The Chronicles of Gaia พลิกตำนานโลกใบใหม่

7.3

เขียนโดย Alcatraz

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.09 น.

  14 chapter
  1 วิจารณ์
  16.10K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2559 13.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) Inform

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Prologue Act

Chapter 5th

Inform

 

ซิทาเดล (Citadel)

กองบัญชาการใหญ่แห่งกองทัพราชอาณาจักร

คริสซาลิส เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักร

22 กันยายน ก.ศ. 327

  1. 11.47 น.

          “เอกสารทั้งหมดอยู่ในซองนี้ ฉันระบุพิกัดที่อยู่ของครอบครัวทหารที่เสียชีวิตเรียบร้อยแล้ว แค่เอาเอกสารไปมอบ แล้วก็พูดตามที่เขียนไว้ก็พอ”

            “ครับ”

            “ไม่มีใครอยากจะทำงานนี้หรอก แต่ในเมื่อระเบียบมันเป็นแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ ฝากด้วยนะ”

            เลเดนรับซองกระดาษสีน้ำตาลประทับตรากองทัพบกราชอาณาจักรมาจากเจ้าหน้าที่ธุรการของทางกองทัพ ก่อนจะถอยออกมาจากห้องที่มีคำว่า ‘รับเอกสารแจ้งการเสียชีวิต’ ฉายเป็นภาพโฮโลแกรมอยู่ด้านบน เมื่อชายหนุ่มพ้นออกมา ทหารอีกคนที่นั่งรออยู่บนม้านั่งบุนวมซึ่งเรียงรายอยู่ใกล้ๆก็ลุกขึ้นเข้าไปยังห้องเดียวกัน และยังมีอีกจำนวนหนึ่งที่ต่อคิวอยู่ แต่ละคนล้วนดูคุ้นหน้าคุ้นตาดีสำหรับเลเดน เพราะทั้งหมดคือบรรดาหัวหน้าหน่วยของกองพันทหารราบที่สิบสามซึ่งสูญเสียสมาชิกไปกว่าครึ่งในภารกิจล่าสุดนั่นเอง

            ซิทาเดลในยามเที่ยงวันคลาคล่ำไปด้วยเจ้าหน้าที่จำนวนมหาศาลที่ต่างเร่งร้อนทำงานช่วงเช้าของตนเองให้สำเร็จเพื่อจะได้ไปพักกลางวัน เลเดนมองออกไปยังท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆสักก้อนขณะรอยานขนส่งขึ้นมาจากพื้นดินเบื้องล่าง เมื่อมันมาถึง เขากับคนอีกกว่ายี่สิบคนก็เบียดเสียดกันเข้าไปข้างในจนเต็มภายในเวลาไม่ถึงครึ่งนาที

            ระหว่างที่ยานขนส่งซึ่งหน้าตาเหมือนลิฟต์ลอยได้ค่อยๆเลื่อนลงจากซิทาเดลอย่างนิ่มนวล ชายหนุ่มก็ทอดสายตาออกจากกระจกของยานขนส่งไปยังตัวเมืองคริสซาลิสภายใต้แสงแดดร้อนแรง หมู่อาคารหลากหลายรูปทรงและความสูงเรียงชิดติดกันอย่างไม่เป็นระเบียบมากนักเหมือนคนวางผังเมืองกับคนสร้างไม่ได้คุยกัน และยังมีสิ่งก่อสร้างแปลกๆผุดอยู่เป็นหย่อมๆ อย่างเช่นหอไอเฟลจำลองใหญ่กว่าของจริงที่ตอนนี้เหลือแค่เศษซากอยู่บนโลกเก่า พระราชวังเกรเซียสอันเป็นที่ประทับขององค์ราชินี หรือไม่ก็รูปหล่อขนาดมหึมาของอัลทิเซียร์ ฟาห์รอน หญิงสาวผู้รวมอาณานิคมจำนวนมากในยุคสร้างอารายธรรมใหม่เข้าด้วยกันและก่อตั้งราชอาณาจักรขึ้น

            ‘แต่ที่เด่นที่สุดคงไม่พ้นซิทาเดลนี่แหละนะ’

            เมื่อลงมาถึงพื้น แต่ละคนในยานก็ต่างแยกย้ายกันไปเหมือนผึ้งแตกรัง เลเดนหยิบ PCD ขึ้นมาใช้เรียกรถของตนซึ่งจอดไว้ที่อาคารจอดรถของซิทาเดล สิบนาทีถัดมาเขาก็อยู่บนถนนสายหลักของคริสซาลิสร่วมกับพาหนะหลากชนิดอีกจำนวนนับไม่ถ้วน

            หลังจากตั้งระบบขับอัตโนมัติให้รถมุ่งหน้าไปพิกัดที่ได้มาแล้ว ชายหนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นมองซิทาเดล สิ่งก่อสร้างที่ไม่ว่าเห็นกี่ครั้งเขาก็อดชื่นชมในความน่าเกรงขามของมันไม่ได้

            ซิทาเดลคือตึกหกเหลี่ยมขนาดยักษ์ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศสูงจากพื้นกว่าห้าร้อยเมตร กินพื้นที่เกือบหนึ่งตารางกิโลเมตร เป็นดั่งป้อมปราการขนาดยักษ์ที่รวมทุกอย่างตั้งแต่สำนักงานธุรการยันฐานยิงขีปนาวุธข้ามทวีป พื้นด้านล่างซิทาเดลมีจุดขึ้นยานขนส่งกระจายอยู่โดยรอบ เป็นวิธีการเดียวที่จะขึ้นไปได้โดยไม่ถูกระบบต่อต้านอากาศยานยิงเละเป็นผง

            สิ่งที่พยุงมันเอาไว้คือเทคโนโลยีต่อต้านแรงโน้มถ่วงที่อาศัยคุณสมบัติของธาตุชนิดหนึ่งซึ่งถูกค้นพบไม่นานนักหลังจากที่มนุษย์ได้มาถึงไกอา ธาตุมหัศจรรย์ที่บิดเบือนสนามแรงโน้มถ่วงได้โดยไม่สนกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ใดๆ ชื่อของมันคือ ‘อินเวอร์ไซต์’ แต่ในทั้งสามขั้วอำนาจใหญ่นั้น มีเพียงราชอาณาจักรที่มีองค์ความรู้เกี่ยวกับด้านนี้สูงพอจนสามารถนำมาใช้งานได้จริง และมันก็แพร่หลายอย่างรวดเร็วจนล้อกลายเป็นอดีตในเวลาเพียงไม่ถึงสิบปี

            เลเดนละสายตาจากศูนย์บัญชาการใหญ่แห่งกองทัพราชอาณาจักร หันไปให้ความสนใจกับเอกสารที่ได้มา เขาลองอ่านสิ่งที่ต้องพูดตอนมอบเอกสารดูและเบ้ปากในความเวิ่นเว้อของมัน ในใจแอบด่าความหัวโบราณของคนที่คิดระเบียบนี้ขึ้นมา

            แผงควบคุมของรถแจ้งว่าในสภาพการจราจรแบบนี้จะถึงที่หมายในอีกเกือบสองชั่วโมง ชายหนุ่มส่ายศีรษะอย่างเศร้าใจกับการจัดการคมนาคมที่ห่วยแตกอย่างแก้ไม่หายของคริสซาลิสก่อนจะยก PCD ขึ้นเปิดกลยุทธ์การรบที่ต้องอ่านให้จบก่อนจะกลับไปพบกับคนที่มอบหมายหน้าที่ในการศึกษามันอย่างละเอียดถี่ถ้วนให้กับเขา

เขตตัวเมืองชั้นนอก

  1. 14.12 น.

          “ถึงที่หมายแล้ว”

            เสียงจากระบบควบคุมอัตโนมัติทำให้เลเดนเผยอเปลือกตาขึ้น สะบัดหน้าอย่างมึนงง ดูเหมือนว่าเขาจะเผลอหลับระหว่างการนั่งบนเบาะนิ่มๆตากแอร์เย็นๆ ชายหนุ่มก้มลงเก็บ PCD ที่ตกอยู่ตรงเท้าและมองออกไปภายนอกรถ

            ตอนนี้เขาอยู่บนถนนขรุขระที่มีอาคารสีทึมๆสภาพทรุดโทรมเรียงรายกัน และชายหนุ่มยังค้นพบด้วยว่ารถของเขาเป็นเพียงคันเดียวที่จอดอยู่ เลเดนเปิดประตูรถลงมาเพื่อพบกับสายตาสงสัยใคร่รู้ของเหล่าผู้อยู่อาศัยในบริเวณนี้ซึ่งเริ่มเข้ามาออกัน และแน่นอนว่านั่นไม่ได้ให้ความรู้สึกเป็นมิตรเลยสักนิดเดียว

            พิกัดที่ได้มาบอกว่าบ้านของเอดการ์คือแฟลตเก่าๆที่รถของเขาจอดอยู่ด้านหน้านั่นเอง ชายหนุ่มไม่รอช้าย่ำเท้าขึ้นบันไดของตึกอย่างรวดเร็ว

            ‘ชั้นสี่ ห้อง 403...’

            ไม่นานเขาก็มายืนอยู่หน้าประตูห้องพักที่สีหลุดลอกเป็นรอยกระดำกระด่าง ป้ายชื่อหน้าห้องถูกเขียนไว้ด้วยลายมือหวัดๆว่า ‘ฮันท์ลีย์’ ไม่มีอินเตอร์คอม กริ่ง หรืออะไรเทือกๆนั้นอยู่เลย ชายหนุ่มจึงต้องใช้วิธีพื้นฐานที่เรียกว่าการเคาะ

            “ถ้ามาเก็บค่าเช่าละก็ยังไม่มีหรอก”

            เสียงผู้หญิงหวานใสแต่แฝงไปด้วยแววเหนื่อยล้าดังตอบกลับมา

            “ไม่ใช่ครับ ผม...”

            “ร้านขายของเหรอ? เดี๋ยวพรุ่งนี้ชั้นเอาไปจ่ายให้แน่ๆ กลับไปก่อนเถอะ”

            “ไม่ใช่ครับ คือว่า...”

            ใครบางคนที่อยู่ในห้องเดินอย่างเร่งรีบออกมาที่อีกฟากของประตู เงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้นอีกหน

            “นายเป็นใคร? หน้าตาแบบนายไม่น่าจะอยู่แถวนี้ได้ คนรู้จักของเอดการ์เหรอ”

            “จะว่างั้นก็ได้ครับ...”

            “เข้ามาสิ”

            ประตูห้อง 403 เปิดออก เผยให้เห็นเด็กสาวคนหนึ่งที่เลเดนเดาว่าคงเป็นลูกพี่ลูกน้องหรือไม่ก็น้องสาวของเอดการ์ เธอมีเส้นผมบลอนด์ทองโทนเดียวกันกับสมาชิกหน่วยผู้ล่วงลับของเลเดนยาวระต้นคอ ดวงตาสีฟ้าอ่อนมองเลเดนหัวจรดเท้าเหมือนประเมินว่าเขาไปทำอีท่าไหนมาถึงมารู้จักกับเอดการ์ได้ แต่เมื่อเห็นชุดที่เขาสวม อันเป็นชุดเต็มยศของทหารชั้นสัญญาบัตร สีหน้าของเธอก็ดูแข็งกระด้างขึ้นมาทันที

            “รกหน่อยนะ นั่งตรงนั้นแล้วกัน เดี๋ยวจะเอาอะไรมาให้ดื่ม”

            เธอเดินนำเลเดนเข้ามาในห้องพักที่ค่อนข้างจะคับแคบพร้อมชี้นิ้วไปที่ชุดโซฟารับแขกเก่าๆที่ตั้งอยู่กลางห้องและเดินแยกไปทางครัว เลเดนทำตามอย่างว่าง่ายโดยพยายามไม่สนใจความสกปรกที่เกินคำว่า ‘หน่อย’ ไปค่อนข้างมาก

            “เอ้า”

            เด็กสาวกลับมาพร้อมด้วยน้ำอัดลมสองกระป๋องซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่เอดการ์ชอบดื่มเปี๊ยบ เธอวางกระป๋องหนึ่งไว้หน้าแขกแล้วเปิดอีกกระป๋องขึ้นกระดก

            “แล้วมีเรื่องอะไรล่ะ เอดการ์ไปยืมเงินคนอื่นแล้วไม่คืนเหรอ หรือว่าหลอกฟันใครเข้าล่ะ”

            “สิบตรีเอดการ์ตายแล้วครับ”

            เลเดนเลือกที่จะบอกไปตามตรง อ้อมค้อมไปก็มีแต่จะเสียเวลาเปล่าๆ เด็กสาวนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบมาเพียงแค่สั้นๆจนเขาอดประหลาดใจไม่ได้

            “...งั้นเหรอ”

            “นี่เป็นเอกสารยืนยันการเสียชีวิตครับ ขอให้ช่วยเซ็นรับทราบและส่งไปยังซิทาเดลภายในหนึ่งสัปดาห์นับจากนี้ด้วย...” เลเดนเปิดซองสีน้ำตาลออกและหยิบเอกสารที่อยู่ภายในออกมาทีละแผ่นพร้อมกับอธิบายว่าแต่ละแผ่นคืออะไร ขณะที่เด็กสาวหยิบเอกสารใบแรกไป เริ่มบ่นพึมพำ แต่เนื่องจากอยู่ใกล้กันมากเขาจึงได้ยินทุกประโยคที่เธอพูด

            “เฮอะ ทั้งที่รู้ว่าไม่ไหวแท้ๆยังจะทำไม่เข้าเรื่องอีก สุดท้ายก็กลายเป็นแบบนี้ น่าสมเพชเป็นบ้า”

            “ส่วนแผ่นนี้คือรายละเอียดการปฏิบัติหน้าที่...”

            “งี่เง่าชะมัด ทำเป็นเท่ อยากจะหาเงินได้เยอะๆ ไม่ประมาณตัวเองเอาซะเลย”

            ประโยคนั้นทำให้ภาพของแดเนียล คามิลล์และซีบิลที่เสียใจกับการตายของเพื่อนร่วมหน่วยจนถึงกับหลั่งน้ำตาให้แวบเข้ามาในหัวของเลเดน เขาหยุดมือและเงยหน้าขึ้น ตั้งใจจะบอกคนตรงหน้าให้เกียรติเอดการ์มากกว่านี้สักนิด

            “บ้าที่สุด...”

            แปะ แปะ

            แต่สิ่งก็เขาพบกลับเป็นหยดน้ำตาที่ร่วงหล่นจากใบหน้าลงสู่แผ่นกระดาษจนเกิดเป็นรอยเปียกดวงกลม เด็กสาวกัดริมฝีปากแน่นเหมือนพยายามหยุดไม่ให้เสียงสะอื้นหลุดออกมา

            “ทั้งๆที่...ทั้งๆที่บอกว่า จะ...จะอยู่ด้วยกันตลอดไปแท้ๆ ทะ...ทำไมถึงหนีจากฉันไปซะเองแบบนี้ล่ะ ไอ้พี่บ้า!!” เธอเงยหน้าขึ้น กรีดเสียงเหมือนจะส่งไปให้ถึงคนที่ไม่มีวันจะได้ยินเธออีกแล้ว เอกสารในมือถูกบีบจนยับเยิน เลเดนนั่งอึ้ง ไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์อย่างไรดี

            “ทำไมต้องมาตายด้วย ทิ้งฉัน ไว้แค่คนเดียว...”

            ภายในหัวใจของชายหนุ่มปวดแปลบไปด้วยความรู้สึกหนึ่ง มันอาจเป็นความสงสาร เห็นอกเห็นใจ หรืออาจเป็นแค่ความเข้าใจอย่างสามัญธรรมดาก็ได้

            ความเข้าใจในการสูญเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต

            “แล้วฉัน...จะอยู่ต่อไปยังไง...”

            สิ้นประโยค เด็กสาวก็ปล่อยโฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ มือทั้งสองข้างปาดน้ำตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่มีท่าทีว่ามันจะหยุดหลั่งริน           

            เลเดนตัดสินใจทำในสิ่งที่เมื่อมาย้อนคิดในภายหลัง บางทีการไม่ทำแบบนั้นอาจดีกว่าก็ได้

            สิ่งนั้นคือการดึงเด็กสาวเข้ามาในอ้อมแขน ให้ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยหยาดน้ำสีใสซบเข้ากับไหล่ ซึ่งเธอก็ไม่ได้แสดงอาการต่อต้านหรือขัดขืนใดๆ อาจเป็นเพราะความเศร้าที่ท่วมท้นจนทำให้เธอไม่รับรู้แล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

            “ร้องออกมาเถอะ...”

            ชายหนุ่มได้ยินเสียงที่สั่นเครือเหมือนไม่ใช่เสียงของตัวเองหลุดมาจากริมฝีปากของเขา โอบร่างในวงแขนแน่นขึ้น คำพูดที่พรั่งพรูออกมาเองก็เหมือนไม่ได้มาจากสมอง แต่กลั่นออกมาจากหัวใจ

            “ร้องเลย ร้องจนกว่าจะพอใจ ร้องจนไม่มีน้ำตาจะไหล ไม่มีเสียงจะพูด ร้องจนกว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับเขา...จะไม่มีวันลบเลือนออกไปจากความทรงจำ...”

            เลเดนสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่แทรกผ่านเนื้อผ้าหนาๆตรงบ่า แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้แคร์อะไรกับมัน

            สิ่งที่เขาต้องการคือให้เด็กสาวในอ้อมกอดได้รับรู้ว่าอย่างน้อยก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่เคยเจอประสบการณ์อันเลวร้ายแบบเดียวกัน และเธอจะผ่านมันไปได้ อย่างที่เขาเคยทำมา

            ไม่มีใครรู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหน แต่การร้องไห้ฟูมฟายก็เปลี่ยนเป็นเพียงเสียงสะอึกสะอื้นเป็นพักๆ และเงียบลงในที่สุด

            “ปะ...ปล่อยฉันได้แล้ว...มั้ง”

            เสียงเล็กๆฟังอูอี้เล็กน้อยดังมาจากร่างบางในอ้อมแขน ทำให้เลเดนหลุดจากภวังค์และผละถอยออกมาเหมือนเด็กสาวกลายเป็นกองไฟ บรรยากาศกระอักกระอ่วนเข้าปกคลุมทั้งสองพร้อมกับความเงียบที่ย่างกรายเข้ามาเหมือนแขกที่ไม่ได้รับเชิญ

            “งั้นผม...อธิบายต่อเลยนะครับ...”

            แต่เลเดนก็ขจัดมันออกไปอย่างเร็วไว มือยกซองเอกสารขึ้นทำท่าจะหยิบสิ่งที่อยู่ภายในออกมาเพิ่ม

            “ไม่ต้อง เดี๋ยวที่เหลือฉันดูเองก็ได้”

            “หา? แต่ว่ามันเป็นหน้าที่...”

            “บอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องไง! เอ้า ลุกๆ ออกไปได้แล้ว!”

            ไม่พูดอย่างเดียว เด็กสาวลงมือปฏิบัติด้วยการดึงให้เขาลุกจากโซฟาคร่ำคร่าและดันให้ชายหนุ่มเดินไปทางประตูห้องซึ่งเลเดนก็ยอมทำตามแม้จะสับสน

            “เอ่อ...เดี๋ยวจะแจ้งไปทางซิทาเดลให้ส่งใบที่พังไปแล้วมาใหม่นะ ช่วยอย่าทำมันเละอีกล่ะ”

            “รู้แล้วน่า รีบๆออกไปซะที”

            สุดท้ายเลเดนก็ถูกผลักออกมาด้านนอก และประตูเหล็กหนาก็เลื่อนปิดส่งท้าย กั้นไม่ให้ชายหนุ่มเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของเจ้าของห้อง เขาจึงได้แต่ยืนเกาหัวด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงต้องถูกไล่ออกมาด้วย

            ‘คงโมโหที่ไปกอดเข้าละมั้ง...ถ้าเป็นงั้นก็ช่วยไม่ได้ เราผิดเองนี่นา’

            ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังเดินกลับรถ PCD ของเขาก็ส่งเสียงร้องเตือนว่ามีการติดต่อเข้ามา ชายหนุ่มกดรับก็พบว่ามันเป็นเพียงข้อความเสียงที่ถูกอัดไว้

            ‘เอ่อ...คุณเลเดนคะ ถ้าไม่รังเกียจ...วันมะรืนนี้ชั้นอยากจะให้คุณมาลองชิมขนมที่ร้านของบ้านชั้น จะได้ไหมคะ ชั้นแนบที่อยู่ร้านมาให้กับข้อความนี้แล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไรก็...มาได้นะคะ’

            แน่นอนว่าเจ้าของข้อความนั้นก็คือซีบิล ชายหนุ่มกำลังจะส่งข้อความตอบว่าไป แต่ก็ยั้งมือไว้ก่อนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าบางทีอาจมีหน้าที่อื่นเข้าแทรกก็เป็นได้ เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่เขากลับมาที่คริสซาลิสแล้วจะไม่ถูก ‘เธอคนนั้น’ เรียกให้ไปหา

            เลเดนทอดถอนใจให้กับชีวิตที่ถูกดึงไปนู่นมานี่ของตนเองก่อนจะขึ้นรถ ตั้งพิกัดกลับไปยังสถานที่แห่งหนึ่งบนแถบชานเมืองที่ออกไปไกลกว่าที่ๆเขาอยู่ตอนนี้เสียอีก

บ้านหลังหนึ่งบริเวณแถบชานเมือง

  1. 17.22 น.

            เลเดนยืนอยู่เบื้องหน้าทาวน์เฮาส์สองชั้นที่บอกไปก็คงไม่มีใครเชื่อว่าเป็นบ้านของผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพราชอาณาจักร

            และมันก็เป็นบ้านหลังปัจจุบันของเขาด้วยเช่นกัน

            แม้จะห่างหายไปนานถึงเกือบหนึ่งเดือน แต่ทุกสิ่งก็ยังคงดูเหมือนเดิม ไม่มีสัญญาณใดๆบอกว่ามีคนอยู่ในตอนนี้ เลเดนปลดล็อคประตูบ้านด้วยลายนิ้วมือ ทว่าขณะกำลังก้าวเข้าไปก็ถูกบางสิ่งกระแทกจากทางด้านบนจนล้มคว่ำไปกับพื้น อะไรบางอย่างเย็นเยียบแนบเข้าที่ลำคอ ชายหนุ่มเลื่อนสายตาลงมองก็พบว่ามันคือใบของมีดสั้นสำหรับทหารราบของกองทัพราชอาณาจักร

            “ประมาทเกินไปนะ ถ้าฉันตั้งใจจะฆ่าละก็ตายไปแล้ว”

            เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูคุ้นเคยจากร่างที่คร่อมอยู่ด้านบนทำให้ชายหนุ่มยิ้มแหยๆออกมาและตอบกลับไปเสียงละห้อย

            “ขอโทษด้วยครับ พอดีผมไม่คิดว่าจะได้เจอการต้อนรับกลับบ้านแบบนี้”

            ร่างนั้นแค่นเสียงหัวเราะดังหึ! ก่อนจะลุกออกไป เปิดโอกาสให้เลเดนยันตัวขึ้น มือลูบคางที่กระแทกพื้นจากการถูกจู่โจมเมื่อครู่

            “ไหนตอบมาซิร้อยเอก กฎข้อแรกในการเป็นทหารคืออะไร”

            “ต้องตื่นตัวและเตรียมพร้อมเสมอครับท่านนายพล!”

            เลเดนยืนตัวตรงกล่าวด้วยเสียงอันดังแต่อีกฝ่ายดูออกว่าเขาเพียงแค่ทำเล่นๆเท่านั้น จึงเผยรอยยิ้มบางออกมา เสียบมีดกลับเข้าไปในซองข้างเอวก่อนจะตบบ่าของชายหนุ่มเบาๆแต่ก็เล่นเอาเขาเกือบเซเลยทีเดียว

            “ยินดีด้วยนะที่รอดจากภารกิจแรกมาได้ แต่นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้นละ”

            แม้จะอยู่ในอายุอานามย่างเข้าสู่เลขห้า แต่คาร์ลอส วัลเดซ ยังคงความแข็งแรงไม่ต่างอะไรจากชายหนุ่มวัยเบญจเพส ร่างกายกำยำใต้ชุดเครื่องแบบนายพลแห่งกองทัพราชอาณาจักรเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ใบหน้าคมสันไม่ถูกริ้วรอยแห่งวัยเข้าคุกคามเลยแม้แต่น้อย ที่เปลี่ยนไปมีเพียงแค่เส้นผมสีเมล็ดกาแฟที่ตอนนี้ถูกแซมด้วยสีขาวและสีเทาประปราย ดวงตาเทาดั่งเมฆพายุฉายแววคมกริบเหมือนทะลุทะลวงได้ทุกอย่างจนมีน้อยคนนักที่กล้าสบตาด้วยตรงๆ ซึ่งเลเดนก็รู้สึกภูมิใจเล็กๆที่ตัวเองเป็นหนึ่งในนั้น

            ด้วยบุคลิกภาพแบบนั้นบวกกับความสามารถในการบัญชาการรบซึ่งทั่วหล้าต่างยกย่องว่าเป็นอันดับหนึ่งในราชอาณาจักร หรือแม้กระทั่งบนไกอา และผลงานมากมายที่จารึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์แห่งการสงคราม ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนนี้จึงไม่ได้ต่างอะไรจากตำนานที่ยังมีชีวิต

            “ฉลองสักหน่อยแล้วกัน” ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนที่ว่าพูดสั้นๆ โอบไหล่เลเดนเดินไปทางห้องรับประทานอาหาร ซึ่งบัดนี้โต๊ะตรงกลางห้องได้ถูกเติมเต็มด้วยอาหารนานาชนิดซึ่งทำเอาคนเด็กกว่าตาลุกวาว เพราะแต่ละอย่างคือของโปรดของเขาทั้งนั้น

            คาร์ลอสหยิบขวดไวน์ที่เงินเดือนของพลทหารทั้งปียังซื้อไม่ได้ออกมาจากตู้สะสมไวน์สุดรักสุดหวงของเขาและเปิดอย่างไม่ลังเล เทใส่แก้วทรงสูงสองใบและส่งให้เลเดนใบหนึ่ง จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มรับประทานอาหารโดยที่ฝ่ายหนึ่งคอยยิงคำถามเกี่ยวกับกลยุทธ์การรบที่เลเดนเพิ่งอ่านจบเป็นระยะๆ

            “ได้ข่าวว่าทำผลงานที่ทาร์โซนิสได้ดีมากเลยนี่ ขอฟังหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

            เมื่ออาหารบนโต๊ะร่อยหรอไปจนเกือบหมดแล้ว คาร์ลอสก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงสนใจใคร่รู้ เลเดนกลืนเนื้อปลาเฮอร์ริ่งทอดลงคอ เรียบเรียงคำพูดสักครู่และเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่เขาพบสมาชิกหน่วยใหม่ จนถึงตอนที่เขาเผชิญหน้ากับผู้บุกรุกในชุดดำโดยข้ามเรื่องที่เขาได้ยินจากซาซิลไป คาร์ลอสเพียงแค่รับฟังอย่างเงียบๆจนกระทั่งชายหนุ่มเล่าจบ เลเดนแอบมองสีหน้าของฝ่ายตรงข้ามก็พบว่าเขากำลังครุ่นคิดอยู่

            “แล้วคิดว่าภารกิจนี้เป็นไงบ้างล่ะ”

            หลังจากผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง เขาก็พูดเรียบๆ

            “ก็...ดีครับ”

            ถึงจะบอกว่าสบตาด้วยได้ แต่การถูกผู้บัญชาการทหารสูงสุดจ้องตรงๆก็ทำให้เลเดนรู้สึกเกร็งขึ้นมาเหมือนกัน

            “ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้คิดแบบนั้น”

            “...เราน่าจะทำได้ดีกว่านี้”

             ภาพของเด็กสาวที่ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดทำให้ชายหนุ่มเผลอกำหมัดแน่นขึ้นมาด้วยความเจ็บแค้นใจ ถ้าพวกหัวหน้ากองร้อยยอมฟังเขาสักนิด...

            “ไปพบญาติของสมาชิกหน่วยที่ตายมาแล้วสินะ”

            เลเดนพยักหน้าอย่างซึมเซา ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากทำแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว คาร์ลอสถอนหายใจยาว ยก PCD ขึ้นกดคำสั่ง จากนั้น PCD ของเลเดนจึงดังแจ้งเตือนขึ้น เขามองชายเบื้องหน้าอย่างประหลาดใจระคนสงสัยเมื่อพบว่ามันคือเงินจำนวนห้าหมื่นเครดิตส่งตรงจากบัญชีของผู้บัญชาการทหารสูงสุด

            “ไปเอลลีเซียมซะสิ”

            ชายหนุ่มเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง ทำไมจู่ๆคาร์ลอสถึงเอาเงินมากขนาดนี้ให้เขาไปผลาญที่ย่านเริงรมย์ของคริสซาลิสไปได้

            “เอ่อ จะดีเหรอครับแบบนั้น...”

            “ไปเถอะ หัดลองหาความสุขใส่ตัวซะบ้าง อาจได้เจอเรื่องดีๆแบบคาดไม่ถึงก็ได้”

            “แต่...”

            “ไม่มีต่งมีแต่ นี่เป็นคำสั่งโดยตรงจากฉัน ร้อยเอกเลเดน”

            เมื่ออีกฝ่ายนั่งยันนอนยันมาแบบนี้ เลเดนก็หมดสิทธิที่จะเถียงโดยสิ้นเชิง และถึงอย่างไร เขาก็ไม่ได้รังเกียจการไปเที่ยวกลางคืนอยู่แล้ว หลังจากช่วยคาร์ลอสเก็บกวาดโต๊ะอาหารเสร็จเรียบร้อย เลเดนในชุดไปรเวทที่ไม่ได้สัมผัสมาเสียนานก็มุ่งหน้าออกจากบ้าน

            มุ่งหน้าสู่ค่ำคืนที่โชคชะตาจะนำเขาและเหล่าบุคคลแห่งความทรงจำจากอดีตอันขมขื่นให้มาบรรจบกันอีกครั้ง แม้จะเป็นในรูปแบบที่ไม่มีใครคาดคิดก็ตาม

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา