สาวโอตาคุกู้วิกฤตพิชิตโลก
เขียนโดย Yaksa
วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 01.14 น.
แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ริลเบลรุส นครแห่งอิสตรี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ในที่สุดก็มาถึงสถานที่ซึ่งถูกเรียกว่าเมืองหลวงช่างดูกว้างขวางใหญ่โตสมชื่อเสียจริง พื้นที่นอกเมืองดูเหมือนจะเป็นที่พักอาศัยและยังเป็นตลาดขนาดใหญ่ ระหว่างที่มองความเป็นอยู่ของชาวบ้านนั้นผมเริ่มสังเกตเห็นว่าผู้คนมักจะมองมายังกลุ่มรถลากของเรา เพราะมีอัศวินทั้งห้ากำลังขับผ่านไปอย่างสนใจโดยเฉพาะเด็กสาว
หลังจากเคลื่อนที่ผ่านพื้นที่พักอาศัยไปก็มาถึงประตูเมืองที่ใหญ่โต เมื่อมองตามสายตาก็จะพบกับกำแพงสีขาวยาวไปสุดลูกหูลูกตา
ชักอยากจะรู้ซะแล้วสิว่ามันจะทอดยาวไปถึงตรงไหนกันนะ...
“ยินดีต้อนรับกลับค่ะท่านเอลเซ่! เหนื่อยหน่อยนะคะ”
ทหารสาวในชุดเกราะเหล็กทำความเคารพนายกองบนหลังม้าทันทีที่สังเกตเห็น
“อืมนะ... จากเมืองไปเป็นอาทิตย์คิดถึงที่นอนแล้วล่ะ”
เอลเซ่ตอบอย่างสบายๆ แต่ขณะที่ผมกำลังเอียงคอมองผ่านไหล่โลเรนจากภายในรถลากไปนั้นก็สบสายตาเข้ากับทหารสาวคนนั้นเข้าพอดี
“ท่านคะ เด็กคนนั้นคือ...?”
เธอจ้องมองพลางเอ่ยถามอย่างไม่ละสายตา ผมเห็นดังนั้นก็รู้สึกกลัวจนต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาไปเสียเอง
“เอ่อ...เด็กคนนั้นน่ะเป็น...”
การเว้นคำตอบของเอลเซ่ทำให้ผมรู้ได้เลยว่าเธอกำลังคิดหาคำตอบดีๆอยู่ แต่มันกลับทำให้ผมต้องมาลุ้นจนใจสั่น
“แม่ครัว?... อื้ม... เป็นแม่ครัวที่เจอตอนเดินทางกลับน่ะ”
แม่ครัวสินะ... อืม... ก็ไม่ได้เสียหายอะไรหรอกแต่ทำไมคำตอบเป็นแม่ครัวล่ะ?
“เหรอคะ...”
แม้จะได้รับคำตอบไปแล้วเธอก็ยังคงจ้องมองผมอย่างไม่ค่อยจะวางใจ
“เอาเถอะ! รีบๆให้พวกฉันผ่านไปได้แล้วมั้ง...”
เอลเซ่เองก็รู้ว่ายิ่งอยู่นานจะยิ่งลำบากเธอจึงสั่งให้ทหารสาวเปิดทางเสียที ในที่สุดผู้เฝ้าประตูก็เปิดทางให้แต่โดยดี
ขณะที่รถเคลื่อนตัวผ่านไปนั้น เหล่าทหารสาวเฝ้าประตูก็มองตามผมไม่ละสายตา จนผมต้องรีบดึงฮู๊ดมาปิดเพื่อหลบสายตาจนกว่าจะพ้นระยะ
หลังจากเคลื่อนที่ผ่านประตูเมืองมาได้ซักพักโลเรนก็หยุดรถก่อนจะหันมาถามผมที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“แล้วจะไปไหนต่อเหรอ? มีที่ๆคิดว่าจะไปรึยัง?”
“อ่ะ...ค่ะ...ก็พอมีแล้วค่ะ”
ผมตอบคำถามนั้นจบก็กระโดดลงมาจากท้ายรถก่อนจะเดินไปหาพวกเธอด้านหน้ารถลาก เอลเซ่เองก็ลงมาจากหลังม้าและถอดหมวกเหล็กออก
“พวกเราจะเข้าไปยังค่ายฝึกทหารแล้ว คำต้องลากันตรงนี้ก่อนแล้วล่ะนะ”
“ขอบคุณสำหรับหลายๆเรื่องนะคะ…”
ผมถอยหลังมาครึ่งก้าวก่อนจะก้มหัวให้เหล่าอัศวินสาวทั้งห้าอย่างจริงใจ เพราะหากไม่ได้พวกเธอช่วยไว้ผมก็คงจะตายไปแล้วและถึงจะรอดมาได้แต่ก็คงใช้เวลานานพอสมควรเลยในการเดินทาง
เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับรอยยิ้มของเอลเซ่ เธอนำหมวกเหล็กไปฝากไว้ที่โลเรนก่อนจะเดินกลับมาหาผม
เอลเซ่ค่อยๆถอดผ้าคลุมไหล่สีแดงของเธอมาสวมให้ เสร็จแล้วจึงลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน
“ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาหาฉันได้เสมอเลยนะ แค่เอาผ้าผืนนี้ให้ทหารดูพวกนั้นก็จะพาเธอมาพบฉันเองแหละไม่ต้องห่วง…”
“ขอบคุณจริงๆค่ะ...”
ผมก้มหัวขอบคุณอีกครั้ง
“งั้นก็ไว้เจอกันใหม่นะ...เจร่า”
เธอมอบรอยยิ้มให้ก่อนจากลาอีกครั้งและเดินไปควบม้าประจำตัว ทุกๆคนต่างก็โบกมือลาเช่นกัน ผมเองก็มองส่งกลุ่มที่ผมได้ร่วมทางมาตลอดสามวันจนลับตาไป
เฮ้อ~... รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปเลยแฮะ
เพราะร่วมทางมาตลอดสามวันจนเริ่มคุ้นเคยกันแต่ก็ต้องมาจากลากันแล้วช่างให้ความรู้สึกสับสนใจอกเหมือนกัน
ผมหันหน้ามุ่งเดินไปตามถนนผ่านผู้คนที่สัญจรไปมา ระหว่างที่เดินไปนั้นผมก็มองสภาพบ้านเมืองไปด้วย ภายในเมืองหลวงแห่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนประเทศอังกฤษยุคกลางซักประมาณศตวรรษที่ 17 – 18 การแต่งกายของผู้คนก็ดูสบายๆสมเป็นชาวเมืองไม่มีความหรูหารมากนัก
เมื่อเดินบนเส้นทางที่ปูด้วยหินไปเรื่อยๆก็เข้าสู่ตัวเมืองอย่างแท้จริง ผู้คนเริ่มมากขึ้นทั้งวัยรุ่น วัยชรา หรือแม้แต่เด็กตัวเล็กๆแต่ทุกคนล้วนเป็นผู้หญิง
ขณะทำลังมองผู้คนอยู่นั้นหญิงสาววัยประมาณสามสิบกว่าๆก็เดินจูงลูกสาวของเธอมาทางผม จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะถามหาข้อมูล
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ”
“...คะ? อ๊ะ! ว่าไงคะ…”
เธอกำลังคุยเล่นกับลูกสาวอยู่นั้นก็หันมาหาผมอย่างสงสัย ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเหมือนตกใจอะไรเล็กน้อย
“อยากจะถามถึงร้านขาย...เอ่อ...”
รู้สึกอายที่จะพูดออกไปแฮะ...แต่ก็...
ผมเอี้ยวตัวเข้าไปหาเธอพร้อมกับยกมือขึ้นมาด้วยอีกฝ่ายเห็นก็เข้าใจว่าผมจะทำอะไรจึงก้มตัวลงมาและเอียงหูมาให้ผมกระซิบถาม
“…น่ะค่ะ พอจะทราบไหมคะ”
พอเธอได้ยินคำถามของผมก็มีท่าทีเหมือนกำลังกลั่นหัวเราะอยู่ ซักพักพอสงบสติได้แล้วเธอก็ชี้นิ้วไปยังจุดหมายที่ผมต้องการ
“ไปตามทางนั้นเลยจ๊ะ จะมีป้ายบอกอยู่นะ”
“ขอบคุณนะคะ”
ผมก้มตัวขอบคุณเธอ
“งั้นน้าขอตัวนะจ๊ะ...”
อีกฝ่ายเองก็พยักหน้าให้ก่อนจะจูงมือพาลูกสาวเดินไป ส่วนผมเองก็เดินตรงไปยังร้านเป้าหมายอันที่จริงก็คิดไว้แล้วว่าถามถึงเมืองจะมาร้านขายสิ่งนี้เป็นที่แรกเลย
หลังจากเดินตามทิศทางที่คุณน้าคนเมื่อครู่บอกมาผมก็มาถึงร้านขายชุดชั้นในสตรีที่มีกระจกใสหน้าร้านให้ได้มองดูจากด้านนอก ผมเดินวนอยู่ประมาณครึ่งนาทีก่อนจะเปิดเข้าไป เสียงกระดิ่งที่ติดกับประตูก็ดังขึ้น
“ยินดีต้อนรับค่ะ!”
“ค่ะ...ค่า...มะ!”
ตกใจกับประโยคต้อนกับของพนักงานจนเผลอกัดลิ้น น่าอายจัง…
“คุณลูกค้าต้องการไซท์ไหนคะ?”
“มะ...ไม่ทราบค่ะ...”
ผมตอบพลางหลบสายตาและประสานมือไว้ตรงหน้า
“งั้นก็มาวัดไซท์ก่อนก่อนเลยนะคะ เชิญทางนี้ได้เลยค่ะ”
ว่าแล้วเธอก็ผายมือเชิญผมให้เดินตามไป พวกเรามาอยู่อีกห้องหนึ่งเหมือนจะเป็นห้องสำหรับแก้ชุดกับวัดไซท์ พนักงานสาวหยิบสายวัดสีขาวมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ถอดเสื้อเลยค่ะ”
“...ตะ..ต้องถอดด้วยหรอกคะ?”
“เพื่อความแม่นยำน่ะค่ะ”
เธอตอบมาพร้อมกับร้อยยิ้ม ส่วนผมก็เก้ๆกังๆถอดเสื้อคลุมทั้งสองตัวออกก่อนจะขยับนิ้วไปปลดกระดุมเสื้อด้วยนิ้วที่สั่น ผมชำเลืองมองพนักงานเล็กน้อยเธอยังคงยืนยิ้มให้อย่างสบายๆ
อ่า~...นี้กำลังกดดันกันอยู่รึเปล่า คงจะถอยไม่ได้แล้วสินะ...
“ชะ...เชิญเลยค่ะ”
“ค่ะ… ขออนุญาตนะคะ...”
พนักงานสาวเดินผ่านผมไปยืนด้านหลังก่อนจะคาดสายวัดมาอยู่ที่หน้าอก เมื่อมันสัมผัสกับผิวก็ทำให้ผมที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตกใจจนเผลออุทานเสียงหลง
“วั๊ย! อุฟ!”
ผมรีบใช้มือปิดปากตัวเองทันทีเพราะเผลอส่งเสียงร้องแปลกๆออกไป พอชำเลืองมองไปยังพนักงานสาวด้านหลังเธอก็ส่งยิ้มมากให้ เธอเริ่มวัดขนาดจากนั้นก็เลื่อนสายวัดมาใต้หน้าอกเป็นจุดต่อไป เมื่อคำนวณเสร็จแล้วเธอก็ดึงสายวัดออกมา ทางผมเองก็รีบหยิบเสื้อขึ้นมาสวมทันทีเช่นกัน
“คัพ B ค่ะ ต่อไปก็เชิญเลือกแบบที่ชอบตามสะดวกเลยนะคะ”
กล่าวจบพนักงานสาวก็โค้งให้แล้วเดินออกไปก่อน ผมรีบสวมชุดให้เสร็จแล้วตามออกไปก็พบเธอกำลังผายมือไปยังชุดชั้นในลวดลายต่างๆที่ทั้งวางทั้งแขวนเอาไว้ ผมจึงเดินตรงไปตามทิศทางที่เธอบอกและมองหารูปแบบที่ถูกใจ
ถ้าเป็นตังเองเมื่อก่อนคงไม่ทางมายืนเลือกชุดแบบนี้ได้แน่...
ผมมองไปยังบราแบบต่างๆมีทั้งแบบลูกไม้ แบบสีออกจะฉูดฉาดไปเสียหน่อย
อ๊ะ... สีขาวดีไหมนะ... หรือว่า...สีดำ? ไม่สิระดับมันสูงไปหน่อย หืม...นั้นมันแบบแรร์ลายชามข้าวนี่น่า... เคยคิดเล่นๆว่าถ้าได้เป็นผู้หญิงแล้วจะขอลองสวมสักครั้ง ตอนนี้จะทำตามความฝันนั้นดีไหมนะ...
หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ผมก็หยิบชุดนำไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์
“สองชุดนี้สินะคะ...”
เธอหยิบชุดที่ผมเลือกไปใส่ถุง ถึงจะเรียกว่าถุงก็เป็นถุงหนังที่ถูกเย็บเป็นกระเป๋าเล็กๆ ผมเห็นดังนั้นก็เอ่ยออกไป
“เอ่อ...ชุดนี้ขอสวมไปเลยแล้วกันนะคะ”
“ได้ค่ะ ทั้งหมดก็ 100 เหรียญค่ะ”
ราคานั้นทำเอาถุงเงินของผมแทบหลุดลงพื้น หารแล้วก็ชิ้นล่ะ 25 เหรียญเลยเหรอ...จะว่าสมราคาหรือมากเกินไปดีล่ะ แต่ผมคิดว่า...
แพงมาก! แพงเกินไปแล้ว? ผู้หญิงใช้ชีวิตโดยการจ่ายเงินหลายเหรียญเพื่อซื้อผ้าเล็กๆพวกนี้ไปสวมกันจริงเหรอ?
ระหว่างตั้งคำถามในใจผมก็หยิบเหรียญเหล็กสลักตัว L ออกมาจ่ายสองเหรียญ หวังว่าจะเป็นระบบเลขโรมันตามที่ผมคิดนะ
“ค่ะรับมาพอดีนะคะ ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ”
เธอหยิบอีกชุดที่ผมซื้อไว้ใส่ถุงหนัง ผมจึงใช้เวลานี้รีบหยิบชุดชั้นในไปสวมในห้องลองชุดทันทีก่อนจะเปิดม่านออกมา แล้วเดินไปหาพนักงานอีกครั้งพลางเก็บถุงหนังบนเคาน์เตอร์เข้ากระเป๋า
“ขอถามอะไรเพิ่มซักเล็กน้อยจะได้ไหมคะ?”
“ค่ะ เรื่องอะไรเหรอคะ?”
บริการดีจริงๆพนักงานร้านนี้
“มีหอสมุดที่ไหนใกล้ๆนี้ไหมคะ?”
“คุณลูกค้าเป็นจอมเวทย์หรือนักปราชญ์เหรอคะ?”
อีกฝ่ายถามด้วยสีหน้าสงสัยและแปลกใจ
“เปล่าค่ะ ทำไมเหรอคะ?”
“มะ...ไม่มีอะไรค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะบอกทางให้นะคะ…”
แล้วผมก็มายืนอยู่หน้าหอสมุดขนาดพอๆกับบ้านหลังใหญ่ๆขณะเดินมาทำก็มีคำถามในใจว่าจะสามารถอ่านภาษาของโลกนี้ออกเหรอ
แต่พอได้เห็นป้ายที่วางไว้หน้าหอสมุดผมก็หายข้องใจเพราะสามารถอ่านมันได้ โดยป้ายเขียนไว้ว่า‘หอสมุดประจำเมืองแห่งที่ 3’
แถมตัวอักษรที่เห็นยังเป็นตัวที่เคยเห็นมาก่อนอย่างตัวภาษาอังกฤษ ถึงจะไม่ค่อยเก่งอังกฤษเท่าไหร่แต่ก็อ่านออกเขียนได้ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าจะสามารถใช้งานมันได้คล่องกว่าเดินมากนัก
ผมเปิดประตูเดินเข้าไปก็พบกับบรรณารักษ์สาวผมขาวที่นั่งประจำโต๊ะอยู่ทางซ้าย เธอมองผมผ่านเลนแว่นตาแบบหนีบจมูกมาผมจึงก้มหัวและส่งยิ้มให้อย่างเขินๆ ก่อนจะเดินไปเปิดหนังสือใกล้ๆตัวนั้นเพื่อทดสอบความสามารถด้านภาษา
น่าแปลกใจมากที่สามารถอ่านได้คล่องมากแม้จะไม่ใช่ภาษาของตนเอง ผมหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูเวลาปัจจุบันซึ่งเป็นเวลาบ่ายสองโมง หลังจากใช้งานนาฬิกาไปแล้วผมก็เก็บมันเข้ากระเป๋าไป
แล้วออกเดินไปรอบๆหอสมุด ที่แห่งนี้กว้างมากมีสองชั้นและมีห้องใหญ่ๆเก็บหนังสือนับได้สี่ห้อง ผมหยิบหนังสือที่น่าจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับโลกนี้มาโดยตอนแรกกะว่าจะยกไปทีเดียวแต่แค่สองเล่มใหญ่ๆผมก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว จึงเปลี่ยนมาหยิบทีล่ะเล่มแทน ผมวางหนังสือที่โต๊ะก่อนจะนั่งลงพลางมองไปรอบ
คนน้อยจัง...มีประมาณสาม...สี่คนเอง
ขึ้นชื่อว่าหอสมุดถ้าไม่จำเป็นคนก็จะไม่ค่อยเข้ามากันเสียเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องนั้นเสียเท่าไหร่เพราะตอนนี้ต้องการข้อมูลมากกว่าจึงเริ่มอ่าน
หนังสือมีการบันทึกเผ่าพันธุ์ไว้ 13 เผ่าหลักๆได้แก่ [วีนิซัท] [เฮ็นโน] [มีสเฟย์] [นาเทียร์] [เด็นซีว่า] [เจเฟนทีส] [เซรูราน] [เวียร์เซล] [เอ็กซ์เซลล่า] [ดันเวเฟล] [ทริทราน] [อันเรจเดย์] [เบรีไฮม์] ซึ่งสามารถแยกย่อยลงไปได้อีก
ในช่วงสองถึงสามทศวรรษมานี้ หลายๆเผ่าก็เหมือนกำลังจะมีปัญหากันอยู่แต่ก็ไม่มีฝ่ายไหนลงมือทำอะไรมากนักได้แต่ดูเชิงกันเพราะไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นมา อีกสาเหตุหนึ่งก็คือปัญหาใหญ่กว่ามักจะมาจากเหล่ามอนสเตอร์เสียมากกว่า
ข้อมูลของเผ่าอื่นนั้นนอกจากภาพและข้อมูลอีกเล็กน้อยส่วนข้อมูลเชิงลึกบันทึกไว้น้อยมาก แต่ผมก็พยายามรวบรวมข้อมูลจากหลายๆเล่มจนพอจะทราบถึงรูปลักษณ์ของแต่ละเผ่าแล้ว
อีกข้อมูลที่ผมอยากจะทราบที่สุดก็คือลักษณะภูมิศาสตร์ของโลกนี้แต่ไม่ว่าจะหาจากเล่มไหนก็ไม่พบเลยจะมีก็แต่แผนที่ของดินแดนนี้เท่านั้น
สุดท้ายกว่าจะรู้ตัวว่ากองหนังสือเริ่มมากเกินไปแล้วก็เป็นระหว่างที่อ่านหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์ของเมืองนี้จบ ผมปิดหนังสือและหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูเวลา เข็มสั่นของนาฬิกาชี้ไปที่เลขเจ็ด
นี่ผมอ่านหนังสือถึงห้าชั่วโมงเลยเหรอเนี่ย…
ผมลนลานลุกขึ้นจนกองหนังสือสั่นไหวพอได้มองไปรอบๆก็พบว่าไม่เหลือใครอยู่แล้ว ภายในหอสมุดมีเพียงแสงจากเทียนไขและดวงไฟจากตะเกียง
เมื่อลากสายตากลับมายังกองหนังสือผมก็ต้องถอนหายใจเพราะจำนวนของมัน จำนวนของหนังสือที่ผมอ่านในห้าชั่วโมงก็ประมาณสิบเล่มแถมยังเป็นตำราเล่มหนาๆอีกเสียด้วย
ระหว่างยืนมองหนังสืออย่างเหนื่อยใจอยู่นั้นก็มีเสียงเอ่ยขึ้นจากทางขวา
“อ่านจบแล้วเหรอจ๊ะ?”
บรรณารักษ์สาวยืนอยู่ข้างๆมองผมด้วยสีหน้าสนใจ เธอถอดแว่นที่สวมอยู่แล้วนำไปเกี่ยวไว้ที่กระเป๋าเสื้อ ผมสีขาวของเธอสะทอนแสงไฟจากเปลวเทียน รูปร่างใบหน้าดูแล้วอายุประมาณยี่สิบสองเห็นจะได้
“คะ...ค่ะ...ขอโทษนะคะอ่านเพลินไปหน่อย รบกวนเกินไปไหมคะ?”
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ หายากมากเลยนะที่จะมีเด็กสาวแบบเธอสนใจอ่านหนังสือ ไม่ทราบว่ามาจากตระกูลไหนเหรอ?”
“คะ? ไม่เข้าใจคำถามน่ะค่ะ?”
“เอ๋...คิดว่าเป็นคนของตระกูลอัศวินเสียอีก”
เธอบอกพลางมองมายังผ้าคลุมไหล่สีแดงที่ผมสวมอยู่
“อ๋อ...นี่น่ะพอดีว่าได้รับมาน่ะค่ะ”
ผมตอบพลางยกหนังสือมาซ้อนกันเพื่อจะนำไปเก็บที่ชั้นวาง
“อ๊ะ! เดี๋ยวพี่สาวเก็บให้เอง กลับบ้านก่อนเถอะจ๊ะ...นี่ก็ดึกมากแล้ว”
อีกฝ่ายพูดพร้อมกับยกหนังสือในมือผมออกไปถือเอง แต่ประโยคเมื่อครู่ของเธอก็ทำให้ผมนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
“คือว่าแถวนี้มีโรงแรมให้พักไหมคะ?”
“หรือว่าเธอ…ไม่ใช่คนในเมืองนี้?”
“ค่ะ เพิ่งมาถึงวันนี้เอง”
ผมหยิบหนังสือขึ้นมาซ้อนกันอีกครั้งพร้อมกับตอบคำถามเธอ
“มิน่าล่ะ...แล้วมาจากที่ไหนเหรอ?”
พี่สาวบรรณารักษ์ถามพลางออกเดินไปยังชั้นหนังสือ ผมเองก็เดินตามไปเช่นกัน พวกเรานำหนังสือใส่กลับคืนไปที่ชั้น
“เอ่อ...ก็ออกจะเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างไกลพอสมควรค่ะ...”
“หืม~ อ๊ะ! ลืมแนะนำตัวกันเสียสนิทเลย พี่สาวชื่อว่าเดเน่จ๊ะ”
“ฉันชื่อเจร่าค่ะ…”
พวกเราจับมือกันอีกครั้งก่อนจะเดินไปหยิบหนังสือที่โต๊ะมาเก็บเข้าชั้นให้เสร็จ
“แล้วมาทำอะไรที่เมืองนี้เหรอ?”
“ก็...ศึกษาหาความรู้...ประมาณนั้นล่ะมั้งคะ”
“มาคนเดียวสินะ...”
“ตอนเดินทางมาก็ได้ร่วมทางกับกองทหารเล็กๆกลุ่มหนึ่ง... ผ้าคลุมไหล่นี้ก็ได้มาจากคนในกลุ่มนั้นแหละค่ะ”
“ว่าแต่เดินทางคนเดียวครอบครัวจะไม่เป็นห่วงเอาเหรอ?”
“...เอ่อ...คือ...พอดีว่าไม่มีน่ะค่ะ”
“ขอโทษนะจ๊ะ ฉันไม่น่าถามมากเลย”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้คิดมากอะไร”
ระหว่างที่คุยกันก็ทำการเก็บหนังสือเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดเน่จึงเดินมาหาผมเพื่อพูดคุยต่ออีกเล็กน้อย
“เมื่อกี้ถามถึงโรงแรมหมายความว่ายังไม่มีที่พักสินะ”
“ค่ะ พอจะทราบไหมคะ”
เธอหลับตาลงเล็กใช้นิ้วแตะคางสื่อว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“มานอนบ้านพี่สาวไหม?”
“เอ๊ะ! มะ...ไม่ดีล่ะมั้งคะ...เกรงใจน่ะค่ะ ไม่เป็นไรดีกว่า...””
โดนจู่โจมแบบไม่ทันได้ตั้งตัวอีกแล้ว!? ผู้คนบนโลกนี้จะใจดีเกินไปแล้วนะ...
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกจ้า พี่สาวอยู่คนเดียวก็เหงาๆน่ะ”
“เดี๋ยวฉันไปพักที่โรงแรกก็ได้ค่ะ...”
“แต่โรงแรมในเมืองหลวงแพงอยู่นะ มันจะเปลืองเงินโดยใช่เหตุรึเปล่า...”
อุ...พูดได้ตรงจุดมาก ในตอนนี้ผมเหลือเงินเพียงแค่ 357 เหรียญเท่านั้นจะพอสำหรับที่พักไหมนะ...
“...จะไม่เป็นการรบกวนเกินไปใช่ไหมคะ...?”
ผมถามอย่างกล้าๆกลัวๆพลางก้มหน้ามองไปยังอีกฝ่าย
“จ้า~ งั้นไปรอที่หน้าหอสมุดก่อนแล้วกันนะ พี่สาวจะจัดการอะไรอีกเล็กน้อยน่ะ...รับรองว่าไม่นานจ๊ะ”
กล่าวจบเธอก็เดินหายไปยังห้องอื่นคาดว่าคงไปจัดการปิดล็อกประตูหน้าต่าง ผมจึงทำตามที่อีกฝ่ายบอกโดยการเดินไปรออยู่ที่หน้าหอสมุดตามที่เธอบอก
ซักพักประมาณสามนาทีเดเน่ก็เดินออกมาจากหอสมุด เธอจัดการล๊อกประตูหอสมุดก่อนจะเก็บกุญแจลงกระเป๋าสะพาย
“อื้ม~ ไปกันเถอะ…”
เธอพูดพร้อมกับส่งมือขวามา ผมมองมือของเธอที่ยื่นมาให้อย่างสงสัย
ผมต้องตอบรับโดยการส่งมือไปให้เช่นกันสินะ...
คิดได้ดังนั้นผมก็ค่อยๆยื่นมือซ้ายออกไป เดเน่เห็นดังนั้นก็คว้ามือผมไปก่อนจะจูงมือพาผมออกเดิน ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กประถมที่มีพี่สาววัยทำงานมารับหลังเลิกเรียน
“ขอแวะตลาดก่อนนะ เพราะต้องหาอะไรไปทำอาหารด้วยน่ะ”
“ได้สิคะ...”
“ว่าแต่เจร่าอยากทานอะไรไหม?”
“เอ่อ...ตามสะดวกเลยค่ะ”
“อืม...พี่สาวเองก็คิดไม่ค่อยออกเลยน้า~”
เพราะเดเน่พาผมเดินจูงมือไปตามทาง ผมจึงสามารถมองสภาพบ้านเมืองยามราตรีได้อย่างสบายใจไม่ต้องกลัวว่าจะพลัดหลง
จากที่ดูภาพรวมแล้วดูเหมือนว่าวิทยาการต่างๆจะยังไม่ค่อยได้รับการพัฒนาเสียเท่าไหร่ เหตุที่ผมคิดเช่นนั้นก็เพราะเสาไฟตามถนนยังเป็นการใช้แสงไฟจากตะเกียงแต่มันกลับสว่างมากพอสมควรเลย
หลังจากใช้เวลาเลือกซื้อวัตถุดิบทำอาหารอยู่นานพอควรแล้ว เดเน่ก็ยังคงจูงมือผมพาตรงกลับบ้านเหมือนเดิมโดยแขนอีกข้างของพวกเราก็อุ้มถุงกระดาษใส่วัตถุดิบเอาไว้คนละถุง
เพราะที่พักของเธออยู่ภายในตัวเมืองจึงใช้เวลาเดินไม่นานก็มาถึงแล้ว ดาเรนปล่อยมือผมเพื่อหยิบกุญแจมาเปิดประตูบ้านเข้าไป บ้านของเธอเป็นบ้านสองชั้นแม้จะไม่ใหญ่มากแต่ก็พอจะอาศัยได้หลายคน จนผมชักจะสงสัยว่าเธออยู่คนเดียวจริงเหรอ?
“คุณเดเน่คะ...”
“เรียกพี่สาวก็ได้จ๊ะ...”
เธอเดินนำเข้าบ้านไปก่อนผมเองก็เดินตามเข้าไปไม่ห่างนัก
“เอ่อ...พี่เดเน่ พี่อยู่คนเดียวจริงๆเหรอคะ?”
“อื้ม...”
บ้านหลังใหญ่แบบนี้อยู่คนเดียวมันเหงาจริงๆนั้นแหละ ผมเดินตามเธอไปยังห้องครัวแล้วนำวัตถุดิบทั้งหมดวางลงบนโต๊ะ
“ถ้ายังไงขอช่วยทำอาหารด้วยนะคะ...”
“เอ๊ะ! แต่จะให้เธอถือมีดมันก็ออกจะ...”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันทำอาหารเป็น”
ว่าแล้วผมก็นำผักไปล้างแล้วหยิบมีดนำมาซอยผักทันที เดเน่ได้เห็นดังนั้นก็วางใจในฝีมือของผม พวกเราจึงเริ่มลงมือทำอาหารกัน
ระหว่างที่ทำอาหารนั้นผมก็หาเรื่องคุยไปเรื่อยเปื่อยจนได้ทราบว่า เดเน่ไม่ได้ทำงานเป็นบรรณารักษ์เท่านั้นเธอยังคงทำงานเป็นอาจารย์สอนหนังสือลูกขุนนางตระกูลชั้นสูงอีกด้วย
เรื่องนี้ช่วยให้ผมหายข้องใจว่าทำไมเธอถึงได้มีบ้านที่ใหญ่โตแบบนี้
เพราะช่วยกันทำสองคนไม่นานอาหารจึงเสร็จอย่างรวดเร็ว
“เจร่าทำอาหารเก่งจังเลยนะ”
“เหรอคะ? อาจเพราะอยู่คนเดียวมานานล่ะมั้งคะ”
หมายถึงที่โลกเดิมน่ะนะ...
“ผ่านอะไรลำบากมาเยอะเลยสินะ...”
เธอพูดพร้อมกับยกอาหารที่ทำเสร็จแล้วไปวางที่โต๊ะ ผมเองก็ทำจานสุดท้ายเสร็จพอดีก็เดินตามไปนั่งที่โต๊ะเช่นกัน เดเน่หยิบแก้วมารินน้ำใส่ให้ แล้วพวกเราก็เริ่มทานอาหาร
มีคำชมมาจากอีกฝ่ายเรื่องรสชาติ แต่ผมมองว่าที่ทำได้อร่อยขนาดนี้เพราะได้เดเน่ช่วยทำมากกว่า
หลังจากทานอาหารเมื่อเย็นกันเสร็จแล้วเจ้าของบ้านก็เดินไปห้องน้ำโดยบอกว่าจะต้มน้ำอาบกัน ทางผมก็จัดการทำความสะอาดจานชามที่ใช้ทานอาหารเมื่อครู่และจัดการเก็บกวาดครัวให้เรียบร้อย
เมื่อทุกอย่างเสร็จหมดแล้วผมก็เดินไปรอบๆบ้านอย่างถือวิสาสะ
“น้ำร้อนแล้วนะ”
เดเน่เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพเปียกเล็กน้อย
“พี่สาวไม่อาบก่อนเหรอคะ?”
อ๊ะ! เหมือนจะรู้แฮะว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป...
“อาบสิ...เดี๋ยวก็อาบด้วยกันเลยไง”
ว่าแล้วไง...ถ้าเป็นแบบนี้จากประสบการณ์ที่เคยพบมาคงจะปฏิเสธไม่ได้สินะ โลกนี้การอาบน้ำกับคนเพิ่งเจอกันเนี่ยมันคือเรื่องปกติหรือไงกัน หรือเพราะว่าเป็นผู้หญิงเหมือนกันก็เลยไม่คิดอะไร...
“อ่า...ค่ะ”
สุดท้ายผมก็มาแช่อยู่ในอ่างไม้โดยมีเดเน่แช่อยู่ตรงหน้า ด้วยความที่อ่างไม้ค่อนข้างใหญ่พอสมควรเพียงแค่พวกเรานั่งชันเข่าก็สามารถแช่ได้โดยไม่เบียดอะไร แต่ติดปัญหาที่ผมไม่กล้าที่จะมองไปข้างหน้าตรงๆเพราะเดเน่นั่งแช่อยู่ตรงหน้า
“เจร่าชอบอ่านหนังสือเหรอ?”
“เอ่อ...ชอบค่ะ”
จู่ๆก็ถูกชวนคุยผมจึงเผลอเงยหน้าไปมองอีกฝ่ายแต่ก็รับหันหน้าหลบก่อนจะได้เห็นอะไร
“เมื่อช่วงเย็นเห็นตั้งใจอ่านน่าดูเลยล่ะ พี่สาวเองก็อยากมีลูกศิษย์ตั้งใจแบบเธอจังเลยนะ”
ผมได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแห้งๆตอบไป
“ว่าแต่ช่วงนี้ศึกษาเรื่องอะไรอยู่ล่ะ”
“เอ่อ...เกี่ยวกับเผ่าอื่นน่ะค่ะ”
“หายากนะที่จะมีคนสนใจ...”
“แปลกเหรอคะ?”
“ก็ไม่แปลกหรอกจ๊ะ…”
พอมองไปรอบๆห้องน้ำก็สังเกตว่ากว้างพอสมควรเลย อีกทั้งยังมีหน้าต่างที่เปิดให้เห็นดาวบนท้องฟ้าอีกด้วย
หืม...ทำไมดวงจันทร์เป็นสีแดงล่ะ...เมื่อคืนวานยังเป็นสีเงินอยู่เลย?
ผมอยากจะถามเดเน่เรื่องสีของดวงจันทร์แต่เอาไว้ไปหาข้อมูลจากหอสมุดเอาทีหลังก็แล้วกัน อีกเรื่องหนึ่งคือมันอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับโลกนี้ถ้าถามออกไปเธออาจจะสงสัยผมก็ได้
“ฉันขอขึ้นก่อนนะคะ...”
เพราะเริ่มรู้สึกร้อนจนทนไม่ไหวแล้วผมจึงลุกขึ้นจากอ่างไปล่างตัวด้วยน้ำเย็นก่อนจะเดินออกไปเปลี่ยนชุด คิดถูกจริงๆที่ผมซื้อชั้นในมาสองชุด
ตอนนี้ผมต้องสวมชุดของเดเน่ไปก่อนเพราะไม่มีชุดสำรองของตัวเอง ไม่นานระหว่างที่ผมแต่ตัวอยู่เดเน่ก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทีผ่อนคลายเต็มที่ เธอเช็ดตัวและสวมอย่างสบายๆ ผมจึงเดินไปนั่งที่พื้นห้องรับแขก
“อ้าว...? เจร่ายังไม่เช็ดผมอีกเหรอ?”
เจ้าบ้านสังเกตเห็นว่าเส้นผมของผมยังเปียกอยู่ เธอจึงหยิบผ้าเช็ดตัวมาจากนั้นจึงเดินมานั่งลงข้างๆและเช็ดผมให้
“ขะ...ขอบคุณค่ะ”
“อื้ม...ว่าแต่ผมเธอยาวจังเลยนะ”
ผ้าค่อยๆไล่เช็ดผมลงไปจากโคนผมไปยังส่วนปลาย รู้สึกสบายจนนัยน์ตาเริ่มจะปิด ผมจึงหาเรื่องคุยเพื่อไม่ให้ตัวเองง่วง
“พี่เดเน่คะ...จอมเวทย์หรือนักปราชญ์เนี่ยเป็นยังไงเหรอคะ?”
“ทำไมจู่ๆถึงสงสัยล่ะ?”
“วันนี้ตอนถามถึงหอสมุดที่ร้านค้า พนักงานถามมาแบบนั้นน่ะคะ”
เดเน่เงียบไปเหมือนว่ากำลังจะใช้ความคิดอยู่ ซักพักเธอก็ให้คำตอบมา
“...ส่วนใหญ่แล้วคนที่จะสามารถอ่านหนังสือได้ก็มักจะเป็นพวกขุนนางที่มีคนสอนให้ หรือไม่พวกจอมเวทย์หรือนักปราชญ์น่ะ”
“เอ๋...แล้วชาวบ้านทั่วไปล่ะคะ”
“แม้จะมีบางคนสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง แต่เพราะต้องทำงานเพื่อหาเงินจึงไม่มีเวลามาเรียนเลยไงล่ะ”
“...เหรอ...คะ?”
คำพูดของผมเริ่มขาดช่วงเดเน่เองก็สังเกตเช่นกัน
“ง่วงแล้วสินะ...”
เธอลุกขึ้นแล้วเดินเอาผ้าเช็ดตัวไปพาดไว้ที่เก้าก่อนจะเดินกลับมาพยุงผมให้ลุกขึ้นแล้วจูงมือไปยังชั้นสอง ทางผมเองเดินตามไปอย่างเบลอๆด้วยความง่วง
เธอเปิดประตูเข้าห้องนอนแล้วพาผมไปนั่งอยู่ที่เตียง
“งั้นก็นอนดีกว่านะ…”
ผมเอนตัวลงนอนตามแรงผลักของผู้พูดจากนั้นจึงขยับตัวเข้าไปให้เจ้าของห้องได้นอนด้วย ดูเหมือนว่าเตียงจะกว้างพอที่จะนอนสองคน เดเน่ทำการจุดตะเกียงวางไว้ที่โต๊ะจากนั้นก็เดินกลับมาดึงผ้าห่มมาห่มให้ผมก่อนจะขยับตัวเข้ามานอนข้างๆ
ผมปิดตาไปเพื่อจะนอนแต่ว่าสมองกลับตื่นตัวอยู่บางส่วนทำให้ไม่สามารถข่มตานอนหลับได้ จู่ๆคำถามที่คาใจผมมาตลอดทั้งวันก็โผล่ขึ้นมาในหัว
“พี่...เดเน่...คะ...”
“ว่าไงเหรอ?”
“มีอะไรจะถามน่ะค่ะ...?”
“ว่ามาสิ...”
“จะมีเด็กเนี่ยต้องทำยังไงเหรอคะ...?”
“เฮ๊ะ!?”
กว่าจะรู้ตัวก็เกิดความเงียบภายในห้อง...
นี่เราถามอะไรออกไปเนี่ย...!!!
“เอ่อ...”
เดเน่สงเสียงลำบากใจก่อนจะปรับท่านอนเป็นตะแคงมาทางผม
“ที่มีเด็กได้เพราะคนสองคนรักกันไงจ๊ะ...”
“เอ่อ...ไม่เห็นจะมีหลักการเลยนะคะ…?”
ผมเองก็หันหน้าไปมองใบหน้าของเดเน่ที่นอนอยู่ข้างๆ เธอเห็นดังนั้นก็ทำสีหน้าลำบากใจออกมาและเริ่มพูดอีกครั้ง
“เฮ้อ...ต้องทำการ ‘แลกเปลี่ยนมาน่า’(พลังเวท/จิตแห่งชีวิต) กับคนที่เรารักใน ‘คืนโลหิต’ น่ะจ๊ะ...”
“เอ่อ...เหมือนจะเข้าใจแต่ไม่ค่อยเข้าใจอ่ะค่ะ...”
ตอนนี้ผมเริ่มง่วงจริงๆแล้ว แต่ยังคงต้องการคำตอบอยู่จึงถามไปอีกสองคำถาม
“แลกเปลี่ยนมาน่า กับ คืนโลหิต คืออะไรเหรอคะ...?”
“คืนโลหิต...ก็คืนที่พระจันทร์เปลี่ยนเป็นสีแดงไงจ๊ะ...”
“...แล้ว...แลกเปลี่ยนมาน่าทำยังไงเหรอคะ?...”
“ก็เรื่องที่คนรักเขาทำกันไงจ๊ะ...”
“...แบบไหนเหรอคะ...”
“แบบที่...ทำกันน่ะ”
“...ไม่ค่อยเห็นภาพเลยค่ะ...”
“อ๊า~! เอาไว้วันหลังจะอธิบายให้ฟังแล้วกัน...วันนี้นอนก่อนเถอะ...นะ”
“...ก็...ได้...ค่ะ...”
สติผมเริ่มเลือนรางเพราะความง่วง...
พระจันทร์สีแดงสินะ...จะว่าไปวันนี้เองก็เป็นสีแดง...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ