The Chronicles of Gaia พลิกตำนานโลกใบใหม่

7.3

เขียนโดย Alcatraz

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.09 น.

  14 chapter
  1 วิจารณ์
  16.10K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2559 13.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) Encounter

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Prologue Act

Chapter 3rd

Encounter

 

ฐานทัพเคลื่อนที่ กองพันทหารราบที่สิบสามแห่งราชอาณาจักร

บริเวณชานเมืองทาร์โซนิส

20 กันยายน ก.ศ. 327

  1. 17.32 น.

            “ทั้งหมด ทำความเคารพ!”

            เสียงเคร่งขรึมของแมนูเอลดังขึ้นในหมวกชุดรบของเลเดนและสมาชิกกองพันที่ยังพอยืนไหว ซึ่งทุกคนก็ต่างกำมือขวาและยกขึ้นแนบกับหน้าอกฝั่งซ้าย ขณะขบวนรถขนร่างของเหล่าผู้เสียชีวิตจากการรบในวันนี้แล่นเข้าสู่ฐานทัพผ่านแถวทหารที่ยืนเรียงสองแถวหันหน้าเข้าหากัน

            ‘พิธีสดุดีผู้พลีแด่ชาติ’ ช่างเต็มไปด้วยบรรยากาศของการสูญเสีย

            “สหายร่วมรบของเราเหล่านี้ ได้ละทิ้งแม้กระทั่งชีวิตเพื่อที่จะปกป้องสิ่งที่ตนเชื่อมั่น เพื่อปกป้องอธิปไตยและความยุติธรรม มิให้ถูกทำลายลงไป…แต่ที่สำคัญที่สุด พวกเขาได้ปกป้องพวกเราเอาไว้ ชีวิตของทุกคนที่ยืนอยู่ในที่นี้ ล้วนเป็นหนี้บุญคุณบุคคลที่ได้ล่วงลับไปแล้วทั้งสิ้น…”

            ดูเหมือนจะมีใครบางคนลืมปิดช่องการสื่อสาร และคนๆนั้นก็ปล่อยเสียงสะอื้นสั้นๆออกมาขัดจังหวะสุนทรพจน์ของแมนูเอลพอดี

            “เราทุกคนจึงต้องสืบทอดอุดมการณ์และความตั้งมั่นของบุคคลเหล่านี้ต่อไป จงจดจำผู้กล้าเหล่านี้เอาไว้ แม้ชีวิตจะดับสิ้น แต่จิตวิญญาณของพวกเขาที่แม้แต่ความตายก็แย่งชิงไปไม่ได้ จะคงอยู่กับพวกเราทุกคนจวบจนลมหายใจสุดท้าย…แด่วีรชนผู้เสียสละ” หลังจากกล่าวจบ ผู้บัญชาการกองพันก็คุกเข่าข้างขวาลงกับพื้น ก้มศีรษะลงเล็กน้อยโดยที่แขนยังคงอยู่ในท่าเดิม

“แด่วีรชนผู้เสียสละ”

            ทหารทุกนายในแถวเอ่ยทวนและทำแบบเดียวกันจนกระทั่งรถคันสุดท้ายหายเข้าไปในโรงเก็บยานพาหนะ แมนูเอลจึงออกคำสั่งให้ลุกขึ้นและแยกย้ายกันออกไปได้

            หลังจากถอดชุดรบเรียบร้อยแล้ว หน่วยของเลเดนทุกคนกลับมารวม ณ โต๊ะตัวเก่าที่พวกเขาได้พบกันครั้งแรกเมื่อวาน แต่วันนี้เก้าอี้ตัวหนึ่งได้ว่างเปล่าไปเสียแล้ว

            “เราได้เสียสมาชิกไปคนหนึ่งจนได้นะครับ…” แดเนียลพูดขึ้นด้วยเสียงค่อนข้างแหบแห้ง ไม่มีรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าดังเช่นเคย

            “ถึงจะงี่เง่า แต่หมอนั่นก็เป็นคนดี” คามิลล์ยกแขนที่พันไว้ด้วยผ้าพันแผลขึ้นเท้าคาง เอ่ยด้วยสีหน้าเหม่อลอย

            แม้จะไม่พูดอะไรแต่ซีบิลเองก็ใช้หลังมือปาดหางตา ก้มหน้านิ่ง เลเดนสับสนว่าจะทำตัวอย่างไรดี จะเย็นชาไปเลยคงไม่เหมาะ แต่ให้เสียใจมากมายกับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันแค่วันเดียวเขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน

            “ในเมื่อตายไปแล้ว ร้องห่มร้องไห้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้เขาฟื้นขึ้นมาหรอกนะ”

            ผู้ที่พูดประโยคที่สุดจะไม่ดูสถานการณ์ก็ไม่ใช่ใครนอกจากอากิ

            “นี่เธอไม่มีหัวจิตหัวใจบ้างเลยหรือไง!”

            คามิลล์ผุดลุกขึ้นกระชากคอเสื้อของหญิงสาวร่างเล็กขึ้นเขย่า แต่ก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าของคนถูกคุกคามเปลี่ยนไปเลยสักนิด เธอแค่พูดต่อด้วยเสียงราบเรียบ

            “ฉันก็แค่พูดความจริง แทนที่จะมัวแต่เศร้า เอาเวลาไปฝึกปรือฝีมือเพื่อที่จะไม่ต้องเสียใครไปอีกจะไม่ดีกว่ารึไง?”

            “อึก…”

            เมื่อเจอดอกนี้เข้าไปคามิลล์ก็ได้แต่ปล่อยมืออย่างไม่เต็มใจนัก ขณะแดเนียลกดไหล่ของเลเดนที่กำลังจะเข้าไปห้ามให้นั่งลง หยิบขวดเครื่องดื่มที่เลเดนจำได้ว่าเอดการ์ดื่มอยู่เกือบตลอดเวลาขึ้นมาพร้อมกับแก้วห้าใบ ไม่นานพวกมันก็ถูกท่วมเต็มด้วยของเหลวสีแดงอ่อนและส่งให้กับทุกคน

            “จริงๆน่าจะเป็นเหล้านะครับ แต่หมอนั่นชอบไอ้น้ำอัดลมนี่มากจนซัดเป็นวันละแพคเลย…แด่เอดการ์ ฮันท์ลีย์” แดเนียลหัวเราะแห้งๆ ยกแก้วขึ้นสูง

            แกร๊ง!

            “แด่เอดการ์ ฮันท์ลีย์” คนอื่นยกแก้วในมือขึ้นชนกับเขาและยกมันจรดริมฝีปากยกเว้นอากิที่วางลงทันที เลเดนไม่ชอบดื่มน้ำอัดลมสักเท่าใดแต่เขาก็ซดจนหมดเกลี้ยง อย่างน้อยก็เพื่อเป็นเกียรติให้แก่เพื่อนร่วมหน่วยผู้ล่วงลับ

            “แล้วก็ ต้องขอบคุณคุณเลเดนด้วยนะครับ ถ้าไม่ได้คุณช่วยสั่งการ บางทีเราคงไม่รอดกลับมากันซักคน”

            “หึ ถ้าไอ้พวกหัวหน้ากองมันคิดกันให้เยอะกว่านี้ คงไม่เป็นแบบนี้หรอก”

            ถึงจะไม่ได้พูดออกไป แต่ความเห็นอันเกรี้ยวกราดของคามิลล์ก็ค่อนข้างตรงใจเลเดนเลยทีเดียว

            “ผมว่าเราไปพักกันดีกว่าครับ”

            “เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเลยค่าท่านหัวหน้า” คามิลล์แกล้งลากเสียงล้อเขาแต่ชายหนุ่มฟังออกว่าหญิงสาวไม่ได้มองเขาในแง่ลบมากเท่าแต่ก่อนแล้ว

            และวันอันยาวนานก็จบสิ้นลง

โรงนอนกองร้อยที่ 4

  1. 21.16 น.

          “ขอเข้าไปหน่อยได้ไหมคะ”

          การอ่านกลยุทธ์รบของเลเดนถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของใครคนหนึ่งจากอินเตอร์คอมหน้าห้อง เนื่องจากเสียงนั้นฟังดูคุ้นเคยชายหนุ่มจึงเอ่ยอนุญาต ประตูห้องก็เลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้าเป็นกังวลของซีบิลที่ยืนห่อไหล่อยู่หน้าประตู

          “คุณซีบิล? มีธุระอะไรเหรอครับ”

          “มะ…ไม่ต้องเรียกชั้นว่าคุณหรอกค่ะ มันดูห่างเหินจัง”

          “งั้นคุณซีบิลเลิกเรียกผมว่าคุณด้วยแล้วกันนะ”

          “ค่ะ เอ่อ ตกลงให้ฉันเข้าไปได้มั้ยคะ”

          “ดะ…ได้สิครับ เอ่อ นั่งตรงนั้นก็ได้นะครับ”

          เลเดนคว้าเสื้อนอกออกจากเก้าอี้ของโต๊ะทำงานในขณะที่ตัวเขาเองนั่งอยู่บนเตียงนอน ซีบิลนั่งลงก่อนจะหันมาหาชายหนุ่ม ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำ จ้องเขาเขม็งจนเลเดนเริ่มทำตัวไม่ถูก

          ‘ทำไมถึงได้จ้องเราล่ะ!? แล้วที่จู่ๆมาขอเข้าห้องกลางดึกแบบนี้หมายความว่ายังไง?! หรือว่า…’

          “ขอบคุณที่ช่วยฉันนะคะ!!”

          จู่ๆหญิงสาวก็ตะโกนเสียงดังลั่นและก้มศีรษะลงต่ำซะจนลำตัวแทบจะขนานไปกับพื้น เลเดนสะดุ้งเฮือกก่อนจะรีบประคองหญิงสาวขึ้นมานั่งตัวตรงเหมือนเดิม

          “มะ…ไม่ต้องพูดดังขนาดนั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวคนที่อยู่ข้างนอกเขาจะตกอกตกใจเอา”

          “อ๊ะ…ขอโทษค่ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็ก้มปละหลกๆจนเลเดนอยากกุมขมับขึ้นมากะทันหันก่อนจะพูดด้วยเสียงที่พยายามคุมให้ราบเรียบที่สุด

          “เป็นหน้าที่ของหัวหน้าในการปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่แล้วครับ ไม่ต้องขอบคุณอะไรผมขนาดนั้นหรอก”

          อันที่จริงชายหนุ่มยังมีเหตุผลอีกข้อนอกจากที่เอ่ยออกไป แต่สำหรับตอนนี้ เขาเลือกจะเก็บมันไว้ในใจก่อน

          “ตอนนั้น...ฉันกลัวมากเลยละค่ะ” ซีบิลพูดขึ้นโดยที่ใบหน้ายังคงก้มสู้พื้นอยู่ มือทั้งสองข้างกำไว้ที่หน้าขาแน่น เสียงสั่นเครือจนเลเดนอดกลัวขึ้นมาว่าถ้าเธอร้องไห้ขึ้นมาเขาจะปลอบยังไง

          “กลัวว่าจะไม่ได้ฟื้นฟูร้าน กลัวว่าจะไม่ได้เจอหน้าคุณพ่อกับคุณแม่อีก กลัวว่าพวกท่านจะเสียใจ กลัวว่าจะต้องตาย...โดยที่ยังไม่อยากเลยสักนิด”

หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ซึ่งเลเดนได้ยินเสียงสูดน้ำมูกฟังดูน่าขันและไม่เข้ากับบรรยากาศเลยแม้แต่น้อย

          “แต่คุณ...ก็เข้ามาช่วยฉันเอาไว้ ถึงกับยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อที่จะทำแบบนั้น...”

          เธอเงยขึ้น ริมฝีปากกลายเป็นรอยยิ้มที่งดงามเสียจนเลเดนเผลอมองค้าง และทำไมไม่รู้ แต่หยดน้ำตาที่ไหลผ่านพวงแก้มสีชมพูเปล่งปลั่งนั้นกลับขับให้มันดูโดดเด่นขึ้นไปอีก

          “ขอบคุณมากเลยนะคะ”

          “กะ...ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร”

          “ถึงจะอย่างนั้นฉันก็อยากจะขอบคุณอยู่ดีค่ะ...เอ่อ ฉันไปก่อนนะคะ”

          หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกไป เลเดนที่เพิ่งได้สติกลับมาครบก็ตะโกนไล่หลังไป

          “เอ่อ...หลับฝันดีนะครับ!”

          ก่อนที่ประตูจะปิดสนิท ชายหนุ่มก็ทันเห็นเธอหันกลับมายิ้มให้เขาเป็นครั้งสุดท้าย

  1. 21 กันยายน ก.ศ.327

  2. 01.17 น.

            ยามราตรีได้ล่วงเลยไปจนเข้าสู่วันใหม่แล้ว แต่เลเดนก็ยังข่มตาหลับไม่ลง ด้วยหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังคงรบกวนจิตใจไม่หยุดเหมือนบาดแผลที่ไม่ยอมหายขาดเสียที เขาพลิกตัวเป็นรอบที่สามสิบห้า พยายามสลัดคำพูดสุดท้ายของซาซิลออกไปจากหัว อยากจะให้ภาพรอยยิ้มบิดเบี้ยวตอนที่กล่าวประโยคเหล่านั้นของหัวหน้าของโจรเลือนหายไป

            ‘ออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยน่าจะดี’

            ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้น  เปิดประตูห้อง มองไปรอบๆห้องโถงใหญ่ของโรงนอนที่หมองหม่นไร้ชีวิตชีวาต่างจากที่มันเคยเป็นเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เขาเดินทอดน่องผ่านประตูห้องพักที่ป้ายชื่อหน้าห้องกว่าค่อนครึ่งได้กลายเป็นป้ายชื่อเปล่า กองร้อยที่สี่ได้สูญเสียสมาชิกไปมากมายเหลือเกิน…

            “คุณเลเดนยังไม่นอนอีกเหรอครับ?”

            ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังจมปลักอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง เสียงอันคุ้นเคยก็เรียกเขาให้หลุดจากภวังค์ เลเดนหันไปยิ้มอย่างอ่อนแรงให้กับแดเนียลที่ดูเหมือนกำลังร่างเอกสารอะไรสักอย่างอยู่ด้วยหน้าจอและแป้นพิมพ์โฮโลแกรมที่ฉายออกมาจากพีซีดีของเขา

            “พอดีนอนไม่หลับเลยคิดจะออกมาเดินเล่นสักหน่อยน่ะ แล้วคุณแดเนียลทำอะไรอยู่ล่ะครับ”

            “ผมกำลังเขียนใบรายงานแจ้งการเสียชีวิตของสมาชิกในหน่วยอยู่ครับ…อุตส่าห์หวังไว้ว่า จะไม่ต้องทำอีกแล้วแท้ๆ…”

            บรรยากาศแห่งความสลดเข้มข้นขึ้นยิ่งกว่าเก่า เลเดนรู้สึกลำคอตีบตัน ไม่อาจจะเอ่ยอะไรออกมาได้ แดเนียลหันไปจัดการกับเอกสารนั้นต่อโดยไม่ลืมที่จะเอ่ยประโยคหนึ่งกับหัวหน้าของตน

            “หลังจากนี้ กองพันของเราจะกลับไปที่คริสซาลิส คุณเลเดนก็ต้องไปแจ้งข่าวกับครอบครัวของเอดการ์ด้วยนะครับ”

            ชายหนุ่มปล่อยให้ประตูของโรงนอนเลื่อนปิดโดยไม่ได้ตอบอะไรไป การต้องไปทำหน้าที่แบบนั้นมันไม่ใช่อะไรที่น่าพิสมัยสักนิด

อากาศภายนอกหอนอนนั้นมีอุณหภูมิต่ำกว่าภายในพอสมควรตามปกติของบริเวณที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรจนเขาเผลอยกมือขึ้นมาลูบแขนโดยอัตโนมัติ ในใจนึกอยากให้ตัวเองเอาเสื้อนอกมาด้วย แต่จะถ่อกลับเข้าไปถึงห้องนอนแล้วออกมาอีกรอบก็ดูใช่ที่ เลเดนจึงตัดสินใจย่ำเท้าต่อไป

            ฐานทัพของกองพันทหารราบที่สิบสามในเวลานี้นั้นเงียบเชียบราวกับป่าช้า ทุกอย่างดูสงบนิ่งจนเหมือนถูกแช่แข็ง ความเคลื่อนไหวเพียงหนึ่งเดียวคือเหล่าทหารในชุดรบที่เดินเวรยามรอบฐานทัพกันอย่างเฉื่อยชา หน้าก้มต่ำเสียจนเลเดนมั่นใจว่าพวกนั้นไม่ได้มองอะไรไปมากกว่าพื้นดินด้านหน้าตัวเอง เขาเริ่มสงสัยว่าคิดผิดหรือเปล่าที่ออกมาเดินเพราะความเย็นทำให้เขารู้สึกตาสว่างกว่าเก่าเสียอีก

            ‘ความจริงของเมืองๆนี้…ความลับของไอ้ประเทศเน่าเฟะนี่!’

            เสียงของซาซิลเล่นย้อนวนในหัวของเขาอีกคราจนชายหนุ่มอยากจะเข้าไปกระชากมันออกมาและกระทืบให้จมดิน แต่ต่อให้อยากขนาดไหน เรื่องที่ทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้

            เรื่องที่อยากลืมขนาดไหน ก็ไม่มีวันลืมได้…

            ความทรงจำแห่งเปลวเพลิงและความเจ็บปวดค่อยๆคืบคลานออกมาจากซอกหลืบแห่งอดีตอันมืดมนอีกครั้ง เลเดนยืนนิ่ง ใช้สมาธิทั้งหมดในการดันมันกลับเข้าไปในที่ๆมันควรจะอยู่ เมื่อทำได้สำเร็จ ชายหนุ่มก็พบตัวเองยืนตัวสั่นเทา เหงื่อท่วมตัวแม้อยู่กลางสายลมหนาวเหน็บ มือเผลอยกไปกำล็อกเกตที่ห้อยสงบนิ่งอยู่ตรงหน้าอกโดยไม่ได้ตั้งใจ

            ‘เหมือนเคยได้ยินว่านมอุ่นๆช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น สงสัยคงต้องลองดูซะแล้วว่าจริงหรือเปล่า’

            เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องที่ไม่พึงประสงค์เล็ดลอดออกมาได้อีก เลเดนจึงหาเรื่องไร้สาระอื่นๆมาคิดแทน ขาทั้งสองข้างก้าวอย่างไม่หยุดยั้ง มุ่งไปทางโรงอาหารที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก แต่แล้วเมื่อชายหนุ่มเดินผ่านหน้าศูนย์บัญชาการ เขาก็รู้ว่าไม่มีเวลาให้ดื่มนมอีกต่อไป

            ร่างในชุดรบร่างหนึ่งยังคงยืนประจำการอยู่ข้างประตูทางเข้าออกตามที่ควรจะเป็น แต่สิ่งที่ผิดออกไปคือท่ายืน มันไม่ใช่ท่ายืนตามปกติ แต่ทหารคนนั้นถูกอะไรบางอย่างเสียบตรึงไว้กับผนัง แขนทั้งสองข้างตกห้อยข้างลำตัว เมื่อรุดเข้าไปสังเกต ชายหนุ่มก็พบว่ามีแท่งเรียวยาวสีใสจนแทบมองไม่เห็นเสียบทะลุหน้ากากหมวกไปถึงกำแพงโลหะผสมพิเศษด้านหลัง เป็นที่แน่นอนแล้วว่าทหารคนนี้ไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป

            ‘ผู้บุกรุกงั้นเหรอ!?’

เลเดนกระแทกปุ่มแจ้งเหตุฉุกเฉินบนผนังข้างๆด้วยกำปั้นเต็มแรง แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูท่าว่าใครก็ตามที่จัดการทหารคนนี้คงจะทำลายระบบรักษาความปลอดภัยของศูนย์บัญชาการไปด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มหันมองซ้ายขวาก็พบว่าไม่มีทหารคนอื่นๆอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเลย

            ‘ถ้าเราไปตามคนอื่นๆมา มันอาจหนีไปได้ก่อน…’

            เลเดนชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก็ดึงปืนพกออกจากซองข้างตัวทหารที่ถูกฆ่า กระชับไว้แน่นในมือขวา เปิดประตูของศูนย์บัญชาการและย่างเท้าเข้าไป ไฟภายในตัวอาคารยังคงสว่างไสว แต่ทุกอย่างเงียบกริบเหมือนมีใครมากดปุ่มปิดเสียงเอาไว้ สิ่งที่เขาได้ยินมีเพียงเสียงลมหายใจกับเสียงฝีเท้าของตัวเองเท่านั้น สายตาคมกริบกวาดไปทั่วแต่ก็ไม่เจอร่องรอยความผิดปกติ เขาลองกดปุ่มแจ้งเหตุที่อยู่ใกล้ๆ มันก็ไม่ทำงานเหมือนกับปุ่มข้างนอก

            ชายหนุ่มเดินลัดเลาะรอบนอกของอาคารและเข้าไปจนถึงใจกลาง ที่ซึ่งแผนที่โฮโลแกรมของเมืองทาร์โซนิสยังถูกฉายค้างเอาไว้อยู่ รายละเอียดของมันเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวานเล็กน้อย แสดงเส้นทางการบุกรวมทั้งจุดที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆไว้ และมีคำว่า ‘ภารกิจเสร็จสิ้น’ คาดทับในแนวเฉียง และเลเดนก็มองเห็นข้อความสั้นๆปรากฏอยู่ข้างแผนที่

          ‘ไฟล์ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง: ซาซิล คารีบ’

          เขากัดริมฝีปากแน่น การอ่านข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นความผิดร้ายแรง แต่ความกระหายที่จะดับความสงสัยซึ่งเกิดจากคำพูดของเจ้าของชื่อนั้นก็เอาชนะได้ยากเย็นเหลือเกิน และสุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้ให้แก่มัน มือซ้ายปล่อยจากปืนกดเรียกไฟล์ข้อมูลนั้นขึ้นมาฉายทับแผนที่ของเมืองทาร์โซนิส

            แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้อ่านตัวอักษรแม้สักตัว ร่างในชุดสีดำสนิทร่างหนึ่งก็โผล่พรวดออกมาจากอีกฝั่งของแผนที่โฮโลแกรม กระโดดทะลุผ่านมันมา ประเคนหัวเข่าใส่หน้าอกเขาเต็มรักจนเลเดนล้มหงายหลังลงไปนอนกับพื้น ร่างนั้นลุกขึ้นผละจากเขาและทะยานอย่างว่องไวไปยังประตูทางออก

            “หยุดเดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มลุกขึ้น ปืนในมือลั่นกระสุนออกไปเฉียดศีรษะของร่างชุดดำไม่ถึงครึ่งนิ้ว ร่างนั้นชะงักกึก ก่อนจะหันกลับมามองเขาอย่างช้าๆ เลเดนเดินเข้าไปหาผู้บุกรุกโดยเล็งปืนไว้ตลอดเวลา พลางสังเกตลักษณะของชุดที่ฝ่ายตรงข้ามใส่ มันเป็นชุดรัดรูปที่ทำด้วยวัสดุอะไรเขาก็มิอาจทราบได้ แต่มันมีลักษณะเรียบลื่นเหมือนผิวของงู บางส่วนของชุดมีเครื่องมือบางอย่างติดอยู่ซึ่งชายหนุ่มคิดว่าเอาไว้ใช้ในการทำงานของคนๆนี้ ซึ่งดูจากทรวดทรงองค์เอวแล้วเป็นผู้หญิง แต่หมวกของชุดปิดบังใบหน้าของเธออย่างมิดชิด

            “ถ้าเล่นตุกติกชั้นยิงแน่…มีอาวุธอะไร เอาออกมาให้หมด” ชายหนุ่มสั่งเสียงแข็งกร้าว

            ผู้บุกรุกดึงอุปกรณ์หน้าตาประหลาดจำนวนหนึ่งออกมาจากแต่ละส่วนของชุด บางชิ้นก็เหมือนไหลออกมาจากมือเสียด้วยซ้ำไป

            “ถอดหมวกออกด้วย” เลเดนสั่งเป็นหนที่สอง ก้าวเข้าใกล้มากขึ้น ร่างในชุดดำยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่เหมือนลังเล แล้วจู่ๆก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาบริเวณปากเหมือนตกใจอะไรบางอย่างจนชายหนุ่มผงะถอยไป ในช่วงที่กำลังถอยหลังนั้นเอง หนึ่งในอุปกรณ์บนพื้นก็เปล่งแสงสว่างจ้าออกมาจนตาของเขาพร่ามัว สิ่งถัดมาที่เลเดนสัมผัสได้คือมือขวาถูกบางอย่างกระแทกจนปืนร่วงลงพื้น และคอเสื้อที่ถูกคว้าพร้อมร่างที่ถูกแรงมหาศาลเหวี่ยงกระแทกใส่ผนังศูนย์บัญชาการ

            ท่ามกลางความมึนงง เลเดนได้ยินเสียงฝีเท้าห่างออกไปอย่างรวดเร็ว แม้โฟกัสของสายตาจะกลับมาไม่หมด แต่เขาก็คว้าปืนพกขึ้นจากพื้น ยันตัววิ่งตามไปทันเห็นผู้บุกรุกลอดตัวผ่านทางเข้าออกของศูนย์บัญชาการ ชายหนุ่มยิงไปสองนัดซึ่งเจาะเข้าที่บานประตูอย่างไร้พิษสง เขากระแทกปุ่มแจ้งเหตุซึ่งครั้งนี้ได้ผลตามที่มันควรจะเป็น เสียงไซเรนเตือนภัยดังกระหึ่มไปทั่วฐานทัพของกองพันทหารราบที่สิบสาม

            “แกเป็นใคร หยุด อย่าขยับ!”

            เมื่อออกมาถึงด้านนอก เลเดนก็มองเห็นร่างนั้นซึ่งเกือบกลืนไปกับความมืดยามรัตติกาลมุ่งหน้าไปทางชายป่าซึ่งอยู่ไม่ห่างจากฐานทัพเท่าใดนัก ทหารในชุดรบสองคนซึ่งเดินเวรยามอยู่ได้ยินเสียงไซเรนก็รุดมาทางศูนย์บัญชาการทันทีและเจอเข้ากับผู้บุกรุก ทั้งสองยกปืนขึ้น แต่ก็ช้ากว่าอีกฝ่ายซึ่งสะบัดมือทั้งสองข้างพร้อมกัน แท่งสีดำสองแท่งพุ่งออกมาด้วยความเร็วที่สายตามองไม่ทัน เสียบเข้าที่กลางหน้าอกของทหารยามเคราะห์ร้าย ส่งทั้งคู่ลงไปนอนชักดิ้นชักงอที่พื้น และทั้งหมดนี่เกิดขึ้นโดยที่ผู้บุกรุกไม่ได้ลดความเร็วในการวิ่งแม้สักนิดจนเลเดนถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ

            แต่นั่นก็ไม่ได้ห้ามชายหนุ่มจากการลั่นไกปืนในมือใส่เธอแต่อย่างใด ถึงกระนั้น ความว่องไวในการเคลื่อนไหวของเป้าหมายก็ทำให้กระสุนทั้งหมดเฉี่ยวไปมาเท่านั้น ไม่อาจที่จะหยุดร่างในชุดดำลงได้ เลเดนเหนี่ยวไกจนไม่อาจเหนี่ยวต่อได้ซึ่งแปลว่าปืนพกกระบอกนี้ได้หมดฤทธิ์ลงแล้ว ทุกอย่างที่เขาทำได้จึงเป็นการมองผู้บุกรุกหายลับเข้าไปในแมกไม้อย่างไร้ร่องรอยราวกับผีสาง

            “ปัดโธ่เว้ย!” เขาสบถและเหวี่ยงปืนลงพื้นอย่างหัวเสีย ขณะที่ทหารในชุดรบเต็มอัตราศึกหลายสิบคนวิ่งเข้ามาสมทบจากทางด้านหลัง

            “เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนกดสัญญาณเตือนภัย”

            หนึ่งในนั้นคือแมนูเอลผู้เอ่ยถามด้วยเสียงที่เยือกเย็น ไม่มีอาการตระหนกตกใจสักนิดจนชายหนุ่มอดชื่นชมเขาในใจไม่ได้

            “ผมเองครับ มีคนแอบเข้าไปในศูนย์บัญชาการ ผมมาเจอเข้าพอดี” เลเดนตอบ

            “แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน”

            “เข้าไปในป่าทางด้านโน้นแล้วครับ”

            ชายหนุ่มชี้นิ้วไปทางหมู่ไม้แน่นขนัดที่ร่างในชุดดำเร้นกายหลบหนีเมื่อชั่วครู่ก่อน แมนูเอลตวาดคำสั่งทันที

            “ทุกนาย! สำรวจป่าบริเวณนี้ให้ทุกซอกทุกมุม! เรียกพวกที่ยังนอนอยู่ออกมาด้วย! เราต้องตามล่าตัวผู้บุกรุกกลับมาให้ได้!”

            “รับทราบครับผม!”

            ทหารที่รอรับคำสั่งอยู่ขานรับโดยพร้อมเพรียงกันและแยกย้ายกันออกไป เกือบทั้งหมดที่อยู่ในชุดรบอยู่แล้วลุยเข้าไปในป่า ในขณะที่สี่คนมุ่งหน้าไปยังโรงนอนของทั้งสี่กองร้อย

            “ส่วนเธอ มากับฉัน”

            ผู้บัญชาการกองพันหันมาหาเลเดนเป็นคนสุดท้ายและสะกิดให้ชายหนุ่มตามมาก่อนจะมุ่งหน้าไปทางศูนย์บัญชาการ ทหารยามสองคนที่ถูกเล่นงานกำลังได้รับการดูแลจากแพทย์สนาม ขณะที่ศพของทหารข้างประตูได้ถูกนำมาวางนอนที่พื้นแทน

            “ไหนเล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

            เมื่อถูกบอกมาแบบนี้ เลเดนก็ได้แต่เล่าทุกอย่างไปตามเหตุการณ์จริงเกือบทั้งหมด โดยจงใจเว้นส่วนที่ตัวเองเปิดไฟล์ข้อมูลของซาซิลเอาไว้ ไม่งั้นเขาอาจถูกจับโยนไปเข้าคุกพร้อมๆกับผู้บุกรุกก็เป็นได้

            ‘ถ้าจับได้ละก็นะ’ ชายหนุ่มคิดในใจหลังจากถูกปล่อยตัวกลับมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อมั่นในฝีมือของกองร้อยที่สี่ แต่จากที่เขาเห็น ร่างชุดดำนั่นคงไม่ถูกจัดการด้วยกองทหารที่เพิ่งผ่านการรบแสนสาหัสมาแน่นอน

            ‘สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย’ เขาทอดถอนใจอย่างเสียดายเบาๆ อีกแค่นิดเดียวก็จะขจัดความสงสัยนี่ได้แล้วแท้ๆ แต่อย่างน้อย การวิ่งสุดใจขาดดิ้นก็ทำให้เขาเหนื่อยและง่วงขึ้นมาได้ทันตาเห็น ชายหนุ่มดึงพีซีดีออกมาดูเวลา ก็พบว่าเกือบจะตีสองเป็นที่เรียบร้อย เลเดนกลับถึงหอนอนและหลับก่อนหัวถึงหมอนเสียอีก

            โดยหาได้รู้ไม่ว่าการพบกันระหว่างเขาและผู้บุกรุกคนนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆเมื่อเทียบกับสิ่งที่กำลังจะตามมาในอีกไม่ช้า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา