สาวโอตาคุกู้วิกฤตพิชิตโลก

7.7

เขียนโดย Yaksa

วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 01.14 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  16.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) มื้ออาหารอันแสนลำบากใจ...

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     หลังการต่อสู้จบลงอัศวินรวมถึงทหารสาวต่างช่วยกันเก็บกวาดพื้นที่ทั้งเรื่องศพของออร์ค ตรวจเช็คความเสียหายโดยรวม และขนย้ายผู้บาดเจ็บกลับไปยังค่ายทหาร สำหรับชาวบ้านยังคงต้องหลบภัยอยู่ในเมืองไปอีกซักระยะจนกว่าสภาพบ้านเรือนจะกลับมาอยู่ในสภาพเดิม

     ในตอนนี้พวกเราและนักรบสาวผู้ผ่านสมรภูมิย้ายกลับมาพักฟื้นที่ค่ายทหารใกล้ๆกับด่านประตูเมือง ซึ่งพอถามเอลเซ่ก็ได้ความว่าพวกเธอก็พักอาศัยอยู่ค่ายแห่งนี้ ผมนั่งดื่มน้ำอยู่ภายในห้องซึ่งมีไว้สำหรับพักผ่อนของกองทหารที่34เพียงคนเดียว เพราะคนที่เหลือกำลังอาบน้ำล้างตัวอยู่ในห้องอาบน้ำ

     แต่ผมที่ไม่ได้ร่วมลงสนามต่อสู้ด้วยจึงอาบน้ำล้างตัวเท่าที่จำเป็นแล้วออกมานั่งรอทุกคนก่อนใคร อีกเรื่องคือมันเป็นห้องน้ำรวมผู้ที่มาใช้งานจึงไม่ได้มีเพียงกองที่34  แม้ว่าร่างกายของตอนนี้จะเป็นผู้หญิงแต่ผมก็ยังคงไม่มีความกล้ามากพอที่จะอาบน้ำร่วมกับผู้หญิงคนอื่นอยู่ดี

     จะว่าไปไม่ได้เจอเดเน่มาตั้งแต่ช่วงเที่ยงแล้ว... ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะเป็นห่วงเราขนาดไหนกันนะ...

     จู่ๆเสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นก็ดึงผมออกจากห้วงความคิดพร้อมๆกับการปรากฏตัวของหญิงสาวในชุดเดรสผู้มีใบหน้างดงาม เธอเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม

     “อ้าว...อาบน้ำไวจังนะเจร่า...”

     “อื้อ... แต่เดี๋ยวฉันขอกลับบ้านก่อนนะ...”

     “อืม...แต่อันที่จริงเธอกลับบ้านนอนพักผ่อนเลยก็ได้นะ ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรอีกแล้วล่ะ”

     “นั้นสินะ... งั้นฉันกลับเลยดีกว่า...”

     ผมลุกขึ้นหยิบถุงกระดาษใส่วัตถุดิบข้างกายแล้วโบกมือลาลิซ่าก่อนจะเดินตรงไปยังประตูห้อง แต่ยังไม่ทันจะได้จับลูกบิดประตูก็ถูกเปิดออกเสียก่อน

     “…เจร่า!”

     ผู้ที่เปิดเข้ามารีบรุดเข้าโผกอดผมในทันที เส้นผมสีขาวของเธอส่งกลิ่นหอมให้ในระยะประชิด ก่อนจะผละออกแล้วใช้สองมือจับไหล่ผมไว้แน่น

     “...ไปทำ...อะไรอยู่ที่ไหนมาเนี่ย...”

     “จะ..ใจเย็นก่อนค่ะพี่เดเน่...”

     เธอพยายามเค้นเสียงพูดทั้งที่ยังคงหอบเหนื่อยอยู่ ที่ใบหน้าก็ปรากฏหยาดเหงื่อออกมาเล็กน้อย ดูโดยรวมแล้วเธอคงจะออกวิ่งตามหาผมไปทั่วเลยสินะ

     “เอ่อ... พอดีว่าเข้าไปช่วยงานทหารอะไรนิดหน่อยนะค่ะ”

     “อะไรนะ! ทำอะไรอันตรายจริงๆเลย แล้วเป็นอะไรมากไหม?”

     “สบายดีค่ะ ปลอดภัยทุกส่วน...แล้วพี่เดเน่มาที่นี่ทำไมเหรอคะ?”

     “ก็ตามหาเธอนั้นแหละพี่กลับบ้านไปแล้วไม่เจอก็เลยวิ่งวุ่นตามหาไปทั่ว จนได้ความจากทหารยามที่ประตูเมืองน่ะว่าเธออยู่ที่นี่”

     อุ...รู้สึกผิดแฮะ...

     “ขอโทษนะคะที่ทำให้ต้องเป็นห่วง”

     ผมกล่าวขอโทษพร้อมกับส่งยิ้มให้แต่ไม่คิดจะพูดเรื่องที่ร่วงลงมาจากฟ้าสูงยี่สิบเมตรเด็ดขาด ถ้าพูดออกไปไม่รู้ว่าเธอจะโวยวายเป็นห่วงขนาดไหนกันนะ

     “อาจารย์เดเน่?”

     “ท่านลิซ่า?”

     เดเน่มองผ่านไหล่ผมไปยังลิซ่าที่อยู่ด้านหลัง การที่ทั้งสองคนต่างเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายออกมาก็หมายความว่ารู้จักกันสินะ

     “ทั้งสองคนรู้จักกันด้วยเหรอคะ?”

     ระหว่างถามผมก็มองไปหน้าของทั้งสองคนสลับกันไปมา

     “อื้ม... เดเน่เป็นอาจารย์ของฉันน่ะ”

     ลิซ่าตอบมาอย่างสบายๆพลางเดินไปนั่งที่เก้าอี้

     “ทำไมท่านลิซ่าถึงมาอยู่ที่นี้ด้วยล่ะ?”

     “ก็มีอะไรหลายๆเรื่องล่ะนะคะ”

     ผมช่วยตอบคำถามนั้นแทนลิซ่า ส่วนคนที่ถูกถามนั้นก็ทำตัวสบายๆไม่ทุขไม่ร้อนอะไร เธอหยิบเยือกมารินน้ำลงแก้วแล้วยกขึ้นดื่ม

     “แล้ว...อาจารย์กับเจร่าเกี่ยวข้องกันยังไงเหรอ?”

     “อ๋อ...ฉันอาศัยอยู่บ้านเดียวกับพี่เดเน่น่ะ”

     เธอดื่มน้ำอีกครั้งพลางเหล่มองมาที่เดเน่

     “เป็นพี่น้องกันเหรอ?”

     “เปล่าหรอก ฉันก็เพิ่งรู้จักพี่เดเน่ก็ตอนที่มาเมืองนี้น่ะ”

     “ห๊า...นี่เธอยอมอาศัยอยู่กับคนที่ไม่รู้จักง่ายๆเลยเหรอ?”

     “เสียมารยาทค่ะ...ฉันไม่ทำอะไรเด็กคนนี้หรอก”

     สิ่งที่เดเน่พูดทำเอาผมนึกถึงคืนแรกที่เธอพาผมเข้าไปนอนในห้อง

     “จะว่าไปนะคะ ท่านลิซ่าวันนี้ก็แอบหนีออกมาอีกแล้วสินะคะ...”

     จู่ๆลิซ่าก็หลบสายตาเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

     พอสองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วให้บรรยากาศอีกแปลกออกดีแฮะ...

     “...ก็วิชาที่เธอสอนมันน่าเบื่อนี่นา...”

     เธอพูดเสียงค่อยแล้วยกน้ำขึ้นดื่มอีกครั้ง

     “เอาเถอะค่ะ... ยังไงพวกเราขอตัวกลับก่อนก็แล้วกันนะคะ”

     แต่ยังไม่ทันจะได้หันหลังกลับไปเปิดประตู ก็มีคนเปิดเข้ามาเสียก่อน

     “อ่า...หิวจังเลยเจร่าทำอะไรให้กินหน่อยสิ...”

     โลเรนเดินเข้ามาอย่างสบายๆ เธออยู่ในชุดกางเกงขาสั้นแบบรัดรูปและเสื้อกล้ามสีดำเผยให้เห็นหน้าท้องที่ดูแล้วมีกล้ามเนื้ออยู่เล็กน้อย

     ดูกล้ามท้องนั้นแล้วความเป็นชายของเรารู้สึกอายขึ้นมาเลยแฮะ...

     “อ้าว…? ใครน่ะ?”

     “อย่ายืนบังประตูสิโลเรน…”

     มีเสียงของเอลเซ่เอ่ยขึ้นจากด้านหลังโลเรนจึงเดินเข้ามาในห้องจากนั้นคนที่เหลือต่างก็ทยอยเดินเข้ามาเช่นกัน แน่นอนว่าพวกเธอเพิ่งจะอาบน้ำกันมาทำให้ทั้งผมหรือผิวยังคงเปียกชื้น

     “ท่านลิซ่ายังไม่กลับเหรอคะ?”

     เอลเซ่เอ่ยถามลิซ่าแทนทุกคนที่เดินเข้ามา

     “อืม...ก็นะ ฉันไม่มีชุดสวมกลับน่ะ”

     มิน่าเธอถึงได้อยู่ในชุดเดรสแบบนี้ ผมมองไปยังทุกคนรอบๆแล้วก็พบกับผู้ที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ แม้จะมีแครอลยืนประคองอยู่ข้างๆแต่เธอก็ไม่ได้มีบาดแผลบนร่างกายเลยแม้แต่น้อย

     “คุณอัลม่าไม่เป็นไรแล้วเหรอคะ...”

     “ก็ยังปวดๆอยู่บ้างแต่อย่างน้อยก็เดินเหินไหวล่ะนะ...”

     เธอพูดพลางยิ้มน้อยๆ ดูแล้วยังคงสบายดีสินะ นั้นนับว่าดีแล้วถ้าหากว่าเธอกระดูกหักซักท่อนแล้วล่ะก็ผมคงรู้สึกผิดมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม

     “แล้ว...คุณ...คุณแม่ของเจร่าเหรอ?”

     โลเรนเดินเข้ามาพูดคุยในขณะที่เดเน่กลับทำท่าทีลุกลี้ลุกลนแปลกๆ

     “สะ...เสียมารยาท ฉันเพิ่งจะยี่สิบต้นๆเองนะ”

     “อ่ะเหรอ...งั้นก็ขอโทษด้วยนะ”

     เธอกล่าวขอโทษด้วยท่าทีสบายๆอาจเพราะเธอมองว่าอายุของเดเน่พอๆกัน

     แต่เราก็ไม่รู้อายุของใครในที่นี้เลยล่ะนะ…

     เมื่อสังเกตว่าเดเน่มองไปยังรอบๆอย่างสงสัย ผมจึงอาสาช่วยแนะนำทุกคนให้เธอรู้จัก

     “พี่เดเน่คะ...ทางนี้คุณเอลเซ่ คุณโลเรน คุณวินเชสต้า คุณอัลม่า แล้วก็คุณแครอลค่ะทุกคนเป็นอัศวินกองทหารที่34 ที่ฉันเคยร่วมเดินทางมาเมืองนี้น่ะคะ”

     ผมผายมือและแนะนำชื่อตามลำดับ อัศวินกองทหารที่34เห็นดังนั้นก็พยักหน้าให้และส่งยิ้มให้เดเน่

     “ส่วนทางนี้ก็พี่เดเน่ค่ะ ตอนนี้ฉันอาศัยอยู่กับเธอน่ะค่ะ”

     “เอ่อ..ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

     ทางเดเน่เองก็ผงกศีรษะให้เช่นกัน

     “ว่าแต่เจร่าทำอะไรให้กินหน่อยสิ ฉันคิดถึงรสชาติที่เธอทำมากเลยนะ”

     สิ่งที่โลเรนพูดทำให้ลิซ่าที่นั่งอยู่ลุกขึ้นเดินมายืนข้างๆผม

     “เจร่าจะทำอาหารเหรอ?”

     “อ่า...ก็ได้อยู่นะคะ แต่ว่าที่นี่มีครัวด้วยเหรอคะ?”

     “อื้ม...อยู่อีกห้องหนึ่งน่ะ”

     เอลเซ่ชี้ไปยังประตูอีกบานที่อยู่ตรงข้ามกับกระตูเข้าออกห้อง ถ้ามีครัวก็จะสามารถทำอาหารได้แต่วัตถุดิบที่ผมถืออยู่ในมือตอนนี้ช่างน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับจำนวนคนทั้งหมดในห้อง

     “เอ่อ...แต่วัตถุดิบที่ฉันมีมันน้อยมากเลยนะคะ”

     “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ในกล่องเก็บวัตถุดิบยังมีอีกเพียบ เธอใช้ได้เลย... ”

     “เหรอคะ...ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ฉันจะทำให้”

     “จริงเหรอ? จะได้ทานอาหารฝีมือเจร่าล่ะ…”

     ลิซ่าพูดพร้อมกับโผกอดผม

     เอ่อ...อาหารฝีมือของเรามันน่าสนใจขนาดนั้นเลยเหรอ?

     “พี่เดเน่จะกลับก่อนเลยก็ได้นะคะ ไว้ฉันทำอาหารเสร็จก่อนก็จะกลับตามไปค่ะ”

     “ไม่เป็นไร... ฉันเองก็จะช่วยทำด้วย”

     เธอพูดพร้อมกับหยิบถุงกระดาษในมือผมไปถือไว้ แล้วเดินนำไปยังห้องครัวก่อนผมเสียอีก

 

     ด้วยความที่ไม่รู้ว่าอาหารแบบไหนจะถูกปากลิซ่าบ้าง อีกทั้งหากใช้เวลามากเกินไปคงจะไม่ดีนัก ผมจึงเลือกทำของบ้านๆแต่อร่อยแน่นอนอีกทั้งยังรวดเร็วไปให้ทุกคนรองท้องก่อน

     หลังจากทำอาหารเสร็จแล้วผมก็นำมาจัดบนโต๊ะ ด้วยความที่ห้องนี้กว้างพอสมควรแต่ก็ไม่ถึงกับใหญ่โตอะไร จำนวนคนทั้งแปดคนจึงสามารถทานอาหารภายในห้องได้อย่างไม่เบียดเสียดอะไรมากนัก และออกจะมีที่เหลือเสียด้วยซ้ำ

     โดยผู้ที่นั่งหัวโต๊ะคือลิซ่าทางซ้ายมือเธอคือโลเรน อัลม่า แครอล วินเชสต้า ส่วนทางขวามือคือเอลเซ่ เรา และ เดเน่

     ผมยังคงเดินเข้าๆออกๆห้องครัวอยู่เนืองๆ เพราะเหมือนว่าอาหารบนโต๊ะจะไม่พอสำหรับคนจำนวนแปดคนและพวกเธอเพิ่งจะลงสนามรบมาอีกด้วย

     ระหว่างที่ทุกคนต่างทานอาหารร่วมโต๊ะกันและพูดคุยอย่างออกรส ในที่สุดผมก็สามารถกลับมานั่งติดโต๊ะได้เสียที

     “จะว่าไป ตอนรับมือกับออร์กสีดำตัวนั้นก็ลำบากเอาการอยู่นะ”

     โลเรนเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าของผู้ชนะพร้อมกับส่งเสียง ‘หึ’ ขึ้นจมูก

     “แต่ไม่คณามือฉันหรอก”

     “แต่ฉันเห็นใครก็ไม่รู้ปลิวไปกระแทกกับร้านแผงลอยแถวนั้นก็ไม่รู้สินะ”

     วินเชสต้าเอ่ยออกมาพร้อมกับตักอาหารในจากเข้าปาก

     “แต่ฉันก็ลุกขึ้นมาได้นะ แถมยังเดินไปสวนมันได้อีกด้วย”

     เรื่องที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ทำให้ภาพเมื่อตอนเย็นกลับมาในหัวผมอีกครั้ง

     “ช่วงเย็นฉันพลาดอะไรไปหรือเปล่า?”

     เดเน่ที่นั่งข้างๆเอี้ยวตัวมาถามผมอย่างสงสัย

     “ก็เรื่องการรับมือกับออร์คนั้นแหละค่ะ”

     ผมพูดด้วยความเริงร่าอาจเพราะเพิ่งจะเคยได้ทานอาหารกับคนจำนวนมาขนาดนี้ซึ่งแม้แต่โลกเดิมเท่าที่จำได้ยังไม่เคยที่จะได้ชวนใครไปทานอาหารด้วยเลย

     ช่างเป็นความสุขที่หาใดเปรียบจริง...

     “แต่ที่เราชนะก็เพราะเจร่าล่ะนะ”

     ลิซ่าพูดออกมาช่วยเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นผมแทน

     “นั้นสินะคะ...จะว่าไปเจร่าสั่งการได้ดีเยี่ยมไปเลย”

     “ถ้าไม่ได้เธอพวกเราคงจะแย่เลยล่ะ”

     ทุกคนต่างมองมาที่ผมอย่างพร้อมเพรียง ผมที่เริ่มจะเขินสายตาของทุกคนก็ทำทีเป็นหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม

     “แต่ตอนที่เธอร่วงลงมาจากฟ้าทำเอาฉันใจหายเลยนะ…”

     !!...

     น้ำที่กำลังจะไหลลงคอย้อนออกมาในทันที ผมรีบบิดไว้ไม่น้ำหกพรวดออกมา แต่ก็ทำได้ยากเพราะกำลังสำลักน้ำอยู่ เดเน่ที่นั่งข้างๆใช้มือลูบหลังผมอย่างแผ่วเบา

     สำหรับผมแล้วไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย กลับรู้สึกหวาดกลัวเสียมากกว่า

     “เจร่า...ที่แครอลพูดหมายความว่าไงเหรอ?”

     เสียงพูดของเดเน่เปลี่ยนสัมผัสของฝ่ามือเธอให้เย็นยะเยือก

     อย่างน้อยถ้าจะถามก็รอให้หายสำลักก่อนไม่ได้เหรอคะพี่เดเน่...

     “อ๋อ… ฉันใช้เวทลอยตัวส่งเจร่าขึ้นไปดูตำแหน่งของออร์คน่ะ”

     อาจเพราะมองว่าผมยังไม่สามารถตอบอะไรได้ในตอนนี้ แครอลจึงตอบคำถามของเดเน่แทนผม

     ไม่ต้องอธิบายก็ได้ค่ะ... คุณแครอล...

     เดเน่ได้ยินเช่นนั้นก็มองไปยังแครอลได้แววตาน่ากลัว ผมคงต้องรีบพูดอะไรซักอย่างแล้วสินะ

     “ฉะ...ฉัน...เป็นคนขอให้... คุณแครอลส่งขึ้นไปเองค่ะ”

     ผมดึงไหล่ของเดเน่เข้ามาใกล้แล้วพยายามพูดอธิบายออกไป

     “แต่ก็ได้คุณแครอลช่วยไว้นะคะ”

     “อื้ม...ฉันเองก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะฉะนั้นหายห่วง…”

     อัลม่าช่วยเสริมคำพูดของผมแม้ว่าจะยังคงหยิบอาหารเข้าปากไม่หยุดก็ตาม

     เมื่ออาการของผมดีขึ้นเดเน่ก็หยุดใช้มือลูบหลังผมแล้วมองไปรอบๆโต๊ะแทน ก่อนที่เธอจะปิดตาลงแล้วถอนหายใจออกมา

     “เฮ้อ...เอาเถอะเรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว เจร่าปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะนะ...”

     อ๊ะ...รอดล่ะ...

     “แต่คราวหลังก็บอกกันก่อน แล้วก็อย่าทำอะไรเกินตัวแบบนี้อีกนะ”

     “ค่ะ...ขอโทษที่ไม่พูดออกไปตอนแรกนะคะ”

     เดเน่ได้ยินดังนั้นก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ จังหวะนั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

     “เดี๋ยวฉันเปิดให้เอง...”

     เอลเซ่พูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปหมุนลูกปิดประตูแล้วเปิดออก

     “โอ้...อยู่กันเยอะจังเลยนะ...”

     ผู้ที่ปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูคือสตรีผู้ดูสง่า เธอผมยาวสีแดงที่ดูแปลกตาพร้อมทั้งใบหน้าราวกับผู้ดี ชุดที่เธอสวมอยู่นั้นคือชุดหนังสีดำคาดลายทองเรียกได้ว่าช่างดูหรูหราพอสมควร อีกทั้งยังสวมผ้าคลุมที่ดูแล้วทำมาจากหนังสัตว์ไว้เสียด้วย

     ทั้งอัศวินกอนที่34และเดเน่ต่างจ้องมองไปยังผู้มาเยือนแล้วนิ่งเงียบไป ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปคุกเข่าให้อย่างรวดเร็ว

     “ขอแสดงความเคารพค่ะ ฝ่าบาท...”

     สิ่งที่ทุกคนปฏิบัติทำให้ความรู้เหมือนตอนได้รู้ว่าลิซ่าคือเจ้าหญิงกลับมาอีกครั้ง

     หมายความว่านั้น...แม่ของลิซ่าเหรอ? ไม่สิดูจากการแต่ตัวแล้วน่าจะเป็นฝ่ายพ่อมากกว่า...

     “แหม่…ไม่ต้องมากพิธีรีตองหรอกนะ”

     อีกฝ่ายพูดออกมาอย่างสบายๆ แต่ทุกคนยังคงนิ่งเงียบอยู่ในท่าคุกเข่าอยู่เช่นเดิม ซึ่งผมเองก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้เพราะความกดดัน

     “ลุกขึ้นเถอะ...”

     แม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดบอกให้ลุกขึ้น ทุกคนต่างก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน

     “เฮ้อ...งั้นข้าขอสั่งให้ลุกก็แล้วกัน”

     เมื่อได้รับคำสั่งทุกคนก็ลุกขึ้นยืนในทันที ลิซ่าลุกขึ้นเดินเข้าไปโผกอดผู้ที่ทุกคนต่างให้ความเคารพนับถือ

     “ท่านพ่อ มาทำอะไรที่นี่คะ”

     “ก็เป็นห่วงลูกน่ะสิถึงได้ตามมา... ได้ข่าวว่าออกไปสู้กับออร์คไม่ใช่เหรอ... เป็นอะไรมากหรือเปล่า?”

     “ไม่บาดเจ็บตรงไหนค่ะ...”

     “อื้ม... ดีแล้วล่ะ”

     ผู้เป็นพ่อลูบใบหน้าของลูกสาวอย่างรักใคร่เอ็นดูก่อนจะออกเดินส่งเสียงของโลหะจากเครื่องประดับเสียดสีกันเข้ามาภายในห้อง เอลเซ่รีบเดินไปปิดประตูแล้วกลับมายืนที่ตำแหน่งเดิม

     คุณพ่อของลิซ่าเดินตรงไปหยิบเก้าอี้สำรองมาแล้วนำมานั่งที่หัวโต๊ะฝั่งตรงข้ามกับลิซ่า ตอนนี้ผู้ที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่มีเพียงผม ลิซ่า และคุณพ่อของเธอ

     ผมมองไปยังทุกคนด้วยสีหน้าหวาดหวั่นโดยไม่กล้าจะสบสายตาหรือแม้แต่หันไปมองผู้มาเยือน ทุกคนต่างส่งสัญญาณให้ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกมาไม่ว่าจะเป็นการขยับปากหรือขยับนิ้ว

     แน่นอนว่าผมเองก็อยากจะรีบลุกไปเสียเดี๋ยวนี้แต่ติดที่ว่าขาของผมนั้นสั่นจนไม่สามารถขยับได้ สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้าให้ทุกคนด้วยใบหน้าราวกับจะร้องให้

     กะ..กดดันสุดๆ...ไม่ไหวแล้ว...อยากจะหายไปเสียตรงนี้...

     ภายในห้องเงียบกริบไม่มีใครเอ่ยอะไร ผมนั่งกุมมือบนตักอย่างเกร็งไปทั้งตัวจึงพยายามชำเลืองมองลิเซ่เพื่อขอความช่วยเหลือเธอก็ส่งเพียงร้อยยิ้มกลับมาให้

     “ทานอาหารกันอยู่ไม่ใช่เหรอ? ไม่มานั่งล่ะ...”

     เสียงของราชาทำลายความเงียบภายในห้องเพียงชั่วคราว ก่อนที่ประโยคนั้นจะถูกความเงียบกลืนหายไป

     “นี่...อย่าให้ฉันต้องออกคำสั่งบ่อยจะได้ไหม...มานั่งเถอะ...”

     เธอพูดพลางยกแขนขึ้นมาเท้าคาง ทุกคนที่ยืนอยู่ต่างค่อยๆเดินกลับมานั่งที่เดิมอย่างเก้ๆกังๆ แต่ก็เพียงแค่นั่งเท่านั้นไม่มีใครกล้าที่จะขยับตัวทำอะไรมากนัก ส่วนเดเน่และวินเชสต้าเป็นผู้โชคดีที่ได้นั่งใกล้องค์ราชามากที่สุด

     พวกเธอต่างก้มหน้าต่ำลง ซึ่งผมก็เข้าใจดีเลยว่ารู้สึกกดดันมากแค่ไหน

     “แล้วไม่ทานอาหารกันเหรอ? จะว่าไปทานอะไรกันอยู่ล่ะเนี่ย...”

     องค์ราชายังคงเอ่ยชวนคุยเพียงคนเดียว เธอดึงจานอาหารของวินเชสต้าผู้อยู่ใกล้ที่สุดมาตรงหน้า แล้วหยิบช้อนตักอาหารเข้าปากในทันทีทำให้เจ้าของจานทำสีหน้าไม่ถูกกันเลยทีเดียว

     “อืม...อร่อยนะเนี่ย ไม่สิอร่อยกว่าเชฟที่ปราสาททำเสียอีก”

     ในตอนนี้สมองของผมไม่มีการตอบรับอะไรกับคำชมนั้นเลยแม้แต่น้อย

     “คงไม่ว่านะที่ฉันทานไปหนึ่งคำ”

     องค์ราชาดันจานกลับคืนให้เจ้าของเดิมของมัน วินเชสต้าก็ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆให้ก่อนจะกลับมาก้มหน้าเช่นเดิม

     “อื้ม...แล้วไม่ทานกันต่อเหรอ... เอาเลยสิ…”

     ได้ยินดังนั้นทุกคนต่างก็หยิบช้อนขึ้นมาแล้วตักอาหารเข้าปาก ผมแอบชำเลืองมองวินเชสต้า เธอตักอาหารขึ้นแล้วมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาแล้วส่งมันเข้าปากเหมือนกลั้นใจทาน

     “ว่าแต่...ใครทำอาหารเหรอ?”

     คำถามนั้นเหมือนกับคำสั่งบอกให้หยุด เกิดความเงียบขึ้นบนโต๊ะอีกครั้งไม่มีแม้แต่เสียงของช้อนกระทบจาน

     ทุกคนรอบโต๊ะต่างส่งสายตามาให้ แต่ผมเริ่มขาดการวิเคราะห์จนแยกไม่ออกว่านั้นคือสายตาบอกให้พูดหรือเงียบกันแน่ ผมค่อยยกมือขึ้นทั้งๆยังคงก้มหน้าอยู่

     “…อะ...เอ่อ...ฉะ... เอ๊ย!...ดิฉันเองค่ะ...ฝะ...ฝ่าบาท...”

     “หืม...”

     มะ...หมายความว่าไงน่ะ...‘หืม’ ที่ว่า…

     “มันเรียกว่าอะไรเหรอ?”

     “ขะ...ข้าวห่อไข่...ค่ะ...”

     อีกฝ่ายเงียบไปหลายวิแต่สำหรับผมมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน

     “นี่...”

     “ค๊ะ!? คะ?”

     ตกใจจนเผลอกัดลิ้นตอนตอบซะอย่างนั้น

     “ช่วยทำให้ฉันหน่อยจะได้ไหม?”

     เธอพูดพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ แน่นอนว่าผมไม่สามารถปฏิเสธได้อยู่แล้ว

     “ดะ...ได้ค่ะ...จะรีบไปทำให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ!”

     ผมลุกพรวดอย่างรวดเร็วจนเข่ากระแทกเข้ากับโต๊ะส่งเสียงจานกระแทกกับโต๊ะดังทำลายความเงียบชั่วขณะ ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแต่ความเขินอายและความหวาดกลัวนั้นสัมผัสได้ชัดเจนเลย

     “ระวังหน่อยสิ...แล้วเป็นอะไรไหมนั้น?”

     “มะ...ไม่เป็นไรค่ะ...ขอโทษนะคะ...”

     แล้วผมก็รีบพรวดเข้าห้องครัวไปทั้งอย่างนั้น ผมรีบทำอาหารให้รวดเร็วในขณะเดียวกันก็ต้องประณีตมากที่สุดและสิ่งสำคัญคือต้องอร่อยด้วย

     ผ่านไปห้านาทีผมก็กลับเข้าห้องมาพร้อมกับข้าวห่อไข่ในจาน ผมนำไปเสิร์ฟให้อย่างระมัดระวังแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิมอย่างรวดเร็ว

     “กลิ่นหอมดีนะ...”

     แล้วองค์ราชาก็เริ่มทานอาหารฝีมือผมอีกครั้ง

     “ทานแบบร้อนๆก็อร่อยดีนะ...แล้วซุปที่อยู่ในถ้วยนั้นล่ะ”

     “ซะ...ซุปเต้าหู้ค่ะ...”

     ผมรีบสะกิดเดเน่ให้เธอตักซุปให้ราชาโดยเร็ว ซึ่งเธอก็รีบทำตามที่ผมคาดหวังอย่างรวดเร็ว

     “ก้อนขาวๆนี่คือ...เต้าหู้”

     “...ค่ะ...”

     “โอ้...นิ่มดีนะ...ดูแล้วน่าจะทานง่ายสินะ”

     เมื่อองค์ราชาได้ทานก็ยิ้มออกมาอย่างเบิกบาน

     “อื้ม...อร่อย...ฉันชอบ...”

     จังหวะนี้ควรจะดีใจสินะ... แต่เรายิ้มไม่ออกยังไงไม่รู้สิ...

     “ฉันไม่เคยเห็นเจ้าเต้าหู้นี่มาก่อนเลยเธอทำเองเหรอ?”

     “...ดิฉันทำเอง...ค่ะ...”

     “อื้มๆ....เอาล่ะมาทานกันต่อดีกว่านะ...หวังว่าพวกเธอคงจะยังไม่อิ่มกันไปก่อนสินะ?”

     องค์ราชายิ้มออกมาอีกครั้งแล้วทุกคนต่างก็หยิบช้อนและเริ่มทานอาหารกันต่อ สุดท้ายมื้ออาหารที่แสนจะอึดอัดก็ค่อยๆดำเนินต่อไปอย่างเรียบง่าย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา