สาวโอตาคุกู้วิกฤตพิชิตโลก
เขียนโดย Yaksa
วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 01.14 น.
แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) เที่ยวชมเมืองกับหญิงสาวปริศนา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“เจร่าทานข้าวเสร็จแล้วจะทำอะไรต่อเหรอ? ไปข้างนอกรึเปล่า?”
เดเน่ถามพร้อมกับตักอาหารในจานเข้าปาก ส่วนผมก็ลดช้อนลงเพื่อตอบคำถาม
“คิดว่าจะไปรวบรวมข้อมูลจากหอสมุดเหมือนเดิมล่ะมั้งคะ”
“มุ่งมั่นที่จะหาความรู้จังเลยนะ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ...”
พอพวกเราทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการรวบรวมจานไปล้างที่อ่างไม้เหมือนเมื่อวาน แต่ก็พบว่าน้ำในอ่างเหลือน้อย
“พี่เดเน่คะ น้ำหมดแล้วล่ะค่ะ...”
“อ๊ะ…ลืมไปเลยวางไว้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่ไปตักน้ำมาให้นะ”
ว่าแล้วเธอก็เปิดประตูห้องครัวไปทางหลังบ้านก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับถังไม้ที่มีน้ำอยู่เต็มถัง
“เมืองนี้ไม่มีการใช้น้ำประปาเหรอคะ”
“ค่าติดตั้งมันแพงน่ะสิ ส่วนใหญ่บ้านที่มีก็เป็นพวกขุนนาง เศรษฐี หรือไม่ก็แม่ค้าที่ทำร้านอาหาร”
เธออธิบายพร้อมกับยกน้ำมาตักใส่อ่างไม้ให้ ส่วนผมก็หยิบจานมาล้างเช่นกัน
“แล้วก็อีกเรื่องนะ...พอดีวันนี้พี่ต้องไปสอนหนังสือน่ะ”
“งั้นเหรอคะ...แล้วหอสมุดมีคนดูแลแทนให้เหรอคะ?”
“อื้ม...อ๊ะ...เดี๋ยวเอากุญแจสำรองบ้านไว้ด้วยนะ”
“เอ๊ะ! ทำไมเหรอคะ?”
ผมล้างจานเสร็จพอดีจึงหันไปถามพร้อมกับเช็ดมือ
“ก็เผื่อว่าเจาร่าจะกลับมาก่อนไงล่ะ”
“เอ่อ...หมายถึงว่าจะให้ฉันพักอยู่ที่นี่ต่อเหรอคะ”
“ใช่สิ จะให้เด็กสาวอายุน้อยๆไม่มีที่พึ่งไปลำบากได้ยังไงกัน”
เดเน่พูดพลางใช้มือลูบหัวผมเบาๆอย่างอ่อนโยน
เราดูน่าสงสารขนาดนั้นเลยเหรอคะเนี่ย...
“ใจกว้างจังเลยนะคะ...”
“เจร่าอยู่ด้วยแล้วรู้สึกเหมือนมีน้องสาวเลยน่ะ”
แล้วเธอก็เดินไปหยิบกระเป๋าหนังพาดไหล่ขึ้นมาสะพายขึ้นบ่า จากนั้นจึงหยิบหนังสือตำราเล่มหนาๆสองเล่มขึ้นมาถือไว้ ผมเองก็เดินไปหยิบผ้าคลุมไหล่ของเอลเซ่มาสวมเช่นกันส่วนผ้าคลุมไหล่ผืนแรกที่มีผมก็พับมันเก็บไว้ในกระเป๋า
หลังจากสำรวจสิ่งของในกระเป๋าแล้วผมก็นำมันขึ้นมาคาดเอวแล้วเดินตามเดเน่ออกไปยังประตูบ้าน เธอปิดแล้วทำการล็อกประตูจากนั้นก็ส่งกุญแจเหล็กมาให้ ผมจึงแบมือรับมาแต่จังหวะที่กำลังจะเก็บลงกระเป๋าไปเดเน่ก็ทักให้หยุดก่อน
“อ๊ะ! รอเดี๋ยวนะ...”
ก็หยิบเหรียญแวววาวสีเงินมาวางไว้บนมือด้วย มันกระทบกับกุญแจจนเกิดเสียงทื่อๆ บนเหรียญสลักตัวอักษร C เอาไว้ ผมเคยเห็นโลหะชนิดนี้มาหลายต่อหลายครั้งจึงรู้ได้ทันทีว่ามันทำมาจากสแตนเลส
“เอ่อ...นี่น่ะ...คือ”
“กว่าพี่จะกลับก็เย็นๆแล้วน่ะ มื้อเที่ยงทานตามร้านอาหารก็แล้วกันนะ”
“แต่มันออกจะมากไปหน่อยรึเปล่าคะ...”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกจ้า”
อีกฝ่ายพูดพร้อมกับกุมมือผมให้รับมันไว้
“งั้นก็ขอขอบคุณนะคะ…”
เธอยิ้มรับคำขอบคุณของผม จากนั้นจึงหยิบแว่นมาสวมที่สันจมูก
“งั้นพี่สาวไปก่อนนะ แล้วเจอกันตอนเย็นนะจ๊ะ”
“ค่ะ!”
ผมมองส่งเธอซักพักก่อนจะหันหลังเดินไปยังจุดหมายของตนเอง
“...ชักหิวแล้วสิ...”
ผมละสายตาจากตัวอักษรพร้อมกับวางปากกาในมือ และบิดขี้เกียจเล็กน้อย
หลังจากใช้เวลากว่าห้าชั่วโมงอ่านหนังสือในหอสมุดผมก็อ่านหนังสือทั้งหมดในห้องแรกจนครบแล้ว
ก่อนจะกลายมาเป็นโอตาคุผมเคยเป็นเด็กเรียนมาก่อนเพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยในการจะอ่านหนังสือทั้งหมดด้วยความเร็วระดับนี้ และผมคิดว่าพอจะมีเป้าหมายในช่วงนี้แล้วคืออ่านหนังสือทั้งหมดในหอสมุดรวมถึงหอสมุดแห่งอื่นด้วย
ผลจากความพยายามจากการอ่านหนังสือตลอดครึ่งวันคือผมพบแผนที่แสดงแผนผังของเมืองอยู่ในตำราเล่มเก่าๆ ครั้นจะหยิบไปเลยก็ดูจะไม่ดีผมจึงใช้ปากกาและกระดาษที่มีอยู่ทำการลอกมันลงไป
หลังจากเก็บหนังสือเข้าที่เดิมของมันผมก็เก็บสัมภาระของตนเข้ากระเป๋าแล้วเดินออกมาจากหอสมุดพร้อมแผนที่ในมือ เนื่องจากไม่รู้ที่ทางของเมืองผมจึงเดินไปเรื่อยพลางเช็คความถูกต้องของแผนที่ในมือไปด้วย
ระหว่างเดินไปตามทางนั้นผมก็มองหาร้านอาหารไปด้วย แต่เพราะสายตาอยู่ที่อื่นซ้ำยังยกแผนที่ขึ้นมาบังทางตรงหน้าอีกด้วย ผมจึงชนเข้ากับคนที่อยู่ตรงหน้า
“ว๊าย~!”
“หวา~”
พวกเราล้มลงไปวัดพื้นแต่ผมกลับไปรู้สึกเจ็บมากเท่าไหร่
อย่าบอกนะว่า...
ผมค่อยเปิดตาขึ้นมามองภาพตรงหน้า แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ผมล้มทับอีกฝ่ายอยู่จึงรีบลุกขึ้นมานั่งและสะกิดเรียกอีกฝ่าย
“ขะ...ขอโทษค่ะ บาดเจ็บตรงไหนไหมคะ”
เธอค่อยๆลุกขึ้นมานั่งกับพื้นแล้วจ้องมองใบหน้าของผม ก่อนจะเอื้อมมือมายังใบหน้าของผม ด้วยความตกใจผมรีบหลับตาลงแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงค่อยๆเปิดตาอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ดินเปื้อนผมหมดแล้วนะ”
เธอค่อยๆใช้มือปัดผมและเสื้อผ้าให้ เห็นดังนั้นเองก็รีบกล่าวขอโทษออกไป
“ขอโทษที่ชนจนล้มทับนะคะ”
“ไม่เป็นไรๆ ฉันเองก็รีบวิ่งจนไม่ได้ดูทางด้วยล่ะนะ”
หญิงสามผมชมพูอมม่วงเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มๆ พวกเราลุกขึ้นมาจากพื้นและสำรวจร่างกายกันซักเล็กน้อย เมื่อยืนในระดับเดียวกันแล้วก็พบว่าพวกเราสูงไม่ต่างกันมากนัก ผมจ้องมองไปยังใบหน้าของเธอที่งดงามราวกับหลุดมาจากเทพนิยาย
“เธอ...ไม่ใช่คนในเมืองนี้สินะ”
อีกฝ่ายเอ่ยถามพลางก้มหยิบแผนที่ของผมบนพื้นขึ้นมาดูก่อนจะส่งคืนให้
“ค่ะ เพิ่งมาถึงเมื่อวานเองค่ะ”
ผมรับคืนมาและพับมันให้เล็กลง
“เอ่อ...ถ้าไม่มีอะไรก็ขอตัวก่อนนะคะ ยังไงก็ขอโทษจริงๆค่ะ”
พอพูดจบผมก็รีบชักฝีเท้าเดินผ่านอีกฝ่ายออกมาทันที หลังจากเดินไปได้ไม่ถึงห้าวิก็ได้ยินเสียงวิ่งมาจากด้านหลัง จากนั้นเจ้าของฝีเท้านั้นก็เข้ามาควงแขนผม
“เดี๋ยวสิ! วันนี้ว่างไหมล่ะ....ไปเดินเที่ยวด้วยกันดีไหม”
เธอคนเมื่อครู่ดึงฮู๊ดที่ติดกับผ้าคลุมยาวขึ้นมาสวมก่อนจะชำเลืองสายตาไปทางด้านหลังเล็กน้อย ผมเองก็พยายามมองตามสายตาของเธอแต่ก็โดนดึงแขนให้เดินไปเสียก่อน
“ชวนคนไม่รู้จักไปเที่ยวเนี่ย จะไม่เป็นไรเหรอคะ?”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ~”
“แล้วจะไปไหนเหรอคะ?”
หวังว่าคงไม่มีปัญหาอะไรตามมานะ...
“อืม...ไม่รู้สิ”
“อ้าว! เป็นฝ่ายชวนแต่ไม่รู้เนี่ยนะคะ”
รู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมายังไงก็ไม่รู้สินะ…
“งั้นก่อนอื่น...หาอะไรอร่อยๆกินกันก่อนจะดีไหมคะ”
ข้อเสนอของผมทำให้อีกฝ่ายพอจะคิดจุดหมายได้บ้างแล้ว เธอจึงควงแขนผมไปทั้งอย่างนั้น ส่วนผมก็กางกระดาษอีกครั้งเพื่อจะได้สำรวจความถูกต้องของแผนที่
แล้วพวกเราก็มาถึงร้านอาหาร ถึงจะเรียกว่าอาหารแต่ทั้งร้านก็เหมือนเป็นเบเกอรี่เสียมากกว่า ผมพับกระดาษในมือและเก็บมันลงกระเป๋าไปก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายผู้ซึ่งควงแขนผมมาตลอดทางเข้าไปในร้าน
พนักงานส่งเอ่ยตอนรับทันทีที่เสียงกระดิ่งติดประตูดังขึ้น เมื่อเดินเข้ามาเราก็เดินเข้าไปเลือกขนมปังรูปร่างต่างๆที่วางเรียงรายอยู่ในตู้กระจก
“วาฟเฟิลนะคะแล้วก็ขอนมอีกหนึ่งแก้วด้วยค่ะ เธอจะเอาอะไรไหม”
อีกฝ่ายหันมาถามผมที่ยืนเลือกอยู่ข้างๆ
“เอาเป็นแพนเค้ก...เครื่องดื่มขอเป็นกาแฟก็แล้วกันค่ะ”
พนักงานใช้เหล็กคีบสิ่งที่เราสั่งไปจากในตู้กระจกมาจัดแจงลงจานและชงเครื่องดื่มรินลงแก้ว ก่อนจะยกถาดที่มีรายการอาหารของพวกเราทั้งสองมาวางให้ที่เคาน์เตอร์
“ทั้งหมดก็ 30 เหรียญค่ะ”
“เดี๋ยวฉันจ่ายให้ก็แล้วกันนะ”
เธอพูดพร้อมกับหยิบเหรียญตัว L มาจ่าย ผมจึงกล่าวขอบคุณและหยิบถาดที่มีแพนเค้กของตัวเองเดินนำไปนั่งยังโต๊ะตัวในสุด ไม่นานนักอีกฝ่ายก็เดินตามมานั่งลงตรงข้ามผมและถอดฮู๊ดออกพลางสะบัดผมไปมา
“ลิซ่า...”
ผมทำสีหน้างุนงงขึ้นมาขณะกำลังงับซ้อมที่จิ้มแพนเค้กอยู่
อ๊ะ... ไม่ค่อยหวานเลยแฮะ ไม่ได้ใช้พวกน้ำตาลมากนักสินะ...
“ชื่อของฉันน่ะ... ลิซ่า อาร์ แดฟโฟดิล”
“ชื่อยาวจังนะคะ...ฉันเจร่าค่ะ”
“อื้ม... แล้วนามสกุลล่ะ?”
“เอ่อ... ฉันไม่มีน่ะค่ะ”
หลังจากผมรวบรวมข้อมูลมาตลอดทั้งวันก็พบว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับการที่ไม่มีนามสกุล เพราะผู้ที่มีนั้นจะมีก็เพียงตระกูลขุนนาง อัศวินระดับสูง หรือคนบางกลุ่มเท่านั้น ข้อมูลนี้ทำให้ผมไขข้อข้องใจในคำถามของเดเน่ที่ถามเมื่อวาน
งั้นก็หมายความว่าลิซ่าเป็นขุนนางสินะ...
“แต่ผ้าคลุมไหล่นั้น...ฉันคิดว่าเธอเป็นน้องสาวของอัศวินเสียอีก”
“ไม่หรอกค่ะ ได้รับมาจากคนรู้จักน่ะ”
เธอส่งเสีย ‘หืม’ ในลำคอพลางตัดวาฟเฟิลเป็นชิ้นพอดีคำแล้วก็ส่งมันเข้าปาก
“ว่าแต่พูดสุภาพจังนะ พวกเราอายุเท่ากันไม่ต้องสุภาพนักก็ได้”
“งั้นเหรอ?”
ลิซ่ายกนมในแก้วขึ้นมาดื่ม ผมเองจึงยกกาแฟขึ้นมาดื่มบ้างเช่นกัน แต่ทันทีที่ผมยกมันขึ้นมาจิบลิซ่าก็ทำสีหน้าแปลกๆ
“เป็นอะไรเหรอ?”
“เธอดื่มมันได้ไงอ่ะ”
“หมายถึงกาแฟนี้สินะ...ก็ไม่แปลกเท่าไหร่นี่”
ว่าแล้วผมก็จิบให้อีกฝ่ายดูหนึ่งอึก
“แต่มันขมมากเลยนะ”
“เหรอ...? เอสเพรสโซหรือกาแฟสงสัยดำคงจะดื่มไม่ไหวสินะ”
“อื้ม...แล้วเอซาเพนโซคืออะไรอ่ะ”
“แล้วลาเต้หรือมอคค่าล่ะ ดื่มได้ไหม?”
“อะ...เอ่อ... คืออะไรเหรอ?”
“กาแฟผสมนมน่ะ ถึงจะขมอยู่บ้างแต่ก็ยังหวานอยู่นะ”
“เห...แต่ถ้านำมาผสมกันแบบนั้นออกจะ...”
“ถ้าอย่างนั้น...”
ผมลุกขึ้นเดินไปหาพนักงานที่เคาน์เตอร์จากนั้นจึงถามถึงกาแฟลาเต้ แต่อีกฝ่ายก็ทำสีหน้างุนงงผมจึงเปลี่ยนมาสั่งนมร้อนและกาแฟอย่างล่ะแก้วแทน
“10 เหรียญสินะคะ”
หลังจากจ่ายเงินไปแล้วผมก็ยกแก้วทั้งสองกลับไปหาลิซ่าที่โต๊ะ เมื่อวางแก้วทั้งสองลงบนโต๊ะเธอเองก็ทำสีหน้าสงสัยออกมาอีกครั้ง ผมเทกาแฟลงแก้วของตัวเองส่วนหนึ่งก่อนจะนำนมร้อนเทลงไปในกาแฟถ้วยใหม่
เพราะเคยทำงานร้านกาแฟทักษะนี้จำเป็นผลพลอยได้จากงานไปโดยปริยาย ไม่นานก็เกิดภาพหัวใจปรากฏขึ้นบนถ้วยกาแฟ สำหรับผมลาเต้อาร์ตก็ทำได้แค่ไม่กี่รูป
“ว้าว! ดูน่าดื่มมากเลยนะ”
แล้วผมก็วางกาแฟแก้วนั้นให้ลิซ่าก่อนจะนั่งลงที่เดิมของตน อีกฝ่ายจดๆจ้องอยู่นานสองนานไม่รู้ว่าเพราะเสียดายหรือเพราะยังฝังใจในรสชาติของมัน
“ไม่ลองดื่มดูเหรอ?”
ผมถามออกไปพลางจิ้มแพนเค้กเข้าปาก เธอค่อยใช้สองมือประคองมันขึ้นมา
“อือ~ อ่า~”
พอส่งเสียงแปลกๆออกมาเธอก็ปิดตายกมันขึ้นจิบ ผ่านไปไม่กี่วิลิซ่าก็ยกมันขึ้นดื่มทั้งอย่างนั้นก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะ
“อร่อยจัง...ได้กลิ่นกาแฟก็จริงแต่หวาน...”
“ทำง่ายๆ เด็กก็ดื่มได้...อันที่จริงมอคค่าจะหวานเหมาะกับเธอมากกว่านะ”
“พอได้ยินอย่างนี้ก็อย่างจะลองขึ้นมาเลยล่ะ อ่า...นี้สินะรสชาติแบบผู้ใหญ่”
ลิซ่าพูดเหมือนวัยรุ่นที่สามารถดื่มเหล้าได้แล้วออกมา จากนั้นก็ลาเต้ขึ้นจิบอีกครั้งด้วยสีหน้าสดใส
“ว่าแต่เผลอไปดื่มกาแฟมาตอนไหนล่ะ ถึงได้ฝังใจขนาดนั้น”
“ก็...เห็นทะ... คุณพ่อดื่มน่ะก็เลยลองบ้างผลก็อย่างที่เห็นเลยน่ะ”
“อื้อ? คุณพ่อ…”
“อืมคุณพ่อชอบดื่มน่ะ”
ในโลกที่ไม่มีผู้ชายแบบนี้ก็ยังไงเรียกผู้ให้กำเนิดว่าพ่อแม่อยู่สินะ สงสัยต้องศึกษาเพิ่มเติมเสียแล้วสิ
หลังจากคุยเล่นกันอยู่นานพวกเราก็เดินออกจากร้านมา ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงอ่อนลงคาดว่าเวลาคนประมาณเกือบบ่ายสองแต่เพื่อความแน่ใจผมจึงหยิบนาฬิกาออกมาเช็คเวลาให้แน่นอน
บ่ายสอง...กลับไปที่หอสมุดเลยดีไหมนะ...
“ลิซ่าจะไปไหนต่อรึเปล่า?”
“ก็ไม่มีจุดหมายอะไรพิเศษนะ...เจร่าล่ะ?”
เธอถามกลับพร้อมกับสวมฮู๊ดอีกครั้ง ส่วนผมก็คิดพลางเก็บนาฬิกาลงกระเป๋า
“คิดว่าจะกลับไปอ่านหนังสือที่หอสมุดน่ะ”
“...อ่านหนังสือสินะ...ไปเดินเที่ยวเล่นกันดีกว่านะฉันว่า”
นี่เธอเป็นพวกขี้เกียจเรียนหนังสือสินะ เอาเถอะพักสมองซักวันก็ดีไม่น้อยเลย...
“เอาสิ...ฉันเองก็ไม่ใช่คนในเมืองนี้ เดินเที่ยวเล่นเพื่อได้จำทางได้บ้าง”
อีกจุดเป้าหมายของผมคือจะได้ตรวจเช็คและเขียนตำแหน่งต่างๆของเมืองในแผนที่ด้วย
“งั้นก็ไปกันเลยเนอะ”
ลิซ่าเข้ามาควงแขนผมอีกครั้งและออกเดินไปอย่างเริงร่า
พวกเราเดินเที่ยวไปตามที่ต่างๆอย่างย่านการค้าที่จะมีร้านตั้งอยู่มากมายทั้งแบบนั่งร้านและอาคาร โบสถ์ ตอนแรกตั้งใจจะเข้าไปเพราะสงสัยแต่ก็โดนลิซ่าลากไปเสียก่อน ค่ายทหาร พวกเราไปยืนมองเหล่ารักรบสาวฝึกซ้อมกันก่อนจะเดินออกมา เพราะลิซ่าทำทีจะเข้าไปร่วม
แต่ไม่ยักกะเห็นพวกเอลเซ่แฮะ...
พอเริ่มเหนื่อยพวกเราก็ไปพักที่ลานน้ำพุกลางเมือง และจะเห็นทั้งครอบครัวหรือคู่รักมานั่งอยู่รอบๆเยอะพอสมควร แน่นอนว่าที่กล่าวมาเป็นผู้หญิงทั้งหมด
ซึ่งผมก็อิ่มเอมกับภาพดังกล่าวอย่างเต็มที่โดยเฉพาะในตอนที่มีคู่รักคู่หนึ่งกอดกันก่อนจะเปลี่ยนไปทำในสิ่งที่คู่รักมักทำกัน ภาพนั้นทำเอาลิซ่าอายม้วนกันเลยทีเดียว
อ่า~... ช่างเป็นโลกที่สงบสุขจริงๆ...
ด้วยความที่มีร่มเงาของต้นไม้เยอะมากเป็นพิเศษพวกเราจึงเผลองีบหลับกันไป กว่าจะตื่นขึ้นมาดวงอาทิตย์ก็ทอแสงสีทองออกมาเสียแล้ว
“ลิซ่า... ลิซ่าตื่นสิ”
ผมพยายามปลุกลิซ่าอยู่นานกว่าอีกฝ่ายจะตื่นก็กินเวลาไปร่วมนาที
“อ่า...กี่โมงแล้วเหรอ?”
“เอ่อ...”
นาฬิกาพกถูกหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วเปิดออกเพื่อผมจะได้ทราบเวลา
“สี่โมงครึ่ง...”
“อ๊า! แย่แล้วสิ”
ลิซ่าลุกพรวดขึ้นมาจากม้านั่งก่อนจะหันมาหาผม
“ขอโทษนะเจร่า ฉันขอกลับก่อนนะ...”
“อะ...อืม...”
“แล้วเจอกันนะ”
เธอโบกมือให้ก่อนจะวิ่งหายลับไปทั้งๆอย่างนั้น ส่วนผมก็ค่อยๆลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจเล็กน้อยแล้วจึงมองไปยังทิศทางที่ลิซ่าวิ่งไป ที่ปลายสายตาของผมนั้นก็เห็นหน้าผาสูงสะท้อนกับแสงอาทิตย์เรืองรองและเมื่อลากสายตาตามมาด้านล่างก็จะพบปราสาทหลังโตที่แม้ว่าดูไกลๆยังใหญ่แล้วถ้าได้เข้าไปใกล้ๆจะใหญ่ขนาดไหนกันนะ
แม้ว่าจะสังเกตเห็นทั้งหน้าผาและปราสาทมานานแล้วแต่ผมก็เพิ่งมาได้พินิจอย่างถี่ถ้วนก็เวลานี้เอง
“ซักวันฉันจะได้เข้าไปบ้างไหมนะ...ว่าไปนั้น”
ผมออกเดินย้อนกลับไปยังย่านการค้าอีกครั้งเพื่อซื้อวัตถุดิบทำอาหารเย็น
เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหล่าแม่บ้านจะจับจ่ายใช้สอยกันมากที่สุดผู้คนจึงเยอะมากแต่ก็ไม่ถึงพับเดินไม่ได้ ระหว่างเลือกซื้อวัตถุดิบอยู่นั้นผมก็เดินผ่านร้านขายเครื่องปรุงพอดีจึงลองเข้าไปถามราคาของเครื่องปรุงต่างๆ
คำตอบที่ได้คือ น้ำตาลจะแพงที่สุดรองลงมาเป็นเกลือและเครื่องปรุงอื่นๆ
ผมลองจึงซื้อน้ำตาลมาในราคา10เหรียญและชิมดูก็พบว่ามันน่าจะทำมาจากน้ำผึ้ง แถมขวดของมันก็เล็กมากขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือถือได้เท่านั้นเอง
นี่คงเป็นสาเหตุให้แพนเค้กที่ผมทานเมื่อกลางวันไม่หวานเสียเท่าไหร่และอีกทั้งเครื่องปรุงในบ้านของเดเน่และที่เคยทำให้กองทหารที่ 34 นั้นน้อยมาก
เมื่อได้เลือกซื้อวัตถุดิบครบแล้วผมก็กลับบ้านทันที ถ้าจะพูดให้ถูกก็บ้านของเดเน่นั้นแหละนะ แต่เมื่อลองหมุนลูกปิดประตูดูมันก็ยังคงล็อคอยู่หมายความว่าเดเน่ยังไม่กลับมา ผมไขกุญแจเปิดเข้าบ้านและตรงไปยังห้องครัวเพื่อลงมือทำอาหาร
เพราะวัตถุดิบเมื่อวานยังแหละอยู่บ้างจะขาดก็พวกเนื้อเพราะไม่สามารถเก็บไว้ได้ อีกเรื่องคือผมได้ใช้เหรียญสแตนเลสที่เดน่าให้มาเกือบหมดแต่อาหารเมื่อนี้ก็คงจะน่าพอใจถ้าเทียบกับราคาล่ะนะ
หลังจากทำอาหารครึ่งชั่วโมงผมก็ทิ้งหม้อไว้ก่อนจะเดินไปต้มน้ำในห้องอาบน้ำ วิธีการต้มน้ำต้องเดินออกมานอกบ้านแล้วใช้ฝืนโยนไปในช่องข้างห้องน้ำแล้วจึงจุดไฟ นับว่ายากพอควรเพราะไฟจะเบาเกินไปหรือแรงเกินไปไม่ได้
จนเวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเดเน่ก็กลับมาถึงบ้านในสภาพอิดโรยพอสมควร ผมที่กำลังชิมรสชาติอยู่ก็เอ่ยทักทายทันที
“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ เหนื่อยไหมคะ?”
“อืม...ประมาณนั้นแหละนะพอดีว่านักเรียนของพี่สร้างปัญหาอีกแล้วน่ะ”
“ลำบากแย่เลยนะคะ”
“เจร่าทำอาหารอยู่สินะ...พอดีเลยวันนี้พี่ไม่ไหวแล้วล่ะฝากด้วยแล้วกันนะ”
“ค่ะ อ๊ะ...ต้มน้ำไว้แล้วนะคะ อาบก่อนเลยก็ได้ค่ะ”
“ขอบใจนะ”
อาจารย์สาวลากสังขารตนไปยังห้องรับแขกเพื่อวางของก่อนจะเดินหายไปในห้องอาบน้ำ เวลาผ่านไปนับครึ่งชั่วโมงเดเน่ก็เดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำในสภาพเปี่ยมสุข เธอมายืนข้างๆผมที่กำลังปรุงอาหารในขั้นตอนสุดท้าย
“เหมือนได้เกิดใหม่เลย...”
“ฮะๆ เกิดใหม่สินะคะ...”
สำหรับผมคำนี้ไม่ต้องกล่าวก็รู้ว่าเคยเผชิญมาแล้ว ผมตักน้ำแกงในหม้อมารินใส่ถ้วยเล็กให้เดเน่ได้ชิม อีกฝ่ายยังคงเช็ดผมอยู่ผมจึงเป็นฝ่ายยกมันป้อนให้แทน
“อื้ม...ก็ใช้ได้แล้วนะ ไม่สิอร่อยกว่าพี่ทำเองอีกนะเนี่ย”
“ขอบคุณค่ะ...งั้นจัดใส่จานเลยนะคะ”
เดี๋ยวนะ...สถานการณ์เมื่อกี้คืออะไร...
ระหว่างที่ตักอาหารจัดแจงใส่จานอยู่นั้น ก็คิดขึ้นมาได้ว่าผมเผลอปล่อยตัวปล่อยใจเป็นเด็กผู้หญิงอีกแล้ว
สิ่งผมทำเมื่อครู่เหมือนพวกข้าวใหม่ปลามันทำกันเลยนะ... แถมบทที่ผมทำยังเป็นของฝ่ายหญิงไม่ใช่รึไง...
ในที่สุดอาหารทั้งหมดก็เสร็จเรียบร้อยแล้วพวกเราจึงนั่งลงที่โต๊ะและลงมือทาน
“วันนี้เจอปัญหาอะไรมาเหรอคะ...”
ผมถามพลางตักซุปเข้าปาก แต่เดเน่ทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายขึ้นมาเล็กน้อย
“นักเรียนของพี่หนีเรียนอีกแล้วน่ะ”
“เห...พวกขุนนางเอาแต่ใจจังนะคะ”
“ถ้าเป็นพวกขุนนางไม่เท่าไหร่หรอกแต่เป็นอะไรที่ยิ่งกว่านั้นน่ะสิ วันนี้ทั้งวันก็เลยต้องตามหากันจ้าละหวั่นเลย”
“ฮะๆ... เหนื่อยหน่อยนะคะ”
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วผมก็ไปแช่น้ำเผื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าตลอดวันบ้าง ระหว่างแช่น้ำอยู่ก็คิดว่าควรจะหางานทำบ้างแล้วเพราะถ้าจะอยู่กับเดเน่โดยใช้เงินอีกฝ่ายอย่างเดียวก็ดูจะไม่ดีเสียเท่าไหร่
“พรุ่งนี้ลองไปเดินหาวิธีทำเงินดูดีว่า...”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ