สาวโอตาคุกู้วิกฤตพิชิตโลก
เขียนโดย Yaksa
วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 01.14 น.
แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) วิถีชีวิตอันแสนสงบสุข(ได้ไม่นาน)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากมาถึงเมืองนี้ผมก็ใช้ชีวิตในโลกใบนี้มาได้เกือบอาทิตย์แล้ว ช่างเป็นความสงบสุขที่ใฝ่หามานาน ปัจจุบันผมก็ยังอาศัยอยู่กับเดเน่และมีงานทำเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ที่บาร์แห่งหนึ่งในเมือง อันที่จริงก็อยากจะเปิดร้านอาหารเองเสียมากกว่าแต่ติดที่ว่าไม่มีทุนและยังไม่รู้ที่ทางดีนัก
“เจร่า...วันนี้กลับก่อนก็ได้นะ อ๋อ...พรุ่งนี้หยุดนะเพราะร้านปิดน่ะ”
เจ้าของร้านบอกระหว่างที่ผมกำลังเดินนำจากไปล้างในครัว เธอเป็นผู้หญิงอายุราวสามสิบแต่ก็ยังคงดูสาวอยู่
“ค่ะ...งั้นอีกซักพักขอกลับก่อนนะคะ”
“จ๊ะ ส่วนค่าแรงวันนี้...”
เธอเดินมาตรงหน้าผมและหยิบเหรียญ C และ L มาวางไว้บนฝ่ามือ ปกติค่าแรงของผมคือเหรียญ C เพียงเหรียญเดียวซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 100 เหรียญ แต่ในวันนี้กลับได้เหรียญ L เพิ่มมา ทำให้ผมมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย
“ค่าอะไรเหรอคะ”
“อ๋อนี่นะเพิ่มให้เป็นพิเศษน่ะ ยังเด็กอยู่แต่ก็พยายามตั้งใจทำงานดีนะ”
“อ่า..ค่ะ...”
“เห็นแล้วฉันก็อยากมีลูกแบบเธอจังน้า...”
เดเน่เองก็พูดคล้ายๆแบบนี้เลย... เราเนี่ย...น่าเอ็ดดูขนานนั้นเลยเหรอ ควรดีใจไหมนะ?
“ขอบคุณนะคะ ถ้าจัดการจานพวกนี้เสร็จแล้วขอกลับเลยแล้วกันนะคะ”
ว่าแล้วผมก็นำค่าแรงในวันนี้ใส่ลงถุงหนังและเก็บเข้ากระเป๋าข้างเอวก่อนจะนำจานไปล้างที่ห้องครัว เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วผมก็ถอดผ้ากันเปื้อนวางไว้
ตอนนี้ชุดที่ผมสวมอยู่ก็เป็นชุดกระโปรงยาวและสวมเสื้อหนังแขนสั้นทับไว้ช่วงเอวก็มีเข็มขัดสานรัดไว้ แน่นอนว่าทั้งหมดไม่ได้ซื้อมาแต่เป็นของเดเน่ มีเพียงรองเท้าบูทคู่เดิมเท่านั้นที่เป็นของผม
เนื่องจากว่าผมมีชุดเดียวเธอจึงไปค้นชุดเก่าๆที่เธอเคยสวมมาให้ผมได้ใส่ถึงจะเป็นชุดที่เธอเคยสวมในช่วงรุ่นราวคราวเดียวกับผมแต่ผมสวมแล้วมันรู้สึกหลวมพอสมควรเลย
ส่วนผ้าคลุมไหล่สีแดงของเอลเซ่ผมไม่นำมาคลุมไหล่ เพราะในช่วงที่สวมมักจะถูกคนมองแบบเคารพแปลกๆ ผมไม่ค่อยชินกับสายตาแบบนั้นเท่าไหร่จึงเก็บมันไว้ในกระเป๋าข้างเอวตลอดเวลาแทน
ผมกล่าวลาเจ้าของร้านก่อนจะเดินออกมาสู่ถนนยามราตรีเพื่อตรงกลับบ้าน
สำหรับเรื่องการรวบรวมข้อมูล พอลองไปอ่านหนังสือจากหอสมุดหลายๆแห่งก็พบว่ามีบางเล่มซ้ำกันบ้าง แต่ก็ช่วยประหยัดเวลาและทำให้ผมอ่านหนังสือจากทุกหอสมุดเกือบครบทั้งหมดแล้ว
จึงพอจะทราบถึงอะไรหลายๆเรื่องมากขึ้น และได้เป็นคนในโลกนี้เต็มตัวเสียที...คิดว่าอย่างนั้นนะ
ระหว่างที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยผมก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านแล้ว กุญแจถูกหยิบขึ้นมาไขประตูเหมือทุกวันแต่บางครั้งมันก็ไม่ได้ล็อกเหมือนอย่างวันนี้
“กลับมาแล้วค่ะ...”
“อ่า...ยินดีต้อนรับกลับ ทานอะไรมาหรือยัง?”
เดเน่ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่หันมาเอ่ยทัก เธออยู่ในชุดลำลองเพราะกลับมาถึงบ้านก่อน
“ยังเลยค่ะ...วันนี้ไม่มีสอนเหรอคะ?”
ผมถอดรองเท้าเดินเข้าไปวางกระเป๋าที่โต๊ะกลางห้องรับแขก
“อื้ม...วันนี้มีแค่งานบรรณารักษ์น่ะ”
“เหนื่อยหน่อยนะคะ”
“เช่นกันจ๊ะ งั้นเดี๋ยวจะทำอาหารให้นะ”
ว่าแล้วเธอก็วางหนังสือลุกขึ้นเดินไปที่ห้องครัว ส่วนผมก็เดินไปเปลี่ยนชุดที่ห้องนอนจากนั้นจึงหยิบตะกร้าผ้าที่จะซักเดินลงมา ผมนำมันไปวางไว้หลังบ้านก่อนจะกลับมาล้างมือและช่วยเดเน่ทำอาหาร
“จะว่าไป...วันพรุ่งนี้ไม่มีงานน่ะค่ะ”
“อื้ม...พูดถึงเรื่องงานไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
“ค่ะ ก็ปกติดี...”
“คงไม่โดนลูกค้าลวนลามสินะ”
เธอถามพร้อมกับออกแรงสับผักจนกระทบกับเขียงเกิดเสียงดัง
“อ่า...ไม่เจอนะคะ...”
จะว่าไปมีคนแบบนั้นด้วยเหรอ... นึกภาพผู้หญิงทำก็... อืม...
“ถ้ามีปัญหาอะไรบอกพี่สาวได้เลยนะ”
แล้วเธอก็กลับไปทำอาหารต่อ ช่างเป็นคำพูดที่ฟังดูแล้วเหมือนจะเอาจริง
ถึงร้านที่ทำงานอยู่จะเป็นบาร์กลางคืนแต่ผมก็ไม่ได้เข้ากะดึกเสียหน่อย ไม่ทางเกิดปัญหาอะไรแน่นอน อีกเรื่องก็คือไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองคนเดียวหรือเปล่า ในช่วงแรกเดเน่ให้อารมณ์ความเป็นพี่สาวแต่เดเน่ในตอนนี้เหมือนคนเป็นแม่ที่ห่วงลูกสาวมากกว่า
“หืม...มีอะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไรค่ะ...คุณแม่”
“อื๋อ...พูดว่าอะไรรึเปล่า?”
“เปล่านี่คะ...”
ในยามเช้าวันถัดมาผมก็ตื่นขึ้นมาเหมือนปกติ อาบน้ำทานอาหารเช้าแล้วจึงเรียนหนังสือกับเดเน่ในยามว่างเหมือนทุกที พอแต่ทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้วเดเน่ก็ขอตัวออกไปทำธุระทำให้เหลือแต่เพียงผมนอนเล่นอยู่ที่บ้าน
ด้วยความเบื่อหน่ายจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาเดินเล่นนอกบ้านบ้างเช่นกัน ระหว่างเดินเล่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นก็มีเสียงเรียกจากด้านหลัง
“เจร่า...”
เมื่อหันหลังกลับไปก็พบกับรูปร่างอันคุ้นตาและผ้าคลุมอันคุ้นเคย อีกฝ่ายวิ่งเหยาะๆเข้ามาจับมือพร้อมกับส่งสายตาเป็นประกายผ่านใต้ฮู๊ดที่สวมอยู่มาให้ผม
“สวัสดีจ๊ะ...ลิซ่า”
ผมส่งยิ้มอ่อนๆให้อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มกลับมาให้เช่นกัน
“เจร่ากำลังจะไปไหนเหรอ...”
“ก็ออกมาเดินเล่นน่ะ...ยังไม่มีจุดหมายหรอก”
“งั้นฉันก็ไปด้วยคนนะ”
ลิซ่าพูดพร้อมกับจับมือขวาของผมและออกเดิน ถ้านับครั้งนี้ผมก็พบเธอโดยบังเอิญเป็นครั้งที่สามแล้ว
“คุ้นเคยกับเมืองบ้างแล้วสินะ”
“อ่า...สงบสุขดีมากเลยล่ะ”
พวกเราเดินคุยเล่นกันไปจนถึงถนนเส้นหลัก ผู้คนจำนวนมากเดินสัญจรกันไปมาอีกทั้งยังมีทั้งรถลากเคลื่อนผ่านไป ลิซ่าหยุดเดินมองไปรอบๆก่อนจะจดจ้องไปยังประตูเมืองบานใหญ่
“จะว่าไป...ฉันอยากออกไปเดินเล่นนอกเมืองจังนะ...”
ผมมองไปยังปลายสายตาทิศทางเดียวกับลิซ่า
“งั้นก็ไปกันเถอะ...”
กล่าวจบผมก็ดึงมืออีกฝ่ายพาเดินไปยังประตูเมือง แต่เหมือนเธอไม่ค่อยอยากจะเดินผ่านตรงนั้นเสียเท่าไหร่ เพราะเธอพยายามสู้แรงผมโดยการพยายามหยุดเดิน
“เดี๋ยวก่อนๆ ฉันยังไม่อยากผ่าน...ตรงนั้น”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า...ไม่มีอะไรน่ากังวลเสียหน่อย”
“ตะ...แต่”
“อยากจะไปเดินเล่นข้างนอกไม่ใช่เหรอ ฉันเองก็อยากจะไปเหมือนกันแหละ”
ผมพยายามเกลี้ยกล่อมพลางดึงแขนพาลิซ่าเดินไปยังประตูจนในที่สุดก็ยอมชักเท้าออกเดินตามผมมาแต่โดยดี
ที่ด่านประตูเมืองมีกองทหารบางส่วนประจำการอยู่ พวกเราเดินตรงเข้าไปเพื่อจะผ่านทางและออกจากเมืองไปยังด้านนอก หนึ่งในกองทหารมองมายังผมเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“เธอ...”
เมื่อเธอเอ่ยทักออกมาพวกเราจึงหยุดเดิน ลิซ่าได้แต่จับมือผมนิ่งเงียบอยู่ด้านหลัง ผมมองไปยังผู้ที่เอ่ยเรียก เธอมีใบหน้าคุ้นๆเหมือนผมเคยพบมาก่อน
“เธอ...แม่ครัวที่หัวหน้าพามาด้วยสินะ”
จำได้แล้ว...ทหารสาวที่ผมพบครั้งแรกตอนเข้าเมืองมาพร้อมกับพวกเอลเซ่…
“ค่ะ...มีอะไรเหรอคะ...”
“เปล่าหรอก จะไปข้างนอกเหรอ?”
“พอดี...อยากออกไปเดินดูวัตถุดิบที่วางขายด้านนอกน่ะค่ะ”
เป็นคำโกหกและความจริงรวมอยู่อย่างล่ะครึ่ง...ในสายตาเธอคงมองเราเป็นแม่ครัวจริงๆสินะ...
“หืม...แล้วที่มาด้วยนั้นเพื่อน?”
“เอ่อ...เธอค่อนข้างขี้อายน่ะค่ะ...”
พอมองไปยังลิซ่าที่อยู่ด้านหลังเธอก็กำลังก้มหน้าภายใต้ฮู๊ดและบีบมือผมแน่น
“เอ่อ...งั้นขอตัวก่อนนะคะ...”
ผมรีบตัดบทพร้อมกับจูงมือลิซ่าเดินออกมา แม้จะมีสายตาสงสัยจากทหารยามส่งมายังพวกเราบ้างแต่พวกเธอก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ทั้งผมกับลิซ่าจึงเดินออกมานอกเขตเมืองได้อย่างที่หวังไว้
“เอ่อ...ลิซ่าผ่านด่านตรวจมาแล้วนะ”
“ระ...เหรอ?”
เสียงของผมทำให้เธอหยุดเดินแล้วเงยหน้าขึ้นมาอย่างโล่งใจ
“เป็นอะไรไปน่ะ...ก็แค่ผ่านด่านตรวจเท่านั้นเองไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย...หรือว่า...”
“ไม่ๆฉันไม่เคยทำอะไรผิดเลยนะ ...ก็แค่มันจะเป็นเรื่องยุ่งยากน่ะ...”
“ล้อเล่นน่า...ลิซ่าไม่มีทางทำเรื่องอะไรแบบนั้นหรอกเนอะ…”
ผมคว้ามือเธอมาก่อนจะพากันออกเดินไปรอบๆ
พวกเราเดินดูร้านค้าต่างๆที่ตั้งขายของแปลกๆ ผมมองสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนภายนอกแม้จะดูลำบากไปบ้างแต่ก็เป็นชีวิตที่มีความสุขกันดี เศรษฐกิจหลังของเมืองดูเหมือนจะเป็นการค้าขายแลกเปลี่ยนและการทำปศุสัตว์ พอเดินไปไกลๆก็จะมีการทำการเกษตรบ้างบางแห่ง
ตั้งแต่เดินในพื้นที่ภายนอกเมืองมาลิซ่าก็ถอดฮู๊ดมองดูทุกสิ่งอย่างสนใจ ก็สมกับเป็นขุนนางอย่างเธอดี ที่ไม่เคยออกมาเห็นความเป็นอยู่ของผู้คนภายนอกก็ไม่แปลกเท่าไหร่
พวกเราหยุดมองเด็กๆเล็กกันในพื้นที่โล้งอยู่พักหนึ่ง แต่พอพวกเธอสังเกตเห็นลิซ่าก็เข้ามาชวนเธอไปร่วมเล่นด้วย เธอก็ตอบตกลงยิ้มแป้นแล้วคว้ามือผมไปเล่นกับเด็กกลุ่มนั้น
ลิซ่าวิ่งเล่นกับเด็กพวกนั้นอย่างสนุกสนาน ส่วนผมก็หาที่นั่งเล่นกับเด็กๆแทนเพราะไม่มีพลังกายมากพอจะวิ่งไหว เพราะไม่รู้จะเล่นอะไรดีผมจึงหานิทานมาเล่าให้พวกเธอฟังแทนซึ่งก็ได้ผลดีพอสมควรเลย
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจำนวนของเด็กสาวกลับมากขึ้นอาจเพราะว่าพวกเราสามารถดึงเด็กๆเข้าหาได้ง่ายล่ะมั้ง จนดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงเรืองรองลิซ่าเดินหอบมาหาผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสดใส
“เป็นไงบ้าง...”
“สนุกมากเลยล่ะ...”
“อื้ม! ดีแล้วล่ะ...นี้ก็สามโมงกว่าแล้วพวกเรากลับกันเลยไหม”
“นั้นสินะ...เด็กๆจ๊ะวันนี้พี่สาวกลับก่อนนะ”
เด็กสาวบางคนก็มีสีหน้าเสียใจบ้างที่พวกเรากำลังจะกลับกัน ลิซ่าจึงย่อตัวลงและลูบตัวเด็กคนนั้น
“เอาไว้ถ้าพี่สาวว่างเมื่อไหร่จะกลับมาเล่นด้วยนะ”
แล้วเธอก็ส่งยิ้มให้ก่อนจะลุกขึ้นโบกมือลาเหล่าเด็กสาวกลุ่มนั้นผมเองก็เช่นกัน หลังจากออกเดินมาก็กลับสู่ย่านการค้าอีกครั้ง พอมองไปรอบๆก็เห็นพวกวัตถุดิบวางขายอยู่ซึ่งพอดีเลยกับการเลือกซื้อวัตถุดิบไปทำมื้อเย็น
ผมชวนลิเซ่เข้าไปเลือกซื้อวัตถุดิบเหล่านั้น เธอดูตื่นตากับสิ่งที่เรียงรายอยู่บนแผงลอย สายตาของผมมองไปเห็นผลไม้สีแดงที่วางขายอยู่จึงหยิบมาดู เผื่อจะคิดอาหารที่เหมาะแก่การใช้สิ่งนี้ทำ
“คุณป้าคะ...ผลเท่าไหร่คะเนี่ย…”
จะว่าไปไม่มีป้ายบอกราคาเขียนไว้ที่ไหนเลยแฮะ...
“ผลล่ะ2เหรียญจ๊ะ”
ถุงหนังถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าข้างเอว ผมเปิดมันเพื่อจะควานหาเหรียญมาจ่าย เหรียญสลักตัว I สองเหรียญถูกวางลงบนฝ่ามือของหญิงสูงวัย
ผมอ้าปากกัดผลไม้สีแดงในมือ มันมีรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ
เหมาะนำไปทำแกงกระหรี่นะเนี่ย...แต่ต้องทำพวกโยเกิร์ตด้วยสินะ...
“เป็นไงบ้าง?”
ลิซ่าเอ่ยถามผมด้วยความสนใจผมจึงยืนแอปเปิ้ลให้เธอ อีกฝ่ายเห็นดังนั้นก็อ้าปากกัดจากมือผมทั้งอย่างนั้น
“อืมๆ... หวานดีนะ...”
“นั้นสินะ...ถ้าทำแกงกระหรี่เนี่ยคงจะเข้ากันดีทีเดียวเลยล่ะ”
“จะว่าไปทหารที่ด่านประตูเมืองก็เรียกเจร่าว่าแม่ครัวใช่ม้า...เจาร่าทำอาหารอร่อยไหม?”
“อืม...ถ้าถามว่าอร่อยไหม ก็คงตอบว่าอร่อยนะแต่ไม่รู้จะถูกปากรึเปล่าน่ะ”
ผมกล่าวพร้อมกับกัดแอปเปิ้ลในมือ
“วันหลังทำให้ฉันทานบ้างสิ…”
“อื้ม...ได้สิ”
หลังจากเลือกซื้อวัตถุดิบมาพอสมควรแล้วผมก็ประคองถุงกระดาษเดินตรงกลับไปภายในเมืองทันที ลิซ่าดึงฮู๊ดขึ้นมาคลุมศีรษะอีกครั้งเมื่อใกล้จะถึงประตูเมือง
เราเดินผ่านไปอย่างไม่คิดอะไรแต่ก็มีเสียงเรียกผมดังขึ้นมานักรบในชุดเกราะ
“เจร่า?”
“ค่ะ?”
ผมหันไปมองผู้เรียกอย่างสงสัย อีกฝ่ายเห็นสีหน้าของผมก็ถอดหมวกเหล็กออกให้เห็นใบหน้าภายใต้นั้น
“อ่ะ...คุณเอลเซ่...”
ทันทีที่เห็นผมสีเงินเป็นประกายและใบหน้าอันคุ้นเคยนั้นผมก็ตรงเข้าไปหาเธอ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เป็นยังไงบ้างล่ะ...”
“ก็ดีค่ะ...สบายดี...คุณเอลเซ่ล่ะคะ”
“ก็เรื่อยล่ะนะ เดินตรวจตรา คุมกองทหาร แล้วก็ยังมีฝึกซ้อมอีก...”
“ลำบากแย่เลย...เหนื่อยหน่อยนะคะ…”
ผมก้มหัวให้เธออย่างเคารพ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเอลเซ่เองก็สงสัยผู้ที่ยืนหลบอยู่ข้างหลังผม
“อะ...อ๋อ นี่เพื่อนของฉันเองค่ะ เธอเป็นคนขี้อายน่ะค่ะ”
“...สวัสดีค่ะ...”
ลิซ่ากล่าวทักทายพร้อมทั้งก้มหัวให้แต่เพราะเธอสวมฮู๊ดอยู่เอลเซ่จึงมองไม่เป็นใบหน้าของเธอ
“สวัสดีเช่นกันจ๊ะ...”
ในตอนแรกผมก็คิดว่าจะอยู่คุยกับเอลเซ่ต่ออีกซักเล็กน้อยแต่ว่าลิซ่าพยายามดึงเสื้อผมเป็นการบอกว่า ‘อยากรีบไปจากตรงนี้แล้ว’
“ยังไงก็ขอตัวก่อนนะคะ...”
“อืม...รักษาตัวด้วยล่ะ”
ผมจึงใช้มือว่างอยู่คว้ามือขอลิซ่าออกเดิน แต่ยังไม่ทันจะพ้นประตูเมืองก็มีเสียงดังเอะอะมาจากด้านหลัง พอมองกลับไปก็พบว่ามีนักรบควบม้าวิ่งมารายงานอะไรบางอย่างให้เอลเซ่ทราบ
ท่าทางดูจะเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร ผมจึงบอกให้ลิซ่ากลับไปก่อนแล้วจึงเดินกัลบไปหาเอลเซ่
“มีอะไรกันเหรอคะ...”
“หน่วยตรวจตราพบว่า...กองทัพออร์คกำลังตรงมายังเมืองนี้นะ”
“ว่ายังไงนะคะ!... แล้วจะทำยังไงคะเนี่ย...”
ถ้าผมไม่ศึกษาข้อมูลในโลกนี้ไว้บ้างคงไม่ตกใจอะไร แต่ตอนนี้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆแล้ว
“คงต้องอพยพชาวบ้านเข้ามาหลบหลังกำแพงก่อนล่ะนะ”
กล่าวจบเอลเซ่ก็สั่งการให้ทหารไปช่วยอพยพชาวบ้านเข้ามาในเมืองและติดต่อเรียกกองกำลังทหารที่อยู่ในค่ายให้มาสนับสนุน ทุกๆอย่างเริ่มวุ่นวายไปหมด
“มีอะไรกันเหรอ?”
ลิเซ่เอ่ยถามจากด้านหลัง
ว่าแต่เธอยังไม่กลับไปอีกเหรอเนี่ย...
“เอ่อ...กองทัพออร์คกำลังตรงมาที่เมืองน่ะ”
“แย่แล้วสิ เอลเซ่สั่งการอะไรไปบ้างแล้วล่ะ...”
“อ่ะเอ่อ...ก็อพยพชาวบ้านแล้วก็เรียกกำลังเสริม”
อื๋อ...เมื่อครู่เหมือนจะมีอะไรแปลกๆในบทสนทนานะ...
“แล้ว...กองทัพออร์คพวกนั้นเดินทางมาถึงตรงไหนแล้วล่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือมกัน...”
คำตอบนั้นของผมทำให้ลิซ่าเดินตรงผ่านผมไปเหมือนเธอกำลังตรงไปยังคนส่งข่าวที่อยู่หลังม้า ผมรีบวางถุงกระดาษที่ใส่วัตถุดิบไว้ที่ม้านั่งของพวกทหารยาม ก่อนจะเดินตามลิซ่าไป
“กองทัพออร์คอยู่ห่างเราแค่ไหน?”
ลิเซ่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปทำให้เอลเซ่ที่กำลังคุยกันอยู่กับคนส่งข่าวทำสีหน้าแปลกใจขึ้นมา
“นี่เธอ...เรื่องนี้มันอันตรายนะ เด็กน่ะควรกลับบ้านดีกว่านะ”
คนส่งข่าวเห็นลิเซ่ก็พูดออกมาแบบนั้น เอลเซ่เองก็เห็นด้วย
“นั้นสิ...เรากลับเข้าไปในเมืองกันก่อนดีกว่านะ...”
แน่นอนว่าผมเห็นด้วย ระหว่างที่ผมกำลังดึงแขนของลิซ่าเพื่อให้เธอเดินตามผมมาแต่เธอไม่ขยับไปไหนยังคงเอ่ยซ้ำในคำถามเดิม ซึ่งทำให้นักรบเกราะบนหลังม้าลงมาเพราะหมดความอดทน
“นี่เด็กน้อย...ถ้าคิดว่านี้เป็นเรื่องเล่นๆล่ะก็...กลับบ้านไปดีกว่านะ”
“นั้นสินะกลับเข้าไปในเมืองกันเถอะ...”
ระหว่างที่กำลังต่อล้อต่อเถียงกันอยู่กำลังเสริมก็มาถึง เอลเซ่สั่งการทั้งหมดนั้นในทันที แต่ก็มีบางคนที่เดินตรงเข้ามาหาพวกเราที่ยืนอยู่อีกทั้งยังเป็นเกราะที่ดูคุ้นตาหนึ่งในนักรบสาวเดินเข้ามาพูดคุยกับเอลเซ่แต่เมื่อสังเกตเห็นผมก็เอยทักขึ้นมา
“เจร่าไม่ใช่เหรอ? ไม่เจอกันนานนะ”
เพราะผ้าคลุมไหล่ที่อีกฝ่ายสวมอยู่ผมจึงรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร
“คุณโลเรนเหรอคะ?”
“อืม...ใช่ อีกสามคนก็มานะ”
เธอผายมือไปยังอีกสามคนด้านหลัง เผยให้เห็นร่างนักรบในชุดเกราะเหล็กที่ผมเคยร่วมเดินทางด้วย
“เรื่องทักทายเอาไว้ก่อนนะ เจร่าพาเพื่อนกลับเข้าเมืองไปก่อนเถอะ...”
เอลเซ่รีบรวบบทสนทนาให้สั้น
“คะ...ค่ะ...ลิซ่าไปกันเถอะ”
ผมกำลังจะออกแรงดึงข้อมือของลิซ่าให้เดินตามแต่ทุกคนในที่ต่างส่งเสียงแปลกๆออกมา ประมาณว่า ‘เอ๊ะ!?’ แล้วยืนนิ่งไป
“เป็นอะไรไปเหรอคะทุกคน…?”
“...เอ่อ...เธอคนนี้ชื่ออะไรนะ?”
“ลิซ่าน่ะค่ะ...? ทำไมเหรอ?”
ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างรีบถอดหมวกเหล็กออกและคุกเข่าก้มหน้าลงกับพื้น พร้อมกับวางวางอาวุธไว้ข้างกาย
“ขออภัยที่เสียมารยาทค่ะ...ท่านลิซ่า!”
เอลเซ่เอ่ยออกมาทั้งๆที่ยังคงคุกเข่าอยู่ ผมที่กำลังมึนงงกับสถานการณ์ตรงหน้าอยู่นั้นก็ได้แต่เงอะๆงะๆไม่รู้ว่าควรจะทำตามพวกเอลเซ่ดีไหม
“ยืนขึ้น...”
ลิซ่ากล่าวพร้อมกับถอดฮู๊ดที่สวมอยู่ออกและสะบัดเส้นผมออกมา ทุกคนต่างยืนขึ้นมาและมองมายังผู้ออกคำสั่ง
“ข้า... ลิซ่า อาร์ แดฟโฟดิล องค์หญิงลำดับที่ 7 จะขอรับช่วงต่อในการสั่งการทั้งหมดเอง”
“ค่ะ!!!!!”
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ตะโกนตอบรับอย่างสุดเสียง ลิซ่าหันมาจับมือผมพลางยิ้มออกมา
“ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก...”
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ...”
อ๊า~ ขาเหมือนกำลังหมดแรงเลยแฮะ... ชักจะยืนไม่อยู่แล้วสิ...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ