L.D.C ในวังวนที่ปราศจากเพียงตัวฉัน

-

วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 16.22 น.

  4 chapter
  0 วิจารณ์
  6,420 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2559 16.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ฮีโร่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     สังคมในตอนนี้ ทุกคนมักจะเห็นแก่ตัว และไม่สนใจผู้อื่นอยู่จนเป็นเรื่องปกติ บ่อยครั้งที่อาชญากรจะเกิดขึ้นกลางเมือง แต่ทุกคนล้วนได้แต่มองโดยไม่มีใครกล้าจะทำอะไร บ่อยครั้งเหมือนกันที่ผมเห็นการแอบขโมยของในร้านค้าท่ามกลางเหล่าคนที่สัญจรกัน แต่กลับไม่มีใครคิดจะทำอะไรเลย คนที่เห็นมักจะทำเป็นเรื่องไกลตัว และไม่สนใจ ไม่นานผมก็ทำตัวไม่ต่างจากพวกเขา คือปล่อยให้อาชญากรรมมันเกิดขึ้นเลยตามเลย แต่ในวันนั้นที่ฮีโร่ได้ช่วยชีวิตผมไว้ มันทำให้ผม

     “ฮีโร่?...” ตัวผมยังคงช็อก และทวนคำที่เขาพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่ มองร่างที่เต็มไปด้วยแผลเหวอะของเขาแน่นิ่ง ตอนนี้รถบรรทุกที่เฉี่ยวร่างผมไปได้ขับหนีไปแล้ว

     “ใช่แล้วล่ะ ฉันคือฮีโร่” เขาช่วยพยุงร่างผมขึ้น ฝนทำร่างเขาเปียกปอนไปหมด

     “ทำไมคุณถึงต้อง...?” ผมยังคงถามด้วยคำพูดที่มักจะขาดห้วงอยู่

     “เพราะการช่วยทุกคนเป็นหน้าที่ของฮีโร่นี่นะ” เขาทุบมือกับหน้าอกตัวเองเบาๆ “และเมื่อเธอเป็นฮีโร่ เธอจะเข้าใจล่ะนะ”

     “ผมก็เป็นได้?...” ผมถาม ระหว่างที่เขาแบกร่างผมขึ้นหลัง และเริ่มเดินข้ามถนนกลับอีกครั้ง รถตลอดซ้ายขวายังคงสัญจรกันไม่หยุดราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     “แน่นอน เธอก็สามารถเป็นฮีโร่ได้นะ หากเธอได้ช่วยใครสักคนน่ะ และที่แน่ๆ น่ะ การเป็นฮีโร่มันไม่ได้เกี่ยวด้วยว่าเธอจะมีพรสวรรค์ หรือเก่งไหม แต่เพียงแค่เธอช่วยเหลือคนอื่น เมื่อนั้นเธอก็ได้เป็นฮีโร่แล้ว

     “แต่ว่า...ทุกคนน่ะ...ก็เห็นแก่ตัวกันหมด...แล้วทำไมเราต้อง...” ผมพยายามเค้นคำพูด แต่มันยังคงตีบตันในลำคอ

     “นั่นสิน้า…” เขาพูดระหว่างเดินกะเผลกจูงมือผมข้ามถนนกลับ “ความถูกต้องมันจะไม่เกิดขึ้นหรอกนะ หากเธอยังทำเหมือนเรื่องผิดมันเป็นเรื่องปกติน่ะ ทุกอย่างมันมักจะเริ่มจากจุดเล็กๆ เสมอนั่นแหละ ความถูกต้องก็เช่นกัน มันต้องมีคนเริ่มที่จะทำอะไรสักอย่าง และแทนที่เราจะรอให้คนอื่นเริ่มแล้ว สู้เราเริ่มเองเลยไม่ดีกว่าเหรอ?”

     นั่นสินะ เขาพูดถูกต้องเลย นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มมองเห็นแสดงสว่างคล้ายเป้าหมาย ผมได้แต่ตรองถึงเรื่องที่เขาพูดกระทั่งมาถึงทางเท้าที่ผู้คนยังคงเดินกางร่มไม่สนใจผู้อื่น พวกเขาแค่มองฮีโร่ หากแต่ไม่มีใครคิดจะทำอะไรต่อ

     “เธอก็พยายามเข้าล่ะ อย่าให้โลกใบนี้มันทำร้ายนายเชียวนะ” เขาลูบหัวผมเบาๆ และรอยยิ้มที่ผมยังจำได้ดี...ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นมากรอยยิ้มหนึ่ง ก่อนจะเดินจากไป                                                                                             

     วันวานผ่านไป เมื่อผมก้าวเข้ามัธยมปลาย ข่าวแรกที่ผมพบก็ข่าวที่ว่า ฮีโร่คนนั้น…ได้ถูกฆาตกรรมลงโดยไม่อาจหาหลักฐานใดๆ มาจับตัวคนร้ายได้ ทำไมฮีโร่ถึงได้จบชีวิตลง? แล้วอะไรคือสิ่งที่พี่ชายฮีโร่คนนั้นกำลังตามหา

     ความบิดเบี้ยวนี้มันเริ่มต้นจากตรงไหน และจะจบลงอย่างไร ผมยังคงยืนอยู่ในวันวานท่ามกลางสายฝนที่บดบังคำตอบ และคาเรลที่พูดกับผมว่า “ตื่นได้แล้ว”

 

     ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นต้องกับร่างหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งปลอกแอปเปิ้ลอยู่ข้างเตียง เธอสวมแว่นกรอบหนาเตอะจนแทบไม่เห็นแววตา ไว้ผมสั้นหยักศกดำสนิท ผิวขาวนวล ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เหมือนพวกเนิร์ดติดหนังสือ ไม่ก็พวกซุ่มซ่าม ห้องนี้มีแต่สีขาว เมื่อมองไปด้านขวาก็พบกับถุงน้ำเกลือและสายที่เจาะอยู่กับแขนขวา โรงพยาบาล? สถานที่แห่งความหลังที่ผมไม่ได้ชอบเลยจริงๆ

     “ตื่นแล้วสินะคะ” เธอกล่าวทักทาย “ดีจังที่เธอไม่เป็นไรน่ะ”                               

     “เธอเป็นใคร?” ผมถาม

     “รูเดีย เฮกซ์ เป็นญาติกับเด็กชายที่คุณช่วยไว้ค่ะ” เธอตอบ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยญาติฉันไว้”

     “อืม…” ผมไม่แสดงสีหน้าอะไร

     “ฉันเป็นห่วงแทบแย่แหนะ นึกว่าคุณจะแย่ซะแล้ว” เธอพูดทั้งใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม

     เป็นห่วงแทบแย่? มันก็แค่เป็นคำพูดทางมารยาท หรือคำพูดที่อยากจะให้อีกฝ่ายรู้ว่าเราหวังดีก็แค่นั้นเองไม่ใช่หรือไง ท้ายที่สุดมันก็เป็นแค่ลมปากที่ไม่ได้มีความหมายใดๆ เลย

     “งั้นก็ดี…” ผมเบนหน้าตอบ

     “ตั้งกำแพงล่องหนซะชัดเจนเลยนะคะ” เธอลุกขึ้นไปดึงม่านออก แสงสว่างจากโลกภายนอกได้ส่องลงมา แสงแสนแยงตา และน่ากลัว เสี้ยววินาทีนี้ผมรีบยกมือขึ้นป้องหน้า ทำไมมาอากาศแจ่มใสในช่วงเวลาแบบนี้นะ

     “ปิดกลับเหมือนเดิม” ผมพูด

     “ไม่ชอบแสงอาทิตย์เหรอคะ? แปลกคนจัง” เธอดึงม่านกลับ บดบังแสงอาทิตย์เหมือนเดิม

     “เรื่องของฉันน่า” ผมวางมือที่ใช้ป้องหน้าลงหลังแสงอาทิตย์ได้หายไป เช่นเดียวกับตัวเธอที่เดินมานั่งข้างๆ เช่นเดิม

     “ฉันก็ไม่ได้จะบังคับอะไรนะคะ แต่ถ้าตั้งกำแพงไว้หนาแบบนี้มันจะลำบากเอานา สำหรับฉันนะ ฉันว่าถ้าคุณลดกำแพงลง ผนวกกับตอนที่ช่วยญาติฉันล่ะก็ ฉันว่าคุณจะเป็นคนที่เท่ที่สุดคนหนึ่งเลยล่ะ” เธอพูดเร็วไม่หยุดปาก สาวไฮเปอร์? ตอนแรกนึกว่าจะเป็นพวกเนิร์ดๆ ซะอีกนะ “ผิวคุณนี่ซีดจังเลยนะ ไม่ค่อยได้โดนแดดล่ะสิ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูดีไปอีกแบบล่ะนะคะ” เธอยังคงจ้อต่อไป หากแต่สายตาผมไม่ได้จับจ้องที่เธอ ตอนนี้ผมได้แต่ควานหาว่าห้องนี้มันมีอะไรให้กินนอกจากแอปเปิ้ลที่ปลอกแล้วบ้าง “ถ้าเทียบกับผิวฉันนี่-”

     “ไม่มีบะหมี่ถ้วย?...” ผมถามตัดบท

     “กินของที่มีประโยชน์เถอะค่ะ” เธอยกมือปราม “ตอนนี้คุณยังไม่หายดีด้วยนะคะ”

     “แต่ฉันอยากกิน” ผมค่อยๆ ดันร่างตัวเองที่นอนอยู่ขึ้น

     “ยังไงก็ไม่ได้ค่ะ ตอนนี้สุขภาพต้องมาก่อนนะคะ” เธอนิ่วหน้า ท่าทางจะค้านหัวชนฝาเลยสินะ

     “โอเคๆ ฉันยอมแพ้...”ผมถอนหายใจ เอื้อมไปหยิบแอปเปิ้ลที่ปลอกแล้วขึ้นกิน

     “ถ้าให้ฉันเดาจากหน้าคุณแล้วนะ ฉันว่าเราน่าจะอายุใกล้กันสินะ”

     “ฉันอายุยี่สิบสามปีแล้ว” ผมพูด

     “เห…ฉันนึกว่าเธออายุประมาณสิบเจ็ด ไม่ก็สิบแปดปีซะอีกแฮะ” เธอหัวเราะเบาๆ “งั้นมาทายอายุฉันกันไหม?”

     ผมว่าเธอน่าจะเฉลยอายุตัวเองแล้วนะ และผมไม่คิดหรอกนะว่าเธอจะมองว่าผมเด็กกว่าน่ะ อีกอย่างผู้หญิงก็มักมองผู้ชายว่าอายุมากกว่าตนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วด้วย เพราะงั้นถ้าเธอพูดว่านึกว่าจะอายุใกล้หรือเท่ากัน งั้นมันคงไม่จำเป็นต้องเดาหรอก

     “สิบเจ็ดปี” ผมตอบ

     “ตอบถูกเลยแฮะ” เธอยกมือทาบปาก น้ำเสียงฉงน แต่ผมทราบดีว่าเธอแสร้งทำ คนบ้าอะไรจะมาตกใจกับเรื่องธรรมดาแบบนี้ แต่เอาเถอะ เพราะดูท่าแล้วเธอจะเป็นคนน่าคบหามากกว่าผมหลายเท่านัก แต่เอ้ะ! ตอนนี้ผมเหมือนคนไม่น่าคบงั้นเหรอ?

 

     “แท้จริงแล้วเรากำลังสู้กับอะไรกันแน่? อุปสรรค? ตัวเรา? หรือคนอื่นๆ?

     จะว่าไปตอนช่วงมัธยม เธอก็มักจะส่งรายงานโดยเล่าเรื่องในแนวๆนี้ แปลกคนชะมัด แต่ถึงคนเราจะทำตัวแปลกยังไงก็เถอะ มันก็ไม่ได้น่ารังเกียจไปกว่าคนที่ดูถูกคนอื่นเลย

     “เอาล่ะ วันนี้เรามาดูเรียงความของคาเรลกันนะ” อาจารย์เริ่มยกเรียงความที่คาเรลแต่งมาเล่าขึ้นอย่างสนุกปาก ทุกคนต่างหัวเราะคิกคักในมุมมองของเธออย่างสนุกสนาน ถึงผมจะไม่ได้สนใจเธอก็เถอะ แต่มุมมองของที่แตกต่างจากคนอื่นมันน่าหัวเราะขนาดนั้นเลยหรือไง?

     ตกเย็นผมรีบเก็บของ และไปยืนรอเธอบริเวณห้องสมุด ไม่นานเธอก็ได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางเหล่าเด็กๆ ที่ต่างทยอยกันเดินกลับบ้าน

     “นี่” ผมเรียกเธอ

     “หืม?” เธอหันมามองผม ใบหน้านิ่งจนไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่เหมือนเคย

     “ฉันแค่สงสัยน่ะว่าเธอต้องการอะไรกันแน่ถึงได้เขียนเรียงความแปลกๆ แบบนั้นไป เธอกำลังจริงจังหรือทำเป็นเล่นกันแน่?” ผมนิ่วหน้าจริงจัง

     “ฉันไม่เคยทำเป็นเล่นหรอก” เธอตอบ ใบหน้ายังคงนิ่งจนเดาไม่ได้ว่าคิดอะไรอยู่ “แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ? น่าขำหรือเปล่า?”

     “ไม่เลยสักนิด มันน่าเศร้ามากเลยมากกว่า” ผมตอบ ถึงแม้จะไม่ทราบความหมายที่แน่ชัดของมันก็เถอะ

 

     “แท้จริงแล้วเรากำลังสู้กับอะไรกันแน่? อุปสรรค? ตัวเรา? หรือคนอื่นๆ?” ผมเผลอหลุดปากพูดลอยๆ ออกไป นี่ผมทำอะไรลงไปเนี่ย

     “คะ?” รูเดียเอียงคอมองผม

     “เปล่า ฉันแค่คิดเองคนเดียวเท่านั้นแหละ” ผมเบนหน้าหลบ “อย่าใส่ใจเลย”

     “นั่นสินะ เรากำลังสู้กับอะไรกันแน่นะ?” เสียงตอบเธอดังขึ้น แม้ผมจะไม่ทราบเลยว่าตอนนี้เธอกำลังทำหน้าอย่างไรอยู่ “คำถามนี้ไม่สามารถที่จะหาคำตอบที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นได้หรอกนะคะ ในเมื่อทั้งอุปสรรค ตัวเรา และคนอื่นๆ ต่างส่งผลต่อกันทั้งนั้นน่ะ วิธีเดียวที่จะตอบคำถามได้ คือเราต้องเป็นผู้ตอบคำถามนี้เองให้มันถูกร้อยเปอร์เซ็นเท่านั้นล่ะค่ะ”

     “เธอไม่คิดจะหัวเราะสินะ” ผมถาม

     “แล้วทำไมต้องหัวเราะด้วยล่ะคะ?” เธอหันมามองผม “ถ้าไม่ใช่มุขตลก หรือความคิดที่มีเป้าหมายในเรื่องตลกน่ะ สำหรับฉัน ความคิดของคนมันไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาหัวเราะ หรือดูถูกกันหรอกนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ถ้าเป็นเรื่องจริงจังแล้วด้วยน่ะ”

     “งั้นเพื่อนฉันคนนึงคงจะเกิดมาผิดที่ผิดเวลาไปหน่อยล่ะนะ…” ผมหันกลับไปมองเธอ “ฉันอยากให้เพื่อนคนนั้นได้มาพบกับเธอจังเลยนะแฮะ”

     “แต่ฉันว่าเธอคงโชคดีไม่น้อยที่ได้พบคุณแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”

     “เปล่าเลย” ผมส่ายหน้า “ฉันช่วยอะไรเพื่อนคนนั้น...ไม่ได้เลย”

     “แล้วตอนนี้เพื่อนคนนั้นอยู่ไหนเหรอคะ?”

     “เธอไม่อยู่แล้วล่ะ...” ผมคลำหารีโมทบนโต๊ะ

     “งั้นเหรอคะ…” เธอเงียบลงครู่หนึ่ง “ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ”

     “ไม่ต้องคิดมากหรอก” ผมยกรีโมทขึ้นเปิดโทรทัศน์ดู วันนี้นักข่าวยังคงรายงานข่าวคนฆ่าตัวตายอยู่เช่นเดิม โดยวันนี้พวกเขาได้ไปสัมภาษณ์เหล่าคนที่มีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้

     “โง่มากค่ะ ทำแบบนี้แล้วเหมือนพวกไม่มีความคิด” หญิงวัยกลางคนผมสั้น รูปร่างท้วมหน่อยๆ พูด

     “เหมือนเขากำลังทำร้ายคนที่เลี้ยงดูพวกเขามา งี่เง่าที่สุดเลยค่ะ” เด็กหญิงผมยาวหน้าเป็นสิวพูด

     มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ? คนฆ่าตัวตายหมายถึงคนโง่ หรือว่าพวกเขาไม่ยอมทำความเข้าใจคนที่ฆ่าตัวตายกันแน่ เพราะสังคมไม่ยอมทำความเข้าใจไม่ใช่หรือไงนะ ถึงเกิดปัญหาพวกนี้ขึ้นน่ะ ถ้าพวกเขาเข้าใจและแก้ไขได้ถูก ปัญหาคนฆ่าตัวตายคงไม่เกิดขึ้นแบบนี้หรอก

     “ใบหน้าฟ้องเลยนะคะ ว่าจริงจังกับข่าวนี้มากน่ะ” รูเดียพูดขึ้น จะว่าไปแล้วก็จริงอย่างที่เธอว่านั่นแหละ ผมค่อนข้างจริงจังกับข่าวพวกนี้

     “ก็เพื่อนฉันคนนึงพึ่งจะปล่อยตัวเองลงจากตึกเองนี่” ผมพูด สายตายังจับจ้องที่โทรทัศน์อยู่

     “เหมือนคุณจะผ่านอะไรมาเยอะเลยสินะคะ” เธอเริ่มลงเสียงลง

     “ว่าแต่เธอคิดว่ายังไงกับคนฆ่าตัวตายล่ะ?” ผมหันไปถามเธอ

     “ถ้าถามว่าเห็นด้วยไหมก็คงจะตอบว่าไม่ล่ะค่ะ แต่ว่านะคะ เราไม่ใช่คนที่ประสบกับปัญหาแบบนี้นี่เนาะ เพราะงั้นเราคงจะไม่เข้าใจหรอกค่ะ ว่าพวกเขารู้สึกยังไงบ้างน่ะ” เธอเริ่มตอบ “แรกเริ่มมาก็ไม่ได้มีใครคิดอยากจะฆ่าตัวตายกันหรอกใช่ไหมล่ะคะ? มันทั้งเจ็บ ทั้งทรมาน แต่ที่ทุกคนทำเพราะบางทีมันอาจจะเป็นทางออกเดียวของพวกเขาก็ได้ ปัญหาพวกนี้มันไม่ใช่ปัญหาที่ขึ้นอยู่กับเหตุผลเท่านั้น แต่มันยังขึ้นอยู่กับความรู้สึกด้วย ทุกคนที่ฆ่าตัวตายมักจะเป็นคนที่มีภาวะซึมเศร้า หรือสภาพจิตใจอยู่ในภาวะอ่อนแอ ร่างกายไม่มีแรง รู้สึกหมดคุณค่าต่อโลกนี้ และที่คนฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งก็เพราะพวกเรายังไม่ยอมทำความเข้าใจ และช่วยเหลือพวกเขาด้วยแหละค่ะ คนส่วนใหญ่เรามักจะไปโทษพวกเขาว่าอ่อนแอ หรือขี้เกียจ ทั้งๆ ที่ใครกันมันจะไปอยากหมดอาลัยต่อโลกแบบนั้นกันล่ะ ไม่มีใครอยากจะให้คนอื่นดูถูกหรอกค่ะ หากเรามัวแต่โทษพวกเขาโดยไม่ทำความเข้าใจอยู่แบบนี้ สุดท้ายเราก็จะได้คนที่ฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นอีก ฉันว่าปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาที่จะให้พวกเขาแก้ไขด้วยตัวคนเดียว แต่พวกเราเหล่าคนที่ยังปกติอยู่ต้องช่วยกันด้วยค่ะ”

     มีเหตุผลมากเลยแฮะ ดูท่าเธอจะไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาซะแล้วแฮะ ระหว่างที่ผมกำลังอึ้งจากความคิดเห็นของเธอ อยู่ๆ ประตูห้องผมก็เปิดออกพร้อมกับเหล่าเด็กๆ วัยไม่เกินสิบขวบที่กรูกันเข้ามาห้าถึงหกคนพร้อมกับเสียงว่า “พี่สาวฮะ ไปเล่นกันเถอะ”

     “พี่บอกแล้วใช่ไหมเนี่ย ว่าอย่าเปิดประตูเข้ามาแบบนี้น่ะ มันเสียมารยาทนะ” รูเดียหันไปบอกเหล่าเด็กๆ ก่อนจะหันกลับมายกมือขอโทษผม “ขอโทษด้วยนะคะที่มาวุ่นวาย”

     “ไม่ต้องคิดมากหรอก” ผมส่ายหน้า ไม่นานพยาบาลก็เดินเข้ามาห้ามเด็กๆ แต่ผมปัดมือเป็นทีบอกว่าไม่เป็นไร เธอจึงกลับออกไป “ว่าแต่นี่ก็ญาติเธอเหมือนกัน?”

     “อ๋อ ไม่ใช่หรอกค่ะ” เธอปัดมือปฏิเสธ “พวกเขาเป็นเด็กที่ยังต้องรับการดูแลจากทางโรงพยาบาลอยู่น่ะค่ะ ส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่ของพวกเขาจะติดงาน หรือธุระจนไม่ได้มาดูแลกัน ฉันเลยต้องเป็นเพื่อนเล่นแก้เหงาให้พวกเขาแทนน่ะค่ะ”

     เธอเหมือนจะเข้าใจพวกเด็กๆ ราวกับเคยเจอเรื่องพวกนี้มาก่อนเลยนะ หรือว่าผมคิดไปเอง?

     “ดูท่าจะปิดเทอมอยู่สินะ ถึงได้มาดูแลเด็กแบบนี้ได้น่ะ”

     “ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ แหะๆ” เธอยิ้มแห้งๆ แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีอะไรปิดบังอยู่

     “มีอะไรปิดบังอยู่สินะ” ผมพูด ตอนนี้เด็กชายคนหนึ่งได้มาเกาะที่เตียง จ้องผมผ่านแววตาสีน้ำตาล

     “เอ่อ...” เธออึกอักเล็กน้อย “ถ้าเล่าแล้วก็อย่าได้เกลียดขี้หน้าฉันเลยนะคะ”

     “ว่ามาเถอะ” ถึงผมจะทราบอยู่แล้วก็เถอะนะ แต่ผมก็อยากได้ยินจากปากเธอมากกว่า

     “ฉันเรียนจบชั้นมัธยมปลายเพราะเรียนข้ามชั้นไปแล้วล่ะค่ะ” เธอตอบ คำตอบทำผมอึ้งอีกแล้ว ผมนึกว่าเธอเรียนไม่จบซะอีกแฮะ นี่ผมเดาพลาดสินะ

     “ว่าแต่เธอไม่เหนื่อยหรือไงที่จะต้องมาทำเรื่องที่ไม่ได้รับผลตอบแทนแบบนี้น่ะ” ผมเริ่มถามคำถามใหม่ เมื่อมองไปรอบห้องดูเหมือนเหล่าเด็กๆ จะยังคงยืนมองผมอยู่

     “นั่นสินะคะ แต่ฉันว่า การเห็นคนอื่นยิ้ม มันก็ทำให้ฉันมีความสุขแล้วล่ะค่ะ” เธอเอียงคอยิ้ม ก่อนจะเริ่มพาเหล่าเด็กๆ ไปที่หน้าประตู และหันมาบอกผมว่า “เดี๋ยวฉันขอตัวไปเล่นกับพวกเด็กๆ ก่อนนะคะ” เธอยิ้มกว้างๆ ผมพยักหน้ารับ

     ประตูปิดลง ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ จะว่าไปเธอก็น่ารักไม่หยอกเลยแฮะ ตอนนี้เธอมีแฟนยังนะ...เห้! นี่ผมคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย ผมตบหน้าตัวเองเบาๆ ตอนนี้ใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าว ทำไมผมต้องหน้าแดงเพราะคิดถึงเรื่องเธอด้วยนะ เด็กสาวไฮเปอร์แสนร่าเริงงั้นเหรอ แต่จะว่าไปเห็นแบบนี้ก็นึกถึงตัวเองสมัยก่อนเหมือนกันนะ ตัวผมที่พยายามทำตัวร่าเริง และยึดมั่นในคำว่า “ฮีโร่” อยู่เสมอน่ะ

 

     ย้อนกลับไปยังสมัย ม.2 ช่วงที่ผมยังเป็นสมาชิกของชมรมอาสาช่วยเหลือ วันนั้นผมถูกดึงตัวไปเป็นนักฟุตบอลให้กับทีมเพื่อนเพราะขาดสมาชิก แน่นอนว่าพวกเราแพ้หลุดลุ่ย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังชอบเรียกตัวผมไปอยู่ดี ก็นะช่วงวัยเด็กคนมักจะบอกผมว่า ผมเป็นพวกยิ้มเก่ง ไม่ปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือ ไม่ก็มีสุขภาพจิตดีมาก นั่นเป็นเหตุผลให้ตัวผมมักจะเป็นที่ต้องการของคนอื่น แม้จะไม่ได้เก่งอะไรก็ตาม

     “ขอบใจมากเพื่อน” เหล่าเพื่อนตามสนามหญ้าใต้โดมกันฝนเดินมาตบไหล่ผม วันนี้เป็นอีกวันที่ผมทำภารกิจของชมรมช่วยเหลือลุล่วง

     ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มย้อนมองตัวเองถึงเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องทำเช่นนี้ บางทีอาจจะเพราะตัวผมไม่ได้มีจุดเด่นอะไรมากมายไปกว่าคนอื่น ทั้งผลการเรียน สติปัญญา ไหวพริบ กีฬา หรือร่างกาย ทำให้ไม่สามารถหาความสุขจากการอยู่เหนือกว่าคนอื่นได้เลย กระทั่งผมพบกับฮีโร่ เขาทำให้ผมเชื่อว่าตัวผมยังสามารถที่จะช่วยคนอื่นได้ นั่นทำให้สิ่งที่คนไม่มีพรสวรรค์เช่นผมสามารถรับรู้ในคุณค่าของตัวเอง...และมันก็เป็นสิ่งเดียวที่ผมมี

 

     เมื่อผมมองลอดหน้าต่างไปยังลานกว้างเบื้องล่างก็พบเด็กหญิงคนหนึ่งกำลังเดินตามชายชุดสูทสีน้ำตาล สวมหมวกปีกสีดำไป ผมก็ไม่อยากจะคิดอะไรมากหรอกนะ แต่เมื่อพยายามมองให้ดีว่าพวกเขากำลังเดินไปที่ไหนก็ต้องพบกับรถตู้สีขาว กระจกดำสนิทคันหนึ่งจอดอยู่ นี่หรือว่า!

     “บ้าเอ้ย!” ผมสบถขึ้น คว้าโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ข้างตัวขึ้นมา กดหมายเลขที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย และยกขึ้นเอียงคอคุย ระหว่างที่ดึงสายน้ำเกลือออก

     “สวัสดีครับ” เสียงชายวัยกลางคนจากปลายสายดังขึ้น น้ำเสียงใจเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ

     “แจ้งเหตุด่วนใช่ไหม?” ผมตะโกนขึ้นอย่างร้อนรน

     “ครับ”

     “เหมือนผมจะเห็นการลักพาตัวเด็ก...” ผมแจ้งชื่อโรงพยาบาลที่พักอยู่ ปลายสายบอกจะรับเรื่องไว้อย่างใจเย็น ผมกดวางสาย คว้าหยิบปาสเตอร์ปิดแผลที่วางไว้ขึ้นมา และรีบวิ่งออกจากห้องไปอย่างเร่งรีบผ่านเหล่าผู้ป่วยในชุดสีฟ้าอมเขียว พยายาบาล และหมอ

“มีคนจะลักพาตัวเด็กนะ” ผมพูดกับเจ้าหน้าที่ พวกเขารับคำแต่ไม่ได้รีบร้อนอะไรราวกับผมโกหกอยู่

     “คนสติไม่สมประกอบออกมาเดินเพ่นพ่านอีกแล้วเหรอ? แถวนี้คนเยอะจะตาย จะไปมีแก๊งลักพาตัวเด็กได้ไง” เสียงครหาจากบรรดาญาติผู้ป่วยที่มานั่งรอกันดังขึ้น นี่ไม่มีใครคิดจะเชื่อเลยรึไงวะ

     เมื่อมองไปยังหน้าต่างก็พบรถตู้จอดอยู่ในบริเวณที่มีพุ่มไม้บดบัง ห่างจากพวกเขาเด็กและชายที่กำลังพาเธอเดินไป ตอนนี้ดูเหมือนฝนจะเริ่มปรอยลงมาอีกแล้ว แย่แล้วสิ ตอนนี้ผมไม่มีเวลาแล้ว ผมวิ่งไปที่ลิฟท์  โชคดีที่ผมไม่ต้องรอ ผมกดที่ชั้นหนึ่งอย่างเร่งรีบ ตอนนี้ดูเหมือนผมจะอยู่ชั้นสามสินะ ไม่นานประตูลิฟท์ก็เปิดออกที่ชั้นหนึ่ง ผมวิ่งสุดฝีเท้าออกจาลิฟท์กระทั่งมาถึงลานที่คิดว่าพวกเขากำลังเดินอยู่ ฝนที่ตกตอนนี้แม้จะไม่หนักแต่มันเริ่มทำผมหนาวแล้ว ผมพยายามมองไปรอบๆ และในที่สุดก็พบกับรถตู้คันนั้น ดูเหมือนพวกเขาจะพาเด็กเข้าใกล้รถตู้ไปทุกทีแล้ว

     “คุณจะพาเด็กคนนั้นไปไหนน่ะ!?” ผมตะโกนถามขึ้นระหว่างที่วิ่งไปหา

ชายสวมหมวกปีกสีดำ และเด็กหันมามองผม แต่อยู่ๆ ก็มีแขนล่ำสันออกมาจากรถตู้ ดึงร่างเด็กเข้าไปพร้อมกับปิดปาก แรงขัดขืนของเด็กทำให้เห็นร่างชายฉกรรจ์สวมเสื้อกล้ามข้างในรถตู้เล็กน้อย ผมพยามวิ่งเข้าไปช่วย แต่ถูกชายสวมหมวกปีกสีดำที่เดินมากับเด็กได้ขวางไว้

     “ถอยไปสิวะ!” ผมชกเข้าไปที่หน้าเขาหนึ่งครั้ง แต่ก็โดนสวนมาด้วยหมัดตรงที่บริเวณท้องจุกจนแทบคุกเข่า ตอนนี้ถ้าจะหวังให้คนที่แทบจะไม่ออกจากห้องเลยอย่างผมมาสู้กับแก๊งลักพาตัวเด็กล่ะก็ กระดูกมันคนละเบอร์กันเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...ทำไมผมถึงไม่ยอมหยุดตัวเองกัน...

     เธอก็สามารถเป็นฮีโร่ได้นะ หากเธอได้ช่วยใครสักคนน่ะ

     เสียงของฮีโร่ในวัยเด็กเริ่มดังขึ้นในหัวอีกผมอีกแล้ว

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา