สาวโอตาคุกู้วิกฤตพิชิตโลก

7.7

เขียนโดย Yaksa

วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 01.14 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  16.91K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) การพลิกวิกฤตของเหล่านักรบสาว : ตอนแรก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     “คาดว่าอีกสิบนาทีพวกมันจะมาถึงเมืองค่ะ”

     เอลเซ่บอกข้อมูลทั้งหมดกับลิซ่าพร้อมชี้นิ้วไปยังทิศทางที่ผมเคยเดินทางผ่านมายังเมืองนี้ ซึ่งหมายความว่าเส้นทางนั้นยังมีมอนสเตอร์ที่ดุร้ายกว่าก็อบลินหรือโทรลอีกมากนัก

     ตอนนี้ชาวบ้านหลายต่อหลายชีวิตเริ่มเดินทางอพยพเข้ามาในเมืองเพื่อหลบหลังกำแพงกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ทั้งหมด

     “อื้ม...กำลังพลทั้งหมดของเรามีมากแค่ไหน...”

     “ประมาณเก้ากองรบมีไม่ถึงห้าสิบคนค่ะ...กำลังเสริมบางส่วนกำลังเตรียมพร้อมอยู่แต่ต้องใช้เวลา แล้วก็ยังมีส่วนที่เดินทางไปปิดกั้นพื้นที่ทั้งทางไปฟาร์คัสและทริช่า”

     “เวลาที่ใช้ในการเรียกกำลังเสริมทั้งหมดประมาณเท่าไหร่?”

     “สี่สิบนาทีค่ะ”

     “ไม่ทันสินะ...”

     ลิซ่าถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะออกคำสั่งอีกครั้ง

     “ก่อนอื่นยังไงก็เร่งพาชาวบ้านทั้งหมดเข้ามาหลบหลังกำแพงเสียก่อนก็แล้วกัน”

     “ค่ะ!”

     เอลเซ่สั่งการให้เร่งอพยพชาวบ้านตามคำสั่งทันที่ หลังจากนั้นประมาณห้านาทีก็จะเห็นเหล่าอัศวินแบกทั้งเด็กทั้งคนแก่วิ่งผ่านประตูไป ที่แปลกใจกว่านั้นคือมีบางคนใช้รถเข็นไม้ลากชาวบ้านกว่าห้าคนเข้ามาในเมือง

     แน่ใจนะว่าพวกเธอเป็นผู้หญิงจริงๆน่ะ...

     “บอกให้ทุกคนเตรียมพร้อมได้เลย...อ๋อ...แล้วก็ม้าด้วยนะ”

     ลิซ่าบอกคำสั่งเตรียมพร้อมเพราะเหมือนจะใกล้ได้แล้ว ทุกคนต่างหยิบอาวุธมาตรวจเช็คให้แน่ใจ ทหารบางคนก็ไปลากม้ามาเตรียมไว้ตามคำสั่งด้วย

     “ว่าแต่...เจร่าไม่กลับบ้านไปก่อนจะดีเหรอ?”

     เธอหันมาถามผมอย่างเป็นห่วง

     “เอ่อ...ก็ยังเป็นห่วงอะไรหลายๆเรื่องน่ะค่ะ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะช่วยเหลืออะไรท่านด้วย”

     “อื้ม...ดีใจจังนะ เพราะแบบนี้แหละฉันถึงได้ชอบเจร่า แล้วก็ไม่ต้องสุภาพกับฉันก็ได้...เพราะเราเป็นเพื่อนกันนะ”

     เธอพูดพร้อมกับคว้ามือผมไปกุมไว้และส่งยิ้มมาให้ แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงอาการสั่นเล็กน้อยจากมือของของอีกฝ่ายพอมองเข้าไปในนัยน์ตาก็จะสังเกตเห็นความกังวลที่แสดงออกมา ไม่รู้อะไรดลใจผมจึงดึงเธอเข้ามากอดไว้

     “ไม่เป็นไรหรอก...ฉันจะอยู่ข้างๆเองนะ”

     ก่อนจะผละออกเพราะนึกถึงตำแหน่งของอีกฝ่ายขึ้นมาได้ ด้วยความเคอะเขินสิ่งที่ทำไปเมื่อครู่ผมจึงถอยออกมาพลางมองไปทางอื่นก็เจอเข้ากับรอยยิ้มจากทั้งเอลเซ่ทั้งโลเรนหรือแม้แต่ผู้คนโดยรอบ

     “อ่ะ...เอาล่ะเตรียมตัวกันพร้อมแล้วนะ…”

     ลิซ่าเองก็แก้เขินโดยการบอกให้ทุกคนเตรียมพร้อมอีกครั้ง

     เป็นเพื่อนกับเจ้าหญิงเหรอ...เรื่องแบบไม่มีทางเกิดขึ้นในโลกเดิมได้เลยนะ...

     “มากันแล้ว!!”

     เสียงตะโกนจากบนกำแพงดึงสติทุกคนให้กลับไปจดจ่อกับการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า กองทหารที่34นำโดยเอลเซ่และอัศวินหน่วยอื่นขึ้นไปควบม้าเพื่อเตรียมพร้อม

     ที่ปลายสายตา ณ ชานเมืองนั้นปรากฏภาพของสิ่งมีชีวิตรูปร่างใหญ่กายสีเขียวเข้มกำลังเคลื่อนตัวผ่านเนินเข้ามา แน่นอนว่าพวกมันคือกองทัพของออร์คจำนวนมากที่ตรงมายังเมืองนี้

     อสูรกายที่กำลังใกล้เข้ามาเหล่านั้นเรียกเสียงกรีดร้องของชาวบ้านทุกคนให้ดังระงมไปทั่ว ทุกคนต่างวิ่งหนีภัยร้ายตรงมายังประตูเมืองอย่างไม่คิดชีวิต

     “จำนวนของศัตรูล่ะ!”

     เอลเซ่สวมหมวกเหล็กพลางตะโกนถามขึ้นไปบนกำแพง

     “ประมาณห้าสิบค่ะ!!”

     “หยุดพวกมันไว้จนกว่าชาวบ้านทุกคนจะปลอดภัยอยู่หลังกำแพง”

     สิ้นคำสั่งของของลิซ่าอัศวินนับสี่สิบชีวิตต่างชักอาวุธเตรียมประจัญบาน แล้วควบม้าตรงไปยังเหล่าอสูรกายร่างยักษ์เหล่านั้นในทันที ภาพของเหล่าอัศวินบนหลังม้าวิ่งออกไปนั้นราวกับภาพยนตร์ที่ผมเคยชมแต่ทว่านี้คือเรื่องจริง

     “จนกว่าชาวบ้านทุกคนจะมาหลบอยู่หลังกำแพงก็คงต้องฝากความหวังไว้ที่พวกเธอล่ะนะ”

     สิ่งที่ลิซ่าพูดผมให้ผมมองตามไปยังสมรภูมิที่กำลังก่อตัวขึ้น จากกำแพงเมืองยาวไปจนถึงพื้นที่พักอาศัยนอกเมืองมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณเกิบสองกิโลเมตร ถ้าสามารถต้านไว้ได้กว่าจะพวกออร์คจะบุกมาถึงก็น่าจะกินเวลานานพอสมควรอยู่

     สิ่งที่เราทำได้ก็แค่ยืนอยู่ตรงนี้แล้วรอให้ทุกอย่างจบลงไปเองแค่นั้นเหรอ... ไม่หรอกต้องมีสิ่งที่เราสามารถทำได้บ้างสิ...

     “ลิซ่า...ฉันว่าเราขึ้นไปดูสถานการณ์บนกำแพงกันไหม”

     “นั้นสินะ...”

     เมื่อเธอเห็นด้วยผมก็รีบวิ่งไปยังบันไดสำหรับขึ้นไปบนกำแพงโดยลิซ่าเองก็วิ่งตามเช่นกัน เมื่อมาถึงด้านบนทหารยามที่เฝ้าระวังอยู่ตางทำความเคารพองค์หญิงของพวกเธอทันทีที่สังเกตเห็น

     ผมเดินไปที่กำแพงมองไปยังสมรภูมิอันไกลลิบเบื้องล่าง ภาพของออร์คร่างกายกำยำใหญ่โตถืออาวุธเป็นกระบองไม้ขนาดใหญ่ พวกมันที่กำลังตีฝ่าแนวป้องกันมานั้นสร้างความหวาดหวั่นให้พวกเราพอสมควร นักรบสาวหลายต่อหลายคนต่างถูกการโจมตีของอสูรกายร่างยักษ์ซัดปลิวไปกองกับพื้น

     ชักน่าเป็นห่วงแล้วสิ... หืม... เหมือนจะมีอะไรบางอย่างแปลกๆ...

     ผมชำเลืองมองสีหน้าของลิซ่าที่แสดงความกังวลออกมา ก่อนจะกลับไปจดจ่อกับภาพการต่อสู้ตรงหน้าอย่างมีสมาธิ

     ไม่นานนักกองทัพออร์คก็ผ่านมายังพื้นที่พักอาศัยส่วนกลางได้ในที่สุด ด้วยความที่กำลังพลของพวกมันนั้นมากกว่าแม้จะสามารถสังหารพวกมันได้หลายตัว แต่หากเทียบกับจำนวนอัศวินสาวที่ถูกมันจัดการแล้วผ่านเข้ามานั้นไม่คุ้มค่ากันเลย

     นักรบผู้ที่ยังสามารถต่อสู้ได้ก็ร่นถอยพลางฟาดฟันอาวุธในมืออย่างไม่ยอมแพ้ เหล่าอัศวินกว่าสามสิบชีวิตที่ยังคงยืนหยัดอยู่ในจำนวนนั้นมีพวกเอลเซ่อยู่ด้วย สร้างความสบายใจให้ผมพอสมควร

     เมื่อลองวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้การรับมือกับกองทัพออร์คนั้นเป็นไปอย่างยากลำบากก็เพราะ

     หนึ่ง ด้านพละกำลังที่สูงกว่า

     สอง จำนวนที่มากกว่า

     สาม พวกมันใช้วิธีคว้างปาสิ่งของให้เสียรูปขบวน

     และสี่ การลอบโจมตีจากมุมอับของบ้านเรือน

     น่าแปลกที่พวกมันบุกเข้ามาเป็นเส้นตรงแม้จะเดินผ่านตรอกซอกซอยบ้างแต่มันก็ไม่คิดจะบุกเข้าไปในบ้านเลย เหมือนกำลังรีบฝ่าให้ถึงกำแพงให้เร็วที่สุด

     “ฝ่ามาถึงส่วนกลางแล้ว อีกไม่นานก็จะมาถึงหน้าปราการแล้วล่ะ...”

     องค์หญิงกล่าวออกมาอย่างเป็นกังวล

     “ลิซ่า...กำลังเสริมจะมาในอีกกี่นาทีเหรอ...”

     “ตั้งแต่เริ่มรบมาก็ผ่านมาได้แค่สิบนาทีเท่านั้นเอง”

     หมายความว่ายังต้องรออีกยี่สิบนาทีสินะ...คงจะไม่ทันแน่แล้ว...

     ผมมองลงไปยังการต่อสู้เบื้องล่างอีกครั้งพร้อมกับประเมินจำนวนของศัตรูและจำนวนนักรบทางฝั่งเรา

     ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างอีกไม่นานทุกคนได้แย่จริงๆแน่...

     “ลิซ่า...ใช้เวทได้ไหม?”

     เธอดูมึงงงในคำถามที่ผมก็ถามออกไป

     “ก็นิดหน่อยแต่ไม่ชำนาญนะ…”

     “มีเวทที่สามารถทำให้ลอยตัวได้รึเปล่า?”

     “มีสิ...แต่ฉันใช้มันไม่ได้นะ”

     “แล้วในกองทัพมีใครที่สามารถใช้ได้บ้าง?”

     “รู้สึกว่าจอมเวทที่อยู่ในกลุ่มของเอลเซ่จะสามารถใช้ได้นะ…”

     เยี่ยมเลย...ถ้าอย่างนั้นเหลือแค่หาทางไปยังสนามรบข้างล่างให้ได้สินะ...

     “ลิซ่าขี่ม้าได้ใช่ไหม...ถ้าได้ช่วยพาฉันไปหาพวกเอลเซ่ทีสิ”

     ผมมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ลิซ่าเองก็มองเข้ามาในนัยน์ตาของผมก่อนจะพยักหน้าให้พลางคว้าข้อมือพาผมวิ่งลงไปด้านล่าง ทันทีที่ลงมาถึงแล้วลิซ่าก็รีบสั่งคนช่วยเตรียมม้าให้

     “ช่วยเตรียมม้าให้ฉันที แล้วเรื่องอพยพไปถึงไหนแล้วล่ะ”

     “ใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ เหลืออีกร้อยกว่าคนเท่านั้น”

     หนึ่งในทหารยามตอบคำถามของลิซ่าก่อนจะวิ่งไปลากม้ามาให้

     “ว่าแต่ท่านลิซ่าจะไปไหนเหรอคะ”

     “พาเพื่อนไปส่งที่สนามรบน่ะ”

     เธอกล่าวพร้อมกับปีนขึ้นไปควบม้าแล้วส่งมือมาให้ผม

     “อันตรายนะคะท่าน อย่าออกไปจากตรงนี้จะดีกว่านะคะ”

     ผมปีนขึ้นมานั่งบนหลังม้าแล้วเกาะเอวของลิซ่าไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองร่วงลงไป เมื่อพร้อมแล้วเจ้าหญิงผู้คุมบังเหียนก็เอ่ยกล่าวบางอย่างกับทหารสาวผู้นำม้ามาให้

     “ผู้นำที่เอาแต่หลบอยู่ในที่ปลอดภัยน่ะ ไม่คู่ควรแก่การปกครองเมืองหรอกนะ”

     ทหารสาวได้ยินดังนั้นก็ทำสีหน้าเหมือนประทับใจในสิ่งที่ลิซ่าเอ่ยออกมา

     ลิซ่าคุมบังเหียนให้ม้าขยับตัวไปทิศทางที่จะมุ่งหน้าไปแล้วสั่งให้มันออกวิ่งตรงไปยังสนามรบเบื้องหน้า ความเร็วของม้าค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนสายลมเข้าตีกระทบใบหน้าของพวกเรา เธอหันมาถามผมแต่ก็ยังคงคุมม้าให้รักษาความเร็วเช่นเดิม

     “มีแผนอะไรแล้วเหรอ...”

     “ตอนนี้ยังไม่มีหรอก...แต่เราสู้พวกมันตรงๆไม่ได้แน่นอน”

     “งั้นจะทำยังไงล่ะ”

     “ก็คงต้องสู้ด้วยวิธีอื่นล่ะนะ”

 

     ด้วยความเร็วของม้าทำให้มาถึงสมรภูมิได้โดยเร็วเสียงของโลหะกระทบกับกระบองไม้อาวุธของเหล่าออร์คดังออกมาเป็นระยะๆ ผมรีบลงมาจากหลังมาและตะโกนเรียกทุกคนในทันที

     “ทุกคนคะ! ถอยมาก่อนค่ะ...”

     เอลเซ่ที่กำลังรับการโจมตีของอสูรกายอยู่ก็ตวัดดาบออกแล้วกระโดดถอยหลังมา ก่อนจะเหลือบมองพวกเราด้วยความรวดเร็วแล้วกลับไปจดจ่อกับศัตรูตรงหน้าเช่นเดิม

     “เจร่าทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ...องค์หญิงด้วย!”

     “ตอนนี้ไม่มีเวลาอธิบายค่ะ... สั่งให้ทุกคนถอยมาก่อนเถอะนะคะ!”

     เธอฟันคมดาบลงไปบนร่างของออร์คก่อนจะดึงดาบออกมาแล้วสั่งการตามที่ผมร้องขอไป

     “ทุกคน!! ถอยก่อน!”

     ทุกคนต่างรีบหาช่องทางหลุดออกมาจากการต่อสู้ตรงหน้าแล้ววิ่งถอยออกมา ผมรีบวิ่งนำทุกคนออกมาพลางมองฝูงออร์คเหล่านั้นว่ามันจะตามมาไหม

     เป็นเรื่องดีที่พวกมันไม่ตามมา เมื่อวิ่งห่างมาได้ระยะพอสมควรแล้วผมก็ชี้ไปยังบ้านพอจะเป็นที่หลบภัยให้พวกเราได้

     “คุณเอลเซ่พังประตูเข้าไปเลยค่ะ”

     เอลเซ่เธอชี้ไปที่ประตูแล้วอัศวินสาวผู้สวมผ้าคลุมสีฟ้าก็วิ่งนำไปถีบประตูเปิดทางให้พวกเราได้เข้าไป เมื่อทุกคนเข้ามากันครบแล้วนักรบคนเมื่อครู่ก็ลากชั้นวางของขนาดใหญ่มาบังประตูไว้

     ผมมองไปรอบๆเพื่อประเมินกำลังรบที่เหลืออยู่ อัศวินทั้งหมดในที่แห่งนี้มีจำนวนยี่สิบสามคน

     “เอาล่ะบอกทีได้ไหมว่าทำไมถึงมาตรงนี้”

     เอลเซ่ถามพร้อมกับถอดหมวดเหล็กออกซึ่งบางคนต่างก็ทำตามเช่นกัน

     “มาช่วยเหลือด้านข้อมูลน่ะค่ะ”

     “หมายความว่าไง?”

     โลเรนวางโล่ไว้ข้างกำแพงก่อนจะเดินจากหน้าประตูมาร่วมวงสนทนาอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย

     “ทุกคนรู้วิธีรับมือกับออร์คพวกนั้นไหมคะ?”

     ผมเอ่ยถามเพื่อลองเชิง แต่คำตอบที่ได้รับก็เป็นไปตามคาด

     “ไม่เลย...ตลอดมาทุกครั้งที่รับมือกับมอนสเตอร์พวกเราจะใช้จำนวนเข้าสู้เสียมากกว่า”

     “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เคยศึกษาจุดอ่อนหรือวิธีการรับมือสินะคะ?”

     “นี่... พูดแบบนี้จะหาเรื่องกันเหรอไง”

     อัศวินสาวในชุดเกราะเอ่ยถามอย่างอารมณ์เสียเท่าที่ดูแล้วเธอน่าจะอยู่กองทหารอื่นสินะ

     “ไม่ค่ะ... ไม่ได้คิดแบบนั้น... แค่อยากจะบอกวิธีรับมือพวกมันไว้น่ะคะ”

     “ยังไงล่ะ?”

     เอลเซ่เอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัย

     “ข้อแรก... ด้านกำลังแพ้เห็นๆค่ะ แต่พวกมันก็ช้ากว่าพวกเรามากนักเพราะฉะนั้นเน้นสวนกลับตรงช่องว่างจะดีกว่า”

     “พวกเราก็ทำแบบนั้นแหละ...”

     อัศวินจากหน่วยอื่นเอ่ยท้วงขึ้นมา

     “ข้อสอง... เท่าที่สังเกตพวกมันจะไม่วิ่งเลยนะคะ ถึงวิ่งแต่ก็แค่ไม่กี่เมตรเท่านั้นเอง”

     “แล้วมันหมายความว่าไงล่ะ”

     “ถ้าเป็นไปตามที่ฉันคิดนะคะ จุดอ่อนของพวกมันก็คือช่วงล่างเพราะรับน้ำหนักจากด้านบนเยอะจึงไม่สามารถรักษาสมดุลจากการวิ่งได้”

     ผมเงียบทิ้งช่วงให้ทุกคนได้คิดถามตาม

     “ข้อสามสาเหตุที่พวกมันได้เปรียบก็คือจำนวนและสถาพแวดล้อม อย่างที่ทุกคนได้เผชิญมาพวกมันใช้วิธีทำให้เสียรูปขบวนแล้วลอบโจมตีจากมุมอับสายตา”

     ซึ่งจุดนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมกำลังสงสัยอยู่เช่นกันเพราะการกระทำของพวกมันผิดวิสัยของออร์คที่จะเน้นแต่การใช้กำลัง

     “ก็ใช่อยู่นะ... แต่จะให้ทำยังไงล่ะก็พวกเราคนน้อยกว่าพวกมัน”

     “เพราะฉะนั้นฉันจะอาสาช่วยดูตำแหน่งของออร์คทั้งหมดเองค่ะ”

     “ยังไงล่ะ... จริงอยู่หากพวกเรารู้ตำแหน่งที่มันจะลอบโจมตีก็จะสามารถรับมือได้แต่ไม่มีวิธีเลยนะ”

     “มีสิคะ... คุณแครอล?”

     ผมเอ่ยเรียนเจ้าของชื่อซึ่งเธอก็ถอดหมวกเหล็กออกให้ผมรู้ตัวตน

     “ช่วยใช้เวทลอยตัวส่งฉันขึ้นไปบนฟ้าทีจะได้ไหมคะ”

     “ก็ได้อยู่หรอกนะแต่พลังเวทของฉันมันเริ่มน้อยแล้วน่ะสิ”

     “มีใครในที่นี้สามารถใช้ได้อีกไหมคะ?”

     มีสองคนจากทั้งหมดยกเว้นแครอลยกมือขึ้น

     “งั้นก็น่าจะพอไหวนะคะ อีกเรื่องคืออยากจะขอทราบรายละเอียดที่ผ่านมาทั้งหมดด้วยน่ะค่ะ”

     หลังจากสอบถามหลายๆเรื่องก็ได้ความว่าจำนวนของออร์คที่เหลืออยู่มีประมาณสามสิบกว่าตัว ทางด้านกำลังรบของเรามีคนที่สามารถโจมตีระยะไกลได้ทั้งหมดเจ็ดคน โจมตีระยะประชิดสิบสามคน ส่วนที่เหลืออีกสามคนเป็นนักเวท

     ถ้าอย่างนั้น...แผนเหมาะที่สุดสำหรับตอบโต้ก็คือการลอบโจมตีล่ะนะ....

     “มือธนูทั้งหมดใช้วิธีลอบยิงจากบนหลังคาแทนก็แล้วกันนะคะ เพราะยิงจากมุมอาคารเหมือนเดิมจะถูกพวกออร์คเข้ามาตลบหลังเอาได้”

     มือธนูได้ยินดังนั้นก็ปลดเกราะออกบางส่วนเพื่อให้สามารถขยับตัวได้คล่องขึ้น ระหว่างนั้นผมก็เดินเข้าไปถามอะไรอีกเล็กน้อยจากมือธนูที่รู้จัก

     “คุณวินเชสต้าคะ ถ้ายิงเข้าหัวมันจะตายในทันทีเลยไหมคะ”

     “น่าเสียดายนะ ต่อให้ยิงเข้าตาจังๆมันก็ยังเดินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

     เธอปลดเกราะแขนออกพลางตอบคำถาม

     “เหรอคะ...”

     หมายความว่าพลังชีวิตมันสูงมากพอสมควร...

     “งั้นคนที่สู้ระยะประชิดเน้นวิธีใช้จำนวนตั้งแต่สองคนขึ้นไปรุมจัดการทีละตัวจะง่ายกว่านะคะ”

     นักรบผู้ใช้ดาบและหอกต่างก็หยิบอาวุธขึ้นมาเตรียมพร้อม ผมสังเกตเห็นเอลเซ่หยิบดาบอีกเล่มมาสวมไว้ข้างกายเหมือนเธอจะหันมาใช้ดาบสองมือแทน

     “สุดท้ายก็ฝากเรื่องส่งขึ้นฟ้าด้วยนะคะ”

     ผมส่งยิ้มให้กับสามนักเวทที่ยืนอยู่ด้านหลัง ระหว่างที่ทุกคนเตรียมพร้อมอยู่นั้นลิซ่าก็เดินเข้ามาสะกิดเรียกผมจากด้านหลัง

     “สุดยอดเลยนะเจร่า! สั่งการอย่างกับพวกแม่ทัพเลย หรือว่าเธอจะเป็นแม่ทัพจริงๆล่ะเนี่ย...”

     “เอ่อ...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก...ก็แค่...เคยผ่านอะไรคล้ายแบบนี้มาแต่ไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายขนาดนี้น่ะ”

     อันที่จริงก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าสามารถทำถึงขนาดนี้ได้ไง อาจเพราะต้องการปกป้องเมืองแห่งนี้เหมือนกันก็เป็นได้ล่ะมั้ง แม้จะยังหวาดหวั่นกลัวๆอยู่บ้างก็ตาม

     “แต่ก็สุดยอดเลยนะ ฉันเองยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถสั่งการแบบเธอได้ไหม”

     ลิซ่าพูดพร้อมกับหยิบดาบขึ้นมาถือ

     “ทำอะไรน่ะลิซ่า...”

     “ฉันเองก็จะสู้ด้วย จะให้เอาแต่หลบอยู่อย่างเดียวได้ไง”

     “มันอันตรายนะ จะให้เจ้าหญิงอย่างเธอไปลงสนามรบเนี่ยออกจะ...”

     “เจร่า... เพราะฉันไม่ออกไปช่วยสู้นั้นแหละถึงจะเรียกว่าขี้ขลาดล่ะ”

     ฉันคงไม่สามารถขัดปณิธานอันแรงกล้าของเธอได้สินะ…

     “ถ้าอย่างนั้นก็ระวังตัวด้วยล่ะ”

     “เธอเองก็เหมือนกัน...”

 

     หลังจากทุกคนพร้อมแล้วมือธนูก็ปีนขึ้นไปเตรียมพร้อมบนหลังคาบ้าน ทางอัศวินคนอื่นๆก็เฝ้ารอบุกจู่โจมจากภายในบ้านเรือน ส่วนผมและนักเวทอีกสามคนก็มาหลบมุมอยู่ที่ตรอกใกล้กันนี้เอง

     “เอาล่ะฝากด้วยนะคะ...”

     “อืม...ควบคุมตัวเองอย่างตื่นตกใจไปล่ะ...”

     แครอลให้คำแนะนำเล็กน้อย ส่วนผมก็สูดลมหายไปเข้าออกเพื่อให้ใจเย็นลง

     “เอาล่ะพร้อมแล้วค่ะ...”

     ถึงจะบอกว่าพร้อมแต่ในใจกลับสั่นไม่หยุดเลย ถ้าลอยขึ้นไปแล้วหวังว่าจะคุมสติตัวเองได้นะ…

     “ถ้าอย่างนั้น…”

     แครอลส่งสัญญาณให้นักเวทอีกสองคนเริ่มร่ายเวท จากนั้นไม่นานสายลมก็เริ่มก่อตัวรอบตัวผมทั้งฝ่าเท้าทั้งต้นขาตลอดไปจนถึงแขนทั้งสอง ความรู้สึกของลมเย็นๆค่อยๆดันให้ร่างลอยขึ้นสู่อากาศ

     “เอ่อ...ลืมถามน่ะค่ะ เวทลอยตัวเนี่ยพวกคุณแครอลควบคุมมันอยู่ใช่ไหมคะ?”

     “อืม...จนกว่าพลังเวทพวกฉันจะหมดหรือปลดมันออกเธอก็จะยังลอยอยู่อย่างนั้นแหละนะ”

     “ถ้าถึงตอนนั้นก็ช่วยพาฉันลงอย่างนุ่มนวลด้วยนะคะ”

     “หวังว่านะ...”

     แครอลยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

     จะล้อเล่นก็ผิดจังหวะแล้วแล้วนะคะ... ทำแบบนี้มันชวนใจหายเหมือนกับขึ้นรถไฟเหาะแบบไม่ได้คาดเข็มขัดเลย...

     “งั้นก็...ส่งขึ้นไปเลยค่ะ…”

     แครอลพยักหน้าให้แล้วร่างของผมก็ค่อยๆลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า ทัศนวิสัยค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นมุมสูงอาคารบ้านเรือนต่างๆค่อยๆเล็กลง และเมื่อขึ้นได้ความสูงที่มากพอสมควรแล้วผมก็โยนก้อนหินลงเพื่อให้แครอลรักษาระดับความสูงอยู่ตรงนี้

     ความสูงประมาณยี่สิบเมตรกว่าๆช่วยให้เห็นภาพของเหล่าออร์คเบื้องล่างชัดเจนขึ้น ผมจึงรอให้พวกมันเข้าระยะโจมตีและเมื่อเข้าสู่ระยะที่ว่ามาผมก็เริ่มสั่งการให้โจมตีพวกมันทันที

     “ทุกคนโจมตีได้ค่ะ!!”

     สิ้นคำสั่งนั้นทุกคนที่ซุ่มรออยู่ก็กระโจนออกมาจากอาคารบ้านเรือนพร้อมกับใช้อาวุธในมือฟาดฟันอสูรกายเหล่านั้นด้วยความรวดเร็ว ผมเห็นโลเรนถีบหน้าต่างออกมาแล้วใช้หอกในมือเสียบออร์คเสียมันตายในกระบวนท่าเดียว

     ร้อนแรงเกินไปแล้วนะนั้น... แต่ก็ถือว่ายุทธการนี้ได้ผลดีพอควรเลย...

     ทางด้านมือธนูก็จัดการยิงศรเข้าจุดตายสังหารไปหลายตัวแต่ก็ยังคงเหลืออีกจำนวนมากที่ต่อให้โดนยิงหัวมันก็เดินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     พวกมันเริ่มใช้วิธีเดิมคือเดินผ่านตามตรอกเพื่อจะลอบโจมตีเช่นกัน ลูกไม้เดิมๆคงจะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปเพราะว่าผมรู้ตำแหน่งของพวกมันทั้งหมดแล้วในตอนนี้

     “ออร์คสามตัวกำลังตรงมาจากหลังอาคารที่พวกเราใช้ซุ่มโจมตีค่ะ”

     ได้ยินดังนั้นคนที่มีหอกอยู่ในมือก็มองไปยังทิศทางที่ผมกล่าวไป แล้วทันทีที่มันโผล่ออกพวกเธอก็ซัดหอกเข้ากลางร่างของพวกมันอย่างแรง ก่อนจะเดินเข้าไปกระชากออกมาจนเลือดสีดำของมันทะลักออกจากแผล

     มาคิดๆแล้วพวกเธอก็โหดกันใช่เล่นแฮะ...

     “มือธนูสามคนที่อยู่บนหลังคาไม้ ย้ายตำแหน่งไปบนหลังคาอีกสามช่วงแล้วเตรียมยิงตัวที่กำลังผ่านมานะคะ”

     ด้วยความที่ไม่รู้ชื่อหลายๆคนผมจึงใช้วิธีเรียกรวมๆไปก่อน อาจเสียมารยาทไปบ้างแต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลามาแนะนำตัวกันแล้ว

     ทุกคนก็ทำตามสิ่งที่ผมสั่งการไปอย่างทันที ประสบการณ์ของเหล่านักรบผู้เชี่ยวสมรภูมช่างแสดงออกมาได้อย่างชัดเจนจริงๆ

     “พยายามอย่าสู้กับมันตัวต่อตัวนะคะ อีกห้าตัวกำลังตรงมาค่ะ”

     ผมยังคงสั่งการและบอกตำแหน่งของศัตรูต่อไปเพื่อให้ทุกคนได้เปรียบในการต่อสู้ สถานการณ์เริ่มพลิกกลับให้พวกเราเป็นฝ่ายคุมเกมขึ้นมาบ้างแล้ว

     ลิซ่าเองก็ต่อสู้ด้วยความชำนาญพอสมควรแม้ว่าจะมีอัศวินอีกสามคนคอยคุ้มครองอยู่ก็ตาม แต่สำหรับผมรู้สึกเป็นห่วงเธอพอสมควรเนื่องจากเธอไม่ได้สวมชุดเกราะเลยซักชิ้น

     กินเวลากว่าสิบนาทีจำนวนของออร์คค่อยๆลดลงเหลือประมาณยี่สิบกว่าๆแต่จำนวนผู้บาดเจ็บของทางเรามีไม่กี่คนเท่านั้นเอง หากเป็นแบบนี้ก็จะสามารถต้านไว้ได้จนกว่ากำลังเสริมก็จะมาถึง

     ทว่าที่ปลายสายตาของผมกลับได้เห็นอะไรบางอย่าง

     นั้นมัน... ไม่จริงใช่ไหมเนี่ย...!?

     “แย่แล้วค่ะ มีออร์คแปลกๆตัวสีดำกำลังตรงมายังถนนเส้นหลักพร้อมกับออร์คอีกสิบกว่าตัว”

     ดูจากขนาดตัวและรูปร่างของมันคงจะเป็นหัวหน้าของพวกออร์คสินะ แต่ว่าทำไมทำมันถึงเพิ่งจะปรากฏตัวเอาตอนนี้ล่ะ

     “เจร่า!”

     เสียงตะโกนของแครอลจากด้านล่างเรียกสติของผม เพราะเอาแต่ครุ่นคิดอะไรอยู่คนเดียวจนเผลอละสายตาจากตำแหน่งของศัตรู เปิดช่องว่างให้พวกมันหยิบถังไม้ปามายังกลุ่มนักเวทที่กำลังควบคุมการลอยตัวของผมอยู่

     จู่ๆความรู้สึกของสายลมที่พัดผ่านรอบๆตัวก็หายไป ร่างกายกลับมารู้สึกหน่วงต่อแรงโน้มถ่วงของโลกอีกครั้ง ส่งผลให้ร่วงลงไปตามระเบียบ

     ซวยแล้ว...!? ยี่สิบกว่าเมตรตายแน่นอนเลยเรา...

     ระหว่างที่คิดว่าตายแน่แล้ว ภาพทุกอย่างที่ได้เห็นก็ค่อยๆผ่านไปอย่างเชื่องช้าผมปิดตาลงอย่างหวาดกลัว เพราะอีกไม่กี่เมตรจะร่วงลงมาถึงพื้นแล้ว ทว่าร่างของผมกลับถูกแรงกระแทกจากอะไรบางอย่างซึ่งสัมผัสได้ชัดเจนเลยว่ากำลังลอยไปยังทิศทางเดียวกับแรงนั้น

     เสียงดังสนั่นเหมือนอะไรบางอย่างหนักๆกระแทกเข้ากับไม้จนทำให้มีเสียงไม้แตกละเดียดตามมา เสียงนั้นดังใกล้ตัวแต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกบาดเจ็บตรงไหนมากนัก ด้วยความอยากรู้ปนสงสัยนั้นจึงค่อยๆเปิดตาดูอย่างช้าๆ

     “...ตัวหนักนะ...”

     ผมกำลังนอนทับอยู่บนร่างของอัศวินสาวเธอค่อยๆถอดหมวกเหล็กออกอย่างงุ่มง่าม เผยให้เห็นใบหน้าภายใต้นั้น

     “คุณอัลม่า! เป็นอะไรไหมคะ!”

     นี่หมายความว่าเธอกระโดดมาคว้าผมกลางอากาศแล้วใช้ตัวเองเป็นเบาะรับแรงกระแทกแทนสินะ

     ใจกล้าบ้าบิ่นเกินไปแล้ว... แต่เพราะอย่างนั้นถึงช่วยต่อชีวิตเราไว้...

     แม้จะยังสงสัยว่าอัลม่าสามารถรับเราไว้ได้ทันท่วงทีได้อย่างไร ผมก็สลัดความคิดนั้นออกไปก่อนแล้วรีบขยับตัวออกให้ผู้ช่วยชีวิตได้นอนแผ่อย่างสบาย จากนั้นจึงมองหาบาดแผลที่อาจเกิดขึ้น

     “เจร่า! อัลม่า!”

     แครอลรีบวิ่งมาดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทันที นั่งลงแล้วประคองอัลม่าขึ้น  พอมาดูดีๆแล้วจุดที่พวกเราตกลงมาเป็นกองฟางใหญ่พอสมควรเลย มิน่าถึงสามารถรับแรงกระแทกของคนสองคนไว้ได้

     “เจร่าขอโทษนะที่เผลอปลดเวทลอยตัวน่ะ”

     “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ผิดเองที่ไม่ได้สังเกตจนปล่อยให้พวกคุณแครอลถูกโจมตี”

     “อ่า...แล้วอัลม่าไหวไหม?”

     “...ไหวอยู่...แต่ขยับไม่ได้แล้วล่ะ...”

     “หวังว่ากระดูกจะไม่หักนะคะ...”

     “ยังไงเดี๋ยวฉันร่ายเวทบรรเทาอาการก่อนแล้วกัน...”

     เธอกล่าวพร้อมกับเริ่มร่ายเวท แสงสีขาวอ่อนๆค่อยๆปรากฏไปทั่วร่างของอัลม่า หลังจากแสงหายไปสีหน้าของเธอก็ดีขึ้นเล็กน้อย

     “ขอบคุณนะคะคุณอัลม่า”

     ผมก้มหัวขอบคุณอย่างสุดหัวใจต่อผู้มีพระคุณ พอเงยหน้าขึ้นมาเธอส่งยิ้มมาให้เป็นคำตอบ

     “คงจะส่งเธอขึ้นฟ้าไม่ได้แล้วล่ะ...ฝากจักการเรื่องที่เหลือต่อทีนะ”

     แครอลเอ่ยพร้อมกับโบกเรียกนักเวทอีกสามคนให้มาช่วยกันแบกอัลม่าไปพักในที่ปลอดภัย

     “ค่ะ...”

     ผมลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยังถนนเส้นหลักเพื่อไปรวมตัวกับอัศวินที่ยังต่อสู้อยู่ ภาพที่ผมได้เห็นเมื่อวิ่งเลี้ยวหักมุมออกมาก็คือ

     นักรบทั้งหมดกำลังรับมือกับออร์คจำนวนมากอยู่ถึงจะมีการสนับสนุนจากมือธนูมันก็ยังเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากพอควร ผมมองหาออร์คสีดำที่เห็นเมื่อครู่ก็พบว่าเอลเซ่กับโลเรนกำลังพยายามช่วยกันรับมือกับมือกับมันอย่างสุดความสามารถ

     ว่าแต่ลิซ่าล่ะ เธอยังปลอดภัยอยู่ไหม…?

     เมื่อผมมองหาเธอก็พบภาพที่ไม่น่าเชื่อ ลิซ่ากำลังลงดาบปลิดชีพออร์คโดยการเฉือนไปทีคอของมันและทันทีที่มันสิ้นลมเธอเดินถอยออกมาพร้อมกับสะบัดคราบเลือดบนดาบออก

     สีหน้าของเธอดูนิ่งมากแม้ว่าจะเพิ่งสังหารอสูรกายมาก็ตาม หากแต่ถ้าสังเกตที่มือดีๆแล้วก็จะพบว่ากำลังสั่นเครืออยู่

     “ลิ...ลิซ่า...ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

     “จ๊ะ…ยังปลอดภัยไร้รอย”

     ลิซ่าบอกพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ทั้งๆที่มีคราบเลือดติดตามตัวอยู่

     ก็ไม่อยากจะคิดแบบนี้หรอก... แต่เธอเองก็ร้ายใช้เล่นนะลิซ่า...

     ลิซ่าเก็บดาบเข้าฝักข้างเอวแล้วเดินมาหาผม เพราะสถานการณ์ยังคาดเดาอะไรไม่ได้พวกเราจึงเดินมานั่งหลบภัยอยู่หลังกล่องไม้ใกล้ๆนั้น

     “คิดว่าอีกไม่นานทำลังเสริมก็มาถึงแล้วล่ะ”

     ผมพูดพร้อมกับหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูให้แน่ใจ

     “ตอนนี้ก็ต้านไว้ได้แล้วล่ะนะ จะติดปัญหาก็คือเจ้าออร์คสีดำนั้นน่ะ?”

     ลิซ่าพูดพร้อมชำเลืองมองไปยังออร์คสีดำที่ว่า เพราะมันมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าตัวอื่นอย่างเห็นได้ชัด แค่การโจมตีจากการหวดกระบองไม้เพียงครั้งก็ทำให้บ้านเรือนที่ถูกแรงกระแทกนั้นพังทลายลงมา

     อีกเรื่องที่ดูแล้วคิดว่ามันเหนือกว่าตัวอื่นก็คือเรื่อง ความอึดของมันที่แม้ว่าจะถูกเอลเซ่ฟันไปเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าบาดเจ็บหรือแสดงอาการพ่ายออกมาเลย

“ยังไงก็ต้องล้มเจ้าตัวนั้นให้ได้สินะ...”

     ผมลุกขึ้นยืนแล้วมองไปยังการต่อสู้นั้นอย่างใจจดใจจ่อ นอกจากออร์คสีกำนั้นก็มีอัศวินจากหน่วยอื่นช่วยรับมืออยู่แล้วเพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาเรื่องการจะถูกตัวอื่นเข้ามาช่วยหัวหน้าของมันสู้

     ถ้าอย่างนั้นก็พอจะล้มมันได้อยู่...

     “เจร่า?”

     เสียงเรียกของลิซ่าดึงผมออกจากห้วงสมาธิ

     “หืม…”

     “เปล่า...เห็นเธอทำสีหน้าจริงจังแล้วก็ยิ้มแปลกๆด้วย”

     “งั้นเหรอ... แต่ตอนนี้ต้องออกไปช่วยพวกคุณเอลเซ่ก่อนล่ะนะ”

     พูดจบผมก็ลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมกับสั่งการเพื่อให้ความช่วยเหลือ

     “คุณเอลเซ่คะ หาทางอ้อมไปข้างหลังมันแล้วใช้ดาบตัดข้อพับขามันเลยค่ะ”

     อัศวินสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้และทำตามที่ผมบอก เมื่อเธอหาทางอ้อมไปด้านหลังได้แล้วก็จัดการตัดเอ็นขาของมันตามที่บอกไป ส่งผลให้มันไม่สามารถยืนอยู่ได้ค่อยๆเซไปมาแต่ก็ยังไม่ล้มลงไป

     “คุณโลเรนแทงไปที่คอมันเลยค่ะ”

     โลเรนได้ยินดังนั้นก็ตั้งหอกทำมุมก่อนจะแทงตรงเข้าคอของมัน แน่นอนว่าของแค่นี้ยังไม่สามารถล้มมันได้มันใช้แรงที่เหลืออยู่พยายามยืนหยัดและหวดอาวุธเข้าข้างลำตัวของโลเรนจนทำให้ร่างของเธอลอยปลิวไปกระแทกกับแผงลอยใกล้ๆนั้น

     เสียงไม้แตกหักดังขึ้นพร้อมๆกับฝุ่นควันคละคลุ้งออกมา ออร์คตัวนั้นยังคงยืนเซไปมาพลางฟาดกระบองในมือเป็นวงกว้าง ทำให้เอลเซ่ไม่สามารถเข้าไปโจมตีมันในระยะประชิดได้

     จู่ๆถังไม้ก็ลอยออกมาจากจุดที่โลเรนถูกซัดปลิวไป สิ่งนั้นลอยเข้ากระแทกหน้าออร์คผิวดำตัวนั้นจนตัวถังแตกกระจาย

     “บังอาจนักนะไอ้ยักษ์นี่!”

     โลเรนลุกขึ้นมาพร้อมกับท่อนไม้หนาๆในมือ เธอตรงเข้าไปแล้วฟาดเข้ากลางหัวของมันจนท่อนไม้ในมือแตกกระจายส่งผลให้มันล้มลงไป ผมเห็นดังนั้นก็ตกใจจนเผลอก้าวถอยหลังออกมา

     โหดมาก... เธอเป็นพวกเลือดขึ้นหน้าแล้วคลั่งสินะเนี่ย..

     “แต่ยังไงต้องปลดอาวุธมันก่อนล่ะนะ คุณวินเชสต้า!”

     ซึ่งผู้ที่ผมเอ่ยนามไปก็ปรากฏตัวขึ้นจากบนหลังคา

     “แบบนี้เล็งง่ายกว่าเดิมเยอะเลย...”

     เธอน้าวสายคันธนูก่อนเล็งยิงไปยังข้อมือของมัน และยังคงยิงต่อเนื่องไปที่แขนมันอีกสี่ถึงห้าครั้งจนในที่สุดอสูรกายยักษ์ก็ยอมปล่อยมือจากอาวุธ วินเชสต้าจึงกระโดดลงมาจากหลังคาพร้อมกับถอดหมวกเหล็กโยนลงพื้น

     “ว่าแต่เจร่าไม่เป็นไรนะจ๊ะ…”

     เธอเดินมาทางผมพร้อมเก็บคันธนูไว้ด้านหลัง นับว่าผมคิดถูกเรื่องที่ว่าเธออาจจะอยู่แถวนี้

     แต่ถ้าเรียกไปแล้วเธอไม่ปรากฏตัวออกมาก็น่าอายอยู่เหมือนกันนะเนี่ย…

     “ค่ะ...ไม่มีปัญหาอะไร...”

     ผมส่งยิ้มให้เธอก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจอสูรกายตรงหน้าเช่นเดิม มันยังคงพยายามตะเกียดตะกายสู้อย่างสุดชีวิต ดูแล้วก็น่าเวทนาพอสมควร

     “ฉันว่าเรารีบจัดการมันเถอะนะคะ”

     เอลเซ่พยักหน้าให้อีกครั้งก่อนจะใช้สองมือหยิบดาบข้างเอวขึ้นมาแล้วตรงเข้าไปหมายจะปลิดชีพมัน เธอเดินขึ้นไปบนร่างของออร์คแล้วปักดาบทั้งสองไคว้กันที่คอของมัน

     เสียงของเหล็กกระบทกับกระดูกดังออกมาอย่างชัดเจน บาดแผลจากการเฉือนคอทำให้เลือดทะลักออกมาพร้อมกับเสียงสุดท้ายจากร่างของอสูรกาย

     อุป...รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมายังไงไม่รู้แฮะ... ต่อให้เป็นมอนสเตอร์แต่การเห็นภาพแบบนี้ก็ออกจะ...

     “กำลังเสริมมาแล้วล่ะ...”

     เสียงเรียกของลิซ่าทำให้พวกเราหันกลับไปมองยังทิศของของกำแพงเมือง ภาพของอัศวินควบม้ากำลังตรงมาทางพวกเราสร้างความสบายใจให้ทุกคนเป็นอย่างมาก เอลเซ่จึงสั่งการให้ทุกคนถอยร่นกลับมาเพื่อให้กำลังเสริมได้เข้าไปจัดการที่เหลือต่อ

     ลิซ่าเดินมาหาพวกเราที่ยืนรวมกันอยู่ก่อนจะเกาะแขนของผมไว้ เหมือนว่าเพราะทุกอย่างกำลังจบลงลิซ่าก็คลายความตึงเครียดจนเกิดอาการร่างกายหมดแรงขึ้นมา ทางเอลเซ่และโรเลนก็เดินมารวมกลุ่มเช่นกัน

     ในที่สุดก็จบลงเสียที...

     ผมยกมือขวาขึ้นมาตรงหน้าลิซ่า เธอทำสีหน้างงงวยออกมาเล็กน้อย

     “อะไรเหรอ?”

     “ก็...แปะมือกันไง เป็นการยินดีที่ได้รับชัยชนะน่ะ”

     ผมอธิบายพลางมองทุกคนโดยรอบ ซึ่งทุกคนได้ยินดังนั้นต่างก็มองหน้ากันก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาบ้าง

     “ค่ะ...งั้นก็...”

     ทุกคนต่างวาดมือไปในอากาศเพื่อให้กระทบกันตรงกลางพร้อมกับรอยยิ้ม

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา