The Chronicles of Gaia พลิกตำนานโลกใบใหม่
7.3
เขียนโดย Alcatraz
วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.09 น.
14 chapter
1 วิจารณ์
16.12K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2559 13.33 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) One-sided Reunion
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความPrologue Act
Chapter 4th
One-sided Reunion
บริเวณชานเมืองทาร์โซนิส
21 กันยายน ก.ศ. 327
2.57 น.
“ทุกหน่วยรายงาน”
“หน่วยหนึ่งไม่พบผู้บุกรุกครับ”
“หน่วยสองก็ไม่พบครับ”
“หน่วยสามและสี่ก็เช่นกันครับ”
“ฮึ่ย...ถอนกำลังกลับฐานทัพ...พันโทต้องไม่ชอบใจแน่ๆ”
คงไม่มีใครในช่องการสื่อสารนั้นคิดว่าบทสนทนาระหว่างเหล่าทหารซึ่งถูกส่งออกมาเพื่อตามล่าตัวผู้บุกรุกที่เข้าไปถึงถิ่นของพวกตนกลับถูกดักฟังโดยตัวผู้บุกรุกนั้นเสียเอง
หลังจากแน่ใจว่าตนเองไม่ถูกตามล่าต่อแล้ว ร่างในชุดดำก็ปิดระบบดักฟังลง ถึงจะเป็นช่องการสื่อสารของกองทัพ แต่ก็ไม่มีทางป้องกันการเจาะระบบจากแฮกเกอร์ของหนึ่งในสามขั้วอำนาจใหญ่ที่ล้ำหน้าสุดในด้านเทคโนโลยีได้
ต้องขอบคุณผู้ที่คอยช่วยสนับสนุนเธอจริงๆ
“ดูเหมือนจะปลอดภัยแล้ว กลับมาที่เซลล์ได้ซะทีนะเอแคลร์”
เสียงของ ‘ผู้ที่คอยช่วยสนับสนุน’ ดังแทรกเข้ามาระหว่างที่ร่างในชุดดำลัดเลาะตัดข้ามป่า มุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่ซึ่งฐานปฏิบัติการของตนเองตั้งอยู่
“ขอบคุณนะอิลิยา ถ้าไม่ได้เธอฉันคงโดนจับแหงเลย”
“ก็เธอดันไม่ระวังเองนี่ยะ เจอหน้าเมื่อไหร่ฉันจะแจงให้ฟังเป็นฉากๆเลย”
“รู้แล้วจ้า แค่นี้นะ ถึงทางเข้าแล้ว”
เอแคลร์ตัดสายทิ้งและหยุดฝีเท้าลงหน้าหนึ่งในต้นไม้ซึ่งดูไม่ต่างอะไรจากต้นอื่นๆ เธอใช้มือข้างหนึ่งแตะเข้าที่เปลือกลำต้นที่ดูหยาบกร้าน ทันใดนั้นร่างของเธอก็ถูกแรงอันลึกลับดึงจมหายไปในต้นไม้ต้นนั้น ทิ้งยามป่ายามค่ำคืนอันเงียบสงัดเอาไว้เบื้องหลัง
“กรุณายืนยันตัวตน”
แท้จริงแล้ว ต้นไม้ต้นนี้เป็นเพียงแค่ภาพโฮโลแกรมเอาไว้หลอกตาเท่านั้น หน้าที่จริงของมันคือทางผ่านลงไปยัง ‘เซลล์’ หรือก็คือฐานสำหรับเหล่าเจ้าหน้าที่ของหน่วยสืบราชการลับแห่งสมาพันธรัฐ หญิงสาวพบตัวเองยืนอยู่ในตู้ทรงกระบอกขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยโลหะแทบทั้งหมด เสียงเรียบเย็นแบบเครื่องจักรเอ่ยขึ้นพร้อมกับกล่องสี่เหลี่ยมที่ยื่นออกมาจากผนังตู้ด้านหนึ่งโดยมีรูอยู่ด้านหน้า เอแคลร์ถอดถุงมือข้างขวาออกและยื่นมือเข้าไป อะไรบางอย่างก็แทงเข้าที่ปลายนิ้วชี้อย่างนิ่มนวลก่อนที่เสียงพูดเดิมจะดังขึ้นอีกหน
“ตรวจสอบนาโนแมชชีนเสร็จสิ้น ยินดีต้อนรับ เอแคลร์ โฮป จะทำการพาลงไปยังเซลล์ในทันที”
สิ้นคำ ตู้ก็เคลื่อนที่ลงอย่างรวดเร็วในขณะที่เธอมองแผลเล็กๆบนนิ้วของตนเองค่อยๆสมานเข้าด้วยกันในความเร็วที่ผิดธรรมชาติและหายสนิทก่อนที่ตู้จะหยุดเสียอีก ซึ่งก็ไม่ถึงสิบวินาทีเท่านั้น ด้านหนึ่งของตู้เปิดออก เผยให้เห็นทางเดินซึ่งแยกออกไปเป็นสองฝั่งตรงปลาย แต่ทางเดินนั้นก็มีใครบางคนขวางอยู่เป็นที่เรียบร้อย
“ทำบ้าๆแบบนั้นนี่บ้าไปแล้วรึไงยัยบ้า!”
“ไม่ต้องย้ำคำว่าบ้าก็ได้...” เอแคลร์ย่นคอ เอามือปิดหูเมื่อเจอเข้ากับเสียงตวาดเหมือนฟ้าผ่าของคนตรงหน้า ซึ่งก็คือหญิงสาวผิวสีคาราเมลที่กำลังเท้าสะเอวมองมาที่เธอด้วยดวงตาสีน้ำตาลฉายแววเดือดจัด เส้นผมดำสนิทยาวสยายถึงบั้นเอวดูฟูฟ่องเล็กน้อยเหมือนไม่ได้ผ่านการดูแลรักษามานาน ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มแน่นและคิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ
“จะไม่ย้ำได้ไงล่ะ กี่ครั้งแล้วที่เธอเกือบทำงานพลาดน่ะ แถมยังเกือบถูกจับได้อีก”
“โอ๊ย จะเทศนาเอาไว้ทีหลังเถอะนะ ตอนนี้ขอฉันไปอาบน้ำก่อน วิ่งแทบขาดใจเลยเนี่ย แถมเกือบจะโดนยิงอีก” เอแคลร์โอดครวญระหว่างที่พวกเธอเดินคู่กันไปตามทางเดินยาว
“ทำตัวเองแท้ๆ เอาเถอะ ฉันรอก็ได้ ยังไงก็ต้องทำรายงานภารกิจให้ศูนย์บัญชาการใหญ่อยู่แล้วด้วย แต่อย่าชิงหลับไปซะก่อนล่ะ ไม่งั้นพรุ่งนี้ได้เจอหนักเป็นสองเท่าแน่”
“เข้าใจแล้วค่าคุณแม่”
“ใครเป็นแม่ยะ!”
การตอบโต้ของทั้งสองหยุดลงเมื่ออิลิยาแยกไปทางศูนย์ควบคุมภารกิจ ส่วนแอแคลร์เดินหัวเราะอย่างร่าเริงไปยังส่วนพักอาศัย เซลล์ทุกแห่งจะแบ่งออกเป็นส่วนหลักๆสามส่วน คือส่วนพักอาศัย ส่วนศูนย์ควบคุมภารกิจที่ผู้สนับสนุนจะคอยช่วยเหลือผู้ปฏิบัติการในขณะทำภารกิจ และส่วนเตรียมตัวก่อนภารกิจที่เอาไว้ให้ผู้ปฏิบัติการทำการจัดเตรียมอุปกรณ์รวมถึงพาหนะที่จะใช้ แม้โครงสร้างของแต่ละแห่งจะต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อม แต่เซลล์ก็จะประกอบด้วยสามส่วนนี้เสมอ สมาพันธรัฐได้วางเซลล์แบบนี้กระจายไปทั่วทั้งไกอา แอบแฝงอย่างแนบเนียนอยู่ในแทบทุกๆที่
หญิงสาวสแกนลายนิ้วมือเปิดประตูส่วนพักอาศัย ถอดหมวกวางไว้บนเตียง ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะถอดชุดออกกองไว้กับพื้น สิบนาทีถัดมา เธอก็หย่อนร่างเปลือยเปล่าลงในอ่างน้ำอุ่น ความรู้สึกผ่อนคลายค่อยๆแทรกซึมเข้ามาในร่าง เอแคลร์หลับตาลง ความคิดล่องลอยไปยังเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ
‘หมอนั่น...เป็นใครกันนะ...’
ทหารหนุ่มคนที่เธอได้พบในฐานทัพของราชอาณาจักรคนนั้น ช่างดูละม้ายคล้ายคลึงกับใครบางคนที่เธอเคยรู้จัก...จนถึงกระทั่งเมื่อสิบสามปีก่อน
วันที่ทุกสิ่งจบสิ้นลง...
มือของหญิงสาวยกขึ้นลูบหน้าอกข้างซ้ายโดยไม่รู้สึกตัว ณ ที่นั่น แผลจากเหตุเมื่อตอนนั้นยังคงประทับอยู่อย่างชัดเจน
ไม่ต่างอะไรจากความทรงจำอันเลวร้ายยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น
เอแคลร์เผลอดึงเข่าเข้ามากอด ทั่วร่างสั่นเทิ้มเมื่อเงาดำมืดของอดีตค่อยใช้ๆมือแห่งความหวาดกลัวบีบหัวใจของเธออย่างช้าๆ
“...แคลร์...เอแคลร์...”
เสียงใครบางคนเรียกชื่อเธอจากไหนสักแห่งเหมือนดังผ่านอุโมงค์ที่ยืดยาวไร้ที่สิ้นสุด มันไม่อาจจะปลดเธอออกจากห่วงโซ่แห่งความทรงจำได้
ปัง!
“ยัยบ้าเอแคลร์!”
แต่เสียงประตูห้องน้ำถูกกระแทกเปิดและเสียงคำรามอย่างหมดความอดทนของอิลิยานั้นเกินพอที่จะทำให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ สะดุ้งสุดตัวเหมือนถูกไฟช็อต
“เรียกตั้งหลายรอบแล้วทำไมไม่ตอบหา!”
“อะ...เอ่อ ขอโทษ ฉันเผลอเหม่อไปหน่อย...”
“รีบๆอาบน้ำให้เสร็จได้แล้ว จะได้ฟังสรุปภารกิจแล้วนอน พรุ่งนี้ต้องไปคริสซาลิสอีก อย่าลืมล่ะว่าเธอไม่ได้มีแค่งานเดียว”
“อื้ม ไม่ว่าจะกี่งาน ฉันก็จะทำให้เต็มที่ทั้งหมดนั่นแหละ!”
อิลิยายิ้มให้กับคำพูดและดวงตาเป็นประกายของคู่สนทนาก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“เธอนี่ ไม่ได้เปลี่ยนไปจากวันที่เจอกันครั้งแรกเลยนะ...หลายๆอย่างเลยละ”
ท้ายประโยค เธอชายตามองลงไปที่อ่างน้ำซึ่งสามารถมองเห็นส่วนโค้งเว้าของหญิงสาวที่แช่อยู่ได้อย่างชัดเจน ส่งอีกฝ่ายให้หน้าขึ้นสีแดงก่ำ มือวักน้ำสาดใส่แต่ก็ไม่ทันอิลิยาที่ฉากหลบออกจากห้องอย่างว่องไวพร้อมเสียงหัวเราะกวนประสาท
“หุ่นจะเป็นยังไงมันไม่ได้เกี่ยวกับการทำงานซะหน่อย...”
เอแคลร์บ่นอย่างน้อยใจขณะยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจกในห้องนอนโดยมีอิลิยานั่งอ่านทวนรายงานภารกิจที่เธอเพิ่งทำเสร็จเมื่อครู่ก่อนอยู่บนเตียงไม่ห่างออกไปนัก
“แหม ไม่แน่บางทีเธออาจได้ทำภารกิจที่ต้องไป...ใกล้ชิดกับพวกผู้ชายก็ได้นะ ใครจะไปรู้”
“ช่างฉันเถอะน่า”
“ได้ไงเล่า ฉันเป็นผู้สนับสนุนของเธอนะ”
เอแคลร์สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้งถึงแม้ว่าจะไม่มีความจำเป็น เส้นผมน้ำตาลอมแดงหน่อยๆยาวถึงไหล่ ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนใกล้เคียงกับสีทองสุกสว่าง ริมฝีปากบางสีชมพูสดใสแม้จะไม่ได้ทาลิปสติก ผิวสีขาวออกเหลืองไร้ริ้วรอยถึงจะผ่านเรื่องสมบุกสมบันมามากแล้วก็ตาม
“ถ้าหุ่นดีกว่านี้อีกนิดก็คงจะเป็นสาวในฝันของใครๆแล้วน้า” อิลิยากระเซ้าราวกับรู้ว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่
“งะ...เงียบไปเลย!”
“เอ้า ได้เวลาฟังสรุปภารกิจแล้ว เตรียมใจไว้ให้ดี ฉันนับเรื่องที่สมควรโดนติด้วยสองมือยังไม่หมดเลยละ”
“ขะ...เข้าใจแล้วค่า...”
เอแคลร์นั่งจ๋อยอยู่บนเตียงนอนของตัวเองขณะที่อิลิยาเริ่มอ่านทวนรายงานภารกิจอย่างจริงจัง แต่สำหรับเธอแล้วมันฟังดูน่าเบื่อเอามากๆ ในหัวจึงมีความคิดฟุ้งซ่านขึ้นมาจนคำพูดของเพื่อนร่วมงานเข้าหูบ้างไม่เข้าบ้าง
“เอาละ นอกจากการจัดการกับเวรยามแบบไม่ถูกวิธีแล้ว ตอนที่เธอเจอกับทหารในศูนย์บัญชาการนั่น ทำไมถึงไม่รีบถอยหนีออกมาแต่ซ่อนอยู่ล่ะ?”
‘ทหาร...อ้อ เจ้าคนที่หน้าเหมือนเลเดน จะว่าไป ป่านนี้เลเดนจะเป็นยังไงบ้างนะ ไม่สิ หมอนั่นคงไม่รอดมาจากหมู่บ้านนั่นหรอก...’
“แล้วแทนที่จะรอจังหวะดีๆ ดันไปเผยตัวให้เห็นอีก...ฟังฉันอยู่หรือเปล่า เอแคลร์ เฮ้!” อีลิยา
“อ้า เอ้อ ฟังสิ ฟังๆ”
“ดูยังไงก็ไม่ได้ฟังเห็นๆเลยนี่ยะยัยบ้า!”
“แง้ เค้าขอโต้ด”
“ปล่อยนะ อย่ามากอด เดี๋ยวสิ จับตรงไหนของเธอเนี่ย...”
หลังจากสะบัดเอแคลร์ออกไปได้แล้ว อิลิยาก็ถอยห่างออกมา กุมขมับอย่างหนักอกหนักใจ
“ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้... ไม่อยากจะเชื่อเล้ย ทำไมคนแบบเธอถึงมาเป็นเจ้าหน้าที่สืบราชการลับได้เนี่ย”
“นั่นสิ ฉันก็สงสัยเหมือนกัน”
คำตอบนั้นทำเอาเจ้าหน้าที่สนับสนุนนึกอยากจะใช้ PCD ในมือเคาะหัวคนตรงหน้าสักป้าบเผื่อว่ามันจะช่วยเรียกความเป็นผู้ใหญ่ในตัวคู่หูของเธอออกมาได้บ้าง
“เฮ้อ พอแค่นี้ดีกว่า ฉันไม่อยากจะพูดต่อแล้ว ยังไงภารกิจในวันนี้ก็ถือว่าสำเร็จ ชิงข้อมูลที่ต้องการออกมาได้ ไม่ถูกจับ และอีกฝ่ายไม่รู้ว่ามาจากไหน ถึงจะเกือบๆไปก็เถอะนะ”
“เย้!”
“ไม่ต้องมาเย้เลยยัยบ้า ขืนคราวหน้ายังเป็นแบบนี้อีกฉันจะทำเรื่องขอเปลี่ยนคู่ทำงานซะ!”
“อ๊า! อย่าทิ้งชั้นเลยนะ ถ้าไม่มีเธอฉันก็แย่กว่าเก่าน่ะสิ!”
“ก็บอกแล้วว่าอย่าเข้ามากอด!”
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ หรือว่าเธอเกลียดฉันเหรอ?”
เมื่อเจอกับสายตาเหมือนลูกหมาถูกดุจากหญิงสาวเบื้องหน้า อิลิยาก็ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาเสียดื้อๆ ได้แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“ถ้าเกลียด คงไม่ทนมานานถึงขนาดนี้หรอก...ยิ้มอะไรไม่ทราบหา!”
“ฮะๆ ขอโทษที แค่กำลังคิดว่าเธอก็ตลกได้เหมือนกันน่ะ”
อิลิยากลอกตา รู้สึกไมเกรนขึ้นกะทันหัน
“โอ๊ย พอๆ ฉันไปนอนดีกว่า คุยกับเธอนี่มันปวดหัวชะมัดยาด พรุ่งนี้ต้องเตรียมตัวสำหรับงานที่คริสซาลิสอีก”
ถึงจะบอกว่าไปนอน แต่มันก็แค่การแยกไปที่เตียงข้างๆเท่านั้นเอง เมื่อไฟในห้องดับลงและอุณหภูมิสบายได้ที่ เจ้าหน้าที่สนับสนุนก็หลับไปอย่างรวดเร็ว แต่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการยังคงลืมตาโพลง ภาพของทหารหนุ่มคนที่เล็งปืนและยิงใส่เธออย่างไม่ลังเลนั่นยังคงฝังแน่นอยู่ในมโนภาพ
‘หมอนั่น เป็นใครกันนะ...หรือว่าจะเป็นเลเดนจริงๆ?’
เธอเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปที่วางอยู่บนหัวเตียงและกดปุ่มให้ไฟใต้กรอบรูปทำงาน ใต้แสงสลัวๆจากหลอดไฟอายุกว่าสิบปีนั้นคือรูปที่มีรอยไหม้เล็กน้อยของเด็กสามคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่และมีฉากหลังเป็นทุ่งหญ้ากว้าง ประกอบไปด้วยเด็กหญิงผมสีทองที่ยิ้มน้อยๆแบบกุลสตรียืนคู่กับเด็กชายผมสีน้ำตาลใบหน้าออกรำคาญๆเล็กน้อย ซึ่งสาเหตุคงมาจากตัวเธอเองที่เกาะแขนเขาอยู่และชูสองนิ้วอย่างร่าเริง
เอแคลร์ยิ้มออกมา นั่นเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่เหลืออะไรให้กลับไปรำลึกถึงแล้วก็ตาม เธอมองภาพนั้นต่ออีกสักครู่ก่อนจะวางมันลงที่เดิม
‘คงไม่มีทางเป็นไปได้หรอก...และยังไง เราก็คงไม่ได้เจอหมอนั่นอีกแล้ว’
อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่เธอคิดก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราโดยไม่ได้รู้เลยว่าวันที่เธอกับเขาจะได้พบกันอีกครั้งนั้นมันมาถึงรวดเร็วยิ่งกว่าที่ใครๆคาดคิดเสียอีก
Chapter 4th
One-sided Reunion
บริเวณชานเมืองทาร์โซนิส
21 กันยายน ก.ศ. 327
2.57 น.
“ทุกหน่วยรายงาน”
“หน่วยหนึ่งไม่พบผู้บุกรุกครับ”
“หน่วยสองก็ไม่พบครับ”
“หน่วยสามและสี่ก็เช่นกันครับ”
“ฮึ่ย...ถอนกำลังกลับฐานทัพ...พันโทต้องไม่ชอบใจแน่ๆ”
คงไม่มีใครในช่องการสื่อสารนั้นคิดว่าบทสนทนาระหว่างเหล่าทหารซึ่งถูกส่งออกมาเพื่อตามล่าตัวผู้บุกรุกที่เข้าไปถึงถิ่นของพวกตนกลับถูกดักฟังโดยตัวผู้บุกรุกนั้นเสียเอง
หลังจากแน่ใจว่าตนเองไม่ถูกตามล่าต่อแล้ว ร่างในชุดดำก็ปิดระบบดักฟังลง ถึงจะเป็นช่องการสื่อสารของกองทัพ แต่ก็ไม่มีทางป้องกันการเจาะระบบจากแฮกเกอร์ของหนึ่งในสามขั้วอำนาจใหญ่ที่ล้ำหน้าสุดในด้านเทคโนโลยีได้
ต้องขอบคุณผู้ที่คอยช่วยสนับสนุนเธอจริงๆ
“ดูเหมือนจะปลอดภัยแล้ว กลับมาที่เซลล์ได้ซะทีนะเอแคลร์”
เสียงของ ‘ผู้ที่คอยช่วยสนับสนุน’ ดังแทรกเข้ามาระหว่างที่ร่างในชุดดำลัดเลาะตัดข้ามป่า มุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่ซึ่งฐานปฏิบัติการของตนเองตั้งอยู่
“ขอบคุณนะอิลิยา ถ้าไม่ได้เธอฉันคงโดนจับแหงเลย”
“ก็เธอดันไม่ระวังเองนี่ยะ เจอหน้าเมื่อไหร่ฉันจะแจงให้ฟังเป็นฉากๆเลย”
“รู้แล้วจ้า แค่นี้นะ ถึงทางเข้าแล้ว”
เอแคลร์ตัดสายทิ้งและหยุดฝีเท้าลงหน้าหนึ่งในต้นไม้ซึ่งดูไม่ต่างอะไรจากต้นอื่นๆ เธอใช้มือข้างหนึ่งแตะเข้าที่เปลือกลำต้นที่ดูหยาบกร้าน ทันใดนั้นร่างของเธอก็ถูกแรงอันลึกลับดึงจมหายไปในต้นไม้ต้นนั้น ทิ้งยามป่ายามค่ำคืนอันเงียบสงัดเอาไว้เบื้องหลัง
“กรุณายืนยันตัวตน”
แท้จริงแล้ว ต้นไม้ต้นนี้เป็นเพียงแค่ภาพโฮโลแกรมเอาไว้หลอกตาเท่านั้น หน้าที่จริงของมันคือทางผ่านลงไปยัง ‘เซลล์’ หรือก็คือฐานสำหรับเหล่าเจ้าหน้าที่ของหน่วยสืบราชการลับแห่งสมาพันธรัฐ หญิงสาวพบตัวเองยืนอยู่ในตู้ทรงกระบอกขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยโลหะแทบทั้งหมด เสียงเรียบเย็นแบบเครื่องจักรเอ่ยขึ้นพร้อมกับกล่องสี่เหลี่ยมที่ยื่นออกมาจากผนังตู้ด้านหนึ่งโดยมีรูอยู่ด้านหน้า เอแคลร์ถอดถุงมือข้างขวาออกและยื่นมือเข้าไป อะไรบางอย่างก็แทงเข้าที่ปลายนิ้วชี้อย่างนิ่มนวลก่อนที่เสียงพูดเดิมจะดังขึ้นอีกหน
“ตรวจสอบนาโนแมชชีนเสร็จสิ้น ยินดีต้อนรับ เอแคลร์ โฮป จะทำการพาลงไปยังเซลล์ในทันที”
สิ้นคำ ตู้ก็เคลื่อนที่ลงอย่างรวดเร็วในขณะที่เธอมองแผลเล็กๆบนนิ้วของตนเองค่อยๆสมานเข้าด้วยกันในความเร็วที่ผิดธรรมชาติและหายสนิทก่อนที่ตู้จะหยุดเสียอีก ซึ่งก็ไม่ถึงสิบวินาทีเท่านั้น ด้านหนึ่งของตู้เปิดออก เผยให้เห็นทางเดินซึ่งแยกออกไปเป็นสองฝั่งตรงปลาย แต่ทางเดินนั้นก็มีใครบางคนขวางอยู่เป็นที่เรียบร้อย
“ทำบ้าๆแบบนั้นนี่บ้าไปแล้วรึไงยัยบ้า!”
“ไม่ต้องย้ำคำว่าบ้าก็ได้...” เอแคลร์ย่นคอ เอามือปิดหูเมื่อเจอเข้ากับเสียงตวาดเหมือนฟ้าผ่าของคนตรงหน้า ซึ่งก็คือหญิงสาวผิวสีคาราเมลที่กำลังเท้าสะเอวมองมาที่เธอด้วยดวงตาสีน้ำตาลฉายแววเดือดจัด เส้นผมดำสนิทยาวสยายถึงบั้นเอวดูฟูฟ่องเล็กน้อยเหมือนไม่ได้ผ่านการดูแลรักษามานาน ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มแน่นและคิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ
“จะไม่ย้ำได้ไงล่ะ กี่ครั้งแล้วที่เธอเกือบทำงานพลาดน่ะ แถมยังเกือบถูกจับได้อีก”
“โอ๊ย จะเทศนาเอาไว้ทีหลังเถอะนะ ตอนนี้ขอฉันไปอาบน้ำก่อน วิ่งแทบขาดใจเลยเนี่ย แถมเกือบจะโดนยิงอีก” เอแคลร์โอดครวญระหว่างที่พวกเธอเดินคู่กันไปตามทางเดินยาว
“ทำตัวเองแท้ๆ เอาเถอะ ฉันรอก็ได้ ยังไงก็ต้องทำรายงานภารกิจให้ศูนย์บัญชาการใหญ่อยู่แล้วด้วย แต่อย่าชิงหลับไปซะก่อนล่ะ ไม่งั้นพรุ่งนี้ได้เจอหนักเป็นสองเท่าแน่”
“เข้าใจแล้วค่าคุณแม่”
“ใครเป็นแม่ยะ!”
การตอบโต้ของทั้งสองหยุดลงเมื่ออิลิยาแยกไปทางศูนย์ควบคุมภารกิจ ส่วนแอแคลร์เดินหัวเราะอย่างร่าเริงไปยังส่วนพักอาศัย เซลล์ทุกแห่งจะแบ่งออกเป็นส่วนหลักๆสามส่วน คือส่วนพักอาศัย ส่วนศูนย์ควบคุมภารกิจที่ผู้สนับสนุนจะคอยช่วยเหลือผู้ปฏิบัติการในขณะทำภารกิจ และส่วนเตรียมตัวก่อนภารกิจที่เอาไว้ให้ผู้ปฏิบัติการทำการจัดเตรียมอุปกรณ์รวมถึงพาหนะที่จะใช้ แม้โครงสร้างของแต่ละแห่งจะต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อม แต่เซลล์ก็จะประกอบด้วยสามส่วนนี้เสมอ สมาพันธรัฐได้วางเซลล์แบบนี้กระจายไปทั่วทั้งไกอา แอบแฝงอย่างแนบเนียนอยู่ในแทบทุกๆที่
หญิงสาวสแกนลายนิ้วมือเปิดประตูส่วนพักอาศัย ถอดหมวกวางไว้บนเตียง ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะถอดชุดออกกองไว้กับพื้น สิบนาทีถัดมา เธอก็หย่อนร่างเปลือยเปล่าลงในอ่างน้ำอุ่น ความรู้สึกผ่อนคลายค่อยๆแทรกซึมเข้ามาในร่าง เอแคลร์หลับตาลง ความคิดล่องลอยไปยังเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ
‘หมอนั่น...เป็นใครกันนะ...’
ทหารหนุ่มคนที่เธอได้พบในฐานทัพของราชอาณาจักรคนนั้น ช่างดูละม้ายคล้ายคลึงกับใครบางคนที่เธอเคยรู้จัก...จนถึงกระทั่งเมื่อสิบสามปีก่อน
วันที่ทุกสิ่งจบสิ้นลง...
มือของหญิงสาวยกขึ้นลูบหน้าอกข้างซ้ายโดยไม่รู้สึกตัว ณ ที่นั่น แผลจากเหตุเมื่อตอนนั้นยังคงประทับอยู่อย่างชัดเจน
ไม่ต่างอะไรจากความทรงจำอันเลวร้ายยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น
เอแคลร์เผลอดึงเข่าเข้ามากอด ทั่วร่างสั่นเทิ้มเมื่อเงาดำมืดของอดีตค่อยใช้ๆมือแห่งความหวาดกลัวบีบหัวใจของเธออย่างช้าๆ
“...แคลร์...เอแคลร์...”
เสียงใครบางคนเรียกชื่อเธอจากไหนสักแห่งเหมือนดังผ่านอุโมงค์ที่ยืดยาวไร้ที่สิ้นสุด มันไม่อาจจะปลดเธอออกจากห่วงโซ่แห่งความทรงจำได้
ปัง!
“ยัยบ้าเอแคลร์!”
แต่เสียงประตูห้องน้ำถูกกระแทกเปิดและเสียงคำรามอย่างหมดความอดทนของอิลิยานั้นเกินพอที่จะทำให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ สะดุ้งสุดตัวเหมือนถูกไฟช็อต
“เรียกตั้งหลายรอบแล้วทำไมไม่ตอบหา!”
“อะ...เอ่อ ขอโทษ ฉันเผลอเหม่อไปหน่อย...”
“รีบๆอาบน้ำให้เสร็จได้แล้ว จะได้ฟังสรุปภารกิจแล้วนอน พรุ่งนี้ต้องไปคริสซาลิสอีก อย่าลืมล่ะว่าเธอไม่ได้มีแค่งานเดียว”
“อื้ม ไม่ว่าจะกี่งาน ฉันก็จะทำให้เต็มที่ทั้งหมดนั่นแหละ!”
อิลิยายิ้มให้กับคำพูดและดวงตาเป็นประกายของคู่สนทนาก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“เธอนี่ ไม่ได้เปลี่ยนไปจากวันที่เจอกันครั้งแรกเลยนะ...หลายๆอย่างเลยละ”
ท้ายประโยค เธอชายตามองลงไปที่อ่างน้ำซึ่งสามารถมองเห็นส่วนโค้งเว้าของหญิงสาวที่แช่อยู่ได้อย่างชัดเจน ส่งอีกฝ่ายให้หน้าขึ้นสีแดงก่ำ มือวักน้ำสาดใส่แต่ก็ไม่ทันอิลิยาที่ฉากหลบออกจากห้องอย่างว่องไวพร้อมเสียงหัวเราะกวนประสาท
“หุ่นจะเป็นยังไงมันไม่ได้เกี่ยวกับการทำงานซะหน่อย...”
เอแคลร์บ่นอย่างน้อยใจขณะยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจกในห้องนอนโดยมีอิลิยานั่งอ่านทวนรายงานภารกิจที่เธอเพิ่งทำเสร็จเมื่อครู่ก่อนอยู่บนเตียงไม่ห่างออกไปนัก
“แหม ไม่แน่บางทีเธออาจได้ทำภารกิจที่ต้องไป...ใกล้ชิดกับพวกผู้ชายก็ได้นะ ใครจะไปรู้”
“ช่างฉันเถอะน่า”
“ได้ไงเล่า ฉันเป็นผู้สนับสนุนของเธอนะ”
เอแคลร์สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้งถึงแม้ว่าจะไม่มีความจำเป็น เส้นผมน้ำตาลอมแดงหน่อยๆยาวถึงไหล่ ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนใกล้เคียงกับสีทองสุกสว่าง ริมฝีปากบางสีชมพูสดใสแม้จะไม่ได้ทาลิปสติก ผิวสีขาวออกเหลืองไร้ริ้วรอยถึงจะผ่านเรื่องสมบุกสมบันมามากแล้วก็ตาม
“ถ้าหุ่นดีกว่านี้อีกนิดก็คงจะเป็นสาวในฝันของใครๆแล้วน้า” อิลิยากระเซ้าราวกับรู้ว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่
“งะ...เงียบไปเลย!”
“เอ้า ได้เวลาฟังสรุปภารกิจแล้ว เตรียมใจไว้ให้ดี ฉันนับเรื่องที่สมควรโดนติด้วยสองมือยังไม่หมดเลยละ”
“ขะ...เข้าใจแล้วค่า...”
เอแคลร์นั่งจ๋อยอยู่บนเตียงนอนของตัวเองขณะที่อิลิยาเริ่มอ่านทวนรายงานภารกิจอย่างจริงจัง แต่สำหรับเธอแล้วมันฟังดูน่าเบื่อเอามากๆ ในหัวจึงมีความคิดฟุ้งซ่านขึ้นมาจนคำพูดของเพื่อนร่วมงานเข้าหูบ้างไม่เข้าบ้าง
“เอาละ นอกจากการจัดการกับเวรยามแบบไม่ถูกวิธีแล้ว ตอนที่เธอเจอกับทหารในศูนย์บัญชาการนั่น ทำไมถึงไม่รีบถอยหนีออกมาแต่ซ่อนอยู่ล่ะ?”
‘ทหาร...อ้อ เจ้าคนที่หน้าเหมือนเลเดน จะว่าไป ป่านนี้เลเดนจะเป็นยังไงบ้างนะ ไม่สิ หมอนั่นคงไม่รอดมาจากหมู่บ้านนั่นหรอก...’
“แล้วแทนที่จะรอจังหวะดีๆ ดันไปเผยตัวให้เห็นอีก...ฟังฉันอยู่หรือเปล่า เอแคลร์ เฮ้!” อีลิยา
“อ้า เอ้อ ฟังสิ ฟังๆ”
“ดูยังไงก็ไม่ได้ฟังเห็นๆเลยนี่ยะยัยบ้า!”
“แง้ เค้าขอโต้ด”
“ปล่อยนะ อย่ามากอด เดี๋ยวสิ จับตรงไหนของเธอเนี่ย...”
หลังจากสะบัดเอแคลร์ออกไปได้แล้ว อิลิยาก็ถอยห่างออกมา กุมขมับอย่างหนักอกหนักใจ
“ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้... ไม่อยากจะเชื่อเล้ย ทำไมคนแบบเธอถึงมาเป็นเจ้าหน้าที่สืบราชการลับได้เนี่ย”
“นั่นสิ ฉันก็สงสัยเหมือนกัน”
คำตอบนั้นทำเอาเจ้าหน้าที่สนับสนุนนึกอยากจะใช้ PCD ในมือเคาะหัวคนตรงหน้าสักป้าบเผื่อว่ามันจะช่วยเรียกความเป็นผู้ใหญ่ในตัวคู่หูของเธอออกมาได้บ้าง
“เฮ้อ พอแค่นี้ดีกว่า ฉันไม่อยากจะพูดต่อแล้ว ยังไงภารกิจในวันนี้ก็ถือว่าสำเร็จ ชิงข้อมูลที่ต้องการออกมาได้ ไม่ถูกจับ และอีกฝ่ายไม่รู้ว่ามาจากไหน ถึงจะเกือบๆไปก็เถอะนะ”
“เย้!”
“ไม่ต้องมาเย้เลยยัยบ้า ขืนคราวหน้ายังเป็นแบบนี้อีกฉันจะทำเรื่องขอเปลี่ยนคู่ทำงานซะ!”
“อ๊า! อย่าทิ้งชั้นเลยนะ ถ้าไม่มีเธอฉันก็แย่กว่าเก่าน่ะสิ!”
“ก็บอกแล้วว่าอย่าเข้ามากอด!”
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ หรือว่าเธอเกลียดฉันเหรอ?”
เมื่อเจอกับสายตาเหมือนลูกหมาถูกดุจากหญิงสาวเบื้องหน้า อิลิยาก็ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาเสียดื้อๆ ได้แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“ถ้าเกลียด คงไม่ทนมานานถึงขนาดนี้หรอก...ยิ้มอะไรไม่ทราบหา!”
“ฮะๆ ขอโทษที แค่กำลังคิดว่าเธอก็ตลกได้เหมือนกันน่ะ”
อิลิยากลอกตา รู้สึกไมเกรนขึ้นกะทันหัน
“โอ๊ย พอๆ ฉันไปนอนดีกว่า คุยกับเธอนี่มันปวดหัวชะมัดยาด พรุ่งนี้ต้องเตรียมตัวสำหรับงานที่คริสซาลิสอีก”
ถึงจะบอกว่าไปนอน แต่มันก็แค่การแยกไปที่เตียงข้างๆเท่านั้นเอง เมื่อไฟในห้องดับลงและอุณหภูมิสบายได้ที่ เจ้าหน้าที่สนับสนุนก็หลับไปอย่างรวดเร็ว แต่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการยังคงลืมตาโพลง ภาพของทหารหนุ่มคนที่เล็งปืนและยิงใส่เธออย่างไม่ลังเลนั่นยังคงฝังแน่นอยู่ในมโนภาพ
‘หมอนั่น เป็นใครกันนะ...หรือว่าจะเป็นเลเดนจริงๆ?’
เธอเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปที่วางอยู่บนหัวเตียงและกดปุ่มให้ไฟใต้กรอบรูปทำงาน ใต้แสงสลัวๆจากหลอดไฟอายุกว่าสิบปีนั้นคือรูปที่มีรอยไหม้เล็กน้อยของเด็กสามคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่และมีฉากหลังเป็นทุ่งหญ้ากว้าง ประกอบไปด้วยเด็กหญิงผมสีทองที่ยิ้มน้อยๆแบบกุลสตรียืนคู่กับเด็กชายผมสีน้ำตาลใบหน้าออกรำคาญๆเล็กน้อย ซึ่งสาเหตุคงมาจากตัวเธอเองที่เกาะแขนเขาอยู่และชูสองนิ้วอย่างร่าเริง
เอแคลร์ยิ้มออกมา นั่นเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่เหลืออะไรให้กลับไปรำลึกถึงแล้วก็ตาม เธอมองภาพนั้นต่ออีกสักครู่ก่อนจะวางมันลงที่เดิม
‘คงไม่มีทางเป็นไปได้หรอก...และยังไง เราก็คงไม่ได้เจอหมอนั่นอีกแล้ว’
อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่เธอคิดก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราโดยไม่ได้รู้เลยว่าวันที่เธอกับเขาจะได้พบกันอีกครั้งนั้นมันมาถึงรวดเร็วยิ่งกว่าที่ใครๆคาดคิดเสียอีก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ