สาวโอตาคุกู้วิกฤตพิชิตโลก

7.7

เขียนโดย Yaksa

วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 01.14 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  16.59K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) เที่ยวชมเมืองกับหญิงสาวปริศนา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     “เจร่าทานข้าวเสร็จแล้วจะทำอะไรต่อเหรอ? ไปข้างนอกรึเปล่า?”

     เดเน่ถามพร้อมกับตักอาหารในจานเข้าปาก ส่วนผมก็ลดช้อนลงเพื่อตอบคำถาม

     “คิดว่าจะไปรวบรวมข้อมูลจากหอสมุดเหมือนเดิมล่ะมั้งคะ”

     “มุ่งมั่นที่จะหาความรู้จังเลยนะ”

     “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ...”

     พอพวกเราทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการรวบรวมจานไปล้างที่อ่างไม้เหมือนเมื่อวาน แต่ก็พบว่าน้ำในอ่างเหลือน้อย

     “พี่เดเน่คะ น้ำหมดแล้วล่ะค่ะ...”

     “อ๊ะ…ลืมไปเลยวางไว้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปตักน้ำมาให้นะ”

     ว่าแล้วเธอก็เปิดประตูห้องครัวไปทางหลังบ้านก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับถังไม้ที่มีน้ำอยู่เต็มถัง

     “เมืองนี้ไม่มีการใช้น้ำประปาเหรอคะ”

     “ค่าติดตั้งมันแพงน่ะสิ ส่วนใหญ่บ้านที่มีก็เป็นพวกขุนนาง เศรษฐี หรือไม่ก็แม่ค้าที่ทำร้านอาหาร”

     เธออธิบายพร้อมกับยกน้ำมาตักใส่อ่างไม้ให้ ส่วนผมก็หยิบจานมาล้างเช่นกัน

     “แล้วก็อีกเรื่องนะ...พอดีวันนี้พี่ต้องไปสอนหนังสือน่ะ”

     “งั้นเหรอคะ...แล้วหอสมุดมีคนดูแลแทนให้เหรอคะ?”

     “อื้ม...อ๊ะ...เดี๋ยวเอากุญแจสำรองบ้านไว้ด้วยนะ”

     “เอ๊ะ! ทำไมเหรอคะ?”

     ผมล้างจานเสร็จพอดีจึงหันไปถามพร้อมกับเช็ดมือ

     “ก็เผื่อว่าเจาร่าจะกลับมาก่อนไงล่ะ”

     “เอ่อ...หมายถึงว่าจะให้ฉันพักอยู่ที่นี่ต่อเหรอคะ”

     “ใช่สิ จะให้เด็กสาวอายุน้อยๆไม่มีที่พึ่งไปลำบากได้ยังไงกัน”

     เดเน่พูดพลางใช้มือลูบหัวผมเบาๆอย่างอ่อนโยน

     เราดูน่าสงสารขนาดนั้นเลยเหรอคะเนี่ย...

     “ใจกว้างจังเลยนะคะ...”

     “เจร่าอยู่ด้วยแล้วรู้สึกเหมือนมีน้องสาวเลยน่ะ”

     แล้วเธอก็เดินไปหยิบกระเป๋าหนังพาดไหล่ขึ้นมาสะพายขึ้นบ่า จากนั้นจึงหยิบหนังสือตำราเล่มหนาๆสองเล่มขึ้นมาถือไว้ ผมเองก็เดินไปหยิบผ้าคลุมไหล่ของเอลเซ่มาสวมเช่นกันส่วนผ้าคลุมไหล่ผืนแรกที่มีผมก็พับมันเก็บไว้ในกระเป๋า

     หลังจากสำรวจสิ่งของในกระเป๋าแล้วผมก็นำมันขึ้นมาคาดเอวแล้วเดินตามเดเน่ออกไปยังประตูบ้าน เธอปิดแล้วทำการล็อกประตูจากนั้นก็ส่งกุญแจเหล็กมาให้ ผมจึงแบมือรับมาแต่จังหวะที่กำลังจะเก็บลงกระเป๋าไปเดเน่ก็ทักให้หยุดก่อน

     “อ๊ะ! รอเดี๋ยวนะ...”

     ก็หยิบเหรียญแวววาวสีเงินมาวางไว้บนมือด้วย มันกระทบกับกุญแจจนเกิดเสียงทื่อๆ บนเหรียญสลักตัวอักษร C เอาไว้ ผมเคยเห็นโลหะชนิดนี้มาหลายต่อหลายครั้งจึงรู้ได้ทันทีว่ามันทำมาจากสแตนเลส

     “เอ่อ...นี่น่ะ...คือ”

     “กว่าพี่จะกลับก็เย็นๆแล้วน่ะ มื้อเที่ยงทานตามร้านอาหารก็แล้วกันนะ”

     “แต่มันออกจะมากไปหน่อยรึเปล่าคะ...”

     “ไม่ต้องเกรงใจหรอกจ้า”

     อีกฝ่ายพูดพร้อมกับกุมมือผมให้รับมันไว้

     “งั้นก็ขอขอบคุณนะคะ…”

     เธอยิ้มรับคำขอบคุณของผม จากนั้นจึงหยิบแว่นมาสวมที่สันจมูก

     “งั้นพี่สาวไปก่อนนะ แล้วเจอกันตอนเย็นนะจ๊ะ”

     “ค่ะ!”

     ผมมองส่งเธอซักพักก่อนจะหันหลังเดินไปยังจุดหมายของตนเอง

 

     “...ชักหิวแล้วสิ...”

     ผมละสายตาจากตัวอักษรพร้อมกับวางปากกาในมือ และบิดขี้เกียจเล็กน้อย

     หลังจากใช้เวลากว่าห้าชั่วโมงอ่านหนังสือในหอสมุดผมก็อ่านหนังสือทั้งหมดในห้องแรกจนครบแล้ว

     ก่อนจะกลายมาเป็นโอตาคุผมเคยเป็นเด็กเรียนมาก่อนเพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยในการจะอ่านหนังสือทั้งหมดด้วยความเร็วระดับนี้ และผมคิดว่าพอจะมีเป้าหมายในช่วงนี้แล้วคืออ่านหนังสือทั้งหมดในหอสมุดรวมถึงหอสมุดแห่งอื่นด้วย

     ผลจากความพยายามจากการอ่านหนังสือตลอดครึ่งวันคือผมพบแผนที่แสดงแผนผังของเมืองอยู่ในตำราเล่มเก่าๆ ครั้นจะหยิบไปเลยก็ดูจะไม่ดีผมจึงใช้ปากกาและกระดาษที่มีอยู่ทำการลอกมันลงไป

     หลังจากเก็บหนังสือเข้าที่เดิมของมันผมก็เก็บสัมภาระของตนเข้ากระเป๋าแล้วเดินออกมาจากหอสมุดพร้อมแผนที่ในมือ เนื่องจากไม่รู้ที่ทางของเมืองผมจึงเดินไปเรื่อยพลางเช็คความถูกต้องของแผนที่ในมือไปด้วย

     ระหว่างเดินไปตามทางนั้นผมก็มองหาร้านอาหารไปด้วย  แต่เพราะสายตาอยู่ที่อื่นซ้ำยังยกแผนที่ขึ้นมาบังทางตรงหน้าอีกด้วย ผมจึงชนเข้ากับคนที่อยู่ตรงหน้า

     “ว๊าย~!”

     “หวา~”

     พวกเราล้มลงไปวัดพื้นแต่ผมกลับไปรู้สึกเจ็บมากเท่าไหร่

     อย่าบอกนะว่า...

     ผมค่อยเปิดตาขึ้นมามองภาพตรงหน้า แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ผมล้มทับอีกฝ่ายอยู่จึงรีบลุกขึ้นมานั่งและสะกิดเรียกอีกฝ่าย

     “ขะ...ขอโทษค่ะ บาดเจ็บตรงไหนไหมคะ”

     เธอค่อยๆลุกขึ้นมานั่งกับพื้นแล้วจ้องมองใบหน้าของผม ก่อนจะเอื้อมมือมายังใบหน้าของผม ด้วยความตกใจผมรีบหลับตาลงแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงค่อยๆเปิดตาอย่างกล้าๆกลัวๆ

     “ดินเปื้อนผมหมดแล้วนะ”

     เธอค่อยๆใช้มือปัดผมและเสื้อผ้าให้ เห็นดังนั้นเองก็รีบกล่าวขอโทษออกไป

     “ขอโทษที่ชนจนล้มทับนะคะ”

     “ไม่เป็นไรๆ ฉันเองก็รีบวิ่งจนไม่ได้ดูทางด้วยล่ะนะ”

     หญิงสามผมชมพูอมม่วงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มๆ พวกเราลุกขึ้นมาจากพื้นและสำรวจร่างกายกันซักเล็กน้อย เมื่อยืนในระดับเดียวกันแล้วก็พบว่าพวกเราสูงไม่ต่างกันมากนัก ผมจ้องมองไปยังใบหน้าของเธอที่งดงามราวกับหลุดมาจากเทพนิยาย

     “เธอ...ไม่ใช่คนในเมืองนี้สินะ”

     อีกฝ่ายเอ่ยถามพลางก้มหยิบแผนที่ของผมบนพื้นขึ้นมาดูก่อนจะส่งคืนให้

     “ค่ะ เพิ่งมาถึงเมื่อวานเองค่ะ”

     ผมรับคืนมาและพับมันให้เล็กลง

     “เอ่อ...ถ้าไม่มีอะไรก็ขอตัวก่อนนะคะ ยังไงก็ขอโทษจริงๆค่ะ”

     พอพูดจบผมก็รีบชักฝีเท้าเดินผ่านอีกฝ่ายออกมาทันที หลังจากเดินไปได้ไม่ถึงห้าวิก็ได้ยินเสียงวิ่งมาจากด้านหลัง จากนั้นเจ้าของฝีเท้านั้นก็เข้ามาควงแขนผม

     “เดี๋ยวสิ! วันนี้ว่างไหมล่ะ....ไปเดินเที่ยวด้วยกันดีไหม”

     เธอคนเมื่อครู่ดึงฮู๊ดที่ติดกับผ้าคลุมยาวขึ้นมาสวมก่อนจะชำเลืองสายตาไปทางด้านหลังเล็กน้อย ผมเองก็พยายามมองตามสายตาของเธอแต่ก็โดนดึงแขนให้เดินไปเสียก่อน

     “ชวนคนไม่รู้จักไปเที่ยวเนี่ย จะไม่เป็นไรเหรอคะ?”

     “ไม่เป็นไรหรอกน่า ~”

     “แล้วจะไปไหนเหรอคะ?”

     หวังว่าคงไม่มีปัญหาอะไรตามมานะ...

     “อืม...ไม่รู้สิ”

     “อ้าว! เป็นฝ่ายชวนแต่ไม่รู้เนี่ยนะคะ”

     รู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมายังไงก็ไม่รู้สินะ…

     “งั้นก่อนอื่น...หาอะไรอร่อยๆกินกันก่อนจะดีไหมคะ”

     ข้อเสนอของผมทำให้อีกฝ่ายพอจะคิดจุดหมายได้บ้างแล้ว เธอจึงควงแขนผมไปทั้งอย่างนั้น ส่วนผมก็กางกระดาษอีกครั้งเพื่อจะได้สำรวจความถูกต้องของแผนที่

     แล้วพวกเราก็มาถึงร้านอาหาร ถึงจะเรียกว่าอาหารแต่ทั้งร้านก็เหมือนเป็นเบเกอรี่เสียมากกว่า ผมพับกระดาษในมือและเก็บมันลงกระเป๋าไปก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายผู้ซึ่งควงแขนผมมาตลอดทางเข้าไปในร้าน

     พนักงานส่งเอ่ยตอนรับทันทีที่เสียงกระดิ่งติดประตูดังขึ้น เมื่อเดินเข้ามาเราก็เดินเข้าไปเลือกขนมปังรูปร่างต่างๆที่วางเรียงรายอยู่ในตู้กระจก

     “วาฟเฟิลนะคะแล้วก็ขอนมอีกหนึ่งแก้วด้วยค่ะ เธอจะเอาอะไรไหม”

     อีกฝ่ายหันมาถามผมที่ยืนเลือกอยู่ข้างๆ

     “เอาเป็นแพนเค้ก...เครื่องดื่มขอเป็นกาแฟก็แล้วกันค่ะ”

     พนักงานใช้เหล็กคีบสิ่งที่เราสั่งไปจากในตู้กระจกมาจัดแจงลงจานและชงเครื่องดื่มรินลงแก้ว ก่อนจะยกถาดที่มีรายการอาหารของพวกเราทั้งสองมาวางให้ที่เคาน์เตอร์

     “ทั้งหมดก็ 30 เหรียญค่ะ”

     “เดี๋ยวฉันจ่ายให้ก็แล้วกันนะ”

     เธอพูดพร้อมกับหยิบเหรียญตัว L มาจ่าย ผมจึงกล่าวขอบคุณและหยิบถาดที่มีแพนเค้กของตัวเองเดินนำไปนั่งยังโต๊ะตัวในสุด ไม่นานนักอีกฝ่ายก็เดินตามมานั่งลงตรงข้ามผมและถอดฮู๊ดออกพลางสะบัดผมไปมา

     “ลิซ่า...”

     ผมทำสีหน้างุนงงขึ้นมาขณะกำลังงับซ้อมที่จิ้มแพนเค้กอยู่

     อ๊ะ... ไม่ค่อยหวานเลยแฮะ ไม่ได้ใช้พวกน้ำตาลมากนักสินะ...

     “ชื่อของฉันน่ะ... ลิซ่า อาร์ แดฟโฟดิล”

     “ชื่อยาวจังนะคะ...ฉันเจร่าค่ะ”

     “อื้ม... แล้วนามสกุลล่ะ?”

     “เอ่อ... ฉันไม่มีน่ะค่ะ”

     หลังจากผมรวบรวมข้อมูลมาตลอดทั้งวันก็พบว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับการที่ไม่มีนามสกุล เพราะผู้ที่มีนั้นจะมีก็เพียงตระกูลขุนนาง อัศวินระดับสูง หรือคนบางกลุ่มเท่านั้น ข้อมูลนี้ทำให้ผมไขข้อข้องใจในคำถามของเดเน่ที่ถามเมื่อวาน

     งั้นก็หมายความว่าลิซ่าเป็นขุนนางสินะ...

      “แต่ผ้าคลุมไหล่นั้น...ฉันคิดว่าเธอเป็นน้องสาวของอัศวินเสียอีก”

     “ไม่หรอกค่ะ ได้รับมาจากคนรู้จักน่ะ”

     เธอส่งเสีย ‘หืม’ ในลำคอพลางตัดวาฟเฟิลเป็นชิ้นพอดีคำแล้วก็ส่งมันเข้าปาก

     “ว่าแต่พูดสุภาพจังนะ พวกเราอายุเท่ากันไม่ต้องสุภาพนักก็ได้”

      “งั้นเหรอ?”

     ลิซ่ายกนมในแก้วขึ้นมาดื่ม ผมเองจึงยกกาแฟขึ้นมาดื่มบ้างเช่นกัน แต่ทันทีที่ผมยกมันขึ้นมาจิบลิซ่าก็ทำสีหน้าแปลกๆ

     “เป็นอะไรเหรอ?”

     “เธอดื่มมันได้ไงอ่ะ”

     “หมายถึงกาแฟนี้สินะ...ก็ไม่แปลกเท่าไหร่นี่”

     ว่าแล้วผมก็จิบให้อีกฝ่ายดูหนึ่งอึก

     “แต่มันขมมากเลยนะ”

     “เหรอ...? เอสเพรสโซหรือกาแฟสงสัยดำคงจะดื่มไม่ไหวสินะ”

     “อื้ม...แล้วเอซาเพนโซคืออะไรอ่ะ”

     “แล้วลาเต้หรือมอคค่าล่ะ ดื่มได้ไหม?”

     “อะ...เอ่อ... คืออะไรเหรอ?”

     “กาแฟผสมนมน่ะ ถึงจะขมอยู่บ้างแต่ก็ยังหวานอยู่นะ”

     “เห...แต่ถ้านำมาผสมกันแบบนั้นออกจะ...”

     “ถ้าอย่างนั้น...”

     ผมลุกขึ้นเดินไปหาพนักงานที่เคาน์เตอร์จากนั้นจึงถามถึงกาแฟลาเต้ แต่อีกฝ่ายก็ทำสีหน้างุนงงผมจึงเปลี่ยนมาสั่งนมร้อนและกาแฟอย่างล่ะแก้วแทน

     “10 เหรียญสินะคะ”

     หลังจากจ่ายเงินไปแล้วผมก็ยกแก้วทั้งสองกลับไปหาลิซ่าที่โต๊ะ เมื่อวางแก้วทั้งสองลงบนโต๊ะเธอเองก็ทำสีหน้าสงสัยออกมาอีกครั้ง ผมเทกาแฟลงแก้วของตัวเองส่วนหนึ่งก่อนจะนำนมร้อนเทลงไปในกาแฟถ้วยใหม่

     เพราะเคยทำงานร้านกาแฟทักษะนี้จำเป็นผลพลอยได้จากงานไปโดยปริยาย ไม่นานก็เกิดภาพหัวใจปรากฏขึ้นบนถ้วยกาแฟ สำหรับผมลาเต้อาร์ตก็ทำได้แค่ไม่กี่รูป

     “ว้าว! ดูน่าดื่มมากเลยนะ”

     แล้วผมก็วางกาแฟแก้วนั้นให้ลิซ่าก่อนจะนั่งลงที่เดิมของตน อีกฝ่ายจดๆจ้องอยู่นานสองนานไม่รู้ว่าเพราะเสียดายหรือเพราะยังฝังใจในรสชาติของมัน

     “ไม่ลองดื่มดูเหรอ?”

     ผมถามออกไปพลางจิ้มแพนเค้กเข้าปาก เธอค่อยใช้สองมือประคองมันขึ้นมา

     “อือ~ อ่า~”

     พอส่งเสียงแปลกๆออกมาเธอก็ปิดตายกมันขึ้นจิบ ผ่านไปไม่กี่วิลิซ่าก็ยกมันขึ้นดื่มทั้งอย่างนั้นก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะ

     “อร่อยจัง...ได้กลิ่นกาแฟก็จริงแต่หวาน...”

     “ทำง่ายๆ เด็กก็ดื่มได้...อันที่จริงมอคค่าจะหวานเหมาะกับเธอมากกว่านะ”

     “พอได้ยินอย่างนี้ก็อย่างจะลองขึ้นมาเลยล่ะ อ่า...นี้สินะรสชาติแบบผู้ใหญ่”

     ลิซ่าพูดเหมือนวัยรุ่นที่สามารถดื่มเหล้าได้แล้วออกมา จากนั้นก็ลาเต้ขึ้นจิบอีกครั้งด้วยสีหน้าสดใส

     “ว่าแต่เผลอไปดื่มกาแฟมาตอนไหนล่ะ ถึงได้ฝังใจขนาดนั้น”

     “ก็...เห็นทะ... คุณพ่อดื่มน่ะก็เลยลองบ้างผลก็อย่างที่เห็นเลยน่ะ”

     “อื้อ? คุณพ่อ…”

     “อืมคุณพ่อชอบดื่มน่ะ”

     ในโลกที่ไม่มีผู้ชายแบบนี้ก็ยังไงเรียกผู้ให้กำเนิดว่าพ่อแม่อยู่สินะ สงสัยต้องศึกษาเพิ่มเติมเสียแล้วสิ

     หลังจากคุยเล่นกันอยู่นานพวกเราก็เดินออกจากร้านมา ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงอ่อนลงคาดว่าเวลาคนประมาณเกือบบ่ายสองแต่เพื่อความแน่ใจผมจึงหยิบนาฬิกาออกมาเช็คเวลาให้แน่นอน

     บ่ายสอง...กลับไปที่หอสมุดเลยดีไหมนะ...

     “ลิซ่าจะไปไหนต่อรึเปล่า?”

     “ก็ไม่มีจุดหมายอะไรพิเศษนะ...เจร่าล่ะ?”

     เธอถามกลับพร้อมกับสวมฮู๊ดอีกครั้ง ส่วนผมก็คิดพลางเก็บนาฬิกาลงกระเป๋า

     “คิดว่าจะกลับไปอ่านหนังสือที่หอสมุดน่ะ”

     “...อ่านหนังสือสินะ...ไปเดินเที่ยวเล่นกันดีกว่านะฉันว่า”

     นี่เธอเป็นพวกขี้เกียจเรียนหนังสือสินะ เอาเถอะพักสมองซักวันก็ดีไม่น้อยเลย...

     “เอาสิ...ฉันเองก็ไม่ใช่คนในเมืองนี้ เดินเที่ยวเล่นเพื่อได้จำทางได้บ้าง”

     อีกจุดเป้าหมายของผมคือจะได้ตรวจเช็คและเขียนตำแหน่งต่างๆของเมืองในแผนที่ด้วย

     “งั้นก็ไปกันเลยเนอะ”

     ลิซ่าเข้ามาควงแขนผมอีกครั้งและออกเดินไปอย่างเริงร่า

 

     พวกเราเดินเที่ยวไปตามที่ต่างๆอย่างย่านการค้าที่จะมีร้านตั้งอยู่มากมายทั้งแบบนั่งร้านและอาคาร โบสถ์ ตอนแรกตั้งใจจะเข้าไปเพราะสงสัยแต่ก็โดนลิซ่าลากไปเสียก่อน ค่ายทหาร พวกเราไปยืนมองเหล่ารักรบสาวฝึกซ้อมกันก่อนจะเดินออกมา เพราะลิซ่าทำทีจะเข้าไปร่วม

     แต่ไม่ยักกะเห็นพวกเอลเซ่แฮะ...

     พอเริ่มเหนื่อยพวกเราก็ไปพักที่ลานน้ำพุกลางเมือง และจะเห็นทั้งครอบครัวหรือคู่รักมานั่งอยู่รอบๆเยอะพอสมควร แน่นอนว่าที่กล่าวมาเป็นผู้หญิงทั้งหมด

     ซึ่งผมก็อิ่มเอมกับภาพดังกล่าวอย่างเต็มที่โดยเฉพาะในตอนที่มีคู่รักคู่หนึ่งกอดกันก่อนจะเปลี่ยนไปทำในสิ่งที่คู่รักมักทำกัน ภาพนั้นทำเอาลิซ่าอายม้วนกันเลยทีเดียว

     อ่า~... ช่างเป็นโลกที่สงบสุขจริงๆ...

     ด้วยความที่มีร่มเงาของต้นไม้เยอะมากเป็นพิเศษพวกเราจึงเผลองีบหลับกันไป กว่าจะตื่นขึ้นมาดวงอาทิตย์ก็ทอแสงสีทองออกมาเสียแล้ว

     “ลิซ่า... ลิซ่าตื่นสิ”

     ผมพยายามปลุกลิซ่าอยู่นานกว่าอีกฝ่ายจะตื่นก็กินเวลาไปร่วมนาที

     “อ่า...กี่โมงแล้วเหรอ?”

     “เอ่อ...”

     นาฬิกาพกถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วเปิดออกเพื่อผมจะได้ทราบเวลา

     “สี่โมงครึ่ง...”

     “อ๊า! แย่แล้วสิ”

     ลิซ่าลุกพรวดขึ้นมาจากม้านั่งก่อนจะหันมาหาผม

     “ขอโทษนะเจร่า ฉันขอกลับก่อนนะ...”

     “อะ...อืม...”

     “แล้วเจอกันนะ”

     เธอโบกมือให้ก่อนจะวิ่งหายลับไปทั้งๆอย่างนั้น ส่วนผมก็ค่อยๆลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจเล็กน้อยแล้วจึงมองไปยังทิศทางที่ลิซ่าวิ่งไป ที่ปลายสายตาของผมนั้นก็เห็นหน้าผาสูงสะท้อนกับแสงอาทิตย์เรืองรองและเมื่อลากสายตาตามมาด้านล่างก็จะพบปราสาทหลังโตที่แม้ว่าดูไกลๆยังใหญ่แล้วถ้าได้เข้าไปใกล้ๆจะใหญ่ขนาดไหนกันนะ

     แม้ว่าจะสังเกตเห็นทั้งหน้าผาและปราสาทมานานแล้วแต่ผมก็เพิ่งมาได้พินิจอย่างถี่ถ้วนก็เวลานี้เอง

     “ซักวันฉันจะได้เข้าไปบ้างไหมนะ...ว่าไปนั้น”

     ผมออกเดินย้อนกลับไปยังย่านการค้าอีกครั้งเพื่อซื้อวัตถุดิบทำอาหารเย็น

     เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหล่าแม่บ้านจะจับจ่ายใช้สอยกันมากที่สุดผู้คนจึงเยอะมากแต่ก็ไม่ถึงพับเดินไม่ได้ ระหว่างเลือกซื้อวัตถุดิบอยู่นั้นผมก็เดินผ่านร้านขายเครื่องปรุงพอดีจึงลองเข้าไปถามราคาของเครื่องปรุงต่างๆ

     คำตอบที่ได้คือ น้ำตาลจะแพงที่สุดรองลงมาเป็นเกลือและเครื่องปรุงอื่นๆ

     ผมลองจึงซื้อน้ำตาลมาในราคา10เหรียญและชิมดูก็พบว่ามันน่าจะทำมาจากน้ำผึ้ง แถมขวดของมันก็เล็กมากขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือถือได้เท่านั้นเอง

     นี่คงเป็นสาเหตุให้แพนเค้กที่ผมทานเมื่อกลางวันไม่หวานเสียเท่าไหร่และอีกทั้งเครื่องปรุงในบ้านของเดเน่และที่เคยทำให้กองทหารที่ 34 นั้นน้อยมาก

     เมื่อได้เลือกซื้อวัตถุดิบครบแล้วผมก็กลับบ้านทันที ถ้าจะพูดให้ถูกก็บ้านของเดเน่นั้นแหละนะ แต่เมื่อลองหมุนลูกปิดประตูดูมันก็ยังคงล็อคอยู่หมายความว่าเดเน่ยังไม่กลับมา ผมไขกุญแจเปิดเข้าบ้านและตรงไปยังห้องครัวเพื่อลงมือทำอาหาร

     เพราะวัตถุดิบเมื่อวานยังแหละอยู่บ้างจะขาดก็พวกเนื้อเพราะไม่สามารถเก็บไว้ได้ อีกเรื่องคือผมได้ใช้เหรียญสแตนเลสที่เดน่าให้มาเกือบหมดแต่อาหารเมื่อนี้ก็คงจะน่าพอใจถ้าเทียบกับราคาล่ะนะ

     หลังจากทำอาหารครึ่งชั่วโมงผมก็ทิ้งหม้อไว้ก่อนจะเดินไปต้มน้ำในห้องอาบน้ำ วิธีการต้มน้ำต้องเดินออกมานอกบ้านแล้วใช้ฝืนโยนไปในช่องข้างห้องน้ำแล้วจึงจุดไฟ นับว่ายากพอควรเพราะไฟจะเบาเกินไปหรือแรงเกินไปไม่ได้

     จนเวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเดเน่ก็กลับมาถึงบ้านในสภาพอิดโรยพอสมควร ผมที่กำลังชิมรสชาติอยู่ก็เอ่ยทักทายทันที

     “ยินดีต้อนรับกลับค่ะ เหนื่อยไหมคะ?”

     “อืม...ประมาณนั้นแหละนะพอดีว่านักเรียนของพี่สร้างปัญหาอีกแล้วน่ะ”

     “ลำบากแย่เลยนะคะ”

     “เจร่าทำอาหารอยู่สินะ...พอดีเลยวันนี้พี่ไม่ไหวแล้วล่ะฝากด้วยแล้วกันนะ”

     “ค่ะ อ๊ะ...ต้มน้ำไว้แล้วนะคะ อาบก่อนเลยก็ได้ค่ะ”

     “ขอบใจนะ”

     อาจารย์สาวลากสังขารตนไปยังห้องรับแขกเพื่อวางของก่อนจะเดินหายไปในห้องอาบน้ำ เวลาผ่านไปนับครึ่งชั่วโมงเดเน่ก็เดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำในสภาพเปี่ยมสุข เธอมายืนข้างๆผมที่กำลังปรุงอาหารในขั้นตอนสุดท้าย

     “เหมือนได้เกิดใหม่เลย...”

     “ฮะๆ เกิดใหม่สินะคะ...”

     สำหรับผมคำนี้ไม่ต้องกล่าวก็รู้ว่าเคยเผชิญมาแล้ว ผมตักน้ำแกงในหม้อมารินใส่ถ้วยเล็กให้เดเน่ได้ชิม อีกฝ่ายยังคงเช็ดผมอยู่ผมจึงเป็นฝ่ายยกมันป้อนให้แทน

     “อื้ม...ก็ใช้ได้แล้วนะ ไม่สิอร่อยกว่าพี่ทำเองอีกนะเนี่ย”

     “ขอบคุณค่ะ...งั้นจัดใส่จานเลยนะคะ”

     เดี๋ยวนะ...สถานการณ์เมื่อกี้คืออะไร...

     ระหว่างที่ตักอาหารจัดแจงใส่จานอยู่นั้น ก็คิดขึ้นมาได้ว่าผมเผลอปล่อยตัวปล่อยใจเป็นเด็กผู้หญิงอีกแล้ว

     สิ่งผมทำเมื่อครู่เหมือนพวกข้าวใหม่ปลามันทำกันเลยนะ... แถมบทที่ผมทำยังเป็นของฝ่ายหญิงไม่ใช่รึไง...

     ในที่สุดอาหารทั้งหมดก็เสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเราจึงนั่งลงที่โต๊ะและลงมือทาน

     “วันนี้เจอปัญหาอะไรมาเหรอคะ...”

     ผมถามพลางตักซุปเข้าปาก แต่เดเน่ทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายขึ้นมาเล็กน้อย

     “นักเรียนของพี่หนีเรียนอีกแล้วน่ะ”

     “เห...พวกขุนนางเอาแต่ใจจังนะคะ”

     “ถ้าเป็นพวกขุนนางไม่เท่าไหร่หรอกแต่เป็นอะไรที่ยิ่งกว่านั้นน่ะสิ วันนี้ทั้งวันก็เลยต้องตามหากันจ้าละหวั่นเลย”

     “ฮะๆ... เหนื่อยหน่อยนะคะ”

     หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วผมก็ไปแช่น้ำเผื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าตลอดวันบ้าง ระหว่างแช่น้ำอยู่ก็คิดว่าควรจะหางานทำบ้างแล้วเพราะถ้าจะอยู่กับเดเน่โดยใช้เงินอีกฝ่ายอย่างเดียวก็ดูจะไม่ดีเสียเท่าไหร่

     “พรุ่งนี้ลองไปเดินหาวิธีทำเงินดูดีว่า...”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา