L.D.C ในวังวนที่ปราศจากเพียงตัวฉัน

-

วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 16.22 น.

  4 chapter
  0 วิจารณ์
  6,422 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2559 16.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) เรื่องราวในสายฝน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เมื่อช่วงชั้นประถม ผมมักจะคิดว่าตัวเรากล้าแกร่งพอที่จะเดินไปไหนมาไหนคนเดียว ทั้งที่แม่มักจะตักเตือนเรื่องความระมัดระวังเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการข้ามถนน แต่ผมก็ไม่เคยที่จะฟังท่านเท่าไร กระทั่งวันนั้น...วันที่ฝนตกหนักจนแทบจะบดบังทิวทัศน์รอบข้างจนหมด ผลแห่งความดื้อรั้นก็มาถึง เมื่อผมข้ามถนนสายใหญ่อย่างเร่งรีบโดยไม่ยอมดูถนนให้ดี ในวินาทีที่ผมวิ่งอยู่กลางถนน สายตาก็เหลือบไปเห็นรถบรรทุกพุ่งเข้ามา ในวินาทีนั้นภาพทุกอย่างแลจะดูช้าไปหมด สมองผมว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลยนอกจากผมต้องตายแน่ๆ แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งกระโจนเข้าสวมกอดผมไถลไปกับพื้น เมื่อตั้งสติได้ก็พบว่าเขาได้ช่วยผมไว้อย่างหวุดหวิด ผมไม่ทราบเหตุผลแน่ชัดนักว่าทำไมเขาจึงต้องทำเช่นนี้

     “ทำไมถึง...” ผมเผยอปากตั้งคำถามแสนจะไร้สมองจากสภาพตกใจจนไร้สติออกไป

     “เพราะฉันเป็นฮีโร่ยังไงล่ะ” เขายิ้มกว้างขึ้น รอยยิ้มเหยเกที่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ทราบดีว่าเป็นรอยยิ้มจากการแสร้งยิ้ม เมื่อดูจากบาดแผลถลอกจนเลือดอาบแล้วผมทราบดี...ว่าเขาคงจะทุกข์ทรมานไม่น้อย

     นับแต่นั้นผมถึงได้เชื่อมาเสมอ ว่าเราสามารถเป็นฮีโร่ได้ กระทั่งเมื่อความจริงปรากฏ ผมถึงได้ทราบ...ว่าผมไม่ได้ใกล้เคียงกับคำนี้เลยแม้แต่น้อย

     ทุกครั้งที่ผมมองอดีต ผมก็มักจะคิดถึงคำถามที่เธอถามผมว่า “แท้จริงแล้วเรากำลังสู้กับอะไรกันแน่? อุปสรรค? ตัวเรา? หรือคนอื่นๆ?

 

     วันนี้เสียงฝนกระทบหลังคายังคงน่ารำคาญอยู่เหมือนเดิมเลยนะ

     “ตอนนี้ทางสหประชาชาติได้เผยแพร่ข้อมูลผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย และแนวโน้มในปีนี้ออกมาแล้วนะครับ โดยปีนี้พบว่ามีผู้ฆ่าตัวตายถึงเกือบสามล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึงสี่สิบเปอร์เซ็น และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกเกือบสี่สิบเปอร์เซ็นในปีหน้า” เสียงเซ็งแซ่จากโทรทัศน์ดังขึ้น วันนี้ยังคงเป็นผู้ประกาศข่าวหนุ่มใต้กรอบแว่นหนาเตอะเหมือนทุกครั้ง “แน่นอนว่าเมื่อลองเปรียบเทียบกับภาวะคนตกงานจะพบว่า...”

     ผมกดปิดโทรทัศน์ ถอนหายใจเบาๆ ตลอดวันมีแต่ข่าวอาชญากรรม เศรษฐกิจย่ำแย่ คนตกงาน ปัญหาเยาวชน สงครามความขัดแย้งภายใน และคนฆ่าตัวตาย ข่าวน่าหดหู่เหล่านี้มีอยู่ทุกวันจนผมเอียน ทั้งหมดคงจะเริ่มจากเหตุการณ์เมื่อกว่าสามสิบปีก่อนล่ะนะ เนื่องด้วยโลกที่ผมอยู่มันมีเวลาราวๆ เก้าสิบเปอร์เซ็นที่ฝนจะตก ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมอยู่บ่อยๆ และเมื่อสามสิบปีก่อนได้เกิดภาวะน้ำท่วมรุนแรง เศรษฐกิจทั้งหมดในโลกก็พังลง ตอนนี้แทนที่สังคมจะอยู่ในช่วงฟื้นฟู กลับกลายเป็นยิ่งแย่ลง

     วันนี้ยังคงเป็นดั่งทุกวัน คือตัวผมยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกเก่าๆ กดขมับตัวเองแน่นในห้องมืดอันเหลือแต่แสงจากคอมพิวเตอร์ อ่านบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องสิ้นหวังโดยไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมถึงต้องทำร้ายตัวเองโดยการอ่านเรื่องของคนประเภทเดียวกัน ในโลกที่มีแต่ความหวั่นวิตก

     เมื่อมองไปรอบห้องก็ไม่ได้มีทิวทัศน์น่าสนใจใดๆ ทุกอย่างล้วนจำเจ และน่าเบื่อ ทั้งโทรทัศน์เก่าๆ โต๊ะเตี้ย กระป๋องกาแฟวางทิ้งไว้นับสิบ ถุงดำอันบรรจุเศษขยะหลายใบ ประตูห้องน้ำพลาสติกสีเทา และทางเดินไปห้องครัวอันเต็มไปด้วยจานชามและแก้วที่ไม่ได้ล้างกองพะเนินกัน ก็นะผมไม่ได้ทำความสะอาดห้องหลายเดือนมากแล้วนี่ และที่แย่ไปกว่านั้นคือเมื่อมองไปยังเครื่องพิมพ์ดีดเก่าๆ ที่ตั้งไว้กับเอกสารที่กองพะเนินอย่างไม่เป็นระเบียบแล้ว มันยิ่งย้ำเตือนถึงความล้มเหลวในชีวิตของผม ก็นะ ตอนนี้ผมไม่ได้ทำงานมาเป็นสัปดาห์แล้วนี่

     ครั้งหนึ่งผมเคยฝันถึงงานนักเขียน และเคยส่งงานเขียนไปสำนักพิมพ์ที่ยังเหลืออยู่ไม่กี่แห่งด้วยความเชื่อที่ว่างานเขียนของเราเป็นงานเขียนที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกแน่ แต่สุดท้ายเมื่อเวลาแห่งความจริงมาถึง หนังสือกลับขายแทบไม่ออกเลย น่าสมเพชนะ แต่เนื่องด้วยชีวิตที่ยังต้องก้าวไปข้างหน้าต่อไป ผมจึงผันตัวเองมาเป็นนักพิมพ์ดีด รับจ้างพิมพ์งานเขียนสารพัดต่อไป หากถามผมว่าชอบงานประเภทนี้ไหม? คำตอบก็คือไม่ล่ะนะ แต่เพราะไม่มีอะไรที่ผมสามารถทำได้อีกแล้ว เพราะงั้นสิ่งที่ผมทำได้ก็มีแต่ต้องทู่ซี้ทำมันไปเรื่อยๆ เท่านั้นล่ะ ผมพยายามคิดเช่นนั้น

     ผมเดินไปยังเตียงที่ยังคงเรียกร้องให้ผมไปหา ทิ้งกายลงบนฟูกแข็งๆ และหมอนสากๆ โดยหวังถึงโลกอีกใบหนึ่ง…โลกอันเต็มไปด้วยภาพวาดนาๆ เหล่าสาวงามมากหน้าหลายตาหลากเผ่าพันธุ์ที่พร้อมจะตอบรับคำสารภาพรักของผม เรื่องราวทุกอย่างในที่นี้มีแต่ความตื่นเต้น และความสุขจากการได้เป็นฮีโร่ช่วยคนอื่น เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมจึงเริ่มหลับตาลง...

                                  

     ผมลืมตาขึ้นมาในทุ่งดอกไม้อันเต็มไปด้วยผีเสื้อส่องสว่างหลากสีสัน ทุ่งหญ้าขจีคละดอดไม้สวยงามสุดลูกหูลูกตา เหล่าชายหญิงผู้มีแต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มต่างเดินสัญจรกันอย่างมีความสุขท่ามกลางท้องฟ้าที่ถูกเจอไปด้วยภาพโน๊ตเพลง และภาพวาดเคลื่อนไหว ผมค่อยๆ ดันร่างขึ้นมายืนมองทิวทัศน์เหล่านี้อยู่พักหนึ่ง

     “ยินดีต้อนรับกลับสู่โลกแห่งความจริง” หญิงสาวในชุดเดรสขาวสะอาดตาตรงหน้ากล่าวทักทายผม “โลกในความฝันเป็นไงบ้างล่ะ?” เธอไว้ผมยาวสีดำสนิท ผิวกายขาวนวล แววตาสีแดงงดงาม

     “ไม่มีอะไรเลย…” ผมตอบ “ทุกอย่างยังไงว่างเปล่าน่าเบื่อ”

     “แย่เลยนะ แต่ว่าตอนนี้มีภารกิจใหม่มาแล้วนะ” เธอยื่นกระดาษบางอย่างให้ผม เพียงแค่แตะก็ทราบได้ถึงสิ่งที่ต้องทำ ครั้งนี้ผมต้องช่วยให้ความรักของชายหญิงคู่หนึ่งสมหวังสินะ เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วทิวทัศน์รอบตัวก็เปลี่ยนไป เป็นสถานที่แห่งใหม่ที่เต็มไปด้วยหัวใจ และบทเพลงแห่งความรัก

     “เธอคือฮีโร่สินะ” หญิงสาวสองคนกล่าวทักทายผม คนแรกเป็นสาวแก่นไว้ผมสั้น ส่วนอีกคนเป็นสาวผมยาวท่าทางสุขุม

     เมื่อมาลองๆ คิดดูแล้วผมรู้สึกเหมือนเคยเห็นพวกเธอมาก่อนนะ...ใช่ เหมือนกับตอนนั้นเลยสินะ ช่วงสมัยผมอยู่มัธยมปลายน่ะ ตอนนั้นมีสาวสองคนมาปรึกษาผมเรื่องชายหนุ่มนักดนตรีคนหนึ่ง ทั้งสองคนเป็นคนหน้าตาสะสวย และเป็นพี่น้องกัน และโลกก็ช่างกลมเหลือเกินที่พวกเธอนั้นเป็นเพื่อนของผม และผมก็ดันเป็นเพื่อนกับชายหนุ่มนักดนตรีคนนั้นด้วย ป่านนี้พวกเธอทราบความจริงว่าชอบผู้ชายคนเดียวกันหรือยังนะ? นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้วด้วย ป่านนี้พวกเธอจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

     “อย่าให้โลกในความฝันของเธอมันขัดต่อภารกิจสิ” สาวสวยในชุดเดรสสีขาวดึงสมาธิผมให้มาอยู่กับภารกิจอีกครั้ง 

     นั่นสินะ...ในโลกแห่งความรักนี้ ผมแค่พยายามช่วยให้พวกเขาสมหวังกันจนถึงบั้นปลายสุดท้ายก็พอสินี่...แต่จะให้ภารกิจมันจบลงแบบนี้น่ะดีแล้วหรือ?

 

     “กริ๊งงงงงง!” เสียงบางอย่างปลุกผมขึ้นมา เมื่อนึกๆ ดูแล้วเป็นเสียงโทรศัพท์ ทุกครั้งที่มันดังขึ้นผมมักจะรู้สึกกลัวที่ต้องรับมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเบอร์ของเพื่อนเก่าที่โทรมาถามสารทุกข์สุขดิบ กลัวเหลือเกินที่จะต้องโกหกว่าชีวิตปกติสุขดีทั้งๆ ที่กำลังล้มเหลว

     ผมพยายามคลำมือไปตามพื้นบริเวณข้างขวาของฟูกระหว่างที่ตายังปรือ ไม่นานสติที่กลับมาก็ได้ย้ำเตือนให้ผมทราบถึงความรู้สึกแสนแย่เมื่อรู้ว่านี่เป็นโลกที่ผมต้องอาศัย โลกที่ตัวผมไม่ได้มีค่าอะไร ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เป็นแค่ห้องแคบๆ มืดๆ

     ไม่นานผมก็หยิบเจอโทรศัพท์ ผมไม่เคยเห็นเบอร์ปลายสายมาก่อน ใครกันนะที่โทรมาน่ะ ผมยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ด้วยความรู้สึกหวาดกลัว และหวั่นวิตก เสียงจากปลายสายเสียงทุ้มต่ำบ่งบอกว่าเป็นเพศชาย และน่าจะอายุประมาณกลางๆ ยี่สิบเช่นเดียวกับผม เขาเรียกชื่อผมครั้งหนึ่งราวกับจะถามความแน่ใจ

     “มิเกล?” ผมถาม “คิดยังไงถึงโทรมาล่ะ…เราไม่ได้พบกันตั้งสองปีแล้วนะ” มิเกลเป็นเพื่อนร่วมชั้นของผมตั้งแต่มัธยมปลาย ยันมหาลัย แต่เมื่อสามปีก่อนผมลาออกจากมหาลัยกลางคัน เราจึงไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ไม่นึกว่าหมอนั่นจะยังจำเบอร์ผมได้ แต่เอาเถอะ ตอนนี้ผมรู้สึกอยากจะตัดสายแล้วแฮะ

     “พอดีฉันอยากพบนายน่ะ” เขาตอบ “ขอโทษทีนะ วันนี้นายว่างไหม? พอดีฉันอยู่ใกล้ๆหอพักที่นายอาศัยน่ะ”

     ผมมองไปยังนาฬิกา แต่เข็มมันหยุดเดินไปแล้ว ผมจึงลุกไปเปิดคอมเพื่อตรวจสอบเวลา ตอนนี้ห้าโมงครึ่งได้ จะเอายังไงดี ไปพบหมอนั่นดีไหม?

     “วางสายซะ เธอคงไม่อยากจะถูกดึงไปสู่โลกแห่งความฝันอันแสนโสมมหรอกนะ” เสียงหญิงสาวในโลกอีกใบดังขึ้นในหัวผมอีกแล้ว ผมไม่นึกเลยแฮะว่าเธอจะมาปรามแบบนี้

     “ขอโทษที…” ผมกดวางสายตามคำพูดของเธอ และความกลัวอันเปี่ยมล้นในใจของผม

เมื่อรู้สึกตัวอีกที หัวมันก็มีแต่คำถามว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันนะ?” ผมยืนอยู่ในความเงียบงันไร้แสงสว่างเนิ่นนาน นี่ผมทำบ้าอะไรไปนะ

     “บ้าเอ้ย!” ผมกดโทรกลับอีกครั้ง แต่ปลายสายกลับไม่กดรับเลย บ้าเอ้ย!

เห็นหมอนั่นบอกว่าอยู่ใกล้หอพักที่ผมอยู่สินะ ว่าแต่หมอนั่นรู้ได้ไง? ช่างมันเถอะ ผมวิ่งไปดึงแจ็คเก็ตขึ้นสวม สวมรองเท้าที่ไม่ได้ผูกเชือกอย่างเร่งรีบ และดึงร่มที่ไม่ได้ใช้นานแล้วขึ้นมา แต่อยู่ๆ ภาพของหญิงสาวที่ปรากฏขึ้นในความฝันก็ได้มายืนอยู่ตรงหน้า

     “ถอยไปฉันกำลังรีบ” ผมตะโกนใส่เธอผู้เป็นเพียงมโนภาพ

     “เธอจะไม่ไปไหนทั้งนั้น

     “หมายความว่าไง?”

     “เพราะเธอกำลังถูกมนต์สะกดอยู่ยังไงล่ะ อย่าหลงกลกับโลกความฝันนี่สิ

     เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ผมรีบรับอย่างเร่งรีบ

     “นายอยู่ที่ไหน” ผมถามเจ้าของปลายสายอย่างเร่งรีบ

     “ฉันว่าฉันได้คำตอบแล้วล่ะ” เสียงเขาดูไร้ชีวิตมากขึ้นกว่าครั้งที่แล้ว นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นนะ

     “พูดอะไรของนาย!?” ผมถามกลับไปอย่างร้อนรน

     “ลองมองมาที่ตึกข้างหน้าบ้านนายสิ” เขาตอบ

     ผมรีบวิ่งไปเปิดม่านออก ฝนตอนนี้เริ่มตกเบาลงแล้วจึงเห็นทิวทัศน์รอบด้านในความมืดได้นิดหน่อย เมื่อมองข้ามฟากไป ก็พบกับร่างหนึ่งลักษณะคล้ายชายหนุ่มที่ค่อยๆ กระโดดลงมาจากตึกสูงนับสิบชั้น บัดนี้ภาพทุกอย่างค่อยๆ เคลื่อนช้าลงเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วงั้นหรือ ในหัวผมตอนนี้เต็มไปด้วยคำถามว่า หมอนั่นโทรมาหาผมทำไม? หมอนั่นต้องการอะไรจากผม? อะไรที่มันดลใจให้หมอนั่นเลือกที่จะกระโดดลงจากตึกสูง? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น!?

     “อย่าได้กลัวไปเลย” หญิงสาวที่เป็นเพียงมโนภาพ ตบไหล่ผมเบาๆ หากแต่ไร้ซึ่งการสัมผัสใดๆ “เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงความฝัน ความจริงโลกใบนี้ไม่ได้โหดร้ายแบบนั้นหรอกนะ

 

     น่าแปลกนะที่การหลับตาลงในครั้งนี้มันไม่ได้พาผมไปโลกอีกใบ แต่มันกลับพาผมมายืนอยู่ที่ไหนสักแห่งท่ามกลางแสงแดดยามอาทิตย์อัศดง ทั้งพื้นกระเบื้องสีขาว หน้าต่างไม้ที่เปิดรับแสงอาทิตย์อ่อนๆ และเหล่าโต๊ะและเก้าอี้ที่จัดเรียงหันหน้าเข้าหากระดานดำอย่างเป็นระเบียบ ที่นี่เป็นห้องเรียนสินะ ดูเหมือนผมจะย้อนกลับมาช่วงที่ยังอยู่ชั้น ม.3 และแน่นอนว่าในช่วงยามเย็นเช่นนี้คงจะเป็นเวลาเลิกเรียนแล้วด้วย เมื่อมองผ่านระเบียงไปก็พบกับภาพเหล่านักเรียนที่ต่างทยอยกันเดินออกจากรั้วโรงเรียน เช่นเดียวกับตัวผมที่ค่อยๆ เดินไปจับกระเป๋าหนังสือเพื่อเตรียมตัวกลับบ้านเช่นกัน

     “วันนี้เวรนายนะ” เด็กชายชายใต้กรอบแว่นที่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ทราบดีว่าเป็นพวกเคร่งกฎ ยื่นไม้กวาดให้ผม “อย่าแอบอู้เชียวล่ะ” ผมจำเขาได้แล้วล่ะ เขาเป็นหัวหน้าห้องผมในสมัยมัธยมต้น และเขาก็ไม่ชอบผมมาก...ไม่ใช่แค่เขาหรอก แต่เป็นเพื่อนเกือบทั้งห้องเลยมากกว่า

     “อืม…” ผมรับไม้กวาดจากเขามาช่วยกับเพื่อนที่เป็นเวรด้วยกันทำความสะอาดห้องเรียนอยู่พักหนึ่ง

     ถึงแม้จะแค่บ่าย แต่เนื่องด้วยท้องฟ้าเริ่มตั้งเค้าที่ฝนจะตกอีกครั้ง ดวงอาทิตย์จึงคล้อยต่ำเร็วจนแสงสีส้มเริ่มหายไป เหล่าเพื่อนฝูงที่ทำเวรกันจนเสร็จต่างพากันเดินกลับบ้าน แน่นอนว่าตตอนนี้ไม่มีใครสนใจผมอีกแล้ว ผมเดินออกจากอาคารเรียนผ่านห้องสมุดที่ตั้งไว้ใกล้ๆ รั้วโรงเรียน ครั้งนี้ก็เป็นดั่งทุกครั้งเมื่อผมเดินผ่านห้องสมุด คือตัวผมจะมองเข้าไปในห้องสมุดเพื่อมองหาใครบางคน แน่นอนว่าคำตอบที่ได้เป็นดั่งที่คาดหวัง วันนี้เธอยังคงนั่งอ่านหนังสือคนเดียวเหมือนเดิมเลย เด็กหญิงผมยาวเรียบสีขาวสะอาดตา ตาสีฟ้าของเธอทั้งคมและงดงาม ใบหน้าเธอได้รูปอย่างดี เธอเป็นเด็กเพียงไม่กี่คนที่ผมมั่นใจเลยว่าเมื่อโตขึ้นเธอจะต้องเป็นเด็กสาวที่สวยมากคนหนึ่ง แต่น่าเศร้าที่เธอกลับเต็มไปด้วยความเศร้า และโดดเดี่ยวอยู่ตลอด จะว่าเธอเป็นเด็กที่แปลกที่สุดในหมู่เพื่อนฝูงที่ผมเคยพบเลยก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกดีเมื่อได้เห็นหน้าเธอตลอด...ใช่ ผมแอบชอบเธออยู่

     ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องสมุด กล่าวทักทายบรรณารักษ์สาวผมสั้นสวมแว่นเหมือนทุกครั้ง และเดินไปที่โต๊ะระหว่างที่เด็กสาวคนนั้นยังคงนั่งอ่านหนังสือโดยไม่สนใจผม

     “ยังไม่กลับเหมือนเดิมสินะ” ผมกล่าวทักทายเธอ

     “นายก็เห็นอยู่แล้วจะบอกทำไม” เธอตอบโดยไม่ได้หันมามองผมแม้แต่นิด แปลกคนชะมัดเลยแฮะ  

     “แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังตอบคำถามของฉันตลอดเลยนี่” ผมหัวเราะแห้งๆ จะว่าไปเธอมักจะตอบคำถามของผมตลอดเลยนี่ ทั้งๆที่ปกติแล้วเธอไม่ชอบตอบคำถามใครด้วย เมื่อมาลองคิดๆดูก็น่าแปลกนะ สิ่งนี้อาจทำให้ผมมีความหวังขึ้นมาก็ได้ว่าเธออาจจะมองผมบ้างน่ะ

     “ก็นายเป็นคนเดียวที่ยังคุยกับฉันนี่ แล้วก็...ขอโทษนะ ที่ทำให้นายไม่มีเพื่อนน่ะ” ถูกเธอ วันนี้มาแปลกแฮะ ผมไม่นึกว่าจะได้ยินประโยคพวกนี้จากปากเธอ

     “เอาน่า เรื่องมันผ่านไปแล้ว” ผมวางกระเป๋า และนั่งลงฝั่งตรงข้ามเธอ หยิบหนังสือในกระเป๋าขึ้นอ่าน

     “บางครั้งฉันก็เคยรู้สึกนะ ว่าจะดีกว่าไหมถ้าไม่มีตัวฉันอยู่น่ะ” เธอวางหนังสือลง จ้องหน้าผมอย่างจริงจัง “ฉันไม่เข้าใจเลยว่าอะไรกันที่ผิด”

     “นั่นสินะ” ผมทำเป็นเหมือนจะเข้าใจคำพูดของเธอ ใช่...ผมแค่ทำเป็นเข้าใจ และผมก็ทราบดีอยู่แล้ว ว่าผมไม่ใช่คนประเภทที่เธอต้องการ แต่ผมยอมรับในคำตอบนั้นไม่ได้จริงๆ

     พวกเราสองคนเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน หากแต่ไม่ค่อยจะได้คุยกันนักเวลาอยู่ในห้องเรียน ก็นะ เพราะเธอเป็นเด็กประหลาดที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะถูกเย้ยหยันจากเหล่าเพื่อนร่วมห้องตลอดนี่ แม้เธอจะเป็นเด็กที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมที่สุดก็เถอะ คนประหลาดย่อมถูกปฏิเสธจากสังคมอยู่แล้ว แต่ที่เราเริ่มสนิทกันเพราะทั้งผมและเธอเราต่างชอบฝังตัวอยู่ในห้องสมุดโรงเรียนจนเย็นย่ำเป็นประจำ นั่นเป็นเหตุให้พวกเราเริ่มพูดคุยกันมากขึ้น

     เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงหกโมงเย็น บรรณารักษ์สาวผมสั้นสวมแว่นก็จะเดินเข้ามาบอกเราว่าห้องสมุดจะปิดแล้วจนแทบจะเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเรา ผมค่อยๆ เก็บหนังสือเข้ากระเป๋า เดินออกจากห้องสมุดพร้อมกับเธอ ฝนยกคงตกอยู่ น้ำบนพื้นยังคงไหลเป็นสายธาร ความมืดได้เจือเมืองทั้งเมืองให้กลายเป็นสีเทาราวกับคนกำลังจะร้องไห้ ละอองฝนเริ่มทำผมหนาวยะเยือก พวกเราต่างเดินกางร่มกันมาจนออกนอกรั้วโรงเรียน และก็ต้องถึงเวลาแยกทาง เมื่อเส้นทางกลับบ้านของพวกเราอยู่กันคนละทาง

     “ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ” ผมโบกมืออำลาเธอ

     “นายคิดว่าดีไหม ถ้าไม่มีฉันแล้วน่ะ” อยู่ๆ เธอก็ถามคำถามแปลกๆ ขึ้นท่ามกลางสายฝน

     “หมายความว่าไง?” ผมเผลอหลุดปากถามไป แท้จริงแล้วผมต้องทำเป็นเข้าใจสิ ไม่ใช่แสดงตัวเป็นไอ้โง่เช่นนี้น่ะ

     “ฉันคิดว่าตลอดเลยล่ะ ว่ามันคงจะดีมาก หากช่วงเวลานี้ไม่มีฉันอยู่...” เธอหันมามองผมอีกครั้งก่อนจะเดินจากไปกลางสายฝน แต่ผมไม่นึกว่ามันจะเป็นการหายไปอย่างไม่มีวันกลับ...ของเธอ

แต่ตอนนี้ผมก็ทราบดีว่านี่เป็นความฝันจากภาพอดีต และตอนนี้ผมก็รู้นี่ว่าเธอจะหายไปหากผมไม่ทำอะไร หากรู้ความจริงเช่นนี้แล้วผมจะยังโบกอำลาเธออยู่แค่นี้งั้นหรือ? ผมทราบดีว่านี่เป็นความฝัน แต่ถึงอย่างนั้น มันต้องไม่จบลงแบบนี้สิ!

     “เดี๋ยวก่อนคาเรล” ผมรีบวิ่งไปคว้ามือเธอไว้ ท่ามกลางร่างผมที่เปียกปอนฝน

     “นายไม่สามารถเปลี่ยนอดีตได้หรอกนะ” เธอหันกลับมามองผมอีกครั้ง

     อยู่ๆ ภาพทั้งมวลก็เปลี่ยนไปเป็นช่วงวันนั้นอีกครั้ง…วันที่ตัวผมยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนแสนโศกา ณ ราตรีที่แสนยาวนาน และเหล่าตำรวจที่พบศพของเธอถูกหั่นเป็นชิ้นๆ วันที่ผมเริ่มรู้สึกถึงการไม่ได้ทำอะไรเลย และความรู้สึกโดดเดี่ยว…ที่สูญเสียเพื่อนไป โดยไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย ฆาตกรเป็นใครกัน? ผมควรจะหาคำตอนนี้ให้ได้ แทนที่จะวิ่งหนีไม่ใช่หรือไง?

     นายจะไม่มีวันไปไหน หากนายยังคงหลบอยู่เช่นนี้ ได้เวลาที่จะต้องเผชิญหน้ากับความจริง ในช่วงเวลาที่มีแต่นายเท่านั้นที่หายไปแล้วล่ะ...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา