สาวโอตาคุกู้วิกฤตพิชิตโลก

7.7

เขียนโดย Yaksa

วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 01.14 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  16.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) อันตรายก่อนถึงเมืองหลวง!!

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

     ล้อไม้ส่งเสียงลั่นออกมาพร้อมกับการสั่นไหวของรถลากเพราะพื้นถนนที่ไม่ค่อยเรียบเสียเท่าไหร่ ผมนั่งอยู่บนรถลากอย่างเบื่อหน่ายจึงหยิบกระเป๋ามาเทของที่ใส่ไว้ภายในออกมาดู

     สิ่งที่ผมหยิบมาด้วยตอนที่ตื่นขึ้นมากก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเช่น แผ่นกระดาษเปล่าๆตอนแรกก็คิดว่าจะเป็นแผนที่เสียอีก กล่องเหล็กเล็กๆที่เก็บปากกาดูหรูหราไว้ภายใน นาฬิกาพกที่ด้านบนตลับเป็นเข็มทิศ แล้วก็ยังมีกระจก

     ส่วนถุงหนังที่ใส่เงินอยู่ผมก็หยิบแต่ล่ะถุงออกมาเทใส่มือก่อนจะค่อยๆวางมันลงบนพื้นรถลากเพื่อนับจำนวน โดยมีเหรียญรูปร่างต่างกันถึงสี่แบบ

     เหรียญเล็กสุดสลักตัว I เอาไว้มีลักษณะดูหม่นๆเล็กน้อยดูแล้วน่าจะทำจากสัมฤทธิ์ เหรียญขนาดต่อมาสลักตัว V มีสีเหลืองเงาๆดูก็รู้ได้เลยว่าทำจากทองเหลือง เหรียญสลักตัว X เดาได้ไม่ยากว่าทองแดงแน่นอน สุดท้ายก็เหรียญสลักตัว L พอลองเอาไปกระทบกับกล่องเก็บปากกาก็มีเสียงอันเป็นเอกลักษณ์คิดว่าน่าจะทำเหล็ก

     โดยมีเหรียญ I มากถึง 47 เหรียญV/16 เหรียญX/8 เหรียญL/5

     ตัวอักษรที่สลักไว้พวกนี้น่าจะหมายถึงระบบเลขโรมันรึเปล่านะ...ถ้านับรวมๆแล้วคงได้ประมาณ 457 ? ส่วนสกุลเงินนี้ยังไม่รู้แฮะ

     ระหว่างที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นผมก็เก็บข้าวของลงกระเป๋า ส่วนเงินก็แบ่งแยกประเภทแยกไว้สามถุง ก่อนจะล้มตัวลงนอนเพราะไม่มีอะไรจะทำแล้ว

     “เบื่อเหรอ?”

     โลเรนในชุดเกราะพร้อมด้วยหมวกเหล็กหันมาถามผมที่นอนกลิ้งเล่นอยู่บนพื้น และพอโดนถามมาแบบนั้นผมก็ลุกขึ้นมานั่งแทน

     “ก็นิดหน่อยค่ะ...”

     “ปีนมานั่งกับพวกเราไหม?”

     คำเชิญนั้นผมแทบไม่ต้องคิดเลยว่าขอนอนอยู่ที่เดิมดีกว่า เพราะขืนปีนออกไปนั่งด้วยได้อึดอัดตายแน่

     “ไม่เป็นไรค่ะ...”

     รู้งี้น่าจะหาพวกหนังสือหรือไม่ก็อะไรที่ช่วยแก้เซ็งได้ในถ้ำนั้นติดตัวมาด้วยก็ดีสินะ...แต่เอาหนังสือมาก็คงอ่านไม่ออกหรอก อืม~น่าเบื่อจริงๆแฮะ... ลองชวนโลเรนคุยดีไหมนะ

     “คุณโลเรนคะ...”

     “หืมว่าไงล่ะ”

     “พวกคุณมาทำภารกิจอะไรกันเหรอคะ หรือว่าเพิ่งกลับจากการเดินทางเหรอ?”

     “ก็ประมาณนั้นแหละนะ ถ้าจะให้พูดสั้นๆก็ภารกิจสำรวจแล้วก็กวาดล้างล่ะมั้ง?”

     “เห~ แล้วกับอะไรเหรอ?”

     “ก็...”

     เธอหันไปมองวินเชสต้าที่กำลังคุมบังเหียนอยู่ซึ่งอีกฝ่ายก็เอียงคอให้ โลเรนจึงหันกลับมามองผมอีกครั้ง

     “พวกโจรป่าน่ะ...แต่พอสำรวจแล้วก็ไม่พบอะไรเลย คิดว่าคงเพราะรู้ข่าวก่อนก็เลยหนีไปได้…”

     “สรุปก็ไม่ได้อะไรเลย ลำบากแย่เลยนะคะ”

     อีกฝ่ายได้ยินดังนั้นก็คอตกจนชุดเกราะเกิดเสียงกระทบกัน

     เหมือนผมจะพูดอะไรไม่ดีไปเสียแล้วถึงจะไม่ได้อะไรแต่ก็นับว่าทำภารกิจล้มเหลวสินะ ชักรู้สึกผิดแล้วแฮะ...ขอโทษออกไปจะดีกว่า

     “ขอโทษนะคะ พูดอะไรไม่เข้าท่าซะแล้ว”

     “อ่า... ไม่เป็นไรๆ”

     แล้วเธอก็หันกลับไปนั่งเหมือนปกติ ส่วนผมก็นอนลงไปอย่างเบื่อหน่าย

     จะว่าไปตอนเราตื่นมาก็อยู่ในถ้ำสินะ...แล้วภายในนั้นก็มีของต่างๆวางเรียงรายอยู่มากมายเลย...บางอย่างก็ดูมีราคาเกินกว่าที่จะเอามาเก็บไว้ในที่แห่งนั้น...แถมยังมีถุงเงินอยู่ในนั้นด้วยสิ...

     “อ๊า~!”

     ผมลุกพรวดพร้อมกับตะโกนออกมา

     “มีอะไรเหรอ?”

     เพราะเสียงร้องของผมทำให้ทหารสาวทั้งสองคนหันกลับมามองอย่างสงสัย

     “มะ...ไม่มีอะไรค่ะ...”

     กล่าวจบผมก็ล้มตัวลงนอนหมอบไปกับพื้นเพราะพอจะเข้าใจแล้วว่าชุดที่สวมอยู่รวมถึงของที่พกติดตัวมาด้วยนั้นทั้งหมดมีที่มาจากที่ไหน

     ไม่พูดออกไปจะดีกว่าแฮะ...

     ผมหยิบนาฬิกาออกมาดูเวลาตอนนี้ก็ช่วงเก้าโมงพอดี ผมจึงคิดว่างีบหลับฆ่าเวลาไปเรื่อยๆก็น่าจะดีกว่าเพราะเมื่อคืนไม่ค่อยได้หลับสบายเสียเท่าไหร่

 

     “เจร่า...ตื่นขึ้นมาทานข้าวก่อนไหม?”

     เพราะมีคนเข้ามาเขย่าไหล่ผมจึงงัวเงียตื่นขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆเปิดตาดูว่าเป็นใคร...

     แล้ว...ใครน่ะ?

     อีกฝ่ายอยู่ในชุดเกราะเต็มอัตราแบบนี้ผมแยกออกได้ยากมากเลยว่าใครเป็นใคร อ๋อ...ยกเว้นเอลเซ่กับโลเรนเพราะที่เกราะของทั้งสองคนมีผ้าคลุมสีอยู่ แต่คนนี้ที่ปลุกผมคงจะเป็น…

     “คุณ...วินเชสต้าเหรอคะ?”

     “อื้ม! ทานข้าวเที่ยงกันก่อนดีกว่านะ”

     เธอพูดเชิญอีกครั้งพร้อมกับถอดหมวกเหล็กออก ส่วนผมก็ลุกขึ้นมาอย่างมึนงงเพราะเพิ่งถูกปลุกให้ตื่นก่อนจะค่อยๆขยับตัวออกจากรถลากไปตามที่อีกฝ่ายบอก

     ที่ด้านล่างผมมองไปรอบๆก็สังเกตเห็นว่ามีการจอดรถลากขนานกันและพื้นที่สำหรับทานอาหารก็คือระหว่างรถลากทั้งสอง แครอลกับอัลม่ากำลังเตรียมอาหารให้ทุกคนแต่ผมแอบเห็นอัลม่าหยิบเนื้อบางส่วนเข้าปาก...

     ทำเป็นไม่เห็นดีกว่า...

     โลเรนจัดที่นั่งสำหรับทานอาหารโดยการใช้กล่องไม้กล่องเล็กในการนั่ง และเมื่อเธอวางกล่องสุดท้ายเสร็จแล้วก็เรียกผมไปนั่งทันที ไม่นานเอลเซ่ก็เดินเข้ามาร่วมมื้ออาหารโดยการนั่งลงข้างผม

     “ถ้าไม่ติดปัญหาอะไรมาก ก็คงจะถึงประมาณวันพรุ่งนี้บ่ายๆน่ะ”

     “ก็เร็วดีนะคะ ว่าแต่ฉันมีคำถามน่ะค่ะ”

     เอลเซ่ถอดหมวกเหล็กออกก่อนจะสะบัดผมสีเงินไปมา แล้วจึงมองผมด้วยสายตาประมาณว่า ‘ถามมาสิ’

     “ตั้งแต่เดินทางมาไม่เห็น จะมีรถลากหรือคนสวนทางมาเลยนะคะ?”

     “เอ๋ มันแน่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทางเส้นนี้ไม่มีคนใช้เดินทางมากนักหรอก เพราะว่ามีทั้งโจรทั้งมอนสเตอร์น่ะ...”

     ได้ฟังเช่นนั้นผมก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่เอลเซ่ก็มองผมด้วยสีหน้าแปลกใจ

     “...เจร่าเนี่ย ใช้ทางเส้นนี้โดยไม่รู้อะไรเลยเหรอ?”

     “อ่ะ... เอ่อ... ประมาณนั้นมั้งคะ…”

     แล้วผมก็ยิ้มแห้งๆพร้อมกับหลบสายตา ซักพักทุกคนก็มานั่งล้อมวงเพื่อทานอาหารเหมือนทุกที แครอลยกถาดไม้ที่มีแซนด์วิชจำนวนมากมาวางไว้กลางวง ส่วนอัลม่าก็ยกถุงหนังเก็บน้ำมาเทใส่แก้วให้ตามจำนวน

     นี่มัน... รู้สึกเหมือนมาปิกนิกเลย...

     เมื่ออาหารถูกนำมาวางแล้วทุกคนก็จัดการหยิบมากัดเข้าปากทันที ผมเองก็เอื้อมมือไปหยิบมาหนึ่งชิ้นเช่นกันแล้วก็งับเข้าไป

     ระหว่างที่เคี้ยวอยู่นั้นก็ชำเลืองมองทุกคนไปด้วย ไม่มีใครมีปฏิกิริยาอะไรทุกคนต่างหยิบแซนด์วิชมากัดเข้าปากและพูดคุยเหมือนปกติ

     “เอลเซ่คะ?”

     ผมเอี้ยวตัวไปกระซิบกับเอลเซ่ซึ่งเธอก็ค้อมตัวลงมาหาผมเช่นกัน

     “คือทานแบบนี้เป็นมื้อเที่ยงกันทุกวันเลยเหรอคะ?”

     “ก็เฉพาะตอนเดินทางน่ะ มีอะไรรึเปล่า? หรือว่าไม่ชอบแซนด์วิช?”

     “อ๋อ...เปล่าค่ะ”

     แล้วผมก็กลับไปนั่งทานเหมือนปกติก่อนจะกัดเข้าไปอีกคำ จากนั้นก็แบะขนมปังออกเพื่อดูไส้ใน

     ...จะให้พูดได้ไงล่ะว่ามันไม่ค่อยอร่อยเลย...

     ตัวขนมปังก็แห้ง ผักก็เริ่มจะไม่สดแล้ว แฮมยังเหนียวมากไม่รู้ว่าใช้เนื้ออะไรทำ แถมส่วนที่สำคัญอย่างมายองเนสยังไม่มีอีกด้วย แบบนี้รสชาติจะได้ไม่เนี่ย...

     สำหรับสาวนักรบอย่างพวกเธอคาร์โบไฮเดรตกับโปรตีนคงจะจำเป็นสำหรับการใช้พลังงานล่ะนะ ช่างเป็นการกินเพื่ออยู่...แต่สำหรับผมเป็นพวกอยู่เพื่อกินน่ะสิ

     ถึงจะบ่นในใจแต่ก็หยิบมาทานถึงสองชิ้นแล้วเพราะก็ดีกว่าไม่มีอะไรกิน เมื่อชิ้นที่สองหมดไปผมก็หยิบแก้วน้ำมาดื่มเพราะเริ่มรู้สึกติดคอก่อนจะหยิบแซนด์วิชชิ้นที่สามขึ้นมา จังหวะอ้าปากกำลังจะงับนั้นเองก็สังเกตเห็นทุกคนเงียบไป

     เอ๊ะ!?...ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า... ทานมากเกินไปเหรอ? แต่ในถาดก็ยังเหลืออยู่อีกเยอะนะ... หรือว่าผมไปหยิบแก้วน้ำใครมาดื่ม?

     ไม่มีใครเอ่ยอะไรทุกคนค่อยๆหยิบหมวกเหล็กมาสวมก่อนจะเอื้อมมือไปแตะที่อาวุธของตนเอง

     “...อะ”

     ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเอลเซ่ก็ยกมือขึ้นมาปิดปากผมทั้งๆที่สายตามองไปทางอื่น ก่อนจะกระซิบบอกให้ผมกลับขึ้นไปบนรถลากด้วยเสียงที่เปลี่ยนไป

     เริ่มรู้สึกไม่ดีแล้วสิ... เหมือนกำลังจะเจอเรื่องอะไรที่อันตรายมากๆ

     ระหว่างกำลังเดินกลับไปที่รถลากด้วยอาการมึนงงอยู่นั้น ก็มีเสียงของอะไรบางอย่างพุ่งผ่านหน้าผมไป เมื่อลองหันไปมองก็พบว่ามันคือลูกดอก

     สมองยังไม่ทันได้วิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นวินาทีต่อมาก็ถูกดึงไหล่จากด้านหลังจนเซล้มลงไป

     เอลเซ่พุ่งเข้ามาพยุงผมขึ้นและพาผมมานั่งพิงกับล้อไม้ของรถลาก ทุกคนเองต่างก็กระโดดหลบไปนั่งข้างรถลากเพื่อใช้เป็นที่กำบัง โลเรนวิ่งผ่านผมไปหยิบอะไรบางอย่างมาจากบนรถลากสิ่งนั้นคือผ้าที่คลุมอะไรบางอย่างขนาดใหญ่ไว้

     เมื่อโลเรนสะบัดผ้าออกภายใต้นั้นก็คือโล่ขนาดใหญ่แล้วเธอก็ถือมันกลับมานั่งลงข้างๆผม ไม่มีใครสามารถขยับตัวออกไปได้เพราะแม้จะมีชุดเกราะแต่ว่าหากโดนลูกธนูเหล็ก ก็อาจจะมีโอกาสได้รับบาดเจ็บได้เช่นกัน

     “ทะ...ทำยะ...ยังไง...ดะ...ดีคะ”

     ผมลนลานจนพูดไม่เป็นศัพท์ แต่ทั้งเอลเซ่และโลเรนที่นั่งอยู่ข้างๆผมต่างเงียบนิ่งคาดว่ากำลังประเมินสถานการณ์ตรงหน้า

     “ใจเย็นไว้... ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาอะไรมาก”

     ทุกอย่างนิ่งเงียบไม่มีใครเคลื่อนไหวอะไรเกินจำเป็น เอลเซ่ชี้นิ้วไปยังโลเรนและคนที่กำลังถือธนูหลบอยู่อีกฝั่งคาดว่าน่าจะเป็นวินเชสต้าจากนั้นจึงชี้นิ้วไปยังป่าข้างทาง

     ทั้งสองพยักหน้าให้ก่อนจะพุ่งตัวออกจากที่กำบังไป วินเชสต้าหยิบลูกธนูขึ้นมาง้างคันชักแล้วยิงเข้าไปในป่าช่วงเวลาต่างกันไม่ถึงวิก็มีลูกดอกถูกยิงสวนกลับมา โลเรนรีบดึงตัววินเชสต้าเข้ามาอยู่ใต้โล่ทันที ลูกดอกที่ถูกยิงมาก็ปะทะเข้ากับโล่เหล็กจนกระเด็นลอยคว้างอยู่ในอากาศ นักธนูสาวรีบคว้ามันมาจากนั้นก็วิ่งกลับมายังที่กำบัง

     “ว่าไง...”

     เอลเซ่รีบถามผ่านผมที่นั่งขั้นกลางอยู่

     “เหมือนจะไม่ใช่พวกโจรนะ...”

     โลเรนจึงโบกมือไปทางวินเชสต้าเพื่อเรียกหาอะไรบางอย่าง อีกฝ่ายเห็นดังนั้นก็โยนลูกดอกมาให้เอลเซ่ เธอรับมันมาพินิจดูลูกดอกในมือหับปลายมันทำมาจากเหล็กแต่เหมือนจะเคลือบพิษเอาไว้ด้วยเพราะมีเมือกสีเขียวๆเปื้อนอยู่

     “...พวกมอนสเตอร์สินะ ใช้หน้าไม้...น่าจะเป็นก็อบลินหรือเปล่า”

     ก็อบลินอสูรกายตัวเล็กที่มักจะโผล่มาในเกมช่วงแรกๆส่วนใหญ่ก็มันจะเป็นพวกลูกกะจ๊อกให้เราตีเก็บเวล แต่พอมาเจอด้วยตัวเองรู้สึกอันตรายผิดกับในเกมเยอะเลยล่ะ

     “...ทะ...ยังไงต่อดีคะเนี่ย...”

     “ใจเย็นไว้ก็อบลินลอบโจมตีได้ดีก็จริงแต่มันต่อสู้ซึ่งๆหน้าไม่เก่ง และยิ่งมันอยู่ในป่าก็ลืมไปได้เลยว่าจะจับตัวมันได้มันเพราะรู้ที่ทางดีกว่าเรา”

     “...ขับรถลากฝ่าออกไปไม่ได้เหรอคะ?”

     “ถ้าม้าโดนยิงก็จบ”

     “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องสู้กับพวกมันเหรอ...?”

     “ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วล่ะนะ”

     เอลเซ่ชักดาบออกมาเหมือนการประกาศว่าเตรียมตัวรบ ซึ่งทุกคนก็ต่างทำตามโดยการหยิบอาวุธของตนขึ้นมา

     “เอาเลย!”

     สิ้นเสียงตะโกนของเอลเซ่คนที่พอจะต่อสู้ได้ก็กระโดดออกไปจากที่กำบังโดยแบ่งเป็นสองกลุ่ม เอลเซ่วิ่งไปด้านหน้าพร้อมกับโลเรนส่วนอีกสามคนที่เหลือวิ่งไปด้านหลังของรถลากและใช้อาวุธของตนโจมตีเข้าไปในป่าทั้งการยิงธนูและปามีด

     แต่เหมือนจะเปล่าประโยชน์เพราะทั้งกิ่งไม้ใบหญ้าต่างสั่นไหว หมายความว่าพวกมันหลบการโจมตีทั้งหมดได้

     ผมมองตามการเคลื่อนไหวนั้นก็ได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าก็อบลินมันกำลังยกหน้าไม้ขึ้นมาเล็งยิงไปยังเอลเซ่ ยังไม่ทันจะได้ตะโกนบอกลูกศรที่ถูกยิงมานั้นก็ถูกปัดด้วยดาบได้อย่างง่ายดาย ส่วนก็อบลินตัวนั้นก็กระโดดย้ายที่ไปเสียแล้ว

     ก็อบลินบางตัวก็อาศัยจำนวนและความเร็วในการกดดันอัศวินสาว โดยมันจะพุ่งออกมาจากป่าโจมตีหนึ่งครั้งก่อนจะวิ่งกลับไปในป่าเหมือนเดิมเพราะรูปร่างที่เล็กถึงจะโจมตีมันได้แต่ก็ไม่ตาย

     แม้จะใจสั่นด้วยความหวาดกลัวแต่ก็พยายามนั่งมองการต่อสู้ตรงหน้าไม่ละสายตา จนในที่สุดผมก็เริ่มจับสังเกตอะไรบางอย่างได้จึงค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านท่ามกลางเสียงของโลหะปะทะกันขึ้นไปบนรถลากเพื่อหาสิ่งที่จำเป็น

     “มันชักจะยืดเยื้อเกินไปแล้วนะ”

     อัศวินผู้ถือโล่ขนาดใหญ่และดาบในมือตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด

     “ทนไว้ก่อน...ล่อให้มันยิงลูกดอกจนหมด”

     นักรบสาวใช้ดาบปัดลูกดอกและมีดที่พุ่งมาจากในป่า

     “คุณเอลเซ่! คุณอัลม่า!”

     ผมตะโกนบอกทั้งสองที่กำลังปัดป้องการโจมตีจังหวะที่ทั้งสองหันมาผมก็โยนขวดใส่เครื่องปรุงไปหาทั้งสองคน พวกเธอเห็นดังนั้นก็เข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อได้ทันทีจึงใช้อาวุธในมือฟันจนขวดแตก

     ทำให้ผงเครื่องปรุงที่อยู่ภายในกระจายออกมาเป็นฝุ่นผงสีส้มลอยคลุกเคล้าในอากาศ ส่งผลให้พวกก็อบลินที่วิ่งออกมาหมายจะโจมตีต้องชะงักเพราะผงเครื่องปรุงในอากาศ เปิดโอกาสให้เอลเซ่ให้ดาบสังหารมันในทันที

     อัลม่าเองก็ปามีดในมือไปยังก็อบลินที่วิ่งมาเช่นกันก่อนจะหยิบขวานทั้งสองเล่มที่พกไว้ด้านหลังออกมา และดูจะการถือเหมือนว่านั้นจะเป็นอาวุธหลักของเธอ

และเมื่อเริ่มทำการสังหารได้บ้างแล้วพวกมันจึงเสียจังหวะและรูปขบวนในการโจมตี เปิดโอกาสให้อัศวินสาวที่ถืออาวุธระยะประชิดได้เข้ารุกไล่อย่างไม่รีรอ

     ปัญหาการโจมตีของพวกก็อบลินด้านล่างหมดไปแล้วแต่พวกที่อยู่บนต้นไม้ยังคงยิงลูกดอกกดดันลงมา แต่ก็ใช่ว่าไม่มีหนทางสู้

     “คุณวินเชสต้า! คุณแครอล!”

     ที่ตะโกนออกไปไม่ใช่การเรียก ผมรีบผู้ต่อเพื่อไม่ให้เสียจังหวะ

     “ดูทิศทางของลูกศรที่ยิงมา แล้วเล็งไปทางซ้ายประมาณสองเมตรนะคะ!!”

     ทั้งสองต่างทำตามทันทีซึ่งก็เห็นผลอย่างชัดเจน เนื่องจากผมสังเกตการโจมตีของพวกก็อบลินมาตั้งแต่เมื่อครู่ก็เริ่มจับได้ว่า พวกมันมักจะติดนิสัยยิงแล้วกระโดดหลบไปทางซ้ายพร้อมกับเติมลูกดอกไปด้วย

     เมื่อเห็นว่าโดนดักทางได้แล้วพวกมันก็เลิกที่จะยิงหน้าไม้แล้วเปลี่ยนมาหยิบมืดเพื่อเข้าโจมตีแบบระยะประชิดซึ่งก็เข้าทางของเหล่าอัศวินสาว ทุกคนต่างใช้อาวุธในมือจัดการมอนสเตอร์ตรงหน้าด้วยรูปแบบการต่อสู้เฉพาะตัว

     แต่ทุกครั้งที่พวกเธอจัดการก็อบลินเหล่านั้นโดยการใช้ของมีคมจัดการแน่นอนว่าเลือดของพวกมันพุ่งกระจายออกมาจากบาดแผล หรือที่ดูแล้วผมถึงกับปิดตาก็คืออัลม่าใช้ขวานฟาดไปกลางหัวของมันจนสภาพดูไม่ได้ แต่ที่โหดกว่านั้นคือการใช้เวทไฟของแครอลเรียกได้ว่าเป็นการเผาทั้งเป็นเลยทีเดียว

     ไม่นานเมื่อผลการต่อสู้รู้ผลพวกก็อบลินรีบหนีไปเพราะไม่สามารถต่อกรได้ หลังจากมองไปรอบเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วทุกคนก็ทรุดนั่งลงไปกับพื้นทันที

     “อ๊า~จบซักที นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว”

     โลเรนทิ้งยุทโธปกรณ์ที่ถืออยู่ทั้งหมดแล้วนอนกลิ้งไปกับพื้น แต่จะว่าไปทุกคนก็แทบไม่ต่างกันทั้งนั้นมีเพียงเอลเซ่เท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ เธอเก็บดาบในมือลงฝักข้างตัวก่อนจะเดินมาหาทุกคน

     “มีใครบาดเจ็บไหม?”

     ซึ่งทุกคนต่างก็ชูมือขึ้นมาเป็นนัยว่าสบายดี เมื่อได้พักพอสมควรแล้วทุกคนก็เดินกลับมาทิ้งตัวลงที่ข้างรถลาก ทางผมเห็นว่าไม่ค่อยจะได้ทำประโยชน์อะไรให้ทุกคนเลยจึงเดินไปยังถุงหนังเก็บน้ำและรินน้ำใส่แก้ว เพื่อจะนำไปแจกจ่ายให้กับทุกคน

     หญิงสาวทุกคนต่างวางอาวุธในมือไว้ข้างกายก่อนจะถอดหมวกเหล็กออก

     “ถึงจะไม่หนักเท่าไหร่แต่ก็กินเวลาเหมือนกันนะ”

     นักรบสาวผู้ถือโล่เหล็กพูดขึ้นมาอย่างสบายๆพร้อมกับนั่งลงและตามด้วยเอลเซ่ที่นั่งลงบนกล่องไม้เป็นคนสุดท้าย

     “เพราะพวกเรามีจำนวนน้อยกว่าล่ะนะ การต่อสู้ถึงได้เป็นฝ่ายเสียเปรียบ”

     เอลเซ่พูดออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้งก่อนจะหยิบแก้วน้ำที่ผมรินให้ขึ้นดื่ม

     “อ๋อใช่! จะว่าไปก็เพราะว่าได้เจร่าให้ความช่วยเหลือด้วยล่ะนะ”

     ประโยคที่วินเชสต้าพูดออกมาทำให้ทุกคนต่างหันหน้ามามองผมอย่างพร้อมเพรียง อัลม่ายกมือขึ้นมาตรงหน้าผมก่อนจะเปลี่ยนเป็นการยกนิ้วโป้งขึ้นให้แทน

     สำหรับผมยังคงรู้สึกหวาดผวาเธออยู่เล็กน้อย เพราะภาพของเธอที่ใช้ขวานสับหัวก็อบลินยังคงติดตาอยู่

     “ยอดเยี่ยมมาก!”

     “คะ...ค่ะ! ขอบคุณคะ…”

     “...เธอรู้วิธีรับมือพวกก็อบลินด้วยเหรอ?”

     แครอลถามออกมาอย่างสงสัยซึ่งผมเองก็ส่ายหน้าให้

     “ไม่รู้หรอกค่ะ ก็แค่ลองสังเกตรูปแบบการจู่โจมของพวกมันเท่านั้นเอง”

     “แค่นั้นเองเหรอ?”

     “ค่ะ? ทำไมเหรอคะ?”

     ผมเอียงคอสงสัย แต่ทุกคนก็มองหน้ากันอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด เอลเซ่จับคางครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะเอ่ยออกมา

     “ทั้งที่โยนขวดเครื่องเทศมา แล้วก็วิธีเล็งยิงก็อบลินบนต้นไม้ ก็มาจากการสังเกตจึงสามารถหาวิธีรับมือได้สินะ”

     “อ่า...ประมาณนั้นล่ะมั้งคะ...?”

     “สุดยอดเลยนะ ความสามารถในการประเมินการต่อสู้นั้นน่ะ”

     “เป็นอย่างนั้นเหรอคะ?”

     ผมเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงดูแปลกใจในการสังเกตของผมกันนัก อาจเพราะสำหรับผู้ที่อยู่ในสนามรบนั้นทัศนวิสัยตรงหน้าคงจะแคบ แต่สำหรับผู้ที่อยู่นอกสนามรบแล้วจะมองเห็นอะไรๆได้มากกว่าก็เท่านั้นเอง

     “อืม...ยังไงที่พวกเราสามารถพลิกสถานการณ์ได้ก็เป็นเพราะเจร่าล่ะนะ”

     เอลเซ่พูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินมายังผมก่อนจะวางมือบนหัวผมอย่างเอ็นดู

     “ขอบใจนะ…”

     เธอพูดคำขอบคุณนั้นพร้อมกับลูบหัวผมไปด้วย ส่งผลให้ผมทำสีหน้าผ่อนคลายออกมาเพราะเผลอเคลิ้มตาม จนในสุดทุกคนที่นั่งอยู่เห็นดังนั้นก็ทนไม่ไหวลุกขึ้นมาและผลัดกันลูบหัวผมบ้างเช่นกัน

     ส่วนตัวผมก็ไม่สามรถขยับตัวไปไหนได้เลยทำได้เพียงนั่งเกร็งตัวแข็งปล่อยให้พวกเธอลูบหัวอย่างพอใจ

     ได้เจอแบบนี้มันก็น่าดีใจอยู่หรอก ถ้าไม่ได้ติดที่เห็นภาพพวกเธอสังหารมอนสเตอร์ต่อหน้าน่ะนะ

     “หยุดก่อนดีกว่านะ เพราะดูเหมือนเจร่าจะรับไม่ไหวแล้วล่ะ”

     ถูกต้องที่สุด... ผมเหมือนลูกหมาที่ยอมให้ลูบเล่นได้จนกว่าจะพอใจ และไปๆมาๆกลายเป็นว่าทั้งวินเชสต้าและแครอลต่างเปลี่ยนไปลูบส่วนอื่นแทนเสียแล้ว ซึ่งผมก็ได้แต่นั่งสั่นส่งสายตาวิงวอนไปยังเอลเซ่

     จนในที่สุดกว่าทุกคนจะยอมหยุดมือ ก็เป็นตอนที่เอลเซ่ชักดาบให้เกิดเสียงเสียดสีของคมดาบกับตัวฝักจนเรียกสติของทุกคนกลับมา

     “เอาล่ะ... เก็บข้าวของ แล้วเดินทางต่อเถอะ”

     นายกองสั่งการพร้อมกับเก็บดาบข้างเอวจนเกิดเสียงเหล็กกระทบกัน

 

     “เจร่าไม่ไปอาบน้ำเหรอ?”

     วินเชสต้านั่งชันเข่าพลางเอ่ยถาม เธอเปลี่ยนมาเท้าคางมองผมปลอกเปลือกมันอยู่ข้างๆ

     “ไว้ทำเสร็จแล้วจะตามไปค่ะ”

     ผมตอบไปทั้งๆที่สมาธิยังคงอยู่กับการทำอาหาร จะว่าไปตั้งแต่มาหยุดพักแรมตรงนี้ทุกคนก็รีบถอดชุดเกราะออกทันทีทั้งๆที่เมื่อวานก็ใส่กันได้แทบทั้งวันแท้ๆ

     “ไม่สวมชุดเกราะเหรอคะ? อ๊ะ! หยิบแครอทกับมะเขือเทศให้หน่อยสิคะ...”

     “ก็มันเปรอะเลือดเต็มไปหมดเลยนี่... จะไปทนสวมได้ยังไงกัน...”

     เธอหยิบผักตามที่บอกมาให้ ผมเองก็รับมาโยนมันลงไปในหม้อและตามด้วยผักก่อนจะปิดฝา จังหวะนั้นเองที่อัลม่ากับแครอลเดินมาพอดีแต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้อาบน้ำสินะ...

     “ทั้งสองคนคะ... ช่วยหาอะไรมาให้หน่อยสิ”

     ซึ่งพวกเธอทั้งสองก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ามึนงงเพราะผมกำลังจะเอ่ยขอร้องอะไรบางอย่าง

     “คุณอัลม่าช่วยหาผลไม้มาให้หน่อยสิคะขอแบบที่มีรสชาติเปรี้ยวนะคะ แล้วก็คุณแครอล...”

     ผมเงยหันไปหาเจ้าของชื่อก่อนจะยิ้มออกมา

     “ช่วยไปหยิบเหล้าหรือไม่ก็ไวน์มาให้หน่อยจะได้ไหมคะ?”

     “เอ๋~ แต่นั้นมันขวดสุดท้ายแล้วนะแถมพวกฉันยังไม่ได้ดื่มเลย”

     “อื้ม...”

     นี่พวกเธอชอบดื่มกันขนาดไหนเนี่ย…

     “อีกเรื่องนะเธอยังเด็กอยู่ให้ดื่มไม่ได้หรอก...”

     “ไม่ได้เอามาดื่มซักหน่อยค่ะ จะเอามาปรพกอบอาหารต่างหากล่ะ”

     ผมให้เหตุผลไปพร้อมกับหยิบเนื้อมาผ่าเป็นชิ้นพอดีคำ

     “...งั้นถ้ายอมหยิบมาให้ ฉันจะไปลองคุยเรื่องที่ทั้งสองดื่มเหล้าเมื่อคืนกับเอลเซ่ให้ก็ได้นะคะ…”

     จอมเวทสาวไตร่ตรองซักครู่ก็ยอมตกลงก่อนจะเดินไปทางรถลาก เห็นดังนั้นผมก็ทำการจัดเตรียมอาหารต่อโดยการเตรียมเครื่องปรุง ส่วนวิชเชสต้าก็นั่งกดดันผมอยู่ข้างๆไม่ขยับไปไหน

     ซักพักหลังจากผมทำการใส่เครื่องปรุงลงไปในหมอแล้ว อัลม่าและแครอลก็เดินกลับมาพร้อมกับสิ่งที่ผมต้องการ ผมรับไวน์ขวดนั้นจากแครอลมาวางไว้ส่วนสิ่งที่อัลม่าหามาได้เหมือนจะเป็นผลไม้รูปร่างคล้ายสับปะรดผมจึงจัดการล้างน้ำและปลอกเปลือก

     สับปะรดถูกผ่าเป็นชิ้นๆก่อนจะใส่ลงในหม้อพร้อมกับส่วนประกอบหลักอย่างเนื้อ สุดท้ายก็เป็นไวน์เล็กน้อยประมาณหนึ่งส่วนสี่ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยแล้วผมจึงปิดฝาทิ้งไว้ปล่อยให้มันเคี่ยว

     “เอ๊ะ!! ทุกคนมามุงดูอะไรกันเหรอคะ?”

     เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นทุกคนต่างทั้งยืนทั้งนั่งล้อมวงผมอยู่

     “...แล้วตกลงมีอะไรเหรอคะ?”

     เพราะไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา ผมจึงถามซ้ำไปอีกครั้งพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดมือขึ้นมาเช็ดทำความสะอาดตามซอกนิ้วก่อนจะวางมันที่เดิม

     “อืม...อย่างที่คิดเลย...”

     “อื้ม...นั้นสินะ...”

     เหมือนทุกคนจะหันไปเอออออะไรบางอย่างกันโดยที่ผมไม่เข้าใจ ผมจึงหยิบเครื่องปรุงมาวางเพื่อเตรียมไว้สำหรับปรุงครั้งสุดท้ายก่อนทานอาหาร

     “เจร่าเนี่ย น่าจะเป็นเจ้าสาวที่ดีสิน้า”

     “คะ?”

     ผมตกใจกับประโยคนั้นจนเผลอปัดขวดเครื่องปรุงจนล้ม ส่วนเหล่าอัศวินสาวนอกเครื่องแบบต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของโลเรน

     “มะ...มะ....หมายความว่าไงคะ?”

     “...กริยามารยาทก็ดี”

     “...หน้าตาก็น่ารัก”

     “...รูปร่างน่าปกป้อง”

     “...ทำอาหารอร่อยด้วย”

     “อืม...เป็นเจ้าสาวที่ดีล่ะนะ”

     เอลเซ่ วินเชสต้า แครอล อัลม่า และ โลเรน ต่างออกความเห็นออกมาตามลำดับ ซึ่งผมเองที่ได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเสียแล้ว จนเริ่มมีอาการเขินและรู้ได้เลยว่าใบหน้าผมกำลังแดงขึ้นแน่นอน สุดท้ายก็เลือกการหลบสายตาโดยการใช้สองมือปิดใบหน้าและก้มหน้าหลบ

     อะไรเนี่ย... รู้สึกเขินทำไมเนี่ยเรา ที่ทุกคนบอกว่าน่าจะเป็นเจ้าสาวที่ดีเราไม่น่าจะเขินได้นะเนี่ย นั้นเป็นคำชมของผู้หญิงไม่ใช่เหรอไง เรายังเป็นผู้ชายอยู่ภายในแน่นอน...ใช่ไหม...นะ…?

     ไม่ว่าจะคิดยังไงผมก็ไม่เขาใจในตัวเองได้เลย...

     “เจร่า? เป็นอะไรรึเปล่า...”

     วินเชสต้าที่นั่งชันเข่าข้างๆผมมาตั้งแต่ต้นเอ่ยถามอย่างสงสัย ผมจึงเงยหน้าขึ้นมามองทุกคนแต่ก็ยังคงใช้มือซ้ายบังใบหน้าไว้อยู่ ส่วนมือขวาอีกข้างก็ปัดไปมาบอกว่าไม่เป็นไร

     “…มะ...ไม่เป็นไรค่ะ...แต่...หยุดพูดเรื่องนี้เถอะนะคะ...”

     ทุกคนที่ได้เห็นใบหน้าแดงก่ำของผมต่างก็ยิ้มออกมา แต่ก็ไม่มีใครพูดเรื่องเจ้าสาวนั้นแล้ว

     “แล้ว…ทำเสร็จแล้วเหรอ อาหารน่ะ”

     อัลม่าถามออกมาโดยตายังคงจ้องมองไปยังหม้อ

     “ต้องทิ้งไว้ซักสองชั่วโมงก่อนน่ะค่ะ”

     ว่าแล้วผมก็หยิบนาฬิกาพกออกมาวางไว้ไกลหมอซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาห้าโมงแล้ว หมายความว่ากว่าจะได้ทานกันก็หนึ่งทุ่มพอดี

     “ถ้าอย่างนั้น...ไปอาบน้ำกันดีกว่านะ…”

     วินเชสต้าพูดออกมาอย่างร่าเริงพร้อมกับดึงแขนผมให้ลุกขึ้น

     “อะ...อาบน้ำเหรอคะ...เอ่อ...ทุกคนไปอาบก่อนเลยก็ได้นะคะ ไว้ฉันจะไปอาบเองทีหลังก็ได้ค่ะ”

     “ไม่เป็นไรๆ ไปอาบพร้อมกับพวกเราดีกว่า”

     “แต่ว่า...”

     ผมพยายามปฏิเสธแต่เหมือนว่าวินเชสต้าพยายามจะพาผมไปอาบน้ำด้วยให้ได้

     “นั้นสินะไปอาบพร้อมกันหมดเนี่ยแหละ จะได้มากินข้าวพร้อมกันด้วยไง”

     แครอลพูดเสริมด้วยอีกเสียง จนผมเริ่มจะพูดอะไรไม่ออก

     “เอ่อ...อ๊ะ...อ๊า~! เอ๊ะ! เอ๊ะ!”

     โลเรนที่ดูสถานการณ์อยู่นานแล้วก็เดินมาอุ้มผมขึ้นในท่าอุ้มเข้าสาวแล้วเดินตามทุกคนไปในทันที ตกลงว่าผมไม่มีสิทมีเสียงอะไรในการตัดสินใจเลยสินะ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา