Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]
8.8
เขียนโดย Spy442299
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.
25 chapter
4 วิจารณ์
23.73K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) แกนกลางคริสตัล 1 - [กินซ่า] – ครึ่งหลัง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความCrystalfall: Fake/Brave
คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ
แกนกลางคริสตัล 1 - [กินซ่า] – ครึ่งหลัง
◊◊◊
คนทั้งร้านมองมาทางเดียวกันหมดเลยแฮะ
ฉันรู้สึกหนักใจขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่โดนลากมาหาอะไรกินที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองนี้เพราะท้องฉันมันร้องดังมากหลังโดนผู้หญิงตรงหน้านี้ขโมยจูบ เธอไม่หวั่นไหวต่อสายตารอบข้างแต่อย่างว่าเธอถึงขนาดไม่ใส่เสื้อแล้วเอาผมปิดจุกหน้าอกนี้เรื่องอื่นคงไม่แคร์แล้ว พอพนักงานมาเสิร์ฟเนื้อย่างตรงหน้าและฉันก็ไม่สนสิ่งรอบข้างอีกแล้ว…ทานไปสักพักเจ้าของมื้อเลี้ยงที่เอามือเกยคางจ้องมองฉันมาตลอดเอ่ย
“เจ้าเป็นโจรอยู่แถวไหนหรือ”
งานเข้าล่ะ ไม่ได้เตรียมเรื่องโกหกไว้ด้วยดิ แต่สภาพฉันดูเหมือนโจรสินะ
ฉันก้มลงมองผ้าคลุมตัวเองที่เก็บจากพื้นแถวๆ กำแพงอีกครั้ง มันค่อนข้างเก่าและมีกลิ่นอยู่นิดๆ
อือ...สภาพตัวเองให้อยู่
ฉันดื่มน้ำแล้วเริ่มไหลไปทั่ว
“เปล่าๆ เป็นคนไร้ที่อยู่น่ะ ไม่ได้เป็นขโมยหรอก”
“แล้วทหารที่ไล่ตามเจ้านี่...เพื่อนหรือ”
อุ้ย...หล่อนประชดใช่ไหมนั่น
“อ๋อ! คือ...ในรอบหลายวันฉันเพิ่งจะขโมยแอปเปิ้ลเพราะหิวมากแต่โดนจับได้ฮ่าๆ เนื้อนี่อร่อยจริงๆ”
หาทางลงเสร็จฉันก็ก้มหน้าก้มตากินทันที
เนื้อมันก็อร่อยจริงๆ อยู่นั่นแหละ
แต่ที่ทำเป็นไม่ว่างกินอยู่นี่เพื่อซื้อเวลาคิดหาทางสลัดหลุดแวมไพร์เลสเบี้ยนนี้ให้ได้อยู่
แลดูนางไม่ปล่อยฉันไปง่ายๆ แน่และต้องเป็นการสลัดหลุดที่ฉลาดด้วย
เพราะเห็นนางใช้เวทมนต์บางอย่างที่ไม่ได้ยินคำร่าย นางต้องเก่งมากแน่ๆ แถมเราก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์การสู้กับคนใช้เวทมนต์...
ถ้าเป็นชาติที่แล้วมีโอกาสปะมือกับพวกมีพลังจิตเหมือนกันบ่อยจะตาย
“แล้วเจ้า...มีนามว่าอะไรเหรอ...ยังไม่เห็นแนะนำตัวให้ข้า...รู้จักเลย”
คำถามที่เน้นเสียงเย้ายียวนยั่วอารมณ์แบบถึงพริกถึงขิงจนคิดว่าถึงแม้เราเป็นผู้หญิงแต่ถ้าได้ฟังบ่อยๆ เข้าต้องหลงเสน่ห์นางแน่ๆ
คุณมาเรียมาช่วยฉันที!
“บอกมาสักทีสิเจ้า อย่ามัวแต่กินอยู่อย่างเดียว”
กินซ่าถามย้ำอีกครั้งจนฉันร้อนรนตอบไป
“อ่า...เอ่อ...คิล! ฉันชื่อคิล!”
ฉันมั่วชื่อขึ้นมาแทนเพราะเพิ่งนึกว่าได้ในรูปประกาศจับที่ต้นแขนซ้ายฉันยังอุตสาห์เห็นชื่อชัดแจ๋วอีกด้วย
“คิล...นี่เจ้าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่”
“ผู้หญิงสิ!”
ฉันตอบอย่างหนักแน่นและเพิ่งนึกอะไรได้
อ้าว เวรกรรม...ไม่น่าพูดเรื่องจริงเลยเรา ตะกี้นางยังไม่แน่ใจเรื่องเพศของฉัน
แต่เดี๋ยวก่อน งั้นแสดงว่าก่อนหน้านี้นางเห็นฉันเป็นผู้ชายอ่ะดิ เลย...เอาจูบแรกโลกนี้ไป
ฮ่าๆ ถ้ารู้แล้วคงจะเลิกยุ่งกับฉันเลยสินะ นึกว่าเป็นพวกชอบผู้หญิงด้วยกัน
ฉันคิดแบบนั้นเลยเงยหน้าไปสบหน้ากลับพบสายตาสีม่วงดวงคู่ที่พึ่งพอใจยิ่งกว่าเดิมซะอีก
เลสเบี้ยนชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์!
“ที่รัก...โจรที่ไหนมีออร่ามานาที่แข็งแกร่งเหมือนเจ้าผู้คุมพวกนั้น”
กินซ่าพูดให้ฉันงงไปข้างหนึ่งเพราะไม่เข้าใจเรื่องที่บอก
ออร่ามานา? ตัวฉันเนี่ยนะ...ไม่ยักจะเห็น
กินซ่าที่สังเกตท่าทางฉันเลิกคิ้ว
“อย่าบอกว่าเจ้าไม่รู้จัก”
ฉันส่ายหัวตอบ อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ
“หึหึ ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าเป็นแค่โจรจริงๆ”
“มันคืออะไรหรอ? ออร่ามานาที่ว่านั่น”
ฉันถามไปไม่ใช่ว่าไม่รู้แม้แต่อย่างเดียว แต่ว่าไม่แน่ใจความหมายที่คิดไว้จะใช่หรือเปล่า กินซ่าดื่มไวน์แดงก่อนจะตอบ
“นอนกับข้าที่โรงแรมใกล้ๆ นี้สิ จะเล่าทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้”
เนื้อย่างที่ฉันกินเข้าไปแทบขย้อนออกมา
มุกจีบเห่ยมาก...
แต่เจ้าบ้านั่นที่เป็นแฟนฉันชาติที่แล้วก็เล่นอะไรแบบนี้เหมือนกัน...เออ แล้วฉันก็บ้าหลงคารมมันด้วย
ด้วยความที่หลงนึกความทรงจำเก่าๆ ทำให้เผลอยิ้มออกมา อีกฝ่ายเกือบจะเข้าใจผิดว่าเห็นชอบด้วยแต่สังเกตเห็นสายตาของฉันที่ล่องลอยคิดเรื่องอื่นอยู่
“นี่เจ้า...กล้าเมินต่อหน้าข้าเลยหรือ”
“หา!? ปะปะเปล่า!”
“แล้วเมื่อกี้เจ้ามัวคิดอะไรอยู่”
“คุณพูดแบบนั้นแล้วทำให้นึกถึงแฟนขึ้นมา—”
“หะ!? นี่เจ้า...นี่เจ้า...”
เหงื่อฉันแตกซีดเย็นเฉียบเพราะกินซ่ากำลังโกรธตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด
งานเข้า! แต่ขืนลุกวิ่งหนีตอนนี้คงโดนเวทมนต์สักคาถาใส่แน่ๆ
ฉันคิดแบบนั้นเลยเลือกนั่งดูสถานการณ์ต่อไป มือคู่ของกินซ่าที่กำขอบโต๊ะอยู่แรงขึ้นเรื่อยๆ จนโต๊ะไม้เริ่มร้าวแตกขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายกลับหยุดลงพร้อมกับหน้าตาแจ่มใสที่ฉันดูแล้วก็รู้ว่าเธอฝืนเต็มที่เลยทีเดียว
“เจ้ามีแฟนแล้วก็ไม่บอกข้านะ ปล่อยให้ข้าหลงคิดไปข้างเดียวตั้งนาน แย่ๆ แบบนี้ ครั้งต่อไปต้องตั้งกฎเกณฑ์ตอนพบเจอแรกพบซะแล้ว...”
อ่าฮ่ะ...หล่อนเริ่มบ่นยาวแล้ว แต่ก็ดีล่ะฟังคำบ่นดีกว่าโดนเวทย์ร่ายใส่
“ว่าตามตรงใครๆ ก็ต่างหลงในรูปลักษณ์ข้าทั้งนั้น คิล...เจ้าก็รู้สึกเช่นนั้นใช่ไหม ผู้หญิงอย่างเจ้าหลายคนตกอยู่ในเสน่ห์ของข้าแล้ว...”
งืม...ยอมรับว่าอิจฉาอยู่นะแต่ไม่แน่ใจว่าหลงเสน่ห์หรือเปล่า
“หากเจ้าพูดว่าหลงรักข้าสักหน่อย ข้าคงดีใจใช่น้อย...ถ้าเป็นคนอื่นข้ามักโทษตัวเองว่าไร้เสน่ห์ แต่เจ้ากลับจงใจปฏิเสธข้าแบบนี้ ชาตินี้ข้าคงทำให้ใครหลงรักข้าอีกต่อไปไม่ได้แล้ว กินซ่าแวมไพร์ผู้นี้คงถึงคราวจบสิ้น”
ในที่สุดกินซ่าก็พูดจบลงแล้วเริ่มสะอึน สายตาไม่พอใจทั้งหลายในร้านแห่กันรุมล้อมจนฉันต้องรีบเข้าปลอบกินซ่าเลยทีเดียว ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ ที่เธอเน้นเสียงบางคำ
“เอ่อ...คือ...ยังไงดีล่ะ...อย่าโทษตัวเองเลยนะ เรื่องแบบนั้นมันขึ้นอยู่กับ—”
ฉันหยุดพูดไปเพราะรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมากับท่าทางที่เปลี่ยนไปของกินซ่าที่เงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้างใส่อย่างกับนางร้าย ตัวฉันเริ่มสับสน
อะไรของนางนะ...
ไปๆ มาๆ มือขวาของกินซ่ายื่นเข้ามาลูบที่คางฉันอย่างชอบใจและเธอก็เอ่ย
“เจ้าเป็นของข้าแล้ว! หึหึ”
“ฮะฮ่ะ มันจั๊กจี้นะ”
ฉันไม่พูดเปล่าเอามือขวาดันมือกินซ่ากลับไปด้วย...และเธอก็ทำหน้าตกตะลึงเอามากๆ แล้วเอ่ยเสียงหลง
“เจ้าต่อต้านข้า!?”
“หือ? เปล่าๆ แค่ไม่ค่อยชอบน่ะ เอ่อ...และก็ขอบคุณสำหรับอาหารนะ”
ฉันว่าตามตรงไป เธอยิ่งทำหน้าบิดเบี้ยวยิ่งขึ้นไปอีก
“เวทย์วจีไม่ได้ผล?”
“หา? เวทย์วจีอะไรนะ?” ฉันทวนถามไป...แต่รู้สึกเหมือนเคยได้ยินมาก่อน
“เจ้าลองพูดคำนั้นกับข้าใหม่สิ...ที่ปลอบใจข้า!”
ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของกินซ่าเอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก ฉันที่กลัวๆ โดนเวทมนต์ทำร้ายอยู่ยอมทำตามโดยดี
“เอ่อ...อะไรนะ ใช่ที่ว่า...อย่าโทษตัวเอง หรือเปล่า?”
“นั่นแหละ! พูดซ้ำหลายๆ รอบ!”
“อย่าโทษตัวเองอย่าโทษตัวเองอย่าโทษตัวเองอย่าโทษตัวเอง...มีอะไรสำคัญหรอ?”
เพียงเท่านั้นกินซ่าเอามือกุมหัวตัวเองและจมปลักกับความคิดไปครู่หนึ่งเหมือนฉันได้ยินเสียงพึมพำแว่วๆ ว่า ‘มีบางอย่างผิดพลาด’, ‘เงื่อนไขก็ครบแล้ว’ และอะไรอีกหลายๆ อย่างฟังไม่ทัน ในที่สุดเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ถึงทำตาโตพูดจับผิดฉัน
“เจ้า! หลอกข้าเรื่องชื่อเจ้า!”
เวรล่ะโดนจับได้แล้ว...แต่เฮ! มันไม่เห็นอะไรเลยทำเรื่องที่ให้พูดซ้ำๆ กันนี่หว่า
หรือมันเกี่ยว...
เดี๋ยวๆ ชาติที่แล้วที่ฉันเคยอ่านนิยายพวกแฟนตาซีเวทมนต์นิ รู้สึกสถานการณ์แบบนี้เหมือนเคยอ่านเจอนะ...แล้วมันคืออะไรละ? เลสเบี้ยน, ชื่อจริงชื่อปลอม, เนื้อย่าง, เล่นมุกจีบส่งกัน, เวทย์วจี, เหตุการณ์โดนรุมเร้าด้วยสายตา, โดนขู่ด้วยเวท---
เวทย์วจี...
ในที่สุดฉันก็นึกออก เวทย์วจีหรือชื่ออื่นๆ แต่การทำงานคล้ายๆ กัน มันเป็นการร่ายคาถาที่ปะปนลงไปในประโยคสนทนาทั่วไปเพื่อสร้างสถานการณ์บางอย่างตามที่กำหนดไว้และเมื่อครู่กินซ่าเธอก็ใช้มัน...
รู้สึกจะเป็นคำที่พูดเน้นๆ เท่านั้นสินะถึงจะใช้ได้...ตั้งกฎเกณฑ์-ถ้า-คิล-พูดว่า-โทษตัวเอง จง-หลงรัก-กินซ่า
พอฉันปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเสร็จ...ฉันเผลอผงะเอาหลังติดม้านั่งและทำท่าตื่นกลัวแถมเผลอพูดหลุดให้อีกฝ่ายรู้ตัวด้วย
“เวทย์วจี!”
“เจ้าต้องชดใช้ที่บังอาจมาหลอกข้า!!”
ต้องหนีแล้ว!!
ฉันไม่รอช้าหยิบจานสะบัดซอสเนื้อที่ยังเหลืออยู่ใส่ตาเธอและรีบเผ่นออกจากร้านทันที ที่ทำไปเพราะคิดว่าขืนอยู่ต่อคงโดนเวทมนต์สารพัดชนิดใส่แน่ๆ เสียงร้องกรี๊ดลั่นไล่จากในร้านดังตามหลังมา
ทำไมฉันต้องมาซวยอะไรแบบนี้ด้วย!
◊◊◊
“เป็นหวัดเหรอคะ”
“ข้าเป็นแวมไพร์...ไม่ป่วยด้วยโรคมนุษย์ที่เป็นง่ายๆ หรอก”
สัสดีตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชาใส่คนที่ถามเมื่อครู่หลังจากที่เขาจาม แต่คนที่ชินกับสายตาเย็นชาแบบนั้นอย่างอาเซียทำให้ไม่รู้สึกอะไรแถมดูเหมือนอัศวินสาวจะหลงใหลสายตาแบบนั้นด้วย
ตอนนี้ทั้งสองคนมาอยู่หน้าบ้านอาคารไม้สองชั้นแห่งหนึ่งติดกำแพงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากประตูเมืองทิศตะวันตกมากนักและยามหัวโล้นที่นำทางมาเข้าไปในที่พักนี้สักพักแล้วเพื่อไปตามนักเวทย์ประจำเมืองที่อยู่ที่นี้ ที่สัสดีมาพบเขานั้นเพื่อที่ต้องการใช้ศูนย์กลางวงเวทย์สลักประจำเมืองเพื่อใช้ค้นหาที่อยู่ของเฟลิกซ์ที่จนป่านนี้ยังไม่โผล่มาหาพวกเขา เรื่องนี้สัสดีได้อธิบายให้อาเซียระหว่างทางที่มาแล้ว
“นายแน่ใจได้หรือว่าเป็นเรื่องจริง”
“ผมค่อนข้างมั่นใจครับว่าปีศาจตนนั้นเป็นฆาตกรต่อเนื่องแน่ๆ”
เสียงคุยกันสองคนที่ดังจากในบ้านก่อนที่จะเปิดประตูมาดูคนที่ต้องการพบ สัสดีและอาเซียได้เห็นชายแก่หนังเหี่ยวผู้หนึ่งที่ไว้เคราขาวถือไม้เท้าไม้ผุๆ ไว้ยันพื้นเพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลงแม้มียามหัวโล้นคอยพยุงไว้ก็ตาม เขาคนนั้นอยู่ในชุดนักเวทย์คลุมตัวไหล่ยาวสีเทาซึ่งมันถูกเวทมนต์เสริมลงไปในเนื้อผ้าเพื่อเพิ่มพลังมานาและป้องกันการบาดเจ็บบางอย่างได้ ดวงตาสีฟ้าที่ไร้เรี่ยวแรงมองมายังสัสดี
“นายหรือที่อยากใช้วงเวทย์เมืองบาลาสแห่งนี้”
“ครับท่านนักเวทย์ประจำเมือง”
“งืม ชุดนั้นเรารู้จัก...เป็นคนของนิวส์ไลฟ์หรือ ไม่ได้ไปที่นั้นนานแล้ว”
นักเวทย์ประจำเมืองหมายถึงเครื่องแบบทหารสีส้มสลับขาวของสัสดีซึ่งเขาพยักหน้าตอบ แต่อีกคนกลับ...
“เออ ท่านเป็นนักเวทย์ประจำเมืองแน่หรอคะ?”
จู่ๆ อาเซียถามเสียมารยาทออกไป สัสดีส่งสายตาดุใส่แทบไม่ทันแต่คนถูกถามกลับหัวเราะ
“โฮะๆๆๆ ใครๆ ก็ถามเมื่อเห็นเรา เพิ่งทดลองศึกษามานาในตัวมนุษย์อยู่เลยเผลอใช้มานาเกินขีดจำกัดไปหน่อยเลยไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงหนังเหี่ยวย่นอย่างที่เห็น เข้ามาในบ้านก่อนสิ”
พอทั้งสองเดินเข้าภายในบ้านได้เห็นกระดาษหลายชนิดที่ถูกเขียนด้วยวงเวทย์หลากหลายแบบติดตามผนัง สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่อาเซียที่ไม่ค่อยได้เห็นจำนวนวงเวทย์เยอะเป็นครั้งแรก พอเดินตามเจ้าบ้านไปเรื่อยๆ พบว่าเดินมาถึงห้องที่มีบันไดลงไปชั้นใต้ดินที่มีคบเพลิงจุดไว้อยู่เผยให้เห็นห้องใต้ดินกว้างว่าหกสิบตารางเมตรและมีวงเวทย์หกเหลี่ยมขนาดกว้างกว่าสิบเมตรอยู่ข้างหน้าและแต่ละมุมฉากของวงเวทย์ถูกลากเส้นต่อออกไปติดกับกำแพงเหมือนทะลุออกไป สัสดีรู้ทันทีเลยว่านั่นคือวงเวทย์ประจำเมือง
“นั่นแหละวงเวทย์ที่เจ้าถามหา...แต่เจ้าช่วยมานั่งบอกเหตุผลจะใช้มันก่อนหน่อยสิ”
นักเวทย์ประจำเมืองชวนให้นั่งลงตรงโต๊ะยาวทางขวามือโดยที่ทั้งสองฝ่ายนั่งคนละฝั่งกันและคนที่เริ่มหัวข้อสนทนาก่อนก็คือเจ้าของบ้าน
“ก่อนอื่นมันคงไม่เสียมารยาทมากนักถ้าเพิ่งจะแนะนำตัว เราคือนักเวทย์ประจำเมืองนามว่าโอบี สไตรเกอร์”
แววตาของสัสดีเปลี่ยนได้ทันทีที่ได้ยินเพราะเขารู้จักเป็นอย่างดี
“ท่านคือหนึ่งในทีมผู้กล้าสงครามครั้งก่อน!?”
“ผู้กล้า?” อาเซียเอียงคอ
“ฮ่าๆ มันก็นานนมมาแล้วตั้งแต่สงครามรบกับเผ่าปีศาจ อย่าไปสนใจเลย...หรืออยากจะแก้แค้นให้เผ่าของตัวเอง”
โอบีเริ่มต้นด้วยเรื่องที่สร้างความตึงเครียดแต่ดูเหมือนจะไม่ส่งผลกับสัสดีมากนัก
“เดิมทีเผ่าปีศาจนั้นมันก็แค่นามเรียกโดยรวมเท่านั้น มิใช่ว่าทุกเผ่าย่อยจะเห็นดีงามด้วยกับสงครามครั้งนั้น”
“ฮ่าๆๆๆ คงเป็นแบบนั้น เผ่าปีศาจถึงได้กระจายอยู่ไปทั่วดินแดนคริสตัลฟอร์ ไม่กระจุกรวมตัวเหมือนหลายร้อยปีที่แล้วและเพราะแบบนั้นแหละเผ่าปีศาจถึงได้อ่อนแอจนถึงทุกวันนี้”
“ท่านก็อายุยืนนะขอรับ ส่วนใหญ่มนุษย์มักจะถูกฆ่าตายช่วงร้อยปีแรก”
“เพราะอย่างงั้นเราถึงได้ขอทำงานแถวนี้ไง อยู่แถวเมืองหลวงอันตรายกว่าอยู่ประชิดชายแดนเอลฟ์ซะอีก”
“อ๋อ มิน่าถึงไม่ได้ข่าวคราวท่าน ใครต่อใครก็นึกว่าท่านตายเสียแล้ว”
“พอดีว่าอยู่ที่นี้ใช้ชื่อปลอม ไม่อยากให้มันวุ่นวาย”
อัศวินสาวกับยามหัวโล้นรู้สึกหนักใจที่ได้นั่งฟังการจิกกัดอ้อมๆ ของทั้งคู่ไปมาไม่เข้าเรื่องสักที อาเซียสะกิดชายเสื้อสัสดีเตือนให้เข้าเรื่อง เขาก้มหัวเล็กน้อย
“อือ...ข้ายังไม่ได้แนะนำตัว สัสดีแห่งสถาบันนิวส์ไลฟ์...คราวน์ โคลเช”
“โอ้ว ท่านสัสดีผู้โด่งดังเวลานี้นั่นเอง ผลงานท่านทำให้หลายแคว้นหลายเมืองจดจำท่านไม่ใช่น้อย”
“ไม่เทียบเท่าท่านที่เป็นผู้ช่วยผู้กล้าที่ฆ่าเผ่าปีศาจจำนวนมากหรอกครับ”
ตุ๊บ!!
อัศวินสาวที่สุดที่จะทนเอากำปั้นทุบโต๊ะ
“เข้าเรื่องสักทีเถอะคะ! เวลายิ่งผ่านไป เฟ...เพื่อนพวกเราที่หายไปยิ่งแย่นะคะ!”
อาเซียเกือบหลุดชื่อเฟลิกซ์ออกมา โอบีเริ่มเข้าใจเหตุผลที่ทั้งสองมายังที่นี้
“จะใช้วงเวทย์ประจำเมืองหาคนของพวกคุณ?”
“ขอรับ พวกเรามาที่นี้เพื่อการนั้น...”
“น่าจะรู้ใช้ไหมว่าการจะใช้วงเวทย์ประจำนี้ไม่ใช่ใครๆ จะใช้ได้ตามใจชอบ...มันต้องแลกด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเมือง อย่างเช่นสิ่งที่นายรู้เกี่ยวกับแวมไพร์เพศหญิงคนนั้นที่ต้องสงสัยเป็นฆาตกรต่อเนื่องช่วงนี้”
“ฆาตกรต่อเนื่อง...แบบที่ทำให้ยามคนนั้นเกือบตายหรือเปล่าคะ” อาเซียถาม
“ใช่!” ยามหัวโล้นตอบแทน “หลายเดือนนี้มีคนตายเพราะมานาหมดตัวเกือบร้อยคน! รีบๆ บอกมาให้หมดเถอะ ตอนนี้ข้าอยากจะแก้แค้นแทนพี่น้องสาบานแล้ว!”
“เอทิน…เจ้ายังทำแบบนั้นไม่ได้ คนต้องสงสัยต้องถูกจับมาสอบสวนก่อน”
นักเวทย์ประจำเมืองเตือนสติของยามหัวโล้นที่ชื่อว่าเอทินให้สงบลง โอบีเริ่มกล่าวให้เข้าเรื่อง
“ไหนว่ามา...ทำไมถึงรู้จักแวมไพร์ตนนั้นตามที่ยามเอทินบอก”
“แวมไพร์สาวตนนั้นมีนามว่าฟาราเมียร์ กินซ่า นางค่อนข้างมีชื่อเสียงเกือบหนึ่งร้อยปีก่อนเรื่องการเก็บเกี่ยวสะสมมานาจากรูปแบบต่างๆ ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้นางเริ่มดูดมานาจากตัวปีศาจกันเองจนมีการประกาศไล่ล่าและข้าก็มั่นใจว่าเห็นนางโดนสังหารต่อหน้าต่อตาไปแล้ว แต่หลังพิจารณาร่องรอยเวทย์พิษที่ยามคนนั้นโดนแล้วยังถูกถ่ายโอนมานาไปยังที่ๆ ต้องการอีกด้วย ลักษณะแบบนั้นมีเฉพาะนางเท่านั้นที่ทำได้”
“ทำไมถึงมั่นใจว่าต้องเป็นแวมไพร์เพศหญิงว่านั้นด้วยละ? เราในฐานะผู้ใช้เวทย์ถ้าหมั่นฝึกฝนก็น่าจะใช้เวทย์แบบเดียวกันได้”
“มันยังมีอีกอย่างหนึ่ง ร่องรอยเวทย์ช่วงท้ายนางจะชอบใช้ลักษณะการลอยตัวของไอเวทย์ในแบบที่ไม่เหมือนใครเพื่อแสดงให้คนอื่นรู้ว่าเป็นฝีมือของใครโดยเฉพาะด้วย ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นและเปลื้องพลังมานาเอาเรื่อง”
“โอ้ว...สร้างสัญลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นมา เราก็เคยเจอคนแบบนั้นอยู่เหมือนกันเป็นพวกนักเวทย์จอมหยิ่งที่เรียกร้องความสนใจคนอื่นไปทั่ว...แล้วที่นี่ท่านสัสดีก็เลยคิดว่าต้องเป็นนางคนนั้นทั้งๆ ที่น่าจะตายไปนานแล้วใช่ไหม”
“ขอรับ...ท่านเวทย์ประจำเมือง”
สัสดีกล่าวจบ โอบี สไตเกอร์หลับตาพยักหน้าช่างใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูด
“เป็นอันว่าเรายอมให้ใช้วงเวทย์ประจำเมืองได้ แต่ท่านสัสดีช่วยตอบมาก่อนว่าทำไมท่านถึงใช้เวทย์โทรจิตติดต่อกับคนนอกอยู่ตลอดเวลาในที่แบบนี้”
◊◊◊
ช่วงคุยกับไรท์เตอร์
จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.10 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ
ฮ่าๆ แปบๆ เฟลิกซ์ทำให้กินซ่าโกรธซะแล้ว
อีกฝั่งหนึ่งก็พูดถึงกินซ่าว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่สูบมานาไปทั่ว
อ้าว!? แล้วอย่างงี้เฟลิกซ์จะรอดหรือไม่?
พวกสัสดีจะใช้วงเวทย์ตามหาตัวเธอได้ทันเวลาหรือเปล่า
โปรดติดตามตอนต่อไปที่มีชื่อว่า
แกนกลางคริสตัล 2 - [Have a good day] – ครึ่งแรก
ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ
คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ
แกนกลางคริสตัล 1 - [กินซ่า] – ครึ่งหลัง
◊◊◊
คนทั้งร้านมองมาทางเดียวกันหมดเลยแฮะ
ฉันรู้สึกหนักใจขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่โดนลากมาหาอะไรกินที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองนี้เพราะท้องฉันมันร้องดังมากหลังโดนผู้หญิงตรงหน้านี้ขโมยจูบ เธอไม่หวั่นไหวต่อสายตารอบข้างแต่อย่างว่าเธอถึงขนาดไม่ใส่เสื้อแล้วเอาผมปิดจุกหน้าอกนี้เรื่องอื่นคงไม่แคร์แล้ว พอพนักงานมาเสิร์ฟเนื้อย่างตรงหน้าและฉันก็ไม่สนสิ่งรอบข้างอีกแล้ว…ทานไปสักพักเจ้าของมื้อเลี้ยงที่เอามือเกยคางจ้องมองฉันมาตลอดเอ่ย
“เจ้าเป็นโจรอยู่แถวไหนหรือ”
งานเข้าล่ะ ไม่ได้เตรียมเรื่องโกหกไว้ด้วยดิ แต่สภาพฉันดูเหมือนโจรสินะ
ฉันก้มลงมองผ้าคลุมตัวเองที่เก็บจากพื้นแถวๆ กำแพงอีกครั้ง มันค่อนข้างเก่าและมีกลิ่นอยู่นิดๆ
อือ...สภาพตัวเองให้อยู่
ฉันดื่มน้ำแล้วเริ่มไหลไปทั่ว
“เปล่าๆ เป็นคนไร้ที่อยู่น่ะ ไม่ได้เป็นขโมยหรอก”
“แล้วทหารที่ไล่ตามเจ้านี่...เพื่อนหรือ”
อุ้ย...หล่อนประชดใช่ไหมนั่น
“อ๋อ! คือ...ในรอบหลายวันฉันเพิ่งจะขโมยแอปเปิ้ลเพราะหิวมากแต่โดนจับได้ฮ่าๆ เนื้อนี่อร่อยจริงๆ”
หาทางลงเสร็จฉันก็ก้มหน้าก้มตากินทันที
เนื้อมันก็อร่อยจริงๆ อยู่นั่นแหละ
แต่ที่ทำเป็นไม่ว่างกินอยู่นี่เพื่อซื้อเวลาคิดหาทางสลัดหลุดแวมไพร์เลสเบี้ยนนี้ให้ได้อยู่
แลดูนางไม่ปล่อยฉันไปง่ายๆ แน่และต้องเป็นการสลัดหลุดที่ฉลาดด้วย
เพราะเห็นนางใช้เวทมนต์บางอย่างที่ไม่ได้ยินคำร่าย นางต้องเก่งมากแน่ๆ แถมเราก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์การสู้กับคนใช้เวทมนต์...
ถ้าเป็นชาติที่แล้วมีโอกาสปะมือกับพวกมีพลังจิตเหมือนกันบ่อยจะตาย
“แล้วเจ้า...มีนามว่าอะไรเหรอ...ยังไม่เห็นแนะนำตัวให้ข้า...รู้จักเลย”
คำถามที่เน้นเสียงเย้ายียวนยั่วอารมณ์แบบถึงพริกถึงขิงจนคิดว่าถึงแม้เราเป็นผู้หญิงแต่ถ้าได้ฟังบ่อยๆ เข้าต้องหลงเสน่ห์นางแน่ๆ
คุณมาเรียมาช่วยฉันที!
“บอกมาสักทีสิเจ้า อย่ามัวแต่กินอยู่อย่างเดียว”
กินซ่าถามย้ำอีกครั้งจนฉันร้อนรนตอบไป
“อ่า...เอ่อ...คิล! ฉันชื่อคิล!”
ฉันมั่วชื่อขึ้นมาแทนเพราะเพิ่งนึกว่าได้ในรูปประกาศจับที่ต้นแขนซ้ายฉันยังอุตสาห์เห็นชื่อชัดแจ๋วอีกด้วย
“คิล...นี่เจ้าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่”
“ผู้หญิงสิ!”
ฉันตอบอย่างหนักแน่นและเพิ่งนึกอะไรได้
อ้าว เวรกรรม...ไม่น่าพูดเรื่องจริงเลยเรา ตะกี้นางยังไม่แน่ใจเรื่องเพศของฉัน
แต่เดี๋ยวก่อน งั้นแสดงว่าก่อนหน้านี้นางเห็นฉันเป็นผู้ชายอ่ะดิ เลย...เอาจูบแรกโลกนี้ไป
ฮ่าๆ ถ้ารู้แล้วคงจะเลิกยุ่งกับฉันเลยสินะ นึกว่าเป็นพวกชอบผู้หญิงด้วยกัน
ฉันคิดแบบนั้นเลยเงยหน้าไปสบหน้ากลับพบสายตาสีม่วงดวงคู่ที่พึ่งพอใจยิ่งกว่าเดิมซะอีก
เลสเบี้ยนชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์!
“ที่รัก...โจรที่ไหนมีออร่ามานาที่แข็งแกร่งเหมือนเจ้าผู้คุมพวกนั้น”
กินซ่าพูดให้ฉันงงไปข้างหนึ่งเพราะไม่เข้าใจเรื่องที่บอก
ออร่ามานา? ตัวฉันเนี่ยนะ...ไม่ยักจะเห็น
กินซ่าที่สังเกตท่าทางฉันเลิกคิ้ว
“อย่าบอกว่าเจ้าไม่รู้จัก”
ฉันส่ายหัวตอบ อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ
“หึหึ ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าเป็นแค่โจรจริงๆ”
“มันคืออะไรหรอ? ออร่ามานาที่ว่านั่น”
ฉันถามไปไม่ใช่ว่าไม่รู้แม้แต่อย่างเดียว แต่ว่าไม่แน่ใจความหมายที่คิดไว้จะใช่หรือเปล่า กินซ่าดื่มไวน์แดงก่อนจะตอบ
“นอนกับข้าที่โรงแรมใกล้ๆ นี้สิ จะเล่าทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้”
เนื้อย่างที่ฉันกินเข้าไปแทบขย้อนออกมา
มุกจีบเห่ยมาก...
แต่เจ้าบ้านั่นที่เป็นแฟนฉันชาติที่แล้วก็เล่นอะไรแบบนี้เหมือนกัน...เออ แล้วฉันก็บ้าหลงคารมมันด้วย
ด้วยความที่หลงนึกความทรงจำเก่าๆ ทำให้เผลอยิ้มออกมา อีกฝ่ายเกือบจะเข้าใจผิดว่าเห็นชอบด้วยแต่สังเกตเห็นสายตาของฉันที่ล่องลอยคิดเรื่องอื่นอยู่
“นี่เจ้า...กล้าเมินต่อหน้าข้าเลยหรือ”
“หา!? ปะปะเปล่า!”
“แล้วเมื่อกี้เจ้ามัวคิดอะไรอยู่”
“คุณพูดแบบนั้นแล้วทำให้นึกถึงแฟนขึ้นมา—”
“หะ!? นี่เจ้า...นี่เจ้า...”
เหงื่อฉันแตกซีดเย็นเฉียบเพราะกินซ่ากำลังโกรธตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด
งานเข้า! แต่ขืนลุกวิ่งหนีตอนนี้คงโดนเวทมนต์สักคาถาใส่แน่ๆ
ฉันคิดแบบนั้นเลยเลือกนั่งดูสถานการณ์ต่อไป มือคู่ของกินซ่าที่กำขอบโต๊ะอยู่แรงขึ้นเรื่อยๆ จนโต๊ะไม้เริ่มร้าวแตกขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายกลับหยุดลงพร้อมกับหน้าตาแจ่มใสที่ฉันดูแล้วก็รู้ว่าเธอฝืนเต็มที่เลยทีเดียว
“เจ้ามีแฟนแล้วก็ไม่บอกข้านะ ปล่อยให้ข้าหลงคิดไปข้างเดียวตั้งนาน แย่ๆ แบบนี้ ครั้งต่อไปต้องตั้งกฎเกณฑ์ตอนพบเจอแรกพบซะแล้ว...”
อ่าฮ่ะ...หล่อนเริ่มบ่นยาวแล้ว แต่ก็ดีล่ะฟังคำบ่นดีกว่าโดนเวทย์ร่ายใส่
“ว่าตามตรงใครๆ ก็ต่างหลงในรูปลักษณ์ข้าทั้งนั้น คิล...เจ้าก็รู้สึกเช่นนั้นใช่ไหม ผู้หญิงอย่างเจ้าหลายคนตกอยู่ในเสน่ห์ของข้าแล้ว...”
งืม...ยอมรับว่าอิจฉาอยู่นะแต่ไม่แน่ใจว่าหลงเสน่ห์หรือเปล่า
“หากเจ้าพูดว่าหลงรักข้าสักหน่อย ข้าคงดีใจใช่น้อย...ถ้าเป็นคนอื่นข้ามักโทษตัวเองว่าไร้เสน่ห์ แต่เจ้ากลับจงใจปฏิเสธข้าแบบนี้ ชาตินี้ข้าคงทำให้ใครหลงรักข้าอีกต่อไปไม่ได้แล้ว กินซ่าแวมไพร์ผู้นี้คงถึงคราวจบสิ้น”
ในที่สุดกินซ่าก็พูดจบลงแล้วเริ่มสะอึน สายตาไม่พอใจทั้งหลายในร้านแห่กันรุมล้อมจนฉันต้องรีบเข้าปลอบกินซ่าเลยทีเดียว ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ ที่เธอเน้นเสียงบางคำ
“เอ่อ...คือ...ยังไงดีล่ะ...อย่าโทษตัวเองเลยนะ เรื่องแบบนั้นมันขึ้นอยู่กับ—”
ฉันหยุดพูดไปเพราะรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมากับท่าทางที่เปลี่ยนไปของกินซ่าที่เงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้างใส่อย่างกับนางร้าย ตัวฉันเริ่มสับสน
อะไรของนางนะ...
ไปๆ มาๆ มือขวาของกินซ่ายื่นเข้ามาลูบที่คางฉันอย่างชอบใจและเธอก็เอ่ย
“เจ้าเป็นของข้าแล้ว! หึหึ”
“ฮะฮ่ะ มันจั๊กจี้นะ”
ฉันไม่พูดเปล่าเอามือขวาดันมือกินซ่ากลับไปด้วย...และเธอก็ทำหน้าตกตะลึงเอามากๆ แล้วเอ่ยเสียงหลง
“เจ้าต่อต้านข้า!?”
“หือ? เปล่าๆ แค่ไม่ค่อยชอบน่ะ เอ่อ...และก็ขอบคุณสำหรับอาหารนะ”
ฉันว่าตามตรงไป เธอยิ่งทำหน้าบิดเบี้ยวยิ่งขึ้นไปอีก
“เวทย์วจีไม่ได้ผล?”
“หา? เวทย์วจีอะไรนะ?” ฉันทวนถามไป...แต่รู้สึกเหมือนเคยได้ยินมาก่อน
“เจ้าลองพูดคำนั้นกับข้าใหม่สิ...ที่ปลอบใจข้า!”
ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของกินซ่าเอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก ฉันที่กลัวๆ โดนเวทมนต์ทำร้ายอยู่ยอมทำตามโดยดี
“เอ่อ...อะไรนะ ใช่ที่ว่า...อย่าโทษตัวเอง หรือเปล่า?”
“นั่นแหละ! พูดซ้ำหลายๆ รอบ!”
“อย่าโทษตัวเองอย่าโทษตัวเองอย่าโทษตัวเองอย่าโทษตัวเอง...มีอะไรสำคัญหรอ?”
เพียงเท่านั้นกินซ่าเอามือกุมหัวตัวเองและจมปลักกับความคิดไปครู่หนึ่งเหมือนฉันได้ยินเสียงพึมพำแว่วๆ ว่า ‘มีบางอย่างผิดพลาด’, ‘เงื่อนไขก็ครบแล้ว’ และอะไรอีกหลายๆ อย่างฟังไม่ทัน ในที่สุดเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ถึงทำตาโตพูดจับผิดฉัน
“เจ้า! หลอกข้าเรื่องชื่อเจ้า!”
เวรล่ะโดนจับได้แล้ว...แต่เฮ! มันไม่เห็นอะไรเลยทำเรื่องที่ให้พูดซ้ำๆ กันนี่หว่า
หรือมันเกี่ยว...
เดี๋ยวๆ ชาติที่แล้วที่ฉันเคยอ่านนิยายพวกแฟนตาซีเวทมนต์นิ รู้สึกสถานการณ์แบบนี้เหมือนเคยอ่านเจอนะ...แล้วมันคืออะไรละ? เลสเบี้ยน, ชื่อจริงชื่อปลอม, เนื้อย่าง, เล่นมุกจีบส่งกัน, เวทย์วจี, เหตุการณ์โดนรุมเร้าด้วยสายตา, โดนขู่ด้วยเวท---
เวทย์วจี...
ในที่สุดฉันก็นึกออก เวทย์วจีหรือชื่ออื่นๆ แต่การทำงานคล้ายๆ กัน มันเป็นการร่ายคาถาที่ปะปนลงไปในประโยคสนทนาทั่วไปเพื่อสร้างสถานการณ์บางอย่างตามที่กำหนดไว้และเมื่อครู่กินซ่าเธอก็ใช้มัน...
รู้สึกจะเป็นคำที่พูดเน้นๆ เท่านั้นสินะถึงจะใช้ได้...ตั้งกฎเกณฑ์-ถ้า-คิล-พูดว่า-โทษตัวเอง จง-หลงรัก-กินซ่า
พอฉันปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเสร็จ...ฉันเผลอผงะเอาหลังติดม้านั่งและทำท่าตื่นกลัวแถมเผลอพูดหลุดให้อีกฝ่ายรู้ตัวด้วย
“เวทย์วจี!”
“เจ้าต้องชดใช้ที่บังอาจมาหลอกข้า!!”
ต้องหนีแล้ว!!
ฉันไม่รอช้าหยิบจานสะบัดซอสเนื้อที่ยังเหลืออยู่ใส่ตาเธอและรีบเผ่นออกจากร้านทันที ที่ทำไปเพราะคิดว่าขืนอยู่ต่อคงโดนเวทมนต์สารพัดชนิดใส่แน่ๆ เสียงร้องกรี๊ดลั่นไล่จากในร้านดังตามหลังมา
ทำไมฉันต้องมาซวยอะไรแบบนี้ด้วย!
◊◊◊
“เป็นหวัดเหรอคะ”
“ข้าเป็นแวมไพร์...ไม่ป่วยด้วยโรคมนุษย์ที่เป็นง่ายๆ หรอก”
สัสดีตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชาใส่คนที่ถามเมื่อครู่หลังจากที่เขาจาม แต่คนที่ชินกับสายตาเย็นชาแบบนั้นอย่างอาเซียทำให้ไม่รู้สึกอะไรแถมดูเหมือนอัศวินสาวจะหลงใหลสายตาแบบนั้นด้วย
ตอนนี้ทั้งสองคนมาอยู่หน้าบ้านอาคารไม้สองชั้นแห่งหนึ่งติดกำแพงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากประตูเมืองทิศตะวันตกมากนักและยามหัวโล้นที่นำทางมาเข้าไปในที่พักนี้สักพักแล้วเพื่อไปตามนักเวทย์ประจำเมืองที่อยู่ที่นี้ ที่สัสดีมาพบเขานั้นเพื่อที่ต้องการใช้ศูนย์กลางวงเวทย์สลักประจำเมืองเพื่อใช้ค้นหาที่อยู่ของเฟลิกซ์ที่จนป่านนี้ยังไม่โผล่มาหาพวกเขา เรื่องนี้สัสดีได้อธิบายให้อาเซียระหว่างทางที่มาแล้ว
“นายแน่ใจได้หรือว่าเป็นเรื่องจริง”
“ผมค่อนข้างมั่นใจครับว่าปีศาจตนนั้นเป็นฆาตกรต่อเนื่องแน่ๆ”
เสียงคุยกันสองคนที่ดังจากในบ้านก่อนที่จะเปิดประตูมาดูคนที่ต้องการพบ สัสดีและอาเซียได้เห็นชายแก่หนังเหี่ยวผู้หนึ่งที่ไว้เคราขาวถือไม้เท้าไม้ผุๆ ไว้ยันพื้นเพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลงแม้มียามหัวโล้นคอยพยุงไว้ก็ตาม เขาคนนั้นอยู่ในชุดนักเวทย์คลุมตัวไหล่ยาวสีเทาซึ่งมันถูกเวทมนต์เสริมลงไปในเนื้อผ้าเพื่อเพิ่มพลังมานาและป้องกันการบาดเจ็บบางอย่างได้ ดวงตาสีฟ้าที่ไร้เรี่ยวแรงมองมายังสัสดี
“นายหรือที่อยากใช้วงเวทย์เมืองบาลาสแห่งนี้”
“ครับท่านนักเวทย์ประจำเมือง”
“งืม ชุดนั้นเรารู้จัก...เป็นคนของนิวส์ไลฟ์หรือ ไม่ได้ไปที่นั้นนานแล้ว”
นักเวทย์ประจำเมืองหมายถึงเครื่องแบบทหารสีส้มสลับขาวของสัสดีซึ่งเขาพยักหน้าตอบ แต่อีกคนกลับ...
“เออ ท่านเป็นนักเวทย์ประจำเมืองแน่หรอคะ?”
จู่ๆ อาเซียถามเสียมารยาทออกไป สัสดีส่งสายตาดุใส่แทบไม่ทันแต่คนถูกถามกลับหัวเราะ
“โฮะๆๆๆ ใครๆ ก็ถามเมื่อเห็นเรา เพิ่งทดลองศึกษามานาในตัวมนุษย์อยู่เลยเผลอใช้มานาเกินขีดจำกัดไปหน่อยเลยไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงหนังเหี่ยวย่นอย่างที่เห็น เข้ามาในบ้านก่อนสิ”
พอทั้งสองเดินเข้าภายในบ้านได้เห็นกระดาษหลายชนิดที่ถูกเขียนด้วยวงเวทย์หลากหลายแบบติดตามผนัง สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่อาเซียที่ไม่ค่อยได้เห็นจำนวนวงเวทย์เยอะเป็นครั้งแรก พอเดินตามเจ้าบ้านไปเรื่อยๆ พบว่าเดินมาถึงห้องที่มีบันไดลงไปชั้นใต้ดินที่มีคบเพลิงจุดไว้อยู่เผยให้เห็นห้องใต้ดินกว้างว่าหกสิบตารางเมตรและมีวงเวทย์หกเหลี่ยมขนาดกว้างกว่าสิบเมตรอยู่ข้างหน้าและแต่ละมุมฉากของวงเวทย์ถูกลากเส้นต่อออกไปติดกับกำแพงเหมือนทะลุออกไป สัสดีรู้ทันทีเลยว่านั่นคือวงเวทย์ประจำเมือง
“นั่นแหละวงเวทย์ที่เจ้าถามหา...แต่เจ้าช่วยมานั่งบอกเหตุผลจะใช้มันก่อนหน่อยสิ”
นักเวทย์ประจำเมืองชวนให้นั่งลงตรงโต๊ะยาวทางขวามือโดยที่ทั้งสองฝ่ายนั่งคนละฝั่งกันและคนที่เริ่มหัวข้อสนทนาก่อนก็คือเจ้าของบ้าน
“ก่อนอื่นมันคงไม่เสียมารยาทมากนักถ้าเพิ่งจะแนะนำตัว เราคือนักเวทย์ประจำเมืองนามว่าโอบี สไตรเกอร์”
แววตาของสัสดีเปลี่ยนได้ทันทีที่ได้ยินเพราะเขารู้จักเป็นอย่างดี
“ท่านคือหนึ่งในทีมผู้กล้าสงครามครั้งก่อน!?”
“ผู้กล้า?” อาเซียเอียงคอ
“ฮ่าๆ มันก็นานนมมาแล้วตั้งแต่สงครามรบกับเผ่าปีศาจ อย่าไปสนใจเลย...หรืออยากจะแก้แค้นให้เผ่าของตัวเอง”
โอบีเริ่มต้นด้วยเรื่องที่สร้างความตึงเครียดแต่ดูเหมือนจะไม่ส่งผลกับสัสดีมากนัก
“เดิมทีเผ่าปีศาจนั้นมันก็แค่นามเรียกโดยรวมเท่านั้น มิใช่ว่าทุกเผ่าย่อยจะเห็นดีงามด้วยกับสงครามครั้งนั้น”
“ฮ่าๆๆๆ คงเป็นแบบนั้น เผ่าปีศาจถึงได้กระจายอยู่ไปทั่วดินแดนคริสตัลฟอร์ ไม่กระจุกรวมตัวเหมือนหลายร้อยปีที่แล้วและเพราะแบบนั้นแหละเผ่าปีศาจถึงได้อ่อนแอจนถึงทุกวันนี้”
“ท่านก็อายุยืนนะขอรับ ส่วนใหญ่มนุษย์มักจะถูกฆ่าตายช่วงร้อยปีแรก”
“เพราะอย่างงั้นเราถึงได้ขอทำงานแถวนี้ไง อยู่แถวเมืองหลวงอันตรายกว่าอยู่ประชิดชายแดนเอลฟ์ซะอีก”
“อ๋อ มิน่าถึงไม่ได้ข่าวคราวท่าน ใครต่อใครก็นึกว่าท่านตายเสียแล้ว”
“พอดีว่าอยู่ที่นี้ใช้ชื่อปลอม ไม่อยากให้มันวุ่นวาย”
อัศวินสาวกับยามหัวโล้นรู้สึกหนักใจที่ได้นั่งฟังการจิกกัดอ้อมๆ ของทั้งคู่ไปมาไม่เข้าเรื่องสักที อาเซียสะกิดชายเสื้อสัสดีเตือนให้เข้าเรื่อง เขาก้มหัวเล็กน้อย
“อือ...ข้ายังไม่ได้แนะนำตัว สัสดีแห่งสถาบันนิวส์ไลฟ์...คราวน์ โคลเช”
“โอ้ว ท่านสัสดีผู้โด่งดังเวลานี้นั่นเอง ผลงานท่านทำให้หลายแคว้นหลายเมืองจดจำท่านไม่ใช่น้อย”
“ไม่เทียบเท่าท่านที่เป็นผู้ช่วยผู้กล้าที่ฆ่าเผ่าปีศาจจำนวนมากหรอกครับ”
ตุ๊บ!!
อัศวินสาวที่สุดที่จะทนเอากำปั้นทุบโต๊ะ
“เข้าเรื่องสักทีเถอะคะ! เวลายิ่งผ่านไป เฟ...เพื่อนพวกเราที่หายไปยิ่งแย่นะคะ!”
อาเซียเกือบหลุดชื่อเฟลิกซ์ออกมา โอบีเริ่มเข้าใจเหตุผลที่ทั้งสองมายังที่นี้
“จะใช้วงเวทย์ประจำเมืองหาคนของพวกคุณ?”
“ขอรับ พวกเรามาที่นี้เพื่อการนั้น...”
“น่าจะรู้ใช้ไหมว่าการจะใช้วงเวทย์ประจำนี้ไม่ใช่ใครๆ จะใช้ได้ตามใจชอบ...มันต้องแลกด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเมือง อย่างเช่นสิ่งที่นายรู้เกี่ยวกับแวมไพร์เพศหญิงคนนั้นที่ต้องสงสัยเป็นฆาตกรต่อเนื่องช่วงนี้”
“ฆาตกรต่อเนื่อง...แบบที่ทำให้ยามคนนั้นเกือบตายหรือเปล่าคะ” อาเซียถาม
“ใช่!” ยามหัวโล้นตอบแทน “หลายเดือนนี้มีคนตายเพราะมานาหมดตัวเกือบร้อยคน! รีบๆ บอกมาให้หมดเถอะ ตอนนี้ข้าอยากจะแก้แค้นแทนพี่น้องสาบานแล้ว!”
“เอทิน…เจ้ายังทำแบบนั้นไม่ได้ คนต้องสงสัยต้องถูกจับมาสอบสวนก่อน”
นักเวทย์ประจำเมืองเตือนสติของยามหัวโล้นที่ชื่อว่าเอทินให้สงบลง โอบีเริ่มกล่าวให้เข้าเรื่อง
“ไหนว่ามา...ทำไมถึงรู้จักแวมไพร์ตนนั้นตามที่ยามเอทินบอก”
“แวมไพร์สาวตนนั้นมีนามว่าฟาราเมียร์ กินซ่า นางค่อนข้างมีชื่อเสียงเกือบหนึ่งร้อยปีก่อนเรื่องการเก็บเกี่ยวสะสมมานาจากรูปแบบต่างๆ ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้นางเริ่มดูดมานาจากตัวปีศาจกันเองจนมีการประกาศไล่ล่าและข้าก็มั่นใจว่าเห็นนางโดนสังหารต่อหน้าต่อตาไปแล้ว แต่หลังพิจารณาร่องรอยเวทย์พิษที่ยามคนนั้นโดนแล้วยังถูกถ่ายโอนมานาไปยังที่ๆ ต้องการอีกด้วย ลักษณะแบบนั้นมีเฉพาะนางเท่านั้นที่ทำได้”
“ทำไมถึงมั่นใจว่าต้องเป็นแวมไพร์เพศหญิงว่านั้นด้วยละ? เราในฐานะผู้ใช้เวทย์ถ้าหมั่นฝึกฝนก็น่าจะใช้เวทย์แบบเดียวกันได้”
“มันยังมีอีกอย่างหนึ่ง ร่องรอยเวทย์ช่วงท้ายนางจะชอบใช้ลักษณะการลอยตัวของไอเวทย์ในแบบที่ไม่เหมือนใครเพื่อแสดงให้คนอื่นรู้ว่าเป็นฝีมือของใครโดยเฉพาะด้วย ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นและเปลื้องพลังมานาเอาเรื่อง”
“โอ้ว...สร้างสัญลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นมา เราก็เคยเจอคนแบบนั้นอยู่เหมือนกันเป็นพวกนักเวทย์จอมหยิ่งที่เรียกร้องความสนใจคนอื่นไปทั่ว...แล้วที่นี่ท่านสัสดีก็เลยคิดว่าต้องเป็นนางคนนั้นทั้งๆ ที่น่าจะตายไปนานแล้วใช่ไหม”
“ขอรับ...ท่านเวทย์ประจำเมือง”
สัสดีกล่าวจบ โอบี สไตเกอร์หลับตาพยักหน้าช่างใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูด
“เป็นอันว่าเรายอมให้ใช้วงเวทย์ประจำเมืองได้ แต่ท่านสัสดีช่วยตอบมาก่อนว่าทำไมท่านถึงใช้เวทย์โทรจิตติดต่อกับคนนอกอยู่ตลอดเวลาในที่แบบนี้”
◊◊◊
ช่วงคุยกับไรท์เตอร์
จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.10 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ
ฮ่าๆ แปบๆ เฟลิกซ์ทำให้กินซ่าโกรธซะแล้ว
อีกฝั่งหนึ่งก็พูดถึงกินซ่าว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่สูบมานาไปทั่ว
อ้าว!? แล้วอย่างงี้เฟลิกซ์จะรอดหรือไม่?
พวกสัสดีจะใช้วงเวทย์ตามหาตัวเธอได้ทันเวลาหรือเปล่า
โปรดติดตามตอนต่อไปที่มีชื่อว่า
แกนกลางคริสตัล 2 - [Have a good day] – ครึ่งแรก
ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ