สาวโอตาคุกู้วิกฤตพิชิตโลก

7.7

เขียนโดย Yaksa

วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 01.14 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  16.58K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) โลกที่ต่างไปและคืนแรกที่แสนวุ่นวาย...

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

     ผมเดินจากลำธารกลับมายังจุดที่ตั้งแค้มป์ด้วยอาการมึนงงพร้อมกับเอลเซ่ แน่นอนว่าระหว่างที่ถูกเอลเซ่ช่วยอาบน้ำให้ก็ถูกขัดถูตามตัวรวมไปถึงเช็ดตัวให้ด้วย แต่ในตอนนั้นผมไม่มีสติพอจะคิดตื่นเต้นเพราะในหัวมีคำถามปรากฏขึ้นมามากมาย

     ระหว่างเดินกลับมาทุกคนที่นั่งอยู่รอบกองไฟหันมามองพวกเราเป็นตาเดียวอย่างสนใจ เอลเซ่จูงมือผมไปยังหลังรถลากและหาชุดมาเปลี่ยนให้ผมได้สวม

     สิ่งที่เธอหยิบออกมานั้นคือเสื้อชีฟองแขนยาวและกางเกงขาสั้นทรงฟักทองพองๆทั้งสองตกแต่งด้วยระบายลวดลายลูกไม้

     กว่าจะรู้ตัวผมก็ถูกจัดองค์ทรงเครื่องให้เสร็จสรรพ ปัจจุบันผมมานั่งร่วมวงแค้มป์ไฟที่มีอาหารฝีมือผมวางไว้อยู่

     “อร่อยมากเลยนะเนี่ย…”

     หญิงสาวข้างๆผมเอ่ยชมออกมาซึ่งทุกคนต่างเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง ส่วนผมที่ไม่ได้สนใจคำชมนั้นมากนัก ก็ได้แต่นั่งตักซุปเข้าปากพลางมองพวกเธอทุกคนที่นั่งล้อมรอบกองไฟเป็นวงกลมอย่างพินิจ

     โลเรน หญิงสาวผมสีไข่อ่อนๆไว้ผมสั้นประบ่า ผู้นั่งอยู่ทางซ้ายมือผมเธอเป็นคนร่าเริงดีแถมออกจะทอมบอยเล็กน้อย นั้นก็ทำให้เธอมีทั้งส่วนที่เรียกว่าสวยและเท่ และยังมีตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้า

     วินเชสต้า ผู้หญิงคนถัดไปเธอมีผมยาวสีทองทำให้แลดูเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์  บวกด้วยท่าทีสงบนิ่งแม้ตอนที่ทานอาหารอยู่ตอนนี้ เธอก็ยังทานอย่างเรียบร้อยเหมือนผู้ดี ความรู้สึกก็ประมาณคุณหนู?

     อัลม่า หญิงสาวผมสีดำแดงและผมเธอก็สั้นแต่ยาวกว่าโลเรนเล็กน้อย เธอจ้องมองผมอย่างสนใจเพราะเธอนั่งตรงหน้าผมพอดี มือของเธอก็หยิบอาหารเข้าปากไปด้วยไม่หยุดทั้งๆที่ยังคงจ้องมองมา ออกจะเป็นคนเงียบๆแต่นั้นก็ทำให้ดูน่ารัก

     แครอล จอมเวทย์เพียงคนเดียวของกลุ่มผู้มีผมยาวสีฟ้าจางๆออกไปทางขาว ซึ่งตอนนี้เธอก็จ้องมองผมเช่นเดียวกับอัลม่า แต่ไม่นานนักเธอก็หันไปให้ความสนใจกับอาหารแทนเพราะเหมือนอัลม่าจะเริ่มแย่งส่วนของเธอ

     และคนที่นั่งอยู่ข้างขวาผมคือนายกองผู้ควบคุมกองทหารเล็กๆนี้ เอลเซ่เธอมีผมสีเงินที่โดดเด่นและท่าทีของผู้นำอย่างเต็มเปี่ยม แค่ผมนั่งอยู่ข้างๆก็รับรู้ถึงออร่าของผู้ใหญ่พึ่งพาได้จากเธอ

     ตอนที่ล้อมวงทานอาหารนี้ทุกคนสวมชุดที่เหมือนกันคือเสื้อกล้ามสีดำและกางเกงขาสั้นแบบรัดรูป พอพวกเธอไม่ได้อยู่ในชุดเกราะแล้วหุ่นดีกันมากเลย

     ที่ผมรู้ชื่อของทุกคนได้นั้นก็เพราะเมื่อมาร่วมวงทานอาหารทุกคนก็เอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตรและแนะนำตัวให้ผมได้รู้จักส่วนผมที่อ้ำอึ้งจนกัดลิ้นตัวเอง ก็ได้เอลเซ่ช่วยแนะนำแทนให้

     อีกเรื่องที่สำคัญคือหญิงสาวทุกคนในที่แห่งนี้ยกเว้นผมดูภายนอกคร่าวๆก็รู้ได้ทันทีว่ามีร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี อีกเรื่องคือทุกคนต่างอายุมากกว่าผมสามถึงสี่ปีเพราะฉะนั้นที่แห่งนี้ผมจึงเด็กที่สุดไปโดยปริยาย

     แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกโล่งใจไปหนึ่งเปราะเพราะไม่มีผู้ชายอยู่ในที่แห่งนี้เลย และสิ่งที่ได้รู้อีกเรื่องคือคนที่เข้ามาโอบไหล่ผมในตอนแรกก็คือโลเรนนั้นเอง

     “ว่าแต่เจร่ายังเด็กอยู่แท้ๆก็ออกเดินทางคนเดียวซะแล้ว ใจกล้าจังเลยนะ”

     “เอ่อ...ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ”

     ชื่อผมถูกคุณเอลเซ่เรียกเป็น ‘เจร่า’ ไปแล้วเหรอเนี่ย?

     “จะไปริลเบลรุสสินะ…เธอบอกว่าจุดหมายเดียวกันกับพวกเราแล้วจะไปทำอะไรล่ะ?”

     วินเชสต้ากลืนอาหารลงไปก่อนจะหรี่ตาเอ่ยถามผมบ้าง

     “ก็พวก...ศึกษาหาความรู้อะไรหลายๆอย่าง...ล่ะมั้งคะ...?”

     เป็นคำตอบที่ดูไม่ค่อยมั่นใจแต่ก็ตอบไปแล้ว พอลองหลบสายตาของอัลม่าไปยังที่อื่นก็สังเกตว่าทุกคนต่างมองมาที่ผมเป็นตาเดียวกัน นั้นทำเอาซุปเนื้อที่กลืนลงไปแทบติดคอเพราะความกดดัน

     “มีอะไรจะถามบ้างน่ะค่ะ…”

     ผมวางช้อนไม้ลงบนจานและเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยมาตั้งแต่เมื่อครู่

     “ทำไมทุกคนถึงมาเป็นอัศวินเหรอคะ?”

     ทุกคนได้ยินคำถามนั้นก็หันไปมองหน้ากันก่อนจะยิ้มออกมาและตอบคำถาม

     “ก็เพราะเป็นสิ่งที่อย่างน้อยพวกเราก็สามารถทำเพื่อต่อสู้ปกป้องประเทศนี้ได้น่ะ”

     เอลเซ่ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ก็แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย ผมหันไปมองใบหน้าของผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างขวาเธอยิ้มออกมาพลางจ้องมองไปยังเปลวไฟตรงหน้า

     “ก็ประมาณนั้นแหละนะ ถึงฉันจะมาเป็นเพราะเงินมันดีก็เถอะ”

     คำตอบของโลเรนดึงอารมณ์ของทุกคนกลับมาเป็นปกติ เอลเซ่รวมถึงคนอื่นๆได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา

     “แล้วไม่มีพวกผู้ชายอยู่ในกองทหารนี้เลยเหรอ...?”

     ผมเอียงคอถามอย่างสงสัยซึ่งทุกคนก็มีสีหน้าสงสัยกลับมาเพราะสิ่งที่ผมถามเช่นกัน

     “ผู้ชาย…? แปลว่าอะไรเหรอ?”

     แครอลถามออกมาด้วยความสงสัยนั้นทำให้เอลเซ่เอ่ยถามออกมาบ้างเช่นกัน

     “ใช่ๆ ตอนที่อาบน้ำเธอก็พูดว่าผู้หญิงด้วยนะมันหมายความว่ายังไงล่ะ?”

     ในตอนนี้ผมกลับเป็นฝ่ายถูกถามเสียเอง แล้มมันหมายความว่าไงกันที่พวกเธอไม่รู้จักคำว่าผู้หญิงและผู้ชาย เดี๋ยวนะหรือว่าที่โลกนี้จะมีคำเรียกต่างกันออกไป

     “ผู้หญิงหมายถึงมนุษย์เพศหญิงอย่างพวกเราไงคะ...ส่วนผู้ชายก็เป็นมนุษย์เพศชาย ทั้งสองจะมีความแตกต่างกันในสภาพร่างกายน่ะค่ะ”

     ผมพูดออกมาราวกับกำลังสอนวิชาสุขศึกษาอยู่ แต่ทุกคนก็ยิ่งทำสีหน้ามึงงเข้าไปอีก

     “เอ่อ...หมายถึงตัวเราทุกคนในตอนนี้น่ะ...”

     “เธอหมายถึง ทหาร?”

     “ไม่ใช่! ผู้หญิงไงคะผู้หญิง... รูปแบบร่างกายก็แบบพวกเรานี้ไง”

     ผมอธิบายพร้อมกับตบหน้าอกตัวเองไปด้วย

     “แบบพวกเรา…”

     โลเรนพึมพำออกมาพลางมองไปยังหน้าอกของเพื่อนทหารสาวคนอื่นๆ

     “ก็ทหารไง?”

     “ไม่ใช่ค่า....!?”

     ไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้วผมจึงนั่งสงบสติอารมณ์อย่างสงบนิ่ง

     “เธอคงจะหมายถึงชื่อเรียกตัวตนมนุษย์อย่างพวกเราสินะ”

     เหมือนได้ยินเสียงเทพธิดาเพราะว่าเอลเซ่เอ่ยออกมาด้วยประโยคที่เหมือนจะเข้าใจสิ่งผมจะสื่อ

     “ใช่ๆประมาณนั้นแหละค่ะ”

     “ถึงจะไม่เคยได้ยินว่ามีพื้นที่ที่เรียกมนุษย์อย่างพวกเราว่าผู้หญิงก็เถอะ แต่พวกเรามีชื่อเผ่าพันธุ์อยู่คือวีนิซัทนะ”

     “วีนิซัท?”

     “อื้ม! ผู้คนในอดีตตั้งตามชื่อเทพแห่งความรักน่ะ”

     เทพแห่งความรัก? คุ้นๆเหมือนคล้ายจะเป็นตำนานของวีนัสที่โลกเดิมของผมเลยนะ...สรุปแล้วโลกนี้ไม่มีคำเรียกว่าผู้หญิงหรือผู้ชายสินะ มีเพียงมนุษย์ที่ถูกเรียกว่าวีนิซัท...แล้วผู้ชายล่ะ

     “แล้วผู้ชายล่ะคะ?”

     “ก็นั้นแหละจ๊ะ เธอหมายถึงอะไรเหรอ?”

     วินเชสต้าเอ่ยออกมาอย่างสงสัย

     “ก็คล้ายๆมนุษย์อย่างพวกเราแต่ไม่มีหน้าอก ที่มีความแตกต่างกับพวกเราแบบชัดเจนก็คงเป็น...อะ...อะ...วะ...ช่างมันเถอะค่ะ...”

     ผมรู้สึกแปลกๆที่จะพูดคำนั้นออกไป อาจเพราะตอนนี้อยู่ในร่างกายของสาวน้อยการจะพูดอะไรแบบนั้นออกไปจะรู้สึกไม่ค่อยจะเหมาะเท่าไหร่

     นี่เราแลดูเป็นผู้หญิงอ่อนต่อโลกขนาดนั้นเลยรึเปล่านะ

     “ไม่มีหน้าออกสินะ... วินัสบางคนก็มีหน้าออกน้อยจนเรียกได้ว่าน่าสงสารแต่ก็มีกันทุกคนนะ”

     “...งั้นก็ไม่มีมนุษย์ที่มีสิ่งเป็น...ทะ...แท่งๆ...นั้น งะ...งอกออกมาตรงนั้น...ซักคนเลยสินะคะ”

     “ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่คงจะใช่ล่ะนะ”

     คำตอบของเอลเซ่ทำให้ความคิดทุกอย่างของผมหยุดลง ผมค่อยๆวางจานไม้ที่มีซุปอยู่ลงกับพื้นก่อนจะลุกขึ้น ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างมองผมเป็นตาเดียวอีกครั้ง

     “ขอไปจัดการอะไรๆซักครู่นะคะ...”

     ผมพูดออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆเดินออกมาจากวงสนทนาและตรงไปยังลำธารที่ใช้อาบน้ำเมื่อครู่ เมื่อสมองเริ่มกลับมาคำนวณความคิดอีกครั้งผมก็ก้มลงหยิบก้อนหินขึ้นมาเต็มกำมือ

     “ที่โลกนี้ไม่มีผู้ชายหรอกเหรอ!!!”

     เสียงตะโกนออกมาจากลำคอเล็กๆพร้อมกับเศษหินที่ลอยกระจายไปกระทบผิวน้ำ ผมที่รู้สึกเหมือนตัดสินใจผิดพลาดอะไรไปบางอย่างก็ค่อยย่อตัวลงนั่งกอดเข่าอย่างรู้สึกเศร้าๆเพียงคนเดียว

     ไม่มีผู้ชาย...ก็หมายความว่าโลกแห่งนี้มีเพียงผู้หญิงสินะ แล้วถ้าหากว่าตอนเลือกเกิดเราตั้งค่าเป็นผู้ชายล่ะก็ โลกแห่งนี้มันก็สวรรค์ดีๆนี้เอง...ไม่ต้องพยายามก็มีฮาเร็มเป็นของตัวเองแน่นอน อึก...ฮือ...พลาดไปแล้ว พลาดไปแล้วจริงๆ

     ผมใช่เวลาปรับอารมณ์อยู่นานสองนานก็ค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเลแล้วจึงเดินกลับไปหาทุกคน พร้อมด้วยความคิดปลอบใจตัวเองว่า ‘อย่างน้อยก็เป็นโลกแห่งยูริ’ พอคิดแบบนั้นหัวใจก็เบิกบานขึ้นแม้ว่าในส่วนลึกจะยังคงร่ำให้ไม่หยุดก็ตาม...

     “อ้าวกลับมาแล้วเหรอ กำลังจะไปตามพอดีเลย”

     “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงค่ะ...”

     ผมกล่าวขอโทษก่อนจะนั่งลงที่เดิมแล้วหยิบจานไม้มาตักซุปเข้าปากเพื่อให้ลืมๆเรื่องที่ทำผิดพลาดไปซะ

     หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยอะไรกันอีกเล็กน้อยตามภาษาหญิงสาวแต่ผมก็นิ่งเงียบฟังเสียส่วนใหญ่และร่วมบทสนทนาแบบถามคำตอบคำเท่านั้น ไม่นานเอลเซ่ก็ให้สัญญานว่าถึงเวลาที่จะต้องนอนแล้วก็สั่งให้ทุกคนเก็บข้าวของพร้อมไปนอน

     ผมเองก็ช่วยเก็บจานชามมากองและพวกเธอยกเดินหายไปคาดว่าคงจะนำไปล้างที่ลำธาร เมื่อพวกเธอจัดการทำความสะอาดภาชนะและอุปกรณ์ทำอาหารเสร็จแล้วก็ยกมันกลับไปเก็บไว้ที่รถลากก่อนจะแยกย้ายกันนอน

     โดยที่จะมีการสลับเวรยามเฝ้าระวังกันทุกๆชั่วโมงครึ่งในตอนแรกผมก็ขอเข้าร่วมเวรยามด้วย แต่ทุกคนก็ปฏิเสธอย่างพร้อมเพรียงโดยให้เหตุผลว่า ‘เด็กน่ะ ไปนอนเถอะจะได้โตเร็วๆ’ พร้อมกับลูบหัวผม

     ผมเพิ่งจะสิบเจ็ดเองนะ แต่สำหรับพวกเธอก็คงจะนับว่าผมเป็นเด็กล่ะนะ เพราะฉะนั้นผมจึงยอมทำตามแต่โดยดีโดยการขึ้นไปนอนบนรถลากที่จัดการย้ายของบางส่วนไปไว้ที่รถข้างๆเพื่อให้เกิดที่ว่างไว้สำหรับนอน

     รู้สึกทุกคนจะใส่ใจผมดีเป็นพิเศษเลยแฮะถึงจะรู้จักกันมาหลายชั่วโมงแล้วผมก็ยังคงเกรงใจอยู่ เดี๋ยวนะ...มีคนจะนอนกับผมด้วยเหรอ?

     เพราะโรเลนกับวินเชสต้าปีนขึ้นไปหาที่นอนกันซะอย่างนั้น ส่วนอัลม่ากับแครอลไปนอนที่รถลากอีกคัน เพราะเอลเซ่ยืนยิ้มให้อยู่ข้างผมจึงปีนขึ้นไปอย่างช่วยไม่ได้และนั่งดูว่าพอจะนอนตรงไหนกันบ้าง

     “เอาล่ะยังไงก็ทนนอนบนนี้ไปก่อนนะ”

     “ไม่หรอกค่ะ ช่วยได้เยอะจนรู้สึกเกรงใจเลยค่ะ”

     “เป็นเด็กดีจังนะ งั้นก็ฝันดี”

     เอลเซ่ดึงผ้าคลุมกระโจมรถลากลงมาปิดเพื่อปล่อยให้พวกเราได้นอน ผมจึงหันกลับไปมองทั้งสองคนที่นอนอยู่โลเรนนอนมองผมก่อนจะตบผ้าปูพื้นเพื่อเรียกผมให้ไปนอนด้วย

     เพราะไม่สามมารถปฏิเสธได้จึงค่อยๆคลานไปนอนระหว่างโลเรนและวินเชสต้า เมื่อล้มตัวลงนอนนั้นก็ครุ่นคิดถึงอะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้นภายในวันนี้ซะจนเข้าสู่ภวังค์แห่งการหลับไหลไปทั้งอย่างนั้น...

 

     ระว่างกำลังเคลิบเคลิ้มกับความฝันผมก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง...เป็นอะไรที่นิ่มๆเกาะติดอยู่รอบตัว...ไม่สิสิ่งนี้กำลังรัดผมอยู่ อุ...รู้สึกอึกอัดจัง

     ผมเปิดตามาก็พบกับโลเรนที่กำลังกอดรัดผมอย่างมีความสุข นี่ผมกลายเป็นหมอนข้างไปแล้วเหรอเนี่ย

     อ๊ะ!..ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนี่นะต้องรีบหาทางทำอะไรกับสภาพนี้ก่อนแล้วสิ

     “คะ...คุณ โลเรน...คะ...”

     ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้นไม่ว่าผมจะดิ้นอย่างไรอีกฝ่ายก็ยิ่งกอดผมแน่นขึ้น นี้หล่อนเป็นงูหรือไงกัน

     อ๊า~...เริ่มหายใจไม่ออกแล้วสิ แต่โดนผู้หญิงกอดจนตายแบบนี้ก็น่ายินดีนะ...ซะที่ไหน! ทรมานจะตายอยู่แล้ว

     ผมใช้แรงทั้งหมดพยายามออกแรงดิ้นจนในที่สุดแขนขวาผมก็เล็ดลอดออกมาจากผ้าห่มได้แล้ว ผมใช้ผลของความพยายามนั้นให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดโดยการตีไปที่แขนของอีกฝ่าย ตอนแรกก็พยายามตีเบาๆอยู่หรอกแต่เหมือนจะไม่ได้ผลผมจึงเปลี่ยนมาตีลงไปจุดสุดแรง

     สิ่งที่เกิดขึ้นคือโลเรนคลายแขนจากการกอดผมแล้วแต่ไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นมาเลยอะไรจะหลับลึกได้ขนาดนั้นเนี่ย ผมขยับตัวออกห่างเพื่อที่จะไม่ต้องโดนลากเข้าไปกอดอีกครั้ง

     ระหว่างที่วางใจอยู่นั้นก็ปิดตาเพื่อจะหลับต่อ จู่ๆก็ถูกดึงไปด้านหลังอย่างแรงเสียจนกลับไปอยู่ที่เดิม แขนของโลเรนพาดแขนผมไปด้านหลังก่อนจะออกแรงกอดผมจนหน้าผมเข้าไปซุกไซ้ที่หน้าอกของเธอ ถึงจะรู้สึกดีแต่ก็ส่งผลให้หายใจไม่ออก

     ผมพยายามดันตัวออกมาอีกครั้งแน่นอนว่าไม่เป็นผล อากาศหายใจก็เริ่มจะหมดแล้วผมจึงใช้มือดันหน้าอกของเธอออกไปเพื่อสร้างช่องว่างและหาอากาศหายใจ ก่อนจะค่อยๆขยับพลิกตัวหันหน้าไปทางวินเชสต้า แม้ว่าจะหลุดออกมาจากอ้อมกอดไม่ได้แต่ก็ได้อยู่ในท่าที่พอจะนอนได้แล้ว

     สุดท้ายก็นอนโดนการใช้แขนบางๆบางของตัวเองดันแขนอันแข็งแรงของโลเรนที่กำลังกอดผมอยู่ออกไปแล้วก็หลับไปทั้งอย่างนั้น

     ~

     ผมเริ่มฝันถึงภาพเก่าๆที่เคยเห็นในโลกเดิมช่างเป็นความทรงจำที่แสนคิดถึงทั้งๆที่เพิ่งจะตายไปเมื่อวานเองแต่กลับรู้สึกยาวนานราวเป็นปี

     จู่ๆก็รู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อยและรู้สึกจั๊กจี้แปลกๆผมจึงใช้มือปัดทั้งๆที่ปิดตาอยู่ แต่เหมือนจะไม่เป็นผลผมก็ค่อยๆเปิดตาขึ้นมาดูแทน

     ทว่าภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือวินเชสต้าที่กำลังล้วงมือเข้ามาใต้เสื้อที่ผมสวมอยู่ด้วยร้อยยิ้มและสีหน้าแปลกเหมือนกำลังพอใจอะไรบางอย่างเป็นอย่างมาก

     ผมชำเลืองมองไปข้างๆเพื่อมองหาโลเรน ทว่าก็ไม่พบใครนอกจากวินเชสต้าเพียงคนเดียว

     “…ทำอะไรอยู่เหรอคะ...”

     ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดปนง่วงเล็กน้อย อีกฝ่ายก็ทำเพียงแค่หันมาส่งยิ้มให้และพูดว่า

     “ไม่มีอะไรจ๊ะ...”

     ปากว่าไม่แต่มือของเธอก็ยังคงลูบท้องของผมอย่างไม่หยุดจากนั้นเธอก็ใช้อีกมือวางลงไปที่ต้นขาและลูบอีกส่วนเช่นกัน เกิดเป็นความรู้สึกแปลกๆภายในเหมือนจะเริ่มเคลิบเคลิ้มตาม

     แต่พอนึกตั้งสติได้ว่าภายใต้ชุดไม่ได้สวมอะไรอยู่เลยผมก็รีบลุกขึ้นมาดูสถานการณ์ตรงหน้าให้ชัดเจน โชคดีที่ผ้าห่มพันรอบเอวเอาไว้พอดีจึงไม่น่าห่วงอะไรมากเว้นเสียว่าจะปล่อยให้เธอลูบต่อไป....

     “...เอ่อ...คุณวินเชสต้าช่วยหยุดจะได้ไหมคะ...”

     “...เจร่าเนี่ย…ผิวเนียนจังเลยนะ...ขาวอมชมพูเหมือนไข่มุกเลยด้วย...”

     ไม่ไหวแล้วคนๆนี้เข้าขั้นเพี้ยนไปแล้ว ผมจึงใช้ทางออกฉุกเฉินโดยการสะบัดมือขอเธอที่กำลังลูบผิวผมอย่างเพลิดเพลินอยู่ออก รีบคว้าผ้าห่มและกระโจนออกมาจากรถลากทันที

     วันนี้ผมจะได้นอนอย่างเป็นสุขไหมน้า~…

     ระหว่างที่คิดแบบนั้นผมเดินไปนั่งคลุมโปงข้างกองไฟกองเดิมที่ใช้ในการทานอาหารเมื่อตอนเย็น ไม่นานวินเชสต้าก็รีบเดินออกมาตามหาผมทันที

     “ขอโทษจ๊ะขอโทษ... พอดีได้เห็นเด็กน่ารักๆอย่างเธอแล้วมันก็อดใจไม่ไหวจริงๆน่ะน้า~”

     ผมนิ่งเงียบมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างอึ้งๆ หมายความว่าไง‘อดใจไม่ไหว’น่ะ ความอบอุ่นของเปลวไฟค่อยๆดึงสติผมให้เข้าสู่ความฝันอีกครั้ง

     “กลับไปนอนที่เดิมดีกว่านะ”

     ภาพตรงหน้าค่อยๆลางเลือน เหมือนว่าเธอเดินเข้ามาหาผมก่อนจะดึงไหล่ผมให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดแล้วผมก็หลับไปทั้งอย่างนั้น

     ~

     คราวนี้เป็นอะไรอีกล่ะ...รู้สึกหนาวขึ้นมาพร้อมด้วยสัมผัสของการถูกลูบตามผิวอีกครั้ง...คุณวินเชสต้าไม่เลิกรากันเลยสินะครับ ผมเปิดขึ้นมาอย่างมึนงงแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของคนๆนั้นมีเพียงแครอลกับอัลม่าที่กำลังนอนหลับ... ถึงจะสงสัยว่ากลับมานอนตรงนี้ได้ไงก็เถอะ

     ทั้งสองคนนอนเบียดผมโดยด้านซ้ายเป็นแครอลด้านขวาเป็นอัลม่า แขนทั้งสองถูกกอดไว้และที่ลำตัวก็มีขาของอัลม่าพาดมา ส่วนขาซ้ายของผมก็โดนขาของแครอลพาดไว้เช่นกันถึงจะไม่รู้สึกอึดอัดเท่ากับโดนโลเรนกอดแต่ก็ทำให้ใจไม่สงบเลย

     หืม...กลิ่นนี้... เหล้า? พวกเธอดื่มของแบบนั้นมาเหรอเนี่ย คิดว่าน่าจะเป็นช่วงเข้าเวรยามสินะ ยังไงก็ขยับตัวออกก่อนดีกว่า

     คิดได้ดังนั้นผมก็ค่อยๆขยับตัวออกโดยไม่ให้ทั้งสองคนตื่น จังหวะที่เกือบจะหลุดออกมาได้แล้วนั้นจู่ๆก็ถูกดึงต้นแขนไว้ ผมมองหาต้นตอของแรงปริศนา

     “...จะไปไหนน่ะ นอนด้วยกันก่อนสิ...”

     เสียงงึมงำเหมือนคนละเมอดังออกมาจากปากของอัลม่า เธอค่อยๆเปิดตามองผมเหมือนจะเคืองๆเล็กน้อย

     “...ขะ...ขอโทษที่ทำให้ตื่นค่ะ แต่ว่าฉันขอขยับไปนอนที่อื่นดีกว่านะคะ...”

     อัลม่ามองผมด้วยสภาพของคนเมาที่ถูกปลุกให้ตื่น พอฟังจบเธอก็ยกมือไปสะกิดแขนของแครอล

     “...อือ~ ว่าไง อัลม่า... อ๊า เจร่าเธอจะไปไหนน่ะ มานอนด้วยกันก่อนสิ”

     คราวนี้แครอลก็ดึงแขนอีกข้างของผมไว้

     “เดี๋ยวจะรบกวนซะเปล่าๆ ขอขยับไปนอนห่างๆดีกว่า...นะ..คะ...”

     พยายามพูดเสียงออดอ้อนออกไป เพราะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่น่ากลัวกำลังจะเกิดขึ้น

     “ไม่เป็นไรหรอก...นอนด้วยกันดีกว่านะ”

     แล้วอัลม่าก็ดึงแขนผมลงไปจนหลังกระแทกพื้น แครอลเห็นดังนั้นก็ล็อกแขนผมไว้ทันที

     “...เจร่าเนี่ยตัวหอมจังนะ...แล้วก็รู้สึกว่าน่าอร่อยด้วย...”

     ว่าแล้วแครอลก็อ่าปากงับมาที่คอของผม

     “อะ...อ๊า~”

     “...แฮะๆ...ขอบ้างสิ…”

     ว่าแล้วอัลม่าก็จับแขนผมพาดขึ้นไปบนหัวก่อนจะงับลงมายังต้นแขน ทั้งสองงับๆกัดๆอยู่สองนาน ส่วนผมก็พยายามจะส่งเสียงออกไปบอกให้หยุดแต่ก็พูดไม่เป็นคำซักที ผมได้แต่ส่งเสียงแปลกออกไปโดยไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้ครางแบบนี้

     ซักพักระหว่างที่ผมซักจะเหนื่อยอ่อนจนหอบอยู่นั้น แครอลก็คลานไปนั่งกดบริเวณขาผมเอาไว้ก่อนจะที่เธอจะลูบๆคลำๆบริเวณต้นขาของผม

     เฮ้ย~!? เดี๋ยวนะ...ผมกลายเป็นนางเอกหนังสือแนวมืดไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย

     อัลม่ายังคงนอนข้างๆผมอยู่ที่เดิมแต่รวบข้อมือผมขึ้นไปกดไว้เหนือหัว โดยส่วนตัวตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะแย่มากแล้ว

     “...กะ...กำลังจะทำอะไรกันน่ะคะ…?”

     “…ก็...สำรวจร่างกายเล็กๆน้อยๆน่ะ”

     กล่าวเสร็จแครอลก็ใช้มือจับชายกางเกงก่อนจะค่อยๆดึงมันลงมาอย่างช้าๆ อัลม่าเห็นดังนั้นก็แลบลิ้นออกมาเลียไปที่ใบหูของผม

     “อุ...อึก...ฮึก...อ๊า...”

     ผมพยายามดิ้นหนีแต่ทั้งสองคนก็จับผมไว้อย่างแน่น เริ่มจะรู้สึกว่ารับเรื่องนี้ไม่ไหวแล้วจนน้ำตามมันก็เริ่มออกมา

     “...ฮือ!..แง๊~~~~~!!!!”

     ไม่สนแล้ว! ขอร้องให้เต็มที่ไปเลยก็แล้วกันเพราะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้วล่ะ

     เสียงร้องของผมดังระงมออกมาแต่ทั้งสองไม่สนใจยังคงลงมือตามใจกันอย่างสนุกสนาน จังหวะที่ขอบกางเกงกำลังจะลงมาถึงสะโพกทว่าที่ด้านหลังของแครอลก็มีเสียงสะบัดผ้าดังขึ้น

     “เจร่า! มีอะไรเหรอ? ร้องให้ทำ...ไม...      ...ทำอะไรกันอยู่น่ะ”

     เอลเซ่เปิดผิดคลุมกระโจมเข้ามาก็พบสถานการณ์ไม่น่าเชื่อ ไม่นานนักทั้งสองคนก็โดนสายตาข่มขู่ของเอลเซ่และโดนลากตัวออกไปจากรถลากทันที ผมมองภาพตรงหน้าพร้อมกับดึงผ้าห่มมาคลุมตัวไว้และค่อยๆใช้นิ้วมือเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา

     รอดมาหวุดหวิดเกือบจะเสียอะไรหลายๆอย่างไปเสียแล้ว...

     โชคดีที่เอลซ่ามาช่วยไว้ได้ทัน นางช่างเป็นเทพธิดาของผมจริงๆ

     ผมลากเอาผ้าห่มนั้นมาพันตัวไว้ก่อนจะลงมาจากรถลากและเดินตรงไปหาเอลเซ่ที่กำลังอบรบสหายร่วมรบทั้งสองคนอยู่

     “เอลเซ่...”

     ผมเดินลากผ้าห่มเข้าไปหาทั้งอย่างนั้นจากนั้นก็ดึงชายเสื้อของเธอจากด้านหลัง พอเอลเซ่หันมามองผมอย่างสงสัยผมก็ชิงพูดสิ่งที่ต้องการไปก่อนทันที

     “ขอนอนด้วย...ได้ไหม...”

     พอถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆและอีกฝ่ายก็ตอบรับคำขอนั้นโดยง่าย เธอพาผมกลับมานอนบนรถลากอีกครั้งพร้อมกับส่งสายตาข่มขู่ทั้งสองคนที่นั่งสำนึกผิดอยู่ที่พื้น

     แต่ผมรู้สึกหวั่นๆที่จะต้องกลับขึ้นมานอนบนนี้แล้วสิ เอลเซ่คงสังเกตเห็นสิหน้าเป็นกังวลของผมจึงนอนลงข้างๆ

     “ไม่เป็นไรๆ ฉันจะนอนลงข้างๆเองนะ...”

     เธอค่อยๆลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนการกระทำและคำพูดนั้นช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาก ถึงยังจะรู้สึกกลัวว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นมาอีกไหมแต่เพราะมีเอลเซ่นอนข้างๆผมจึงปิดตาลงอย่างสบายใจ นี้สินะที่เขาเรียกกันว่าเสียขวัญน่ะ

     ~

     ตอนตื่นขึ้นมาก็ไม่พบเอลเซ่เสียแล้วผมจึงหยิบผ้าเช็ดตัวเดินไปยังลำธาร พอวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าสายน้ำเย็นๆก็ช่วยสลัดอาการง่วงนอนออกไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆใช้ผ้าเช็ดใบหน้าที่เปียกน้ำอย่างสะลึมสะลือ พอจัดการล้างหน้าเรียบร้อยแล้วผมก็เดินกลับไปยังรถลากทันที

     ผมกลับขึ้นไปบนรถลากก่อนเปลี่ยนชุด ไม่สิ…เรียกว่าสวมทับไปทั้งอย่างนั้นเลยเพราะผมไม่มีชุดชั้นในน่ะนะ พอเปลี่ยนเสร็จผมก็เดินลงมาเพราะโลเรนที่ตื่นมาก่อนนั้นทำอาหารเตรียมไว้แล้ว ผมเดินไปนั่งที่เดิมเหมือนตอนทานอาหารเมื่อวาน ซึ่งทุกคนก็อยู่ในชุดเกราะเต็มอัตรา

     “เอ้า...นี่ของเจร่านะ”

     วินเชสต้าช่วยส่งชามไม้ที่มีซุปมาให้ซึ่งผมเองก็รับมาอย่างหวาดระแวง การทานอาหารในช่วงเช้านี้สำหรับผมเรียกได้ว่าอึดอัดเป็นอย่างมากเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

     เมื่อทุกคนจัดการอาหารเมื่อเช้าเสร็จแล้วโลเรนกับวินเชสต้าก็อาสานำชามไปล้าง ส่วนผมที่ไม่มีอะไรจะทำก็เดินไปนั่งเหม่อมองท้องฟ้าหลังรถลากเพื่อรอเวลา

     “เจร่า...”

     เสียงนั้นที่เอ่ยขึ้นมาดึงสติของผมที่หลุดลอยไปกลับมา อัลม่ากับแครอลเดินมาหยุดตรงหน้าผม ด้วยความตกใจภาพเมื่อคืนกลับมาในหัวอีกครั้งผมรีบโดดลงมาจากรถลากวิ่งไปหาเอลซ่าทันทีแน่นอนว่าทั้งสองคนก็วิ่งตามมา

     “เอ่อ...เล่นอะไรกันเนี่ยพวกเธอ…”

     เอลเซ่เอนตัวพลางเอ่ยถามอย่างสงสัยมาหาผมที่หลบอยู่ข้างหลัง และผมยังคงมองไปยังทั้งสองคนที่วิ่งตามมาอย่างไม่ไว้ใจ เอลเซ่เห็นดังนั้นก็หรี่ตามองไปยังทั้งสองคนตรงหน้า

     “พวกเธอไปทำอะไรเด็กคนนี้อีกล่ะ...”

     “เปล่าซักหน่อยก็แค่จะมาขอโทษเองนะ”

     “อื้มๆ”

     อัลม่าพยักหน้าเห็นด้วยกับแครอล เอลเซ่ที่ได้ยินดังนั้นก็ค่อยๆดันหลังผมให้ออกมา ส่วนผมเองก็เดินออกมาอย่างหวาดๆเล็กน้อย

     “เจร่า...ขอโทษนะพอดีว่าเมื่อคืนพวกเราเมาหนักไปหน่อยน่ะ”

     “ขอโทษด้วยนะ”

     แล้วทั้งสองคนก็ก้มหัวให้ทำเอาผมลนลานทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

     “มะ...ไม่เป็นไรค่ะ เอ่อ...ฉันเองก็ขอโทษที่หลบหน้านะคะ...”

     แล้วผมเองก็ก้มหัวให้บ้าง

     “อื้มๆ ถ้าทั้งสองฝ่ายคืนดีกันได้ก็ยินดีด้วยนะ แต่ว่า...”

     เอลเซ่เดินผ่านผมไปโอบไหล่ทั้งสองคนก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มแต่แววตาไม่ได้ยิ้มด้วยเลย

     “เรื่องที่พวกเธอแอบดื่มเหล้ากันน่ะ ฉันจะจำไว้นะ...”

     “หะ...หัวหน้า...เรื่องนั้นน่ะ”

     “…ขะ...ขอโทษค่ะหัวหน้า...”

     ทั้งสองคนแสดงอาการแตกตื่นราวกับกำลังหวาดกลัวเอลเซ่ออกมาอย่างชัดเจน

     “ไม่เป็นไรๆ ไว้เดี๋ยวไว้กลับเมืองค่อยคิดบัญชีกันนะ”

     กล่าวจบนายกองก็ตบบ่าทั้งสองคนก่อนจะเดินไปยังรถลากด้วยร้อยยิ้ม ส่วนทั้งสองคนก็พูดแค่ว่า ‘ค่ะ...’ เสียงแห้งอย่างยอมรับชะตากรรม

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา