L.D.C ในวังวนที่ปราศจากเพียงตัวฉัน
-
เขียนโดย กระดาษห่อก้างปลา
วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 16.22 น.
4 chapter
0 วิจารณ์
6,324 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2559 16.33 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ประตู
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ย้อนกลับไปเมื่อผมยังเป็นเด็กเล็กอายุสี่ถึงห้าขวบ ช่วงนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นพ่อ วันนั้นเป็นช่วงที่ฝนตกค่อนข้างหนักจนทิวทัศน์รอบด้านได้ถูกเจือไปด้วยความมืดและสายฝน ไม่นานรถเก๋งข้างหน้าก็ได้จากไปพร้อมกับน้ำที่สาดกระเซ็น
“แม่ฮะ พ่อกำลังจะไปไหนเหรอฮะ?” ผมดึงชายเสื้อระหว่างเงยหน้าขึ้นถามหญิงผมยาวดำสนิท แววตาสีแดงงดงาม แต่แม้ผมจะถามซ้ำสักกี่ครั้ง แม่ก็ไม่ได้ตอบคำถามนี้เลย ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจนักว่าทำไมแม่ถึงไม่คิดที่จะตอบ กระทั่งเมื่อผมโตขึ้นจึงได้ทราบความจริง ว่าแม่ต้องอดกลั้นน้ำตาไว้อย่างทรมานแน่ๆ ระหว่างที่ยืนฟังคำถามจากผม
ผมสะดุ้งเฮือกขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ อีกครั้ง ร่างผมตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อโชกไปหมด มันเกิดอะไรขึ้นกัน? แล้วสามปีมานี้ผมมัวทำอะไรอยู่? การทำตัวให้หายไปจากโลกมันจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้นงั้นหรือ? ตอนนี้ภาพของคาเรลเริ่มตามหลอกหลอนผมอีกแล้ว ผมต้องทำอะไรสักอย่างสิ
ผมลุกออกจากเตียงไปล้างหน้า อาบน้ำ และสวมแจ็คเก็ตสีดำเพื่อออกไปข้างนอก แต่ก็ปรากฏภาพของหญิงสาวจากอีกโลกที่ยังยืนขวางผมเช่นเดิม
“มันไม่มีอะไรในโลกแห่งความฝันหรอก ทุกอย่างล้วนไม่มีอยู่จริง เธอไม่เหมาะกับโลกภายนอกหรอก สิ่งที่รออยู่มันมีแต่ความทุกข์เท่านั้นแหละ”
“…” ผมเดินผ่านร่างของเธอ ออกประตูไปสู่โลกที่ผมต้องเผชิญ โลกภายนอกแสนมืดมิดที่ฝนยังคงตกอยู่เหมือนทุกวัน แต่นับว่ายังดีล่ะนะที่ฝนยังตกไม่หนัก
ผมพยายามมองไปยังหอนาฬิกา ณ ใจกลางเมือง ผ่านระเบียง บ้านช่อง แสงไฟจากโคมไฟข้างทางหรือตามบ้านเรือน ถึงจะมองหอนาฬิกาไม่ชัดนัก เพราะความมืดและสายฝน แต่ก็พอจะเข็มนาฬิกาอยู่บ้าง ดูเหมือนจะเป็นเวลาตีสี่เศษๆ
ผมเริ่มเดินลงบันไดหอพักลงสู่ถนนที่ตลอดข้างทางเต็มไปด้วยเหล่าผู้คนที่เดินกางร่มคอตกกัน ส่วนใหญ่มักสวมสูทคล้ายนักธุรกิจ ท้องฟ้าตอนนี้ยังคงมืดมิด มีเพียงแสงไฟจากบ้านเรือนบางหลังเท่านั้นที่ยังส่องสว่างอยู่ เมื่อเดินลงบันไดสู่ชั้นล่างผมจึงเริ่มกางร่มสีน้ำเงินออก และเดินตามพวกเหล่านักธุรกิจคอตกไป ภาพผู้คนตรงหน้าเหมือนดั่งตลกร้าย เมื่อผมสามารถเข้าใจได้ว่าคนสวมสูทคนไหนเป็นคนตกงานที่พยายามทำเป็นคนมีงานทำน่ะ
ตอนนี้ทุกย่างก้าวที่ผมเดิน มักจะมาพร้อมกับความระแวงอยู่ตลอด ก็นะ เมื่อเรากลายเป็นคนผิดพลาดอันแสนด้อยค่าแล้ว ความรู้สึกที่มีต่อคนรอบตัวมันจะเริ่มเปลี่ยนไป ทุกครั้งที่เดินผ่านผู้คน ผมมักจะกลัวตลอดว่าพวกเขาจะมองผมด้วยสายตาดูถูก และที่แย่ไปกว่านั้นคือผมกลัวที่จะพบหน้าคนที่รู้ว่าผมเป็นคนที่ผิดพลาด
เสียงฝนกระทบสังกะสีมักจะทำให้ผมรำคาญเสมอ แสงไฟทั้งโคมไฟข้างถนน โคมไฟข้างทาง และจากบ้านบางหลังเริ่มติดๆ ดับๆ จนน่ากลัว บ้านหลายหลังรอบด้านทำจากอิฐ และทุกหลังล้วนสกปรก ก็นะ พวกเขาไม่ค่อยจะได้ทำความสะอาดกันเพราะฝนที่ตกลงมา บริเวณกำแพงมักจะถูกแปะด้วยโปสเตอร์ที่บ้างก็ยุ่ยจากฝน บ้างก็สีลอกไปตามกาล ตามทางเดินล้วนเต็มไปด้วยเก้าอี้ และโต๊ะที่วางอย่างระเกะระกะ รวมถึงเศษขยะ และขวดแก้ว
ตามบริเวณใต้หลังคาจะมีเด็กขายหนังสือพิมพ์เดินเร่ขายกันอยู่ ผมเดินไปซื้อหนังสือพิมพ์จากเขามา ตอนนี้ผมคงต้องไปหาที่ไหนสักแห่งนั่งอ่านหนังสือจนกว่าจะนึกออกว่าไปไหนต่อล่ะนะ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมจะไม่มีทางกลับไปห้องแน่นอน เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมจึงเลือกที่จะเดินตามย่านร้านกาแฟที่ยังเปิดอยู่ พยายามมองหาว่าเช้าแบบนี้จะมีร้านอะไรเปิดบ้าง แต่ในเขตการค้าที่ผมคุ้นเคยช่วงเช้านี้ ร้านแทบทุกหลังยังคงถูกปิดด้วยประตูม้วนเหมือนๆ กัน
“พ่อหนุ่มผมยาวตรงนั้นน่ะ” เสียงชายวัยกลางคนดังขึ้น “สนใจดื่มชาหน่อยไหม? มันช่วยให้อารมณ์ดี และหัวโล่งนะ”
ผมหันไปมองเจ้าของเสียง พบลุงร่างผ่ายผอมสวมแว่นกลม ผมสั้นสีน้ำตาล กำลังตั้งป้ายร้านอยู่ ตัวป้ายร้านเขียน ‘ร้านชาอโรม่า’ นับว่าโชคดีที่ยังมีร้านเปิดอยู่ล่ะนะ
“ก็ดี…” ผมตอบระหว่างเดินไปใต้หลังคาของร้าน หุบร่มที่กางอยู่ ก่อนจะเริ่มเดินตามลุงที่พึ่งตั้งป้ายเสร็จเข้าร้าน
เมื่อเปิดเข้ามาในร้านสิ่งแรกที่รับรู้ได้คือกลิ่นจากเครื่องหอมผมไม่รู้จะอธิบายกลิ่นหอมนี้อย่างไรดี ที่ทราบมีเพียงมันเป็นกลิ่นจางๆ ไม่ฉุน และเมื่อสูดเข้าไปก็รู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อย ร้านนี้มีลักษณะไปทางตะวันออก แสงไฟทีนี่เน้นสีเหลืองสลัว รอบร้านประดับด้วยไม้ประดับหลายชนิด และหลายๆ ชนิดเป็นประเภทที่ให้กลิ่นหอม ดูท่ากลิ่นหอมจะมาจากไม้ประดับเหล่านี้สินะ แต่การจะจัดให้มีกลิ่นหอมอย่างลงตัวได้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญพอตัวเลยนี่ แสดงว่าลุงคนนี้ท่าจะเชี่ยวชาญน่าดู
สำหรับโต๊ะนั่งจะมีที่เคาน์เตอร์ประมาณหกถึงเจ็ดที่นั่ง และแบบโต๊ะเตี้ยส่วนตัว ประมาณห้าโต๊ะ ผมวางร่มลงที่ชั้นวางร่ม เดินไปยังเคาน์เตอร์ และนั่งลงบนโต๊ะยาวสีดำ แต่ยังไม่ทันจะสั่ง ลุงเจ้าของร้านก็ยื่นแก้วชาให้ ชาสีฟ้าอ่อนในถ้วยชาขนาดลายดอกซากุระ เมื่อแตะขอบแก้วดูก็รู้สึกเย็น แปลกแฮะผมนึกว่าจะเป็นชาร้อนเสียอีก แต่ช่างเถอะ เพราะผมก็ชอบอาหารเย็นมากกว่าร้อนเป็นทุนอยู่แล้วล่ะ
“นายเป็นลูกค้าคนแรกของวันนี้เลยนะ” เขายิ้มกว้างๆระหว่างที่ผมยกชาขึ้นจิบ ทั้งมีกลิ่น และรสชาติค่อนข้างแปลก ผมไม่ทราบนักว่าจะอธิบายยังไงดี แต่นับว่ากลมกล่อมอย่างน่าชื่นชม และสิ่งที่เห็นได้ชัดอีกอย่าง คือความรู้สึกปลอดโปร่ง
“รสชาติดีแฮะ…” ผมเผลอหลุดปากพูดออกมา
“ชาหิมะน่ะ ฉันคิดว่าฉันคิดว่านี่น่าจะเหมาะกับนาย” ลุงเจ้าของร้านตอบ “ชานี้มันจะช่วยให้นายหัวโล่ง สบายใจ และคิดอะไรออกมากขึ้นน่ะ”
“งั้นเหรอ…” ผมมองตามป้ายราคา ไม่นานก็พบชาหิมะตามที่ลุงพูดถึง ราคานับว่าถูกพอสมควร
“เวลานายอารมณ์ไม่ดีมันเห็นชัดมากเลยนะ แล้วยิ่งแววตาสีแดงเหมือนแมวอีก เวลานายทำหน้าโกรธใครนี่เขาจะรู้ได้ทันทีเลยนะ”
“ผิวซีดแบบนี้แสดงว่าไม่ได้โดนแดดนานเลยสินะ ไปทำอีท่าไหนถึงใช้ชีวิตกลางคืนแบบนี้ล่ะ?”
ผมเริ่มเปิดหนังสือพิมพ์อ่าน ข่าวแรกที่พาดไว้หน้าหนึ่ง คือเรื่องคดีฆ่าหั่นศพที่คราวนี้ฆาตกรเลือกที่จะนำศพมา
พวกเขาไม่ทราบว่าผู้ก่อคดีเป็นคนเดียวกับ คดีก่อนหน้าไหม แต่พักนี้คดีฆ่าหั่นศพเริ่มปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยๆ และหลายๆ คดีก็จับตัวคนร้ายไม่ได้ สิ่งนี้ทำผมนึกถึงเมื่อก่อนเลยแฮะ สมัยมัธยมต้น...จะว่าไปผมเคยมีกลุ่มกันกี่คนนะ?...สี่คน?
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงพวกเราขึ้นชั้นมัธยมต้นใหม่ๆ ผมกับเพื่อนสมัยเด็กอีกสามคน มักจะมารวมตัวคุยกันตามระเบียงเสมอ แม้พวกเราจะอยู่กันคนละห้องแล้วก็เถอะ
“วันนี้ห้องฉันเรียนเหนื่อยเป็นบ้าเลยแฮะ” เด็กชายร่างผอมขาวนวล หน้าสวย ตาโตสีฟ้าอ่อน ผมยาวประบ่าสีบรอนซ์อ่อน ถอนหายใจเบาๆ หมอนี่ชื่อ ซิก เดมิเอล เห็นว่ามีความสนใจในเรื่องดนตรีคลาสสิค และกำลังเรียนเปียโนอย่างเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ แม้หมอนี่จะชอบทางสายดนตรี แต่ก็มีทักษะด้านการบริหารจัดการ และมาจากครอบครัวคนมีเงินพอสมควร
“ไม่ใช่ว่านายนายรู้สึกแบบนี้คนเดียว เพราะแอบซ้อมเปียโนจนดึกแล้วตื่นสายหรอกเหรอ” เด็กชายตาคมสีส้ม ผมสีน้ำตาลอ่อนทักขึ้น หมอนี่ชื่อไอออน คริม เป็นเด็กหัวใส และฉลาดที่สุดในกลุ่มพวกเรา เห็นว่าผลการเรียนเป็นรองแค่คาเรลที่เป็นอันดับหนึ่งของโรงเรียนเท่านั้น และไม่เพียงแต่หมอนี่จะฉลาดเพียงอย่างเดียว แต่เพราะท่าทางเยือกเย็น และหน้าตาที่ดูดี ทำให้เหล่าเด็กสาว และลูกคุณหนูสวยๆ ต่างหมายปองด้วยเช่นกัน
“รู้ได้ไงฟะ?” ซิกถาม
“รอยยับบนเสื้อนายมันฟ้องนะ ว่านายรีบสวมเสื้อผ้ามากทั้งๆ ที่ปกติมักจะแทบไม่มีรอยยับ แล้วคราบน้ำมันที่เปื้อนตรงคอเสื้อนายก็ฟ้องนะว่าวันนี้นายกินอาหารเช้าที่ใช้น้ำมันเป็นส่วนประกอบ แต่ครอบครัวนายเป็นครอบครัวคุณหนูนี่นะ เพราะงั้นอาหารขยะคงไม่ผ่าน และอาหารเช้ามีส่วนผสมเป็นน้ำมัน และทำแบบเร่งด่วนที่ฉันพอนึกออกก็พวกไข่ดาว และดูจากเศษขนมปังตรงปกเสื้อแล้ว นายคงคาบขนมปังปิ้งกับไข่ดาวระหว่างเดินทางมาเรียนล่ะสิ” ไอออนพูด “และเหตุผลอะไรกันนะที่ทำให้นายมาสายนะ? นี่พึ่งต้นเทอมสองเองด้วย ไม่น่าจะมีการบ้านอะไรมากมาย ไปงานสังสรรค์ หรืองานเลี้ยงก็ไม่ใช่ เพราะถ้าไปนายมักจะมาบอกพวกฉันก่อนเสมอ ที่เหลือก็แค่กิจกรรมในบ้านซึ่งไม่มีอะไรอื่นที่จะทำให้นายอดทนทำจนดึกดื่นได้นอกจากซ้อมดนตรี ซึ่งตอนนี้นายกำลังติดลมเล่าเรื่องซ้อมเปียนโนอยู่”
“อัจฉริยะจอมจับดูท่าจะกัดนายเข้าแล้วนะซิก ฮ่าๆๆ” เด็กชายมัดผมสีทองหน้าทะเล้นหัวเราะร่วน หมอนี่ชื่อเร็น ซิน เห็นว่าโดดเด่นด้านกีฬาจนได้เป็นนักกีฬาฟุตบอลของจังหวัด
“เขาเรียกว่าเวทย์มนต์” ไอออนหัวเราะเบาๆ
“นายเข้าใจของนายอยู่คนเดียวหรือเปล่า” เร็นและซิกหันมามองผม “นายคิดว่าไงล่ะ?”
“นั่นสินะ…” ผมทำท่าครุ่นคิด หากแต่จริงๆ แล้วสติไม่ได้จดจ่อกับพวกเขาเท่าไร
“ถ้าคาเรลล่ะก็ เธอเหมือนจะย้ายไปนั่งอ่านหนังสือแถวๆ หลังโรงเรียนแล้วล่ะ เห็นว่าห้องสมุดวันนี้คนเยอะด้วย มันน่าจะส่งผลให้เธอเลือกที่จะไปอ่านแถวๆ ที่คนน้อยนะ เพราะงั้นช่วงนี้ไม่ต้องตกใจไปเวลาที่นายเดินผ่านห้องสมุดแล้วไม่เห็นเธอ และอีกอย่างตอนที่ทุกคนทำตัวหัวเราะเธออย่างน่ารังเกียจน่ะ ฉันเห็นท่าทางคล้ายกำลังตั้งคำถามบางอย่างของเธออยู่” ไอออนพูด ทักษะการสังเกตุของหมอนี่ดีเป็นบ้าเลยแฮะ ผมล่ะอิจฉาพวกอิจฉาพวกอัจฉริยะจริงๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าหมอนี่เป็นคนดีและไม่ทำตัวน่ารังเกียจแบบเพื่อนหลายๆ คนในห้องล่ะนะ เพราะในห้องพวกเรามีอยู่เพียงสี่ถึงห้าคนเท่านั้นที่ไม่ได้หัวเราะเย้ยหยันในตัวตนที่ผิดแผกของคาเรล ไอออนก็เป็นหนึ่งในนั้น
“หมายความว่าไง?” ผมถาม
“บางทีเธออาจกำลังรอใครสักคนมาตอบคำถามในใจเธออยู่ก็ได้มั้ง” ไอออนตอบ “ถึงฉันจะไม่ทราบแน่ชัดนักก็เถอะ”
ถึงแม้จะไม่ทราบนักว่าที่ไอออนพูดนั้นมีเป็นเรื่องจริงหรือไม่ กระนั้นใจผมก็ยังคงคาดหวังว่าจะเป็นคนที่ไดคาเรลเฝ้ารอ แต่เมื่อเธอได้หายไป ความจริงที่ว่าผมไม่ได้ใกล้เคียงแม้แต่คำว่า “คนที่เธอคาดหวัง” ด้วยซ้ำได้ปรากฏชัดขึ้น นี่คงจะเป็นความจริงของคนขี้แพ้ที่ทำได้แต่คาดหวังล่ะนะ...
ผมนั่งแช่ในร้านน้ำชานี้นานเท่าไรแล้วนะ แต่ช่างเถอะ เพราะตอนนี้เหมือนผมจะพบสิ่งที่ต้องทำต่อไปแล้วล่ะ ผมควรจะเริ่มสืบหาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้น เงินเก็บที่แม่ทิ้งไว้ให้คงใช้ได้อีกไม่กี่ปีแล้วด้วย ตอนนี้มันถึงเวลาที่ผมต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ
“ได้เวลาที่ผมต้องไปแล้วล่ะ” ผมยกชาขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ดันร่างตัวเองลุกจากเก้าอี้
“คิดอะไรออกแล้วสินะ” ลุงเจ้าของร้านยิ้ม
“อืม…” ผมวางเงินไว้หน้าเคาท์เตอร์
“เอาเป็นว่าเป็นบริการพิเศษไม่คิดเงินแล้วกันนะ” ลุงยิ้มกว้างๆ
“ไม่เป็นไร” ผมเดินออกทั้งๆ ที่ยังวางเงินอยู่เช่นนั้น พอดีผมไม่ชอบติดหนี้ชีวิตใครถ้าไม่จำเป็นล่ะนะ
เมื่อเปิดประตูร้านออกมาในเช้าวันใหม่ที่ผู้คนต่างเดินทางอย่างเร่งรีบ เหล่าเด็กๆ สามถึงสี่คนในเครื่องแบบโรงเรียนประถมต่างวิ่งผ่านผมไป เมื่อมองดูหอนาฬิกาดูเหมือนตอนนี้จะเจ็ดโมงครึ่งแล้ว ผมดึงมือถือในกระเป๋าออกมา ต่อสายไปถึงเร็นเพื่อนนักกีฬาอารมณ์ดีเป็นคนแรก หวังว่าหมอนั่นจะยังไม่เปลี่ยนเบอร์นะ สักพักหนึ่งก็มีคนรับสาย
“สวัสดีครับ” เสียงจากปลายสายดังขึ้น
“เร็นใช่ไหม?” ผมถามปลายสาย
“ไม่ทราบว่าใครครับ?” เขาถาม ถ้าไม่ปฏิเสธเช่นนี้แสดงว่าเป็นหมอนั่นจริงๆ
“นี่ฉันเอง…” ผมตอบชื่อไปตามเนื้อความ ปลายสายเงียบเสียงไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเรียกชื่อผมอย่างดีใจ
“ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ ว่าแต่ทำไมนายถึงขาดการติดต่อไปดื้อๆ แบบนี้ล่ะ?”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ฉันมีเรื่องสงสัยอยู่น่ะ…เรื่องเมื่อพวกเราอยู่ ม.3…” ผมเผยอปากจะพูด หากแต่ความคิดยังเรียบเรียงไม่เป็นระเบียบอยู่
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นตรงหน้า เมื่อรถเก๋งได้แล่นผ่าไฟแดงเข้ามา ในขณะที่เด็กคนหนึ่งกำลังกางร่มข้ามถนน อยู่ๆ ผมก็รู้สึกราวกับภาพทุกอย่างมันช้าลงอีกครั้งราวกับกำลังเล่นเกมตัดสินใจอยู่ ตอนนี้ผมควรจำทำยังไงต่อดีนะ? อยู่เฉยๆ และทำเป็นไม่สนใจดีไหม? ก็มันเป็นเรื่องปกติที่คนทำกันอยู่แล้วนี่ แต่ทำไมกันนะ…ทำไมอดีตมันถึงได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับตัวคาเรลที่ยังมองดูผมกัน ภาพของเธอได้ย้ำเตือนถึงอดีตอันไร้ค่าของผม
ตอนนี้สรรพเสียงแห่งอดีตเริ่มดังขึ้นมา ย้อนตัวผมกลับไปยังช่วงวันวานสมัยมัธยมต้นท่ามกลางเสียงหัวเราะจากเหล่าเพื่อนฝูงที่ดังก้องขึ้นจากการเย้ยหยันในตัวตนของคาเรล เมื่อเธอทำตัวแตกต่างจากฝูงชนออกไป เหล่าคำครหา และดูถูกระงมไปทั่ว แต่ใบหน้าเธอกลับนิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกอะไรต่อคำดูถูก ถึงผมจะไม่ชอบเรื่องพวกนี้ แต่ผมกลับได้แต่มองสิ่งเหล่านี้โดยมิอาจทำอะไรได้ ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือคนที่ดูถูกเธอตามเพื่อนเพื่อให้ตัวเองโดดเด่นเสียจนน่าอาเจียน ปล่อยให้เรื่องราวการตีตราในตัวตนคนเห็นต่างว่าเป็นตัวตลกผ่านพ้นไป ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกถึงสิ่งแปลกๆ บางอย่าง ความรู้สึกคล้ายเข้าใจถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสจากใบหน้าเรียบเฉยของคาเรล ตอนนั้นเธอกำลังคิดอะไร? และต้องการอะไรอยู่กัน? เธอกำลังต้องการใครสักคนมาเข้าใจอยู่หรือเปล่า? ทำไมผมถึงยังคาดหวังว่าอยากให้เธอมองผมสักครั้ง หากแต่ผมไม่สามารถจะทำอะไรได้แค่นั้นหรือ? ผมควรจะยอมแพ้ต่อความกลัวแค่นั้นหรือ? บ้าเอ้ย!
เมื่อผมรู้สึกตัวอีกที ตัวผมก็ได้ผลักร่างเด็กออกไปแล้ว นี่ผมทำบ้าอะไรอยู่นะ ทำไมผมต้องยอมทุ่มตัวขนาดนี้ คำถามไร้ที่สิ้นสุดได้ปรากฏขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนในช่วงนาทีชีวิต ทุกอย่างตอนนี้ช่างเชื่องช้าเสียจนน่ากลัว สิ่งที่เห็นอย่างเดียวตอนนี้มีแต่รถกระบะที่อยู่เยื้องผมไม่กี่ก้าว…และภาพหลอนของคาเรลที่ยังยืนมองผมอยู่…
“ปัง!” เสียงรถเก๋งกระแทกร่างผมดังขึ้น เช่นเดียวกันกับร่างผมที่กระเด็นออกไป ภาพทุกอย่างเริ่มเบลอไปหมด ความรู้สึกหนาวเหน็บจากสายฝนเริ่มหายไป เช่นเดียวกับสติทั้งมวล
เสียงหัวเราะจากเหล่าเพื่อนฝูงในชั้นมัธยมต้นดังขึ้น เมื่อวันที่ผมทนไม่ไหวต่อการกลั่นแกล้งแสนไร้สาระ และได้ยืนขึ้นบอกว่าไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่พวกเขาทำ ทุกคนต่างหัวเราะ และพูดจาเชิงดูถูกผมที่พยายามจะทำตัวเป็นฮีโร่ ผมรู้ว่ามันน่าหมั่นไส้ แต่การยอมปล่อยให้เรื่องผิดๆ มันดำเนินต่อไปมันถูกแล้วหรือไง?
และแล้วภาพอดีตทุกอย่างก็จบลงเมื่อร่างที่ลอยอยู่ของผมได้ตกลงกระแทกพื้นอันอั่งนองอย่างแรง ตอนนั้นเองที่เขาได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง...ฮีโร่คนคนนั้น...ฮีโร่ที่ได้ช่วยชีวิตผมเมื่อผมยังเด็ก
“เธอก็สามารถเป็นฮีโร่ได้นะ หากเธอได้ช่วยใครสักคนน่ะ” เขายิ้มกว้างๆ ให้ผม
“แม่ฮะ พ่อกำลังจะไปไหนเหรอฮะ?” ผมดึงชายเสื้อระหว่างเงยหน้าขึ้นถามหญิงผมยาวดำสนิท แววตาสีแดงงดงาม แต่แม้ผมจะถามซ้ำสักกี่ครั้ง แม่ก็ไม่ได้ตอบคำถามนี้เลย ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจนักว่าทำไมแม่ถึงไม่คิดที่จะตอบ กระทั่งเมื่อผมโตขึ้นจึงได้ทราบความจริง ว่าแม่ต้องอดกลั้นน้ำตาไว้อย่างทรมานแน่ๆ ระหว่างที่ยืนฟังคำถามจากผม
ผมสะดุ้งเฮือกขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ อีกครั้ง ร่างผมตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อโชกไปหมด มันเกิดอะไรขึ้นกัน? แล้วสามปีมานี้ผมมัวทำอะไรอยู่? การทำตัวให้หายไปจากโลกมันจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้นงั้นหรือ? ตอนนี้ภาพของคาเรลเริ่มตามหลอกหลอนผมอีกแล้ว ผมต้องทำอะไรสักอย่างสิ
ผมลุกออกจากเตียงไปล้างหน้า อาบน้ำ และสวมแจ็คเก็ตสีดำเพื่อออกไปข้างนอก แต่ก็ปรากฏภาพของหญิงสาวจากอีกโลกที่ยังยืนขวางผมเช่นเดิม
“มันไม่มีอะไรในโลกแห่งความฝันหรอก ทุกอย่างล้วนไม่มีอยู่จริง เธอไม่เหมาะกับโลกภายนอกหรอก สิ่งที่รออยู่มันมีแต่ความทุกข์เท่านั้นแหละ”
“…” ผมเดินผ่านร่างของเธอ ออกประตูไปสู่โลกที่ผมต้องเผชิญ โลกภายนอกแสนมืดมิดที่ฝนยังคงตกอยู่เหมือนทุกวัน แต่นับว่ายังดีล่ะนะที่ฝนยังตกไม่หนัก
ผมพยายามมองไปยังหอนาฬิกา ณ ใจกลางเมือง ผ่านระเบียง บ้านช่อง แสงไฟจากโคมไฟข้างทางหรือตามบ้านเรือน ถึงจะมองหอนาฬิกาไม่ชัดนัก เพราะความมืดและสายฝน แต่ก็พอจะเข็มนาฬิกาอยู่บ้าง ดูเหมือนจะเป็นเวลาตีสี่เศษๆ
ผมเริ่มเดินลงบันไดหอพักลงสู่ถนนที่ตลอดข้างทางเต็มไปด้วยเหล่าผู้คนที่เดินกางร่มคอตกกัน ส่วนใหญ่มักสวมสูทคล้ายนักธุรกิจ ท้องฟ้าตอนนี้ยังคงมืดมิด มีเพียงแสงไฟจากบ้านเรือนบางหลังเท่านั้นที่ยังส่องสว่างอยู่ เมื่อเดินลงบันไดสู่ชั้นล่างผมจึงเริ่มกางร่มสีน้ำเงินออก และเดินตามพวกเหล่านักธุรกิจคอตกไป ภาพผู้คนตรงหน้าเหมือนดั่งตลกร้าย เมื่อผมสามารถเข้าใจได้ว่าคนสวมสูทคนไหนเป็นคนตกงานที่พยายามทำเป็นคนมีงานทำน่ะ
ตอนนี้ทุกย่างก้าวที่ผมเดิน มักจะมาพร้อมกับความระแวงอยู่ตลอด ก็นะ เมื่อเรากลายเป็นคนผิดพลาดอันแสนด้อยค่าแล้ว ความรู้สึกที่มีต่อคนรอบตัวมันจะเริ่มเปลี่ยนไป ทุกครั้งที่เดินผ่านผู้คน ผมมักจะกลัวตลอดว่าพวกเขาจะมองผมด้วยสายตาดูถูก และที่แย่ไปกว่านั้นคือผมกลัวที่จะพบหน้าคนที่รู้ว่าผมเป็นคนที่ผิดพลาด
เสียงฝนกระทบสังกะสีมักจะทำให้ผมรำคาญเสมอ แสงไฟทั้งโคมไฟข้างถนน โคมไฟข้างทาง และจากบ้านบางหลังเริ่มติดๆ ดับๆ จนน่ากลัว บ้านหลายหลังรอบด้านทำจากอิฐ และทุกหลังล้วนสกปรก ก็นะ พวกเขาไม่ค่อยจะได้ทำความสะอาดกันเพราะฝนที่ตกลงมา บริเวณกำแพงมักจะถูกแปะด้วยโปสเตอร์ที่บ้างก็ยุ่ยจากฝน บ้างก็สีลอกไปตามกาล ตามทางเดินล้วนเต็มไปด้วยเก้าอี้ และโต๊ะที่วางอย่างระเกะระกะ รวมถึงเศษขยะ และขวดแก้ว
ตามบริเวณใต้หลังคาจะมีเด็กขายหนังสือพิมพ์เดินเร่ขายกันอยู่ ผมเดินไปซื้อหนังสือพิมพ์จากเขามา ตอนนี้ผมคงต้องไปหาที่ไหนสักแห่งนั่งอ่านหนังสือจนกว่าจะนึกออกว่าไปไหนต่อล่ะนะ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมจะไม่มีทางกลับไปห้องแน่นอน เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมจึงเลือกที่จะเดินตามย่านร้านกาแฟที่ยังเปิดอยู่ พยายามมองหาว่าเช้าแบบนี้จะมีร้านอะไรเปิดบ้าง แต่ในเขตการค้าที่ผมคุ้นเคยช่วงเช้านี้ ร้านแทบทุกหลังยังคงถูกปิดด้วยประตูม้วนเหมือนๆ กัน
“พ่อหนุ่มผมยาวตรงนั้นน่ะ” เสียงชายวัยกลางคนดังขึ้น “สนใจดื่มชาหน่อยไหม? มันช่วยให้อารมณ์ดี และหัวโล่งนะ”
ผมหันไปมองเจ้าของเสียง พบลุงร่างผ่ายผอมสวมแว่นกลม ผมสั้นสีน้ำตาล กำลังตั้งป้ายร้านอยู่ ตัวป้ายร้านเขียน ‘ร้านชาอโรม่า’ นับว่าโชคดีที่ยังมีร้านเปิดอยู่ล่ะนะ
“ก็ดี…” ผมตอบระหว่างเดินไปใต้หลังคาของร้าน หุบร่มที่กางอยู่ ก่อนจะเริ่มเดินตามลุงที่พึ่งตั้งป้ายเสร็จเข้าร้าน
เมื่อเปิดเข้ามาในร้านสิ่งแรกที่รับรู้ได้คือกลิ่นจากเครื่องหอมผมไม่รู้จะอธิบายกลิ่นหอมนี้อย่างไรดี ที่ทราบมีเพียงมันเป็นกลิ่นจางๆ ไม่ฉุน และเมื่อสูดเข้าไปก็รู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อย ร้านนี้มีลักษณะไปทางตะวันออก แสงไฟทีนี่เน้นสีเหลืองสลัว รอบร้านประดับด้วยไม้ประดับหลายชนิด และหลายๆ ชนิดเป็นประเภทที่ให้กลิ่นหอม ดูท่ากลิ่นหอมจะมาจากไม้ประดับเหล่านี้สินะ แต่การจะจัดให้มีกลิ่นหอมอย่างลงตัวได้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญพอตัวเลยนี่ แสดงว่าลุงคนนี้ท่าจะเชี่ยวชาญน่าดู
สำหรับโต๊ะนั่งจะมีที่เคาน์เตอร์ประมาณหกถึงเจ็ดที่นั่ง และแบบโต๊ะเตี้ยส่วนตัว ประมาณห้าโต๊ะ ผมวางร่มลงที่ชั้นวางร่ม เดินไปยังเคาน์เตอร์ และนั่งลงบนโต๊ะยาวสีดำ แต่ยังไม่ทันจะสั่ง ลุงเจ้าของร้านก็ยื่นแก้วชาให้ ชาสีฟ้าอ่อนในถ้วยชาขนาดลายดอกซากุระ เมื่อแตะขอบแก้วดูก็รู้สึกเย็น แปลกแฮะผมนึกว่าจะเป็นชาร้อนเสียอีก แต่ช่างเถอะ เพราะผมก็ชอบอาหารเย็นมากกว่าร้อนเป็นทุนอยู่แล้วล่ะ
“นายเป็นลูกค้าคนแรกของวันนี้เลยนะ” เขายิ้มกว้างๆระหว่างที่ผมยกชาขึ้นจิบ ทั้งมีกลิ่น และรสชาติค่อนข้างแปลก ผมไม่ทราบนักว่าจะอธิบายยังไงดี แต่นับว่ากลมกล่อมอย่างน่าชื่นชม และสิ่งที่เห็นได้ชัดอีกอย่าง คือความรู้สึกปลอดโปร่ง
“รสชาติดีแฮะ…” ผมเผลอหลุดปากพูดออกมา
“ชาหิมะน่ะ ฉันคิดว่าฉันคิดว่านี่น่าจะเหมาะกับนาย” ลุงเจ้าของร้านตอบ “ชานี้มันจะช่วยให้นายหัวโล่ง สบายใจ และคิดอะไรออกมากขึ้นน่ะ”
“งั้นเหรอ…” ผมมองตามป้ายราคา ไม่นานก็พบชาหิมะตามที่ลุงพูดถึง ราคานับว่าถูกพอสมควร
“เวลานายอารมณ์ไม่ดีมันเห็นชัดมากเลยนะ แล้วยิ่งแววตาสีแดงเหมือนแมวอีก เวลานายทำหน้าโกรธใครนี่เขาจะรู้ได้ทันทีเลยนะ”
“ผิวซีดแบบนี้แสดงว่าไม่ได้โดนแดดนานเลยสินะ ไปทำอีท่าไหนถึงใช้ชีวิตกลางคืนแบบนี้ล่ะ?”
ผมเริ่มเปิดหนังสือพิมพ์อ่าน ข่าวแรกที่พาดไว้หน้าหนึ่ง คือเรื่องคดีฆ่าหั่นศพที่คราวนี้ฆาตกรเลือกที่จะนำศพมา
พวกเขาไม่ทราบว่าผู้ก่อคดีเป็นคนเดียวกับ คดีก่อนหน้าไหม แต่พักนี้คดีฆ่าหั่นศพเริ่มปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยๆ และหลายๆ คดีก็จับตัวคนร้ายไม่ได้ สิ่งนี้ทำผมนึกถึงเมื่อก่อนเลยแฮะ สมัยมัธยมต้น...จะว่าไปผมเคยมีกลุ่มกันกี่คนนะ?...สี่คน?
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงพวกเราขึ้นชั้นมัธยมต้นใหม่ๆ ผมกับเพื่อนสมัยเด็กอีกสามคน มักจะมารวมตัวคุยกันตามระเบียงเสมอ แม้พวกเราจะอยู่กันคนละห้องแล้วก็เถอะ
“วันนี้ห้องฉันเรียนเหนื่อยเป็นบ้าเลยแฮะ” เด็กชายร่างผอมขาวนวล หน้าสวย ตาโตสีฟ้าอ่อน ผมยาวประบ่าสีบรอนซ์อ่อน ถอนหายใจเบาๆ หมอนี่ชื่อ ซิก เดมิเอล เห็นว่ามีความสนใจในเรื่องดนตรีคลาสสิค และกำลังเรียนเปียโนอย่างเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ แม้หมอนี่จะชอบทางสายดนตรี แต่ก็มีทักษะด้านการบริหารจัดการ และมาจากครอบครัวคนมีเงินพอสมควร
“ไม่ใช่ว่านายนายรู้สึกแบบนี้คนเดียว เพราะแอบซ้อมเปียโนจนดึกแล้วตื่นสายหรอกเหรอ” เด็กชายตาคมสีส้ม ผมสีน้ำตาลอ่อนทักขึ้น หมอนี่ชื่อไอออน คริม เป็นเด็กหัวใส และฉลาดที่สุดในกลุ่มพวกเรา เห็นว่าผลการเรียนเป็นรองแค่คาเรลที่เป็นอันดับหนึ่งของโรงเรียนเท่านั้น และไม่เพียงแต่หมอนี่จะฉลาดเพียงอย่างเดียว แต่เพราะท่าทางเยือกเย็น และหน้าตาที่ดูดี ทำให้เหล่าเด็กสาว และลูกคุณหนูสวยๆ ต่างหมายปองด้วยเช่นกัน
“รู้ได้ไงฟะ?” ซิกถาม
“รอยยับบนเสื้อนายมันฟ้องนะ ว่านายรีบสวมเสื้อผ้ามากทั้งๆ ที่ปกติมักจะแทบไม่มีรอยยับ แล้วคราบน้ำมันที่เปื้อนตรงคอเสื้อนายก็ฟ้องนะว่าวันนี้นายกินอาหารเช้าที่ใช้น้ำมันเป็นส่วนประกอบ แต่ครอบครัวนายเป็นครอบครัวคุณหนูนี่นะ เพราะงั้นอาหารขยะคงไม่ผ่าน และอาหารเช้ามีส่วนผสมเป็นน้ำมัน และทำแบบเร่งด่วนที่ฉันพอนึกออกก็พวกไข่ดาว และดูจากเศษขนมปังตรงปกเสื้อแล้ว นายคงคาบขนมปังปิ้งกับไข่ดาวระหว่างเดินทางมาเรียนล่ะสิ” ไอออนพูด “และเหตุผลอะไรกันนะที่ทำให้นายมาสายนะ? นี่พึ่งต้นเทอมสองเองด้วย ไม่น่าจะมีการบ้านอะไรมากมาย ไปงานสังสรรค์ หรืองานเลี้ยงก็ไม่ใช่ เพราะถ้าไปนายมักจะมาบอกพวกฉันก่อนเสมอ ที่เหลือก็แค่กิจกรรมในบ้านซึ่งไม่มีอะไรอื่นที่จะทำให้นายอดทนทำจนดึกดื่นได้นอกจากซ้อมดนตรี ซึ่งตอนนี้นายกำลังติดลมเล่าเรื่องซ้อมเปียนโนอยู่”
“อัจฉริยะจอมจับดูท่าจะกัดนายเข้าแล้วนะซิก ฮ่าๆๆ” เด็กชายมัดผมสีทองหน้าทะเล้นหัวเราะร่วน หมอนี่ชื่อเร็น ซิน เห็นว่าโดดเด่นด้านกีฬาจนได้เป็นนักกีฬาฟุตบอลของจังหวัด
“เขาเรียกว่าเวทย์มนต์” ไอออนหัวเราะเบาๆ
“นายเข้าใจของนายอยู่คนเดียวหรือเปล่า” เร็นและซิกหันมามองผม “นายคิดว่าไงล่ะ?”
“นั่นสินะ…” ผมทำท่าครุ่นคิด หากแต่จริงๆ แล้วสติไม่ได้จดจ่อกับพวกเขาเท่าไร
“ถ้าคาเรลล่ะก็ เธอเหมือนจะย้ายไปนั่งอ่านหนังสือแถวๆ หลังโรงเรียนแล้วล่ะ เห็นว่าห้องสมุดวันนี้คนเยอะด้วย มันน่าจะส่งผลให้เธอเลือกที่จะไปอ่านแถวๆ ที่คนน้อยนะ เพราะงั้นช่วงนี้ไม่ต้องตกใจไปเวลาที่นายเดินผ่านห้องสมุดแล้วไม่เห็นเธอ และอีกอย่างตอนที่ทุกคนทำตัวหัวเราะเธออย่างน่ารังเกียจน่ะ ฉันเห็นท่าทางคล้ายกำลังตั้งคำถามบางอย่างของเธออยู่” ไอออนพูด ทักษะการสังเกตุของหมอนี่ดีเป็นบ้าเลยแฮะ ผมล่ะอิจฉาพวกอิจฉาพวกอัจฉริยะจริงๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าหมอนี่เป็นคนดีและไม่ทำตัวน่ารังเกียจแบบเพื่อนหลายๆ คนในห้องล่ะนะ เพราะในห้องพวกเรามีอยู่เพียงสี่ถึงห้าคนเท่านั้นที่ไม่ได้หัวเราะเย้ยหยันในตัวตนที่ผิดแผกของคาเรล ไอออนก็เป็นหนึ่งในนั้น
“หมายความว่าไง?” ผมถาม
“บางทีเธออาจกำลังรอใครสักคนมาตอบคำถามในใจเธออยู่ก็ได้มั้ง” ไอออนตอบ “ถึงฉันจะไม่ทราบแน่ชัดนักก็เถอะ”
ถึงแม้จะไม่ทราบนักว่าที่ไอออนพูดนั้นมีเป็นเรื่องจริงหรือไม่ กระนั้นใจผมก็ยังคงคาดหวังว่าจะเป็นคนที่ไดคาเรลเฝ้ารอ แต่เมื่อเธอได้หายไป ความจริงที่ว่าผมไม่ได้ใกล้เคียงแม้แต่คำว่า “คนที่เธอคาดหวัง” ด้วยซ้ำได้ปรากฏชัดขึ้น นี่คงจะเป็นความจริงของคนขี้แพ้ที่ทำได้แต่คาดหวังล่ะนะ...
ผมนั่งแช่ในร้านน้ำชานี้นานเท่าไรแล้วนะ แต่ช่างเถอะ เพราะตอนนี้เหมือนผมจะพบสิ่งที่ต้องทำต่อไปแล้วล่ะ ผมควรจะเริ่มสืบหาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้น เงินเก็บที่แม่ทิ้งไว้ให้คงใช้ได้อีกไม่กี่ปีแล้วด้วย ตอนนี้มันถึงเวลาที่ผมต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ
“ได้เวลาที่ผมต้องไปแล้วล่ะ” ผมยกชาขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ดันร่างตัวเองลุกจากเก้าอี้
“คิดอะไรออกแล้วสินะ” ลุงเจ้าของร้านยิ้ม
“อืม…” ผมวางเงินไว้หน้าเคาท์เตอร์
“เอาเป็นว่าเป็นบริการพิเศษไม่คิดเงินแล้วกันนะ” ลุงยิ้มกว้างๆ
“ไม่เป็นไร” ผมเดินออกทั้งๆ ที่ยังวางเงินอยู่เช่นนั้น พอดีผมไม่ชอบติดหนี้ชีวิตใครถ้าไม่จำเป็นล่ะนะ
เมื่อเปิดประตูร้านออกมาในเช้าวันใหม่ที่ผู้คนต่างเดินทางอย่างเร่งรีบ เหล่าเด็กๆ สามถึงสี่คนในเครื่องแบบโรงเรียนประถมต่างวิ่งผ่านผมไป เมื่อมองดูหอนาฬิกาดูเหมือนตอนนี้จะเจ็ดโมงครึ่งแล้ว ผมดึงมือถือในกระเป๋าออกมา ต่อสายไปถึงเร็นเพื่อนนักกีฬาอารมณ์ดีเป็นคนแรก หวังว่าหมอนั่นจะยังไม่เปลี่ยนเบอร์นะ สักพักหนึ่งก็มีคนรับสาย
“สวัสดีครับ” เสียงจากปลายสายดังขึ้น
“เร็นใช่ไหม?” ผมถามปลายสาย
“ไม่ทราบว่าใครครับ?” เขาถาม ถ้าไม่ปฏิเสธเช่นนี้แสดงว่าเป็นหมอนั่นจริงๆ
“นี่ฉันเอง…” ผมตอบชื่อไปตามเนื้อความ ปลายสายเงียบเสียงไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเรียกชื่อผมอย่างดีใจ
“ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ ว่าแต่ทำไมนายถึงขาดการติดต่อไปดื้อๆ แบบนี้ล่ะ?”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ฉันมีเรื่องสงสัยอยู่น่ะ…เรื่องเมื่อพวกเราอยู่ ม.3…” ผมเผยอปากจะพูด หากแต่ความคิดยังเรียบเรียงไม่เป็นระเบียบอยู่
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นตรงหน้า เมื่อรถเก๋งได้แล่นผ่าไฟแดงเข้ามา ในขณะที่เด็กคนหนึ่งกำลังกางร่มข้ามถนน อยู่ๆ ผมก็รู้สึกราวกับภาพทุกอย่างมันช้าลงอีกครั้งราวกับกำลังเล่นเกมตัดสินใจอยู่ ตอนนี้ผมควรจำทำยังไงต่อดีนะ? อยู่เฉยๆ และทำเป็นไม่สนใจดีไหม? ก็มันเป็นเรื่องปกติที่คนทำกันอยู่แล้วนี่ แต่ทำไมกันนะ…ทำไมอดีตมันถึงได้ปรากฏขึ้นพร้อมกับตัวคาเรลที่ยังมองดูผมกัน ภาพของเธอได้ย้ำเตือนถึงอดีตอันไร้ค่าของผม
ตอนนี้สรรพเสียงแห่งอดีตเริ่มดังขึ้นมา ย้อนตัวผมกลับไปยังช่วงวันวานสมัยมัธยมต้นท่ามกลางเสียงหัวเราะจากเหล่าเพื่อนฝูงที่ดังก้องขึ้นจากการเย้ยหยันในตัวตนของคาเรล เมื่อเธอทำตัวแตกต่างจากฝูงชนออกไป เหล่าคำครหา และดูถูกระงมไปทั่ว แต่ใบหน้าเธอกลับนิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกอะไรต่อคำดูถูก ถึงผมจะไม่ชอบเรื่องพวกนี้ แต่ผมกลับได้แต่มองสิ่งเหล่านี้โดยมิอาจทำอะไรได้ ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือคนที่ดูถูกเธอตามเพื่อนเพื่อให้ตัวเองโดดเด่นเสียจนน่าอาเจียน ปล่อยให้เรื่องราวการตีตราในตัวตนคนเห็นต่างว่าเป็นตัวตลกผ่านพ้นไป ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกถึงสิ่งแปลกๆ บางอย่าง ความรู้สึกคล้ายเข้าใจถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสจากใบหน้าเรียบเฉยของคาเรล ตอนนั้นเธอกำลังคิดอะไร? และต้องการอะไรอยู่กัน? เธอกำลังต้องการใครสักคนมาเข้าใจอยู่หรือเปล่า? ทำไมผมถึงยังคาดหวังว่าอยากให้เธอมองผมสักครั้ง หากแต่ผมไม่สามารถจะทำอะไรได้แค่นั้นหรือ? ผมควรจะยอมแพ้ต่อความกลัวแค่นั้นหรือ? บ้าเอ้ย!
เมื่อผมรู้สึกตัวอีกที ตัวผมก็ได้ผลักร่างเด็กออกไปแล้ว นี่ผมทำบ้าอะไรอยู่นะ ทำไมผมต้องยอมทุ่มตัวขนาดนี้ คำถามไร้ที่สิ้นสุดได้ปรากฏขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนในช่วงนาทีชีวิต ทุกอย่างตอนนี้ช่างเชื่องช้าเสียจนน่ากลัว สิ่งที่เห็นอย่างเดียวตอนนี้มีแต่รถกระบะที่อยู่เยื้องผมไม่กี่ก้าว…และภาพหลอนของคาเรลที่ยังยืนมองผมอยู่…
“ปัง!” เสียงรถเก๋งกระแทกร่างผมดังขึ้น เช่นเดียวกันกับร่างผมที่กระเด็นออกไป ภาพทุกอย่างเริ่มเบลอไปหมด ความรู้สึกหนาวเหน็บจากสายฝนเริ่มหายไป เช่นเดียวกับสติทั้งมวล
เสียงหัวเราะจากเหล่าเพื่อนฝูงในชั้นมัธยมต้นดังขึ้น เมื่อวันที่ผมทนไม่ไหวต่อการกลั่นแกล้งแสนไร้สาระ และได้ยืนขึ้นบอกว่าไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่พวกเขาทำ ทุกคนต่างหัวเราะ และพูดจาเชิงดูถูกผมที่พยายามจะทำตัวเป็นฮีโร่ ผมรู้ว่ามันน่าหมั่นไส้ แต่การยอมปล่อยให้เรื่องผิดๆ มันดำเนินต่อไปมันถูกแล้วหรือไง?
และแล้วภาพอดีตทุกอย่างก็จบลงเมื่อร่างที่ลอยอยู่ของผมได้ตกลงกระแทกพื้นอันอั่งนองอย่างแรง ตอนนั้นเองที่เขาได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง...ฮีโร่คนคนนั้น...ฮีโร่ที่ได้ช่วยชีวิตผมเมื่อผมยังเด็ก
“เธอก็สามารถเป็นฮีโร่ได้นะ หากเธอได้ช่วยใครสักคนน่ะ” เขายิ้มกว้างๆ ให้ผม
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ