Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]

8.8

เขียนโดย Spy442299

วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.

  25 chapter
  4 วิจารณ์
  23.64K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) แกนกลางคริสตัล 1 - [กินซ่า] – ครึ่งแรก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Crystalfall: Fake/Brave

คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ

  1. แกนกลางคริสตัล 1 - [กินซ่า] – ครึ่งแรก

◊◊◊

“ท่านแม่ทัพครับ! เจอทางลับที่สร้างด้วยเวทมนต์ที่ใต้ดินของตัวบ้านครับ! เบื้องต้นมีคนของเราบาดเจ็บอยู่ข้างในนั้นด้วยครับ!”

เอลฟ์ชายจนหนึ่งวิ่งมารายงานแก่แม่ทัพริส

“แล้วเจ้านั่นทำไมไม่มารายงานเอง?”

“เนื่องจากหมอนั่นวิ่งฝ่าเข้ากองเพลิงไปและตัวบ้านถล่มปิดทางเข้าออก กว่าจะช่วยได้กินเวลาอยู่ครับ...และรู้ว่าเขาโดนทำร้ายจนสลบเพิ่งจะฟื้นเมื่อครู่นี้ก่อนที่จะสลบไปอีกรอบครับ!”

“ลูกน้องฉันให้มันได้แบบนี้สิ!”

เธอเกาหัวก่อนที่จะไล่ลูกน้องที่มารายงานไปให้พ้นหน้าก่อนที่ยืนดูซากบ้านสองชั้นที่ไฟมอดดับแล้ว

“ไม่สั่งให้ตามทางลับไปหรือคะ?”

ยูกะที่เพิ่งมาสบทบไม่นานนักออกความเห็น

“จนป่านนี้ล่ะ พวกนั้นคงไปถึงเมืองพวกมนุษย์แล้ว...เพราะเจ้าแวมไพร์ตัวนั้นแท้ๆ! ใช้เวทย์มายาหลอกหลายตลบอยู่นั่นแหละ! เป็นวิธีที่ขี้ขลาดซะจริง!”

ริสอารมณ์เหวี่ยงเตะหญ้าแถวๆ นั้น ยูกะแอบบ่นอยู่ในใจ

เพิ่งจะบอกว่าดาร์คเอลฟ์จะใช้ทุกวิธีทางเพื่อชัยชนะไม่ใช่หรอคะ

ใบหน้าของยูกะกับความคิดเธอขัดแย้งโดยสิ้นเชิง แล้วเธอหันไปมองทางไปเมืองบาลาสและเอ่ยถาม

“แล้ว...จะทำยังไงต่อไปคะ?”

“กลับไปรายงานให้โดนด่าสักชั่วโมงแล้วเบื้องบนคงจะส่งนักลอบสังหารไปเมืองมนุษย์นั่น”

เมื่อได้ยินริสบ่นเช่นนั้น เธอเริ่มเห็นโอกาส

“ท่านริสค่ะ ขอให้ฉันได้แก้ตัวเถอะค่ะ!”

ริสแปลกใจที่ได้ยิน

“ยูกะ...เจ้าแน่ใจหรือ”

“แน่ใจอย่างยิ่งค่ะ อีกทั้งฉันเคยเห็นหน้าผู้กล้าจอมปลอมนั่นตัวเป็นๆ แล้วด้วย จะจับมาให้ท่านได้รางวัลอย่างแน่นอนคะ!”

เมื่อริสได้ยินแบบนั้นแล้วยิ้มน้อย

“ตามใจเจ้าเถอะ ถ้าทำได้ถือว่าความผิดที่ค่ายไม่เอาเรื่องล่ะกัน...จริงสิ ข้ามีเรื่องต้องไปเค้นปากเจ้าอัศวินอวดดีนั่นด้วย”

ยูกะรู้ดีว่าริสหมายถึงคนที่อยู่กับเฟลิกซ์ก่อนหน้านี้

น่าเสียดายที่ฉันเข้าไปช่วยเธอคนนั้นไม่ได้จริงๆ

“ยูกะ...เธอไปคนเดียวไปใช่ไหม” ริสเท้าเอวถาม

“ค่ะท่าน สบายมาก...ตอนนี้มานากับพลังกายฟื้นขึ้นมากแล้วค่ะ”

“จงดูแลตัวเองให้ดีด้วย อย่าให้โดนเจ้าพวกมนุษย์จับได้...และถ้าโดนล่ะก็...”

“รู้อยู่แล้วค่ะ”

ยูกะรู้ดีว่าหมายถึงอะไร ริสเดินไปตรงไปหาพรรคพวก

“เฮ้ย! พวกแกเผาแถวนี้ให้หมด! อย่าให้เหลือหลักฐานแล้วค่อยกลับค่ายได้!”

“ครับ/ค่ะท่านแม่ทัพ!”

แม่ทัพสั่งการเสร็จเรียกสัตว์เลี้ยงคู่ใจของเธอที่เป็นเสือตัวโตเข้ามาแล้วขี่จากไป ยูกะถอนหายใจยกใหญ่ราวกับยกภูเขาออกจากอกก่อนที่จะพนมมือทำท่าขอโทษไปทางเมืองบาลาส

เรื่องที่เกิดขึ้นต้องขอโทษจริงๆ นะคะท่านคราวน์!

◊◊◊

เมืองบาลาสเป็นหนึ่งเมืองเล็กที่อยู่ภายใต้อาณาจักรเฟธ ตัวเมืองนั้นอยู่ทางตอนใต้ทวีปและเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีท่าเรือติดกับแม่น้ำคริสตัล

แต่ด้วยระยะห่างจากตัวเมืองหลวงกว่า 2,400 กิโลเมตรหากเดินทางผ่านดินแดนเอลฟ์ แต่เพราะผลของสงครามระหว่างอาณาจักร ณ ปัจจุบันทำให้ต้องเดินทางอ้อมไกลกว่า 3,600 กิโลเมตรเลยทีเดียวโดยที่ผ่านอาณานิวส์ไลพ์ที่ทำข้อตกลงในการอนุญาตเดินทางผ่านได้ อีกทั้งเป็นเมืองหน้าด่านติดชายแดนเอลฟ์ทำให้เมืองแห่งนี้มีกองกำลังทหารจำนวนมากรองลงมาจากเมืองหลวงและเมืองเชิงอุตสาหกรรมทางตะวันตกเฉียงเหนือ

เหตุผลนั้นทำให้เมืองแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นและตึกราบ้านช่องกินพื้นที่เกือบทั้ง [อาณาเขตเมือง] เลยทีเดียว โดยปกติแล้วอาณาเขตเมืองนั้นจะมีการแบ่งสัดส่วนสำหรับที่อยู่อาศัยและอื่นๆ แต่เมืองบาลาสนั้นแค่ที่อยู่อาศัยก็ปาเข้าไปแล้วตั้ง 80% โดยไม่นับพื้นที่อีกฝั่งของแม่น้ำที่มีอยู่น้อยนิด...

งืม ไม่ใช่เรื่องที่อยากรู้เลย...แผนที่อยู่ไหน

อุ้ย...นั่นมันหมายจับฉัน

ตอนนี้ตัวฉันเองมาอยู่หน้าอาคารไม้แห่งหนึ่งที่มีป้ายเขียนว่า [กิลด์ผจญภัย] ตรงบอร์ดหน้าอาคารนั้นซึ่งตัวอาคารถูกพังเละเป็นซาก

เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่หว่า?

อย่างน้อยๆ ก็รู้ถึงองค์ประกอบของโลกนี้บางแล้ว มีกิลด์ผจญภัย มีการล่ามอนเตอร์และเควส

และหนึ่งในเควสนั้นก็คือตามจับตัวฉัน

ฉันพิจารณารูปหมายจับใหม่เอี่ยมที่วาดหน้าไม่ค่อยเหมือนแต่ยังคงเอกลักษณ์ไซบอร์กที่แขนซ้ายไว้อย่างดี มันติดให้เห็นตามทางเรื่อยๆ

เอาเถอะ เราแอบขโมยผ้าคลุมมาสวมไว้ก็ไม่มีใครสงสัยแล้วเหลือแต่อย่ายื่นแขนซ้ายออกไปเท่านั้นเอง

ฉันแอบชำเหลืองดูแขนซ้ายตัวเองในเสื้อคลุมแล้วนึกถึงเหตุการณ์ลอบเข้าเมืองหลายชั่วโมงก่อนตอนที่ตัดสินใจวางแผนให้คุณมาเรียล่อพวกยามไว้ให้แล้วเราก็จะแอบเข้าเมืองผ่านทางกำแพง

ส่วนไอ้เรื่องไม่คาดฝันของยามที่เป็นลมนั้น...ถือว่าเป็นโชคช่วยล่ะกันเพราะทำให้ยามที่เดินบนกำแพงแถวนั้นทุกรายแห่กันลงไปดูเพื่อนตัวเองเลยข้ามกำแพงเข้าเมืองได้สบายๆ

และหลังจากนั้นฉันว่าแอบไปสมทบกับมาเรียที่ถูกพวกยามพาตัวไปแต่กลับหลงซะได้...ไม่รู้ว่าเธออยู่ตรงไหน แต่น่าจะเป็นกองบัญชาการทหารไม่ก็โรงแรมเลยเดินหาแผนที่ที่น่าจะ—

แผนที่...เอ่อ...โลกนี้มันมีคนทำไว้ไหมเนี่ย เรานี่ทำอะไรไม่คิดก่อนอยู่เรื่อย!

ฉันเคาะหัวตัวเองสองทีแล้วหันไปมองตลาดที่มีผู้คนไม่เยอะนักเพราะยังคงเช้าตรู่อยู่แต่คนขายมาพร้อมกันหมดแล้ว

เอ้...ที่ตลาดโลกนี้เขาขายอะไรกันมั้งนะ

เฮ้ยเดี๋ยวสิ ตอนนี้ฉันต้องตามหาคุณมาเรียให้เจอก่อน..

ถึงฉันจะคิดแบบนั้น พอเดินผ่านแผงขายของใต้เต็นท์ต่างๆ แล้วมันอดใจที่จะเดินช้าๆ เพื่อดูไม่ไหว นับว่าเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำในชาตินี้ที่เธอได้มาเดินตลาดแต่ในใจลึกๆ แล้วหิวอยู่เพราะเช้านี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย

ถ้าเป็นชาติก่อน...เดินกับเจ้านานามิทีไรไม่ได้แวะแผนกที่ฉันชอบทุกที

และแล้วก็มีกลุ่มเด็กน้อยประมาณห้าคนดูจากความสูงแล้วน่าจะอายุสิบขวบถ้าอิงจากโลกเก่า ถ้าเป็นโลกนี้เห็นเด็กๆ แบบนั้นอาจจะอยู่มานานสามสิบปีก็ได้

คิดๆ ไปแล้วอายุขัยสูงสุดของโลกนี้มันกี่ปีหว่า?

ไม่สนใจล่ะ เด็กๆ พวกนี้น่ารักชะมัด นึกถึงลูกสาวฉันตอนเด็กเลย

ก่อนที่ฉันจะทำร้ายเธอแล้วแยกกันอยู่...

แต่ทำไมพวกเธอมาพันแข็งพันขารอบตัวฉันล่ะเนี่ย?

“พี่สาวมีตังค์ให้พวกหนูบ้างไหม”

เด็กผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มทำหน้าตาออดอ้อนยื่นมือมา พอมาดูดีๆ แล้วเสื้อผ้าและสภาพร่างกายแล้วเป็นเด็กยากจนทั้งหมด

มีแบบนี้...ทุกโลกสินะ

“พี่ขอโทษด้วยนะ พี่ก็เหมือนกับพวกหนูนั้นแหละ”

พอพูดไปแบบนั้นพวกเด็กๆ เปลี่ยนสีหน้านิ่งเฉยแป๊บหนึ่งก่อนที่จะส่งยิ้มให้แล้วจากไป

ดีนะที่เข้ามาขอตรงๆ ไม่ขโมย

“ผลไม้สดๆ ใหม่เอี่ยมส่งตรงจากป่าเอลฟ์จ้า”

ป้าที่วางแผงขายผลไม้อยู่ใกล้ๆ ร้องหาลูกค้า ซึ่งฉันสนใจตรงป่าเอลฟ์เนี่ยล่ะเลยดูเข้าไปดูพบกับผลไม้ที่คุ้นหน้าคุ้นตามากมาย ต่างตรงที่รูปร่างมันเป็นหกเหลี่ยมทั้งหมด

“ว่าไงแม่หนู...เอากี่โลจ๊ะ”

“เอ่อ...อันนี้ใช่แอปเปิ้ลหรือเปล่า”

“ใช่สิจ๊ะแม่หนู ชิมได้นะ”

ได้รับอนุมัติฉันก็เลยหยิบขึ้นแอปเปิ้ลผลหกเหลี่ยมขึ้นมากัดเลยหนึ่งคำ

อร่อยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!

“สี่สิบเหรียญจ๊ะแม่หนู”

แม่ค้าบอกราคาสัพเสร็จ แอปเปิ้ลในมือเกือบหล่นพื้น ฉันค่อยๆ เคี้ยวแอปเปิ้ลในปากให้หมดและส่งยิ้มใสซื่อตอบแทน

“สี่สิบเหรียญจ๊ะ จ่ายมา”

คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้วแน่ๆ!

แม่ค้ายังคงย้ำเหมือนเดิม ฉันหันไปทางซ้ายเพื่อหาตัวช่วยบางอย่างแต่เจอกับกลุ่มเด็กก่อนหน้านี้ที่เข้ามา พวกเขากำลังพันแข็งพันขาผู้ชายคนหนึ่งและกำลังแอบหยิบถุงเหรียญออกมาอย่างเนียนๆ ภาพที่ฉันเห็นนั้นทำให้รู้สึกประทับใจมาก(ประชด) แล้วหันไปทางขวาแทนเจอกับยามไม่ก็ทหารประจำเมืองอยู่ไม่ไกลนักกำลังขู่รีดค่าคุ้มครองจากคนขายของแถวนั้นอยู่

งานเข้าล่ะ

“แม่หนู...ไม่มีเงินใช่ไหม”

“...อ่า...ค่ะ พอดีว่า—”

“ทหาร!! มาจับขโมยที! มันขโมยของป้า!”

ในที่สุดป้าแกก็ใช้ท่าไม้ตายลุกขึ้นตะโกนเรียกทหาร ฉันตกใจวิ่งเผ่นออกตลาดไปโดยที่ปากเคี้ยวแอปเปิ้ลไปด้วย

◊◊◊

“พวกทหารรักษาการณ์แถวนี้ไม่รู้หัดเตรียมของไว้บ้างเลย”

อัศวินสาวอาเซียบ่นแล้วทิ้งตัวลงบนม้านั่งหน้าอาคารไม้ของทหารรักษาการณ์ที่อยู่ไม่ห่างจากกำแพงมากนักโดยมีสัสดีนั่งเครียดอยู่ข้างๆ พวกเขาเพิ่งเสร็จจากการช่วยชีวิตยามคนหนึ่งที่ติดพิษจากเวทมนต์บางอย่างรักษาด้วยสมุนไพรเฉพาะทางซึ่งปกติคลังทหารจะมีของพวกนี้สำรองไว้แต่เพราะคนที่ดูแลคลังที่นี้ดันขี้เกียจไม่หาของตามรายการเบื้องต้นใส่คลัง อาเซียเลยต้องวิ่งหาซื้อทั่วเมืองและโชคดีที่หาได้ครบตามที่ต้องการ ส่วนมาเรียที่ปฐมพยาบาลประคองชีวิตยามคนนั้นถูกสัสดีสั่งไปให้จองโรงแรมใกล้ๆ ไว้ให้พวกเขาแล้ว ส่วนสัสดีที่นั่งข้างๆ เหนื่อยกับการคอยพยุงชีวิตยามที่รับช่วงต่อจากมาเรียว้ตอนรอสมุนไพรเลยแสดงทางท่าที่คนข้างกายไม่เคยเห็นมาก่อน

“มานาท่านใกล้จะหมดเหรอคะ”

“ยังหรอก แต่ใช้จำนวนมากเกินครึ่ง”

เมื่อเห็นสัสดีเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ อาเซียก็เข้าใจดีว่าสาเหตุที่ต้องสูญเสียมากขนาดนี้เพราะก่อนหน้าที่จะหนีเข้าเมืองบาลาส เขาใช้มันกับเวทย์สร้างภาพลวงตาหรือมายาทำให้พวกเอลฟ์ที่แห่กันมาเกือบๆ ห้าสิบคนสับสนและทั้งคู่เข้าจู่โจมปีกขวาของพวกเขาเพื่อให้เชื่อว่าภาพลวงหน้านั้นทำอันตรายได้ก่อนที่จะเนียนหนีออกมา กว่าจะมาถึงเมืองบาลาสก็เกือบรุ่งสางแล้วมาเจอกับมาเรียเข้าโดยบังเอิญซึ่งหางานให้สัสดีต้องใช้มานาอีก

ตอนแรกสัสดีเหมือนจะปฏิเสธ แต่พอเห็นอาการของยามแล้วรีบเข้าช่วยเหลือจนอาเซียอดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรที่ทำให้สัสดีเปลี่ยนใจกันแน่เพราะเท่าที่เธอรู้จักกันมานานสักพัก สัสดีเป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่ไม่มีวันเปลี่ยนใจหลังจากได้ทำอะไรลงไปหรือได้คิดแล้ว

อะไรกันแน่นะ...อาการของยามคนนั้นเอาจริงๆ ก็เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน

แต่คิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

อาเซียเลิกคิดต่อแล้วหันชวนคุยแทน

“หึๆ ดีนะที่ปีศาจอย่างท่านมีมานาตัวมากมาย มนุษย์อย่างฉันที่มีน้อยมากจนต้องพึ่งหินคริสตัลอย่างเดียว”

อาเซียบ่นไปแบบนั้นหวังจะได้รับคำปลอบแต่กลับไม่มี เธอขมวดคิ้วก้มหน้ามองสัสดีที่เครียดจนขึ้นสีหน้าอย่างชัดเจน เธอเลยเริ่มรู้สึกตัว

“เวทย์พิษนั่นมันมีอะไรพิเศษเหรอ”

“ข้าคิดว่า...รู้จักกับคนที่ใช้มัน ถ้ามันเป็นจริง...นางยังไม่ตายเหรอนี่”

ประโยคที่แฝงไปด้วยความกังวลนั้นยิ่งทำให้อาเซียสนใจมากขึ้นและยิ่งเป็นเรื่องของผู้หญิงเกี่ยวกับนายของเธอแล้วไม่ยอมปล่อยมันไปง่ายๆ เด็ดขาด

“ใครเหรอคะ”

“แวมไพร์หญิงที่ก่อเรื่องไปทั่วดินแดนปีศาจ...ทุกคนต่างเรียกเธอว่ากินซ่า”

“กินซ่า!?”

จู่ๆ ยามที่เป็นเพื่อนของคนที่เพิ่งเฉียดตายเดินออกมาได้ยินสองคนคุยกันพอดีเลยร้องตกใจ สัสดีเงยหน้าขึ้นถาม

“เจ้ารู้จักนางด้วยหรือ”

“รู้ดีเลย...ผู้หญิงที่รังสีมานาน่ากลัวแบบนั้นไม่มีใครลืมลงหรอก มันเป็นกิ๊กกับเจ้ายามที่พวกเจ้าเพิ่งช่วยชีวิตไว้และเรื่องนั้นข้าเองต้องขอขอบคุณพวกท่านมากๆ ด้วย”

“เจ้าไปขอบคุณมาเรียเถอะ ถ้าไม่ได้เธอเพื่อนเจ้าตายไปนานแล้ว”

“คะครับ”

ยามชายหัวโล้นตาสีน้ำตาลที่มีกล้ามตามตัวนิดหน่อยก้มหัวขอบคุณ สัสดีกล่าวอย่างมั่นใจ

“ผู้หญิงคนนั้นแหละ ที่ทำให้เพื่อนเจ้าเป็นแบบนี้”

“หือ? พูดความจริงหรือ?”

“ข้ารู้สึกเวทย์ที่เพื่อนเจ้าโดนเล่นงานเข้าเป็นอย่างดี มันเป็นเวทย์พิษที่จะแผลงฤทธิ์ต่อเมื่อมานาในตัวหมด...เพราะฉะนั้นเพื่อนเจ้าไม่ได้โดนแค่เวทย์พิษเพียงอย่างเดียวแต่ยังโดนเวทย์ที่สามารถดูดมานาจากคนอื่นได้อีกด้วย”

“ดูดมานา!? เวทย์แบบนั้นมันอยู่ในสารบัญต้องห้ามนี้คะ? คนใช้มีสิทธิถึงตายได้ถ้าทำพลาดแม้แต่นิดเดียว”

อาเซียพูดไปหน้าเหวอไป ส่วนยามหัวโล้นบัดนี้เหงื่อตกไหลพรากแล้ว

“แต่ถ้าเป็นกินซ่า...ข้าว่านางเป็นข้อยกเว้น” สัสดีว่าต่อ

“อย่างงั้นคงต้องไปรีบแจ้งนักเวทย์ประจำเมืองก่อนแล้ว! นางผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นฆาตกรต่อเนื่องหลายศพช่วงนี้แน่ๆ!”

ยามหัวโล้นทำท่าจะออกตัววิ่งแต่ถูกสัสดีรั้งไว้เพราะนึกถึงคนที่หายไปในกลุ่ม

“เดี๋ยว! ช่วยพาข้าไปด้วย...ข้าต้องยืมวงเวทย์ประจำเมืองของเขาเพื่อหาคนของข้า!”

◊◊◊

“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก”

เหนื่อยมาก...ทหารพวกนั้นกินอะไรมาถึงคึกตามติดไม่ปล่อยละเนี่ย!

“มันอยู่นั่น!”

ยังจะเจออีก! หนีเข้าซอกวิ่งวนหลายซอยแล้วนะเนี่ย!

ฉันออกตัววิ่งหนีทหารสองคนต่อไปและพยายามไม่ให้ผ้าคลุมปลิวหลุดจากตัวด้วยไม่อย่างงั้นงานจะเข้ามากกว่าเดิม ส่วนแอปเปิ้ลที่เผลอหยิบติดมือนั้น...ระหว่างที่วิ่งยัดเข้าปากลงกระเพาะหมดแล้ว

เพราะยัยป้าเจ้าเล่ห์นั่นแท้ๆ!

“หยุดนะโว้ย!”

ของอะไรที่วางไว้อยู่ริมข้างทางนี้ฉันดึงมันลงให้ขวางทั้งหมด ถึงจะช่วยชะลอทหารที่ไล่ตามมาได้แต่ก็ยังไม่มากพออยู่ดี

หรือจะใช้แขนซ้ายนี่...ไว้จวนตัวถึงที่สุดค่อยใช้ล่ะกัน

“อุ๊ก!”

เพราะมัวแต่คิดมากไปเลยชนอะไรบางอย่างเข้าที่หัวมุมเลี้ยวในซอกซอยมืดๆ พอดี เหมือนมันนิ่มๆ แล้วเด้งสวนกลับจนร่วงไปนอนกับพื้น พอตั้งหลักได้ก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่น่าจะใช่มนุษย์ นัยน์ตาสีม่วงคมกริบกำลังมองฉันเหมือนเป็นตัวน่าสนใจ หน้าตาดูเย้ายวนสุดโต่ง ผมสลวยสีดำยาวลงมาปิดหน้าอกคัพ G มโหฬารที่ไม่ได้ใส่อะไรไว้เลยแต่ยังดีที่ส่วนล่างยังมีอะไรปกปิดไว้บ้างและตัวฉันน่าจะวิ่งไปเข้าชนตรงหน้าอกผู้หญิงคนนั้นพอดีด้วยเพราะความสูงฉันอยู่แต่ระดับหน้าอกของเธอเท่านั้นและเธอกำลังใช้ลิ้นเลียริมฝีปากเหมือนได้เจอของกินน่าอร่อย เขี้ยวฟันแหลมๆ ที่โผล่มานั่นทำให้ฉันรู้ทันทีว่าเธอเป็นแวมไพร์แน่ๆ

“ฮาฮ่า! แกหยุดได้สักที!”

ทหารสองคนตามมาถึงที่แต่ถึงกลับทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอสาวแวมไพร์เจ้าเสน่ห์ซึ่งเธอยื่นมือชี้ไปยังทั้งสองคน

“พวกเจ้า...ช่วยออกไปจากที่นี่แล้วลืมเรื่องที่เห็นซะ”

ดวงตาของทหารทั้งสองคนต่างนิ่งเฉยว่างเปล่าต่างจากก่อนหน้าก่อนที่จะเดินจากไปตามคำสั่งเหมือนสุนัข

เฮ้ยๆ ไหงปล่อยเราง่ายๆ แบบนี้ล่ะ

“ออร่าของเธอน่ะ น่าสนใจดีนะ”

สาวแวมไพร์พูดด้วยน้ำเสียงสุดเร้าอารมณ์ก้มตัวลงมาใกล้หน้าจนฉันเผลอเดินถอยหลัง ฉันรีบถามให้หายสงสัย

“เอ่อ...ขอบใจนะ แต่เมื่อกี้คุณทำอะไรกับทหาร?”

“อ๋อ...นั่นเหรอ ก็แค่เวทย์ไว้ไล่พวกน่ารำคาญนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง...เธอกำลังเดือดร้อนหรือ”

“อ่า ก็ใช่อยู่...เอ่อ...อ่า...ยังไงดีล่ะ เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อน”

“ซับซ้อน!? ซับซ้อนแค่ไหนกันเชียว”

สาวแวมไพร์ยื่นหน้าเข้ามาจนจมูกจะชนกันอยู่แล้ว ฉันจะถอยก็ติดกำแพงอีก

“ฮ่าๆ ก็แม่ค้าที่ตลาด—”

ยังไม่ทันที่จะเล่าฉันก็โดนดึงคางขโมยจูบแรกของโลกนี้ไปซะแล้ว มันเป็นจูบที่ชวนน่าหลงใหลเลยทีเดียว แต่ผิดที่ว่าคนแรกนั้นเป็นผู้หญิงด้วยกัน

ริมฝีปากแวมไพร์นุ่มมาก...

เฮ้ย!!!

พอได้สติฉันดันตัวสาวแวมไพร์ออกไป ซึ่งหล่อนหัวเราะคิกๆ ชอบใจ

“หึหึ ขอโทษด้วยนะ พอดีมันอดใจไว้ไม่อยู่น่ะ วันนี้ช่วยเป็นที่รักของข้าสักวันได้ไหม”

“หะ!?”

ทั้งเครื่องหมายตกใจและคำถามผุดขึ้นเต็มหัวตัวเองไปหมด อีกฝ่ายเห็นว่ายังเงียบเลยแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ

“ข้า...ฟาราเมียร์ กินซ่า...เรียกว่ากินซ่าเฉยๆ ก็พอนะ ที่รักของข้า หึๆ”

◊◊◊

ช่วงคุยกับไรท์เตอร์

จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.9 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ

เปิดประเดิมบทใหม่ด้วยเรื่องราววุ่นๆ ในเมืองบาลาส

สัสดีและอาเซียได้ช่วยชีวิตยามคนหนึ่งที่โยงเข้าหาคนอันตรายคนๆ หนึ่ง

คนๆ นั้นได้พบเจอกับเฟลิกซ์พอดี

แล้วเธอจะเป็นอะไรไหมเนี่ย? หา!? โดนหล่อนขโมยจูบไปงั้นหรอ!!

โปรดติดตามตอนต่อไปที่มีชื่อว่า

  1. แกนกลางคริสตัล 1 - [กินซ่า] – ครึ่งหลัง

ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ

By Spy442299

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา