉันเองค่ะ...ฝะ...ฝ่าบาท...”
“หืม...”
มะ...หมายความว่าไงน่ะ...‘หืม’ ที่ว่า…
“มันเรียกว่าอะไรเหรอ?”
“ขะ...ข้าวห่อไข่...ค่ะ...”
อีกฝ่ายเงียบไปหลายวิแต่สำหรับผมมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน
“นี่...”
“ค๊ะ!? คะ?”
ตกใจจนเผลอกัดลิ้นตอนตอบซะอย่างนั้น
“ช่วยทำให้ฉันหน่อยจะได้ไหม?”
เธอพูดพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ แน่นอนว่าผมไม่สามารถปฏิเสธได้อยู่แล้ว
“ดะ...ได้ค่ะ...จะรีบไปทำให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ!”
ผมลุกพรวดอย่างรวดเร็วจนเข่ากระแทกเข้ากับโต๊ะส่งเสียงจานกระแทกกับโต๊ะดังทำลายความเงียบชั่วขณะ ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแต่ความเขินอายและความหวาดกลัวนั้นสัมผัสได้ชัดเจนเลย
“ระวังหน่อยสิ...แล้วเป็นอะไรไหมนั้น?”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ...ขอโทษนะคะ...”
แล้วผมก็รีบพรวดเข้าห้องครัวไปทั้งอย่างนั้น ผมรีบทำอาหารให้รวดเร็วในขณะเดียวกันก็ต้องประณีตมากที่สุดและสิ่งสำคัญคือต้องอร่อยด้วย
ผ่านไปห้านาทีผมก็กลับเข้าห้องมาพร้อมกับข้าวห่อไข่ในจาน ผมนำไปเสิร์ฟให้อย่างระมัดระวังแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิมอย่างรวดเร็ว
“กลิ่นหอมดีนะ...”
แล้วองค์ราชาก็เริ่มทานอาหารฝีมือผมอีกครั้ง
“ทานแบบร้อนๆก็อร่อยดีนะ...แล้วซุปที่อยู่ในถ้วยนั้นล่ะ”
“ซะ...ซุปเต้าหู้ค่ะ...”
ผมรีบสะกิดเดเน่ให้เธอตักซุปให้ราชาโดยเร็ว ซึ่งเธอก็รีบทำตามที่ผมคาดหวังอย่างรวดเร็ว
“ก้อนขาวๆนี่คือ...เต้าหู้”
“...ค่ะ...”
“โอ้...นิ่มดีนะ...ดูแล้วน่าจะทานง่ายสินะ”
เมื่อองค์ราชาได้ทานก็ยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน
“อื้ม...อร่อย...ฉันชอบ...”
จังหวะนี้ควรจะดีใจสินะ... แต่เรายิ้มไม่ออกยังไงไม่รู้สิ...
“ฉันไม่เคยเห็นเจ้าเต้าหู้นี่มาก่อนเลยเธอทำเองเหรอ?”
“...ดิฉันทำเอง...ค่ะ...”
“อื้มๆ....เอาล่ะมาทานกันต่อดีกว่านะ...หวังว่าพวกเธอคงจะยังไม่อิ่มกันไปก่อนสินะ?”
องค์ราชายิ้มออกมาอีกครั้งแล้วทุกคนต่างก็หยิบช้อนและเริ่มทานอาหารกันต่อ สุดท้ายมื้ออาหารที่แสนจะอึดอัดก็ค่อยๆดำเนินต่อไปอย่างเรียบง่าย
ในตอนนี้พวกเราและนักรบสาวผู้ผ่านสมรภูมิย้ายกลับมาพักฟื้นที่ค่ายทหารใกล้ๆกับด่านประตูเมือง ซึ่งพอถามเอลเซ่ก็ได้ความว่าพวกเธอก็พักอาศัยอยู่ค่ายแห่งนี้ ผมนั่งดื่มน้ำอยู่ภายในห้องซึ่งมีไว้สำหรับพักผ่อนของกองทหารที่34เพียงคนเดียว เพราะคนที่เหลือกำลังอาบน้ำล้างตัวอยู่ในห้องอาบน้ำ
แต่ผมที่ไม่ได้ร่วมลงสนามต่อสู้ด้วยจึงอาบน้ำล้างตัวเท่าที่จำเป็นแล้วออกมานั่งรอทุกคนก่อนใคร อีกเรื่องคือมันเป็นห้องน้ำรวมผู้ที่มาใช้งานจึงไม่ได้มีเพียงกองที่34 แม้ว่าร่างกายของตอนนี้จะเป็นผู้หญิงแต่ผมก็ยังคงไม่มีความกล้ามากพอที่จะอาบน้ำร่วมกับผู้หญิงคนอื่นอยู่ดี
จะว่าไปไม่ได้เจอเดเน่มาตั้งแต่ช่วงเที่ยงแล้ว... ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะเป็นห่วงเราขนาดไหนกันนะ...
จู่ๆเสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นก็ดึงผมออกจากห้วงความคิดพร้อมๆกับการปรากฏตัวของหญิงสาวในชุดเดรสผู้มีใบหน้างดงาม เธอเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม
“อ้าว...อาบน้ำไวจังนะเจร่า...”
“อื้อ... แต่เดี๋ยวฉันขอกลับบ้านก่อนนะ...”
“อืม...แต่อันที่จริงเธอกลับบ้านนอนพักผ่อนเลยก็ได้นะ ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรอีกแล้วล่ะ”
“นั้นสินะ... งั้นฉันกลับเลยดีกว่า...”
ผมลุกขึ้นหยิบถุงกระดาษใส่วัตถุดิบข้างกายแล้วโบกมือลาลิซ่าก่อนจะเดินตรงไปยังประตูห้อง แต่ยังไม่ทันจะได้จับลูกบิดประตูก็ถูกเปิดออกเสียก่อน
“…เจร่า!”
ผู้ที่เปิดเข้ามารีบรุดเข้าโผกอดผมในทันที เส้นผมสีขาวของเธอส่งกลิ่นหอมให้ในระยะประชิด ก่อนจะผละออกแล้วใช้สองมือจับไหล่ผมไว้แน่น
“...ไปทำ...อะไรอยู่ที่ไหนมาเนี่ย...”
“จะ..ใจเย็นก่อนค่ะพี่เดเน่...”
เธอพยายามเค้นเสียงพูดทั้งที่ยังคงหอบเหนื่อยอยู่ ที่ใบหน้าก็ปรากฏหยาดเหงื่อออกมาเล็กน้อย ดูโดยรวมแล้วเธอคงจะออกวิ่งตามหาผมไปทั่วเลยสินะ
“เอ่อ... พอดีว่าเข้าไปช่วยงานทหารอะไรนิดหน่อยนะค่ะ”
“อะไรนะ! ทำอะไรอันตรายจริงๆเลย แล้วเป็นอะไรมากไหม?”
“สบายดีค่ะ ปลอดภัยทุกส่วน...แล้วพี่เดเน่มาที่นี่ทำไมเหรอคะ?”
“ก็ตามหาเธอนั้นแหละพี่กลับบ้านไปแล้วไม่เจอก็เลยวิ่งวุ่นตามหาไปทั่ว จนได้ความจากทหารยามที่ประตูเมืองน่ะว่าเธออยู่ที่นี่”
อุ...รู้สึกผิดแฮะ...
“ขอโทษนะคะที่ทำให้ต้องเป็นห่วง”
ผมกล่าวขอโทษพร้อมกับส่งยิ้มให้แต่ไม่คิดจะพูดเรื่องที่ร่วงลงมาจากฟ้าสูงยี่สิบเมตรเด็ดขาด ถ้าพูดออกไปไม่รู้ว่าเธอจะโวยวายเป็นห่วงขนาดไหนกันนะ
“อาจารย์เดเน่?”
“ท่านลิซ่า?”
เดเน่มองผ่านไหล่ผมไปยังลิซ่าที่อยู่ด้านหลัง การที่ทั้งสองคนต่างเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายออกมาก็หมายความว่ารู้จักกันสินะ
“ทั้งสองคนรู้จักกันด้วยเหรอคะ?”
ระหว่างถามผมก็มองไปหน้าของทั้งสองคนสลับกันไปมา
“อื้ม... เดเน่เป็นอาจารย์ของฉันน่ะ”
ลิซ่าตอบมาอย่างสบายๆพลางเดินไปนั่งที่เก้าอี้
“ทำไมท่านลิซ่าถึงมาอยู่ที่นี้ด้วยล่ะ?”
“ก็มีอะไรหลายๆเรื่องล่ะนะคะ”
ผมช่วยตอบคำถามนั้นแทนลิซ่า ส่วนคนที่ถูกถามนั้นก็ทำตัวสบายๆไม่ทุขไม่ร้อนอะไร เธอหยิบเยือกมารินน้ำลงแก้วแล้วยกขึ้นดื่ม
“แล้ว...อาจารย์กับเจร่าเกี่ยวข้องกันยังไงเหรอ?”
“อ๋อ...ฉันอาศัยอยู่บ้านเดียวกับพี่เดเน่น่ะ”
เธอดื่มน้ำอีกครั้งพลางเหล่มองมาที่เดเน่
“เป็นพี่น้องกันเหรอ?”
“เปล่าหรอก ฉันก็เพิ่งรู้จักพี่เดเน่ก็ตอนที่มาเมืองนี้น่ะ”
“ห๊า...นี่เธอยอมอาศัยอยู่กับคนที่ไม่รู้จักง่ายๆเลยเหรอ?”
“เสียมารยาทค่ะ...ฉันไม่ทำอะไรเด็กคนนี้หรอก”
สิ่งที่เดเน่พูดทำเอาผมนึกถึงคืนแรกที่เธอพาผมเข้าไปนอนในห้อง
“จะว่าไปนะคะ ท่านลิซ่าวันนี้ก็แอบหนีออกมาอีกแล้วสินะคะ...”
จู่ๆลิซ่าก็หลบสายตาเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
พอสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วให้บรรยากาศอีกแปลกออกดีแฮะ...
“...ก็วิชาที่เธอสอนมันน่าเบื่อนี่นา...”
เธอพูดเสียงค่อยแล้วยกน้ำขึ้นดื่มอีกครั้ง
“เอาเถอะค่ะ... ยังไงพวกเราขอตัวกลับก่อนก็แล้วกันนะคะ”
แต่ยังไม่ทันจะได้หันหลังกลับไปเปิดประตู ก็มีคนเปิดเข้ามาเสียก่อน
“อ่า...หิวจังเลยเจร่าทำอะไรให้กินหน่อยสิ...”
โลเรนเดินเข้ามาอย่างสบายๆ เธออยู่ในชุดกางเกงขาสั้นแบบรัดรูปและเสื้อกล้ามสีดำเผยให้เห็นหน้าท้องที่ดูแล้วมีกล้ามเนื้ออยู่เล็กน้อย
ดูกล้ามท้องนั้นแล้วความเป็นชายของเรารู้สึกอายขึ้นมาเลยแฮะ...
“อ้าว…? ใครน่ะ?”
“อย่ายืนบังประตูสิโลเรน…”
มีเสียงของเอลเซ่เอ่ยขึ้นจากด้านหลังโลเรนจึงเดินเข้ามาในห้องจากนั้นคนที่เหลือต่างก็ทยอยเดินเข้ามาเช่นกัน แน่นอนว่าพวกเธอเพิ่งจะอาบน้ำกันมาทำให้ทั้งผมหรือผิวยังคงเปียกชื้น
“ท่านลิซ่ายังไม่กลับเหรอคะ?”
เอลเซ่เอ่ยถามลิซ่าแทนทุกคนที่เดินเข้ามา
“อืม...ก็นะ ฉันไม่มีชุดสวมกลับน่ะ”
มิน่าเธอถึงได้อยู่ในชุดเดรสแบบนี้ ผมมองไปยังทุกคนรอบๆแล้วก็พบกับผู้ที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ แม้จะมีแครอลยืนประคองอยู่ข้างๆแต่เธอก็ไม่ได้มีบาดแผลบนร่างกายเลยแม้แต่น้อย
“คุณอัลม่าไม่เป็นไรแล้วเหรอคะ...”
“ก็ยังปวดๆอยู่บ้างแต่อย่างน้อยก็เดินเหินไหวล่ะนะ...”
เธอพูดพลางยิ้มน้อยๆ ดูแล้วยังคงสบายดีสินะ นั้นนับว่าดีแล้วถ้าหากว่าเธอกระดูกหักซักท่อนแล้วล่ะก็ผมคงรู้สึกผิดมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“แล้ว...คุณ...คุณแม่ของเจร่าเหรอ?”
โลเรนเดินเข้ามาพูดคุยในขณะที่เดเน่กลับทำท่าทีลุกลี้ลุกลนแปลกๆ
“สะ...เสียมารยาท ฉันเพิ่งจะยี่สิบต้นๆเองนะ”
“อ่ะเหรอ...งั้นก็ขอโทษด้วยนะ”
เธอกล่าวขอโทษด้วยท่าทีสบายๆอาจเพราะเธอมองว่าอายุของเดเน่พอๆกัน
แต่เราก็ไม่รู้อายุของใครในที่นี้เลยล่ะนะ…
เมื่อสังเกตว่าเดเน่มองไปยังรอบๆอย่างสงสัย ผมจึงอาสาช่วยแนะนำทุกคนให้เธอรู้จัก
“พี่เดเน่คะ...ทางนี้คุณเอลเซ่ คุณโลเรน คุณวินเชสต้า คุณอัลม่า แล้วก็คุณแครอลค่ะทุกคนเป็นอัศวินกองทหารที่34 ที่ฉันเคยร่วมเดินทางมาเมืองนี้น่ะคะ”
ผมผายมือและแนะนำชื่อตามลำดับ อัศวินกองทหารที่34เห็นดังนั้นก็พยักหน้าให้และส่งยิ้มให้เดเน่
“ส่วนทางนี้ก็พี่เดเน่ค่ะ ตอนนี้ฉันอาศัยอยู่กับเธอน่ะค่ะ”
“เอ่อ..ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
ทางเดเน่เองก็ผงกศีรษะให้เช่นกัน
“ว่าแต่เจร่าทำอะไรให้กินหน่อยสิ ฉันคิดถึงรสชาติที่เธอทำมากเลยนะ”
สิ่งที่โลเรนพูดทำให้ลิซ่าที่นั่งอยู่ลุกขึ้นเดินมายืนข้างๆผม
“เจร่าจะทำอาหารเหรอ?”
“อ่า...ก็ได้อยู่นะคะ แต่ว่าที่นี่มีครัวด้วยเหรอคะ?”
“อื้ม...อยู่อีกห้องหนึ่งน่ะ”
เอลเซ่ชี้ไปยังประตูอีกบานที่อยู่ตรงข้ามกับกระตูเข้าออกห้อง ถ้ามีครัวก็จะสามารถทำอาหารได้แต่วัตถุดิบที่ผมถืออยู่ในมือตอนนี้ช่างน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับจำนวนคนทั้งหมดในห้อง
“เอ่อ...แต่วัตถุดิบที่ฉันมีมันน้อยมากเลยนะคะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ในกล่องเก็บวัตถุดิบยังมีอีกเพียบ เธอใช้ได้เลย... ”
“เหรอคะ...ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ฉันจะทำให้”
“จริงเหรอ? จะได้ทานอาหารฝีมือเจร่าล่ะ…”
ลิซ่าพูดพร้อมกับโผกอดผม
เอ่อ...อาหารฝีมือของเรามันน่าสนใจขนาดนั้นเลยเหรอ?
“พี่เดเน่จะกลับก่อนเลยก็ได้นะคะ ไว้ฉันทำอาหารเสร็จก่อนก็จะกลับตามไปค่ะ”
“ไม่เป็นไร... ฉันเองก็จะช่วยทำด้วย”
เธอพูดพร้อมกับหยิบถุงกระดาษในมือผมไปถือไว้ แล้วเดินนำไปยังห้องครัวก่อนผมเสียอีก
ด้วยความที่ไม่รู้ว่าอาหารแบบไหนจะถูกปากลิซ่าบ้าง อีกทั้งหากใช้เวลามากเกินไปคงจะไม่ดีนัก ผมจึงเลือกทำของบ้านๆแต่อร่อยแน่นอนอีกทั้งยังรวดเร็วไปให้ทุกคนรองท้องก่อน
หลังจากทำอาหารเสร็จแล้วผมก็นำมาจัดบนโต๊ะ ด้วยความที่ห้องนี้กว้างพอสมควรแต่ก็ไม่ถึงกับใหญ่โตอะไร จำนวนคนทั้งแปดคนจึงสามารถทานอาหารภายในห้องได้อย่างไม่เบียดเสียดอะไรมากนัก และออกจะมีที่เหลือเสียด้วยซ้ำ
โดยผู้ที่นั่งหัวโต๊ะคือลิซ่าทางซ้ายมือเธอคือโลเรน อัลม่า แครอล วินเชสต้า ส่วนทางขวามือคือเอลเซ่ เรา และ เดเน่
ผมยังคงเดินเข้าๆออกๆห้องครัวอยู่เนืองๆ เพราะเหมือนว่าอาหารบนโต๊ะจะไม่พอสำหรับคนจำนวนแปดคนและพวกเธอเพิ่งจะลงสนามรบมาอีกด้วย
ระหว่างที่ทุกคนต่างทานอาหารร่วมโต๊ะกันและพูดคุยอย่างออกรส ในที่สุดผมก็สามารถกลับมานั่งติดโต๊ะได้เสียที
“จะว่าไป ตอนรับมือกับออร์กสีดำตัวนั้นก็ลำบากเอาการอยู่นะ”
โลเรนเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าของผู้ชนะพร้อมกับส่งเสียง ‘หึ’ ขึ้นจมูก
“แต่ไม่คณามือฉันหรอก”
“แต่ฉันเห็นใครก็ไม่รู้ปลิวไปกระแทกกับร้านแผงลอยแถวนั้นก็ไม่รู้สินะ”
วินเชสต้าเอ่ยออกมาพร้อมกับตักอาหารในจากเข้าปาก
“แต่ฉันก็ลุกขึ้นมาได้นะ แถมยังเดินไปสวนมันได้อีกด้วย”
เรื่องที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ทำให้ภาพเมื่อตอนเย็นกลับมาในหัวผมอีกครั้ง
“ช่วงเย็นฉันพลาดอะไรไปหรือเปล่า?”
เดเน่ที่นั่งข้างๆเอี้ยวตัวมาถามผมอย่างสงสัย
“ก็เรื่องการรับมือกับออร์คนั้นแหละค่ะ”
ผมพูดด้วยความเริงร่าอาจเพราะเพิ่งจะเคยได้ทานอาหารกับคนจำนวนมาขนาดนี้ซึ่งแม้แต่โลกเดิมเท่าที่จำได้ยังไม่เคยที่จะได้ชวนใครไปทานอาหารด้วยเลย
ช่างเป็นความสุขที่หาใดเปรียบจริง...
“แต่ที่เราชนะก็เพราะเจร่าล่ะนะ”
ลิซ่าพูดออกมาช่วยเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นผมแทน
“นั้นสินะคะ...จะว่าไปเจร่าสั่งการได้ดีเยี่ยมไปเลย”
“ถ้าไม่ได้เธอพวกเราคงจะแย่เลยล่ะ”
ทุกคนต่างมองมาที่ผมอย่างพร้อมเพรียง ผมที่เริ่มจะเขินสายตาของทุกคนก็ทำทีเป็นหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม
“แต่ตอนที่เธอร่วงลงมาจากฟ้าทำเอาฉันใจหายเลยนะ…”
!!...
น้ำที่กำลังจะไหลลงคอย้อนออกมาในทันที ผมรีบบิดไว้ไม่น้ำหกพรวดออกมา แต่ก็ทำได้ยากเพราะกำลังสำลักน้ำอยู่ เดเน่ที่นั่งข้างๆใช้มือลูบหลังผมอย่างแผ่วเบา
สำหรับผมแล้วไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย กลับรู้สึกหวาดกลัวเสียมากกว่า
“เจร่า...ที่แครอลพูดหมายความว่าไงเหรอ?”
เสียงพูดของเดเน่เปลี่ยนสัมผัสของฝ่ามือเธอให้เย็นยะเยือก
อย่างน้อยถ้าจะถามก็รอให้หายสำลักก่อนไม่ได้เหรอคะพี่เดเน่...
“อ๋อ… ฉันใช้เวทลอยตัวส่งเจร่าขึ้นไปดูตำแหน่งของออร์คน่ะ”
อาจเพราะมองว่าผมยังไม่สามารถตอบอะไรได้ในตอนนี้ แครอลจึงตอบคำถามของเดเน่แทนผม
ไม่ต้องอธิบายก็ได้ค่ะ... คุณแครอล...
เดเน่ได้ยินเช่นนั้นก็มองไปยังแครอลได้แววตาน่ากลัว ผมคงต้องรีบพูดอะไรซักอย่างแล้วสินะ
“ฉะ...ฉัน...เป็นคนขอให้... คุณแครอลส่งขึ้นไปเองค่ะ”
ผมดึงไหล่ของเดเน่เข้ามาใกล้แล้วพยายามพูดอธิบายออกไป
“แต่ก็ได้คุณแครอลช่วยไว้นะคะ”
“อื้ม...ฉันเองก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะฉะนั้นหายห่วง…”
อัลม่าช่วยเสริมคำพูดของผมแม้ว่าจะยังคงหยิบอาหารเข้าปากไม่หยุดก็ตาม
เมื่ออาการของผมดีขึ้นเดเน่ก็หยุดใช้มือลูบหลังผมแล้วมองไปรอบๆโต๊ะแทน ก่อนที่เธอจะปิดตาลงแล้วถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ...เอาเถอะเรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว เจร่าปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะนะ...”
อ๊ะ...รอดล่ะ...
“แต่คราวหลังก็บอกกันก่อน แล้วก็อย่าทำอะไรเกินตัวแบบนี้อีกนะ”
“ค่ะ...ขอโทษที่ไม่พูดออกไปตอนแรกนะคะ”
เดเน่ได้ยินดังนั้นก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ จังหวะนั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เดี๋ยวฉันเปิดให้เอง...”
เอลเซ่พูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปหมุนลูกปิดประตูแล้วเปิดออก
“โอ้...อยู่กันเยอะจังเลยนะ...”
ผู้ที่ปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูคือสตรีผู้ดูสง่า เธอผมยาวสีแดงที่ดูแปลกตาพร้อมทั้งใบหน้าราวกับผู้ดี ชุดที่เธอสวมอยู่นั้นคือชุดหนังสีดำคาดลายทองเรียกได้ว่าช่างดูหรูหราพอสมควร อีกทั้งยังสวมผ้าคลุมที่ดูแล้วทำมาจากหนังสัตว์ไว้เสียด้วย
ทั้งอัศวินกอนที่34และเดเน่ต่างจ้องมองไปยังผู้มาเยือนแล้วนิ่งเงียบไป ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปคุกเข่าให้อย่างรวดเร็ว
“ขอแสดงความเคารพค่ะ ฝ่าบาท...”
สิ่งที่ทุกคนปฏิบัติทำให้ความรู้เหมือนตอนได้รู้ว่าลิซ่าคือเจ้าหญิงกลับมาอีกครั้ง
หมายความว่านั้น...แม่ของลิซ่าเหรอ? ไม่สิดูจากการแต่ตัวแล้วน่าจะเป็นฝ่ายพ่อมากกว่า...
“แหม่…ไม่ต้องมากพิธีรีตองหรอกนะ”
อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างสบายๆ แต่ทุกคนยังคงนิ่งเงียบอยู่ในท่าคุกเข่าอยู่เช่นเดิม ซึ่งผมเองก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้เพราะความกดดัน
“ลุกขึ้นเถอะ...”
แม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดบอกให้ลุกขึ้น ทุกคนต่างก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน
“เฮ้อ...งั้นข้าขอสั่งให้ลุกก็แล้วกัน”
เมื่อได้รับคำสั่งทุกคนก็ลุกขึ้นยืนในทันที ลิซ่าลุกขึ้นเดินเข้าไปโผกอดผู้ที่ทุกคนต่างให้ความเคารพนับถือ
“ท่านพ่อ มาทำอะไรที่นี่คะ”
“ก็เป็นห่วงลูกน่ะสิถึงได้ตามมา... ได้ข่าวว่าออกไปสู้กับออร์คไม่ใช่เหรอ... เป็นอะไรมากหรือเปล่า?”
“ไม่บาดเจ็บตรงไหนค่ะ...”
“อื้ม... ดีแล้วล่ะ”
ผู้เป็นพ่อลูบใบหน้าของลูกสาวอย่างรักใคร่เอ็นดูก่อนจะออกเดินส่งเสียงของโลหะจากเครื่องประดับเสียดสีกันเข้ามาภายในห้อง เอลเซ่รีบเดินไปปิดประตูแล้วกลับมายืนที่ตำแหน่งเดิม
คุณพ่อของลิซ่าเดินตรงไปหยิบเก้าอี้สำรองมาแล้วนำมานั่งที่หัวโต๊ะฝั่งตรงข้ามกับลิซ่า ตอนนี้ผู้ที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่มีเพียงผม ลิซ่า และคุณพ่อของเธอ
ผมมองไปยังทุกคนด้วยสีหน้าหวาดหวั่นโดยไม่กล้าจะสบสายตาหรือแม้แต่หันไปมองผู้มาเยือน ทุกคนต่างส่งสัญญาณให้ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกมาไม่ว่าจะเป็นการขยับปากหรือขยับนิ้ว
แน่นอนว่าผมเองก็อยากจะรีบลุกไปเสียเดี๋ยวนี้แต่ติดที่ว่าขาของผมนั้นสั่นจนไม่สามารถขยับได้ สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้าให้ทุกคนด้วยใบหน้าราวกับจะร้องให้
กะ..กดดันสุดๆ...ไม่ไหวแล้ว...อยากจะหายไปเสียตรงนี้...
ภายในห้องเงียบกริบไม่มีใครเอ่ยอะไร ผมนั่งกุมมือบนตักอย่างเกร็งไปทั้งตัวจึงพยายามชำเลืองมองลิเซ่เพื่อขอความช่วยเหลือเธอก็ส่งเพียงร้อยยิ้มกลับมาให้
“ทานอาหารกันอยู่ไม่ใช่เหรอ? ไม่มานั่งล่ะ...”
เสียงของราชาทำลายความเงียบภายในห้องเพียงชั่วคราว ก่อนที่ประโยคนั้นจะถูกความเงียบกลืนหายไป
“นี่...อย่าให้ฉันต้องออกคำสั่งบ่อยจะได้ไหม...มานั่งเถอะ...”
เธอพูดพลางยกแขนขึ้นมาเท้าคาง ทุกคนที่ยืนอยู่ต่างค่อยๆเดินกลับมานั่งที่เดิมอย่างเก้ๆกังๆ แต่ก็เพียงแค่นั่งเท่านั้นไม่มีใครกล้าที่จะขยับตัวทำอะไรมากนัก ส่วนเดเน่และวินเชสต้าเป็นผู้โชคดีที่ได้นั่งใกล้องค์ราชามากที่สุด
พวกเธอต่างก้มหน้าต่ำลง ซึ่งผมก็เข้าใจดีเลยว่ารู้สึกกดดันมากแค่ไหน
“แล้วไม่ทานอาหารกันเหรอ? จะว่าไปทานอะไรกันอยู่ล่ะเนี่ย...”
องค์ราชายังคงเอ่ยชวนคุยเพียงคนเดียว เธอดึงจานอาหารของวินเชสต้าผู้อยู่ใกล้ที่สุดมาตรงหน้า แล้วหยิบช้อนตักอาหารเข้าปากในทันทีทำให้เจ้าของจานทำสีหน้าไม่ถูกกันเลยทีเดียว
“อืม...อร่อยนะเนี่ย ไม่สิอร่อยกว่าเชฟที่ปราสาททำเสียอีก”
ในตอนนี้สมองของผมไม่มีการตอบรับอะไรกับคำชมนั้นเลยแม้แต่น้อย
“คงไม่ว่านะที่ฉันทานไปหนึ่งคำ”
องค์ราชาดันจานกลับคืนให้เจ้าของเดิมของมัน วินเชสต้าก็ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆให้ก่อนจะกลับมาก้มหน้าเช่นเดิม
“อื้ม...แล้วไม่ทานกันต่อเหรอ... เอาเลยสิ…”
ได้ยินดังนั้นทุกคนต่างก็หยิบช้อนขึ้นมาแล้วตักอาหารเข้าปาก ผมแอบชำเลืองมองวินเชสต้า เธอตักอาหารขึ้นแล้วมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาแล้วส่งมันเข้าปากเหมือนกลั้นใจทาน
“ว่าแต่...ใครทำอาหารเหรอ?”
คำถามนั้นเหมือนกับคำสั่งบอกให้หยุด เกิดความเงียบขึ้นบนโต๊ะอีกครั้งไม่มีแม้แต่เสียงของช้อนกระทบจาน
ทุกคนรอบโต๊ะต่างส่งสายตามาให้ แต่ผมเริ่มขาดการวิเคราะห์จนแยกไม่ออกว่านั้นคือสายตาบอกให้พูดหรือเงียบกันแน่ ผมค่อยยกมือขึ้นทั้งๆยังคงก้มหน้าอยู่
“…อะ...เอ่อ...ฉะ... เอ๊ย!...ดิฉันเองค่ะ...ฝะ...ฝ่าบาท...”
“หืม...”
มะ...หมายความว่าไงน่ะ...‘หืม’ ที่ว่า…
“มันเรียกว่าอะไรเหรอ?”
“ขะ...ข้าวห่อไข่...ค่ะ...”
อีกฝ่ายเงียบไปหลายวิแต่สำหรับผมมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน
“นี่...”
“ค๊ะ!? คะ?”
ตกใจจนเผลอกัดลิ้นตอนตอบซะอย่างนั้น
“ช่วยทำให้ฉันหน่อยจะได้ไหม?”
เธอพูดพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ แน่นอนว่าผมไม่สามารถปฏิเสธได้อยู่แล้ว
“ดะ...ได้ค่ะ...จะรีบไปทำให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ!”
ผมลุกพรวดอย่างรวดเร็วจนเข่ากระแทกเข้ากับโต๊ะส่งเสียงจานกระแทกกับโต๊ะดังทำลายความเงียบชั่วขณะ ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแต่ความเขินอายและความหวาดกลัวนั้นสัมผัสได้ชัดเจนเลย
“ระวังหน่อยสิ...แล้วเป็นอะไรไหมนั้น?”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ...ขอโทษนะคะ...”
แล้วผมก็รีบพรวดเข้าห้องครัวไปทั้งอย่างนั้น ผมรีบทำอาหารให้รวดเร็วในขณะเดียวกันก็ต้องประณีตมากที่สุดและสิ่งสำคัญคือต้องอร่อยด้วย
ผ่านไปห้านาทีผมก็กลับเข้าห้องมาพร้อมกับข้าวห่อไข่ในจาน ผมนำไปเสิร์ฟให้อย่างระมัดระวังแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิมอย่างรวดเร็ว
“กลิ่นหอมดีนะ...”
แล้วองค์ราชาก็เริ่มทานอาหารฝีมือผมอีกครั้ง
“ทานแบบร้อนๆก็อร่อยดีนะ...แล้วซุปที่อยู่ในถ้วยนั้นล่ะ”
“ซะ...ซุปเต้าหู้ค่ะ...”
ผมรีบสะกิดเดเน่ให้เธอตักซุปให้ราชาโดยเร็ว ซึ่งเธอก็รีบทำตามที่ผมคาดหวังอย่างรวดเร็ว
“ก้อนขาวๆนี่คือ...เต้าหู้”
“...ค่ะ...”
“โอ้...นิ่มดีนะ...ดูแล้วน่าจะทานง่ายสินะ”
เมื่อองค์ราชาได้ทานก็ยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน
“อื้ม...อร่อย...ฉันชอบ...”
จังหวะนี้ควรจะดีใจสินะ... แต่เรายิ้มไม่ออกยังไงไม่รู้สิ...
“ฉันไม่เคยเห็นเจ้าเต้าหู้นี่มาก่อนเลยเธอทำเองเหรอ?”
“...ดิฉันทำเอง...ค่ะ...”
“อื้มๆ....เอาล่ะมาทานกันต่อดีกว่านะ...หวังว่าพวกเธอคงจะยังไม่อิ่มกันไปก่อนสินะ?”
องค์ราชายิ้มออกมาอีกครั้งแล้วทุกคนต่างก็หยิบช้อนและเริ่มทานอาหารกันต่อ สุดท้ายมื้ออาหารที่แสนจะอึดอัดก็ค่อยๆดำเนินต่อไปอย่างเรียบง่าย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ