Crystalfall: Fake/Brave [ชีวิตพังเพราะพระเจ้า]

8.8

เขียนโดย Spy442299

วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.23 น.

  25 chapter
  4 วิจารณ์
  24.32K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 17.57 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) แกนกลางคริสตัล 2 - [Have a good day] – ครึ่งแรก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Crystalfall: Fake/Brave

คริสตัลฟอร์: เฟค/เบรฟ

  1. แกนกลางคริสตัล 2 - [Have a good day] – ครึ่งแรก

◊◊◊

“ปิดบังท่านไม่ได้จริงๆ”

สัสดีหรืออีกหนึ่งในนามว่าคราวน์ก้มหัวลงเล็กน้อยให้กับความสามารถของนักเวทย์ตรงหน้า ในขณะที่อาเซียกำลังสับสนเพราะเธอคิดว่าเป็นคนเดียวที่สามารถจับกลิ่นเวทย์จากตัวเขาได้ทั้งหมดเพราะอยู่ใกล้ชิดมาเกือบปีจึงเริ่มแยกแยะได้ระหว่างกลิ่นตัวกับไอเวทย์แต่กลับยังมีซ่อนไว้อยู่อีก...ชื่อเวทมนต์นั้นก็คือกระแสจิตหรือโทรจิตที่ไว้พูดคุยส่งทางไกลกันและกัน แต่มันก็ไม่ได้ไกลถึงขนาดข้ามเมืองข้ามทวีปได้และเฉพาะผู้ที่ทำพันธะสัญญาระหว่างกันด้วย สัสดีว่าต่อ

“แต่คงจะบอกรายละเอียดเรื่องนั้นไม่ได้นะครับ ท่านโอบี สไตรเกอร์”

“ความลับทางราชการ โฮะๆ เราก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกเพราะห้ามท่านสัสดีไม่ได้อยู่แล้ว”

“มันเรื่องอะไรกันคะท่าน”

อาเซียที่เป็นอัศวินข้างกายกระซิบถาม คราวน์ตอบด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยคำว่า ‘อย่าเพิ่งยุ่ง’ เลยยอมเลิกราเรื่องนั้นไปโดยดีแต่เธอเก็บงำคำถามนั้นไว้ในใจว่า ‘ท่านติดต่อทางโทรจิตกับใครอยู่?’

“เอาละ พวกท่านสองคนตามเรามา ส่วนนาย...กลับไปดูแลเพื่อนตัวเองได้แล้ว”

“ครับ!”

ยามหัวโล้นเดินขึ้นบันไดออกจากห้องใต้ดิน คราวน์มองตามกลับจนหายลับตาแล้วหันมาถาม

“ยามคนนั้นรู้ตัวหรือไม่ว่าเขาเป็นสิ่งนั้น?”

“นายสัมผัสถึงกลิ่นอายแบบนั้นได้?”

“ก็หลายๆ อย่าง...ข้าว่ามันไม่ดีกับตัวเขาแน่ ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้—”

“นั่นมันก็แล้วแต่ทางเดินของเขาที่จะเลือก จนถึงตอนนี้เราเองไม่มั่นใจว่าเอทินจะรับมือเรื่องนั้นได้เลยไม่ได้บอกไป...ท่านสัสดีจะทำยังไงก็เรื่องของท่านเพราะอำนาจเรื่องนั้นอยู่ในมือท่านแล้ว”

“ขอบพระคุณที่กรุณามากครับที่ให้ความร่วมมือเรื่องสนธิสัญญาส่งมอบตัวง่ายๆ ท่านผู้ว่า”

“หือ? รู้เรื่องนั้นแล้วหรือ”

“คนที่พูดแบบนั้นได้ต้องผู้ว่าของเมืองเท่านั้นละครับ การเป็นทั้งนักเวทย์และผู้ว่าไปพร้อมๆ กันคงเหนื่อยแย่”

“ไม่เท่าไหร่หรอก”

ทั้งสองถามในเรื่องที่รู้ระหว่างกัน ส่วนคนนอกอย่างอาเซียไม่เข้าใจอยู่คนเดียวจนต้องเอามือกุมหัว

“อาเซีย...ถ้าเจ้าไม่ไหวออกไปรอข้างนอกได้”

“เปล่าคะ! ฉันจะอยู่ข้างท่านคอยเป็นดาบข้างกายท่านจนชั่วชีวิต!”

อาเซียตกใจที่จู่ๆ ถูกยิงคำถามมากเลยตอบโอเวอร์ไปหน่อยแต่มันก็ออกมาจากในใจเธอจริงๆ นักเวทย์ประจำเมืองที่เป็นทั้งผู้ว่าของเมืองนี้ด้วยเอ่ยชม

“ลูกน้องนายซื่อสัตย์ดี”

“ครับ...รีบไปที่วงเวทย์กันเถอะ”

คราวน์เร่งเร้าให้พาไปที่วงเวทย์ขนาดใหญ่ พวกเขาเดินมาจนอยู่ใกล้วงเวทย์นั้นแล้วเกิดมีคำถามขึ้นมาจากสัสดีที่มองวงเวทย์นั้นอย่างแปลกใจ

“วงเวทย์นี่มัน...มีการทำงานส่วนของเทเลพอร์ตและใช้งานอัตโนมัติด้วย?”

“ใช่ แปลกใจหรือ” โอบียักไหล่ “เมืองนี้อยู่ติดกับขอบโลกจำนวนต้องลงอาคมและวงเวทย์กันคนผลัดตกลงไปให้วาปมาที่นี้ ไม่เคยเห็นมาก่อนเหรอ”

“ไม่ครับ ข้าไม่ค่อยได้แวะดูวงเวทย์แถวๆ ขอบโลกเลย...แต่มันต้องใช้ปริมาณคริสตัลจำนวนมาก”

“มากเท่าไหร่ก็คุ้มที่จะช่วยคน ในทางกลับกันก็สามารถจะเทเลพอร์ตใครก็ได้ในเมืองมายังที่นี่ ดาบสองคมเอาเรื่องอยู่เลยไม่ค่อยมีคนรู้”

“งั้นข้าก็ใช้มันพาพรรคพวกที่หลงมายังที่นี่ได้”

“แน่นอนอยู่แล้ว จะวาป—”

โอบีชะงักคำอธิบายเพราะจู่ๆ วงเวทย์ประจำเมืองเกิดทำงานขึ้นมาเองส่องแสงประกายสีฟ้าตามเส้น ทั้งสองคนตื่นตาเล็กน้อยแต่สำหรับโอบีกลับถอนหายใจแทน

“มีคนตกลงไปอีกแล้ว...เดือนนี้เป็นรายที่สาม อีกเดี๋ยวคนที่ตกไปจะถูกส่งมาที่นี่”

ทั้งสามคนยืนรอสิบวินาทีมีประกายแสงสีฟ้าจ้าที่ไม่ค่อยแสบตานักรูปร่างคนปรากฏขึ้นก่อนที่แสงนั้นจะหายไปสร้างความตกตะลังแก่คราวน์กับอาเซียเป็นอย่างยิ่งเพราะคนที่ถูกส่งมาก็คือเฟลิกซ์ที่นอนไม่ได้สติ เสื้อคลุมที่เปิดชายตรงแขนซ้ายจักรกลเล็กน้อยทำให้อาเซียรีบวิ่งเข้าไปดึงชายผ้าปิดลงแล้วเขย่าตัวคนที่ไม่ได้สติ

“เธอ! เธอ! เป็นอะไรมากไหม? ตื่นสิ...”

คราวน์เดินตามเข้ามาช้อนตัวเฟลิกซ์อุ้มขึ้นจนอาเซียอดอิจฉาไม่ได้ เขากลับตัวแล้วตั้งมั่นว่าจะออกจากที่นี่ พอเดินผ่านนักเวทย์ประจำเมืองก็ถูกถาม

“คนๆ นั้นเป็นพรรคพวกที่ตามหาหรือ”

“ใช่...ขอบคุณมากที่ท่านลงวงเวทย์แบบนั้นไว้”

และแล้วพวกเขาก็รีบออกจากที่นี้ไป ปล่อยให้โอบี สไตรเกอร์เคลือบแคลงใจเรื่องหน้าตาของเฟลิกซ์ที่เหมือนเคยเห็นที่ไหนอยู่อย่างงั้น

◊◊◊

[หลายนาทีก่อน]

ทางตัน!?

ฉันอุทานในใจ อุตสาห์วิ่งซิกแซกมาตั้งไกลแต่กลับเจอกำแพงเมืองแบบนี้เนี่ยนะ!

จะย้อนกลับก็ไม่ได้แล้ว กินซ่าตามมายังไวมาก!

เอาไงดี...งั้นปีนกำแพงอีกรอบล่ะ! คราวนี้จะปีนออกเมืองละนะ!

ในที่สุดฉันตัดสินใจใช้แขนซ้ายเกาะกำแพงขึ้นไปเหมือนขาเข้าเมืองอีกครั้ง ปีนขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงครึ่งทางจู่ๆ ก็มีหอกที่ทำมาจากน้ำแข็งลอยมาปักทางซ้ายใกล้ๆ ทำให้หน้าฉันเหวอไม่รับประทานไปข้างหนึ่งเลยทีเดียวและได้ยินเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความแค้น

“กลับมาเดี๋ยวนี้!!”

กลับไปให้โง่ดิ!

ฉันเลือกจะไม่หันไปดูและรีบปีนต่อไป หอกน้ำแข็งแท่งที่สองลอยดักทางขึ้นฉันก็เขยิบตัวเปลี่ยนที่ปีน ยามที่เฝ้าอยู่บนกำแพงสองคนต่างทำอะไรไม่ถูก

อีกแค่เอื้อมมือด้วยก็จะถึงอยู่แล้ว

แต่ทว่าหอกน้ำแข็งที่สามถูกสร้างด้วยเวทมนต์พุ่งมาที่กลางตัวฉันเลยยกแขนซ้ายยกขึ้นมาบังตัวไว้ตามสัญชาตญาณ แท่งหินคริสตัลที่อยู่ในแขนซ้ายมีคลื่นพลังสีฟ้าออกมาก่อตัวเป็นโล่ป้องกันหอกน้ำแข็งนั้นไว้ อีกฝ่ายตาค้างกับสิ่งที่ได้เห็น

ทำไมมีของพรรณนั้นออกมาจากแขนเนี่ย!?

ตัวฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าอะไรขึ้นแต่ตอนนี้เลือกที่จะปีนขึ้นบนกำแพงก่อนจนสุดท้ายก็ยืนบนนั้นได้สำเร็จ หันมามองแวมไพร์สาวอกใหญ่ที่ทำหน้าตาหน้ากลัวกำลังดีใช้ได้เหมือนซี่รีย์ละครชาติก่อน ฉันเลยแลบลิ้นใส่

“แบร่!!”

ด้วยความสะใจและอยากให้ตัวเองดูเท่ห์ในสายตาคนอื่น ฉันเลยกระโดดถอยหลังลงจากกำแพงทันที มันเป็นภาพที่ฉันคิดว่าน่าจะเพอร์เฟคที่สุดและคงน่าจะพ้นอันตรายแล้วแต่กลับมีเรื่องเกินความคาดหมาย

เฮ้ย! นี่มันขอบโลก!

“ช่วยฉันด้วย!”

กึ่ก!!

จู่ๆ เหมือนถูกอะไรรั้งไว้ มือซ้ายเหมือนเกาะอะไรได้ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะมีที่ให้เกาะ พอเงยมองดูดีๆ แล้วค้นพบว่าส่วนที่เป็นมือซ้ายนั้นถูกยืดออกไปหลายเมตรคว้าแผ่นดินข้างบนไว้โดยมีเส้นสีฟ้าใสๆ เป็นตัวเชื่อมระหว่างกัน เท่ากับว่าตอนนี้ฉันห้อยอยู่กลางอากาศ

แขนซ้ายมันทำแบบนี้ได้ด้วยหรอเนี่ย!?

หือ? มีเศษดินร่วงลงมา...ร่วงลงมาเรื่อยๆ เลยแฮะ

เฮ้ยๆๆๆๆๆ!! มันจะเกาะไว้ไม่อยู่นี่หว่า!

และแล้วมันเป็นอย่างที่ฉันคิด แผ่นดินที่มือซ้ายเกาะไว้มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ตัวฉันกำลังร่วงโรยสู่เหวโลก ช่วงที่ยังมีสตินั้นฉันเกิดโทษใครบางคนที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้

ไอ้พระเจ้าบ้า! ทำไมทำกับฉันแบบนี้ด้วย!!

◊◊◊

“คุณเฟลิกซ์เป็นแบบนี้เพราะดิฉันค่ะ! ฉันไม่สมควรมานับหน้าที่ดูแลเด็กใหม่อีกเลย!”

เสียงเคร่งเครียดของผู้หญิงที่ฉันคุ้นๆ ว่าน่าจะเป็นของมาเรียดังขึ้น มันเรียกให้ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่บนเตียงที่ไม่ได้นุ่มอะไรมาก แสงไฟจากตะเกียงข้างหัวนอนที่ขัดกับบรรยากาศข้างนอกผ่านหน้าต่างโดยสิ้นเชิงทำให้รู้ว่าตอนนี้เวลากลางคืน บทสนทนาของสองสาวที่นั่งอยู่ปลายเตียงโดยที่ไม่รู้ตัวว่าฉันฟื้นแล้วยังคงดำเนินต่อไป

“มันผ่านไปแล้วอย่าคิดมากเลยค่ะ...เด็กใหม่คนนี้ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว”

“ดี!? ดีเหรอคะ แน่ใจแบบนั้นได้ยังไงคะ ตามเนื้อตัวพกช้ำไปหมด”

“มาเรีย เบาๆ หน่อย เกิดเธอตื่นขึ้นมา—”

อาเซียพูดไม่จบเพราะหันมาเห็นฉันที่งวงเงียเพิ่งตื่นพอดี มาเรียดีใจที่ฉันตื่นขึ้นมา

“คุณเฟลิกซ์ฟื้นแล้ว! ยังเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่าคะ”

“เจ็บหรอ? ฉันว่า...”

พอฉันลองลุกขึ้นมานั่งดูแล้วรู้สึกปวดๆ หลังชอบกล เพราะอะไรหว่า

อาเซียที่ดูหัวจรดเท้าร่างกายฉันหันไปคุยกับมาเรีย

“ดูเหมือนไม่เป็นอะไรแล้ว มาเรียไม่จำเป็นต้องห่วงถึงขนาดนั้นก็ได้”

“ไม่ได้ค่ะ! ในฐานะที่ฉันจะเข้าไปเป็นผู้ดูแลเด็กใหม่แล้วจะต้องทำหน้าที่ให้ถึงที่สุดค่ะ”

“ยังไม่ได้ให้ทำตอนนี้สักหน่อย”

“มีเรื่องอะไรหรอคะ”

ฉันถามซื่อๆ ไป อาเซียเกาหัวตอบ

“เพราะเรื่องที่เอลฟ์บุกบ้านนั่นแหละ เลยต้องพาสามีภรรยาคู่นี้ไปอยู่ที่สถาบันนิวส์ไลฟ์ด้วย จะให้ทำงานช่วยที่สถาบันถึงแม้จะเคยมีประวัติไม่ดีกับเด็กใหม่ก็เถอะ...ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?”

พอโดนถามแบบนั้นฉันย้อนความทรงจำเรื่องราวทั้งหมดและตัดสินใจใช้คำพูดสั้นๆ ไม่ได้ให้มีปัญหามากความอะไรอีก

“คือ...หลงทาง”

“อ๋อเหรอ หลงแบบไหนถึงไปตกขอบโลกได้”

ชะอุ้ย...จริงสิฉันตกขอบโลกนี่หว่า แล้วฉันมาโผล่ที่นี่ได้ไง?

“เลิกคาดคั้นกับคนเจ็บเถอะค่ะ! คุณอัศวิน!”

มาเรียขึ้นเสียงไม่พอใจเล็กน้อย อาเซียทำหน้าเซ็ง

“โทษที ก็ฉันอยากรู้นี่”

“ไว้พรุ่งนี้ค่อยถามให้ละเอียดก็ได้ค่ะ จะดีกว่าถ้าท่านสัสดีมาฟังด้วยจะได้ไม่ต้องบอกซ้ำหลายรอบ”

ความฉลาดนิดๆ ของมาเรียทำให้ฉันซาบซึ้งกินใจเลยทีเดียวและมันก็มีความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นมาจนฉันต้องเอ่ย

“เอ่อ...คือ...อยากอาบน้ำน่ะ”

◊◊◊

“สบายจัง อ๊าห์”

ดูเหมือนอัศวินสาวจะผ่อนคลายเต็มที่เลยแฮะ เพิ่งเห็นทำหน้าแบบนี้ครั้งแรก

แต่ก็ช่างมันเถอะ...น้ำร้อนดีจัง ที่อ่างน้ำบ้านคุณมาเรียแอบเล่นไปหน่อย ไม่คิดว่าโลกนี้จะมีน้ำร้อนให้แช่ด้วย ดูเหมือนจะเป็นเตาฟืนสินะ โลกเก่าไม่ค่อยเห็นพวกแบบนี้เลย

ตอนนี้ฉัน คุณมาเรียและอาเซียแช่น้ำร้อนในห้องอาบน้ำของทางโรงแรมอยู่ในถังไม้หกเหลี่ยมขนาดสามเมตร ส่วนแขนซ้ายฉันเอาพาดไว้ขอบถังเพราะกลัวมีสิ่งสกปรกปนลงมาและแน่นอนว่าตอนนี้เปลือยกันทุกคน มันทำให้รู้แน่เห็นชัดว่าร่างฉันในชาตินี้สู้สองคนไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ชาติก่อนหน้าอกฉันคัพ D แท้ๆ ถึงแม้ว่าจะเห็นแค่เนินอกพวกเขาก็ตาม

แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก เดี๋ยวร่างกายก็โตเอง...

ฉันคิดแบบนั้นแล้วปล่อยอารมณ์ให้ผ่อนคลายก่อนที่จะสะดุ้งโหยง

เฮ้ย! โลกนี้ร่างกายมันไม่แก่ไม่เสื่อมไม่โตด้วยนี่หว่า!

“เจ็บแผลเหรอคะ คุณเฟลิกซ์”

มาเรียที่อยู่ข้างขวาถาม

“ปะเปล่า...คือ...มีเรื่องอยากถามทั้งสองคนหน่อย”

ฉันพูดเขินๆ แล้วเอามือขวากุมหน้าอกตัวเอง

ทำไมต้องเขินด้วยล่ะเนี่ย ฉันอายุตั้งสามสิบแล้วนะเฮ้ย!

ถึงจะคิดแบบนั้นความอายก็ไม่ได้บรรเทาลงแม้แต่น้อยแล้วเอ่ยถามเรื่องที่อยากรู้

“หน้าอกมันจะโตขึ้นเรื่อยๆ หรือเปล่า”

คำถามนั้นทำให้ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะคุคิ ก่อนที่อาเซียจะเปิดฉากเป็นคนแรกลุกขึ้นยืนอวดเรือนร่างตัวเองอย่างเต็มที่

“แหม่! เฟลิกซ์...เราควรภูมิใจกับสิ่งที่มีอยู่สิ อย่างหน้าอกกำลังดีของฉันเนี่ย”

งืม คัพ C รูปทรงสวย...

“แต่ดิฉันว่าพูดแบบนั้นมันเป็นการดูแคลนคนอื่นนะคะ คุณอาเซีย...อย่างของฉันนี่ผ่านการเสริมด้วยเวทมนต์จนพอใจแล้วค่ะ แอนดิวหลงรักฉันมากขึ้นด้วย”

คุณมาเรียลุกขึ้นพูดหัวข้อที่ทำให้ฉันสนใจเป็นอย่างมากพอๆ กับขนาดหน้าอกของเธอที่ฉันเพิ่งเห็นเต็มตาเป็นครั้งแรก(คราวก่อนเห็นแค่ครึ่งบน) คัพ D เกือบๆ F ด้วยซ้ำถึงแม้จะมีหินคริสตัลฝังอยู่ตรงกลางแต่หน้าอกก็ยังเบียดชนกันเองอยู่ดี ทั้งฉันและอาเซียพูดพร้อมกัน

“มีของแบบนั้นด้วย!”

“มีสิค่ะ...แต่ฉันจำไม่ค่อยได้แล้วว่าทำที่ไหน ถ้ามีคนมาอ้อนเยอะๆ หน่อยก็...ว้าย! คุณเฟลิกซ์! อย่าทำแบบนั้นค่ะ! ฉันแค่พูดยั่วคุณอาเซียเท่านั้น!”

“บอกเลยค่ะ! จะให้ฉันทำอะไรก็ได้!”

ฉันก้มหัวขอร้องแบบไม่สนอะไรทั้งนั้นแล้ว แต่จู่ๆ คุณอาเซียวิกน้ำใส่มาเรีย

“จะหลอกเหรอ มันไม่ได้ผลหรอก!”

“งั้นเหรอคะ ตะกี้เห็นทำท่าสนใจมากๆ อยู่เลย นี่แน่ะ!”

“โอ้ย! อย่าเล่นอะไรแบบนี้สิ!”

มาเรียสาดน้ำใส่อาเซียคืนแต่มันโดนฉันด้วยเลยลุกผสมโรงสาดใส่ทั้งคู่เลย ประกอบกับมือซ้ายที่ใหญ่ทั้งสองคนเลยเปียกชุ่มทั้งตัวเต็มๆ

และนั่นทำให้สงครามเล่นปาน้ำใส่กันเริ่มขึ้น

◊◊◊

[หลายชั่วโมงต่อมา เวลากลางดึก]

แสบตาชะมัด รู้งี้ไม่น่าเล่นเลยแถมตาแห้งอีก

ฉันที่ลุกขึ้นมากลางดึกเอาผ้าชุปน้ำเย็นโปะตาทั้งสองหลังจากไปเดินลงมาจากพนักงานข้างล่าง ดูเหมือนพวกเขาจะใช้เวทมนต์ทำให้น้ำมันเย็นขึ้นกะทันหันแล้วเอาผ้าลงไปชุปให้ฉันที่นั่งรออยู่และเริ่มคิดทบทวนสิ่งที่รู้มา

หลังจากที่เล่นสงครามปาน้ำเสร็จ ฉันก็รู้เรื่องราวจากฝั่งของสัสดีที่ไปเจอมาวันนี้จากปากของอัศวินสาว ดูเหมือนว่ายามที่เป็นลมหน้าประตูที่ซื้อเวลาให้ฉันได้ในตอนนั้นถูกอาเซียช่วยไว้พ้นขีดอันตรายโดยใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ก่อนที่สัสดีที่เข้าเมืองมาที่หลังจะช่วยสมทบต่อ คนที่ทำให้ยามเป็นแบบนั้นเห็นว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่คร่าชีวิตคนในเมืองนี้มาแล้วหลายศพด้วยการดูดมานาไปหมดตัว รูปพรรณสัณฐานว่าเป็นแวมไพร์ผู้หญิงที่รู้จักกับท่านสัสดี…

คงไม่ใช่อย่างที่คิดมั้ง ไม่งั้นป่านนี้ฉันม่องเท่งไปแล้ว

และหลังจากนั้นพวกเขาออกตามหาฉันด้วยการไปใช้วงเวทย์ประจำเมืองที่ลงอาคมไว้สำหรับทำหลายๆ อย่างและหนึ่งในอาคมนั้นช่วยชีวิตฉันไว้จากการตกขอบโลก

ดูเหมือนว่าทุกเรื่องราวจะผ่านมาด้วยดีถ้าไม่ใช่ว่าท่านสัสดีเลือกจะออกตัวตามล่าฆาตกรต่อเนื่องด้วย ด้วยเหตุผลที่ว่าฆาตกรคนนั้นเป็นอันตรายเกินกว่าที่จะให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้จนต้องยอมให้ภารกิจพาตัวฉันไปสู่สถาบันนิวส์ไลฟ์ล่าช้าลง

แน่นอนฉันแสดงความเห็นว่าท่านสัสดีทำไมต้องห่วงคนอื่นด้วย ทำไมไม่เลือกทำภารกิจของตัวเองเป็นหลัก ทางอาเซียบอกว่าเธอเองก็แปลกใจปกติแล้วท่านสัสดีจะไม่ใส่ใจเรื่องอื่นนอกจากเรื่องที่ตัวเองต้องทำ แต่การก้าวก่ายการตามล่าฆาตกรในเมืองนี้แสดงว่าเรื่องราวนี้ไม่ธรรมดา มันต้องมีอะไรแอบแฝงซ่อนอยู่…ระหว่างที่อาเซียพูดแบบนั้นเธอทำท่าไม่พอใจขึ้นมาด้วย ฉันคิดว่ามันคงเป็นครั้งแรกแน่ๆ ที่เกิดเรื่องแบบนี้

แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ? แค่ตามล่าฆาตกรอย่างงั้นหรอ?

เฮ้อ แต่ก็ช่างมันเหอะไม่เกี่ยวกับฉันนิ...แค่เรื่องที่เจอมาสองวันติดๆ อยากจะบ้าตายอยู่แล้ว

เป็นวันที่ดีจริงๆ..

ฉันประชดในใจแบบนั้นก่อนที่จะหาวง่วงวางผ้าเย็นลงและลุกขึ้นจากเคาน์เตอร์ไม้ข้างล่างของโรงแรมแล้วเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองเดินเลี้ยวซ้ายตรงไปเข้าซอยที่สองพบกับสามห้อง ทางซ้ายสองทางขวาหนึ่ง

ห้องไหนหว่า...จำไม่ได้ แต่หนึ่งในสามห้องนี้แหละ เห็นบอกว่าเปิดไว้สองห้องนิ

ฉันพยายามนึกแล้วนึกอีกว่าก่อนที่จะลุกออกมานั้นอยู่ห้องไหนแต่ด้วยแสงสว่างที่ไม่มากพอประกอบกับตัวเองเบลอเป็นอย่างมากด้วยเลยจำไม่ได้

รู้สึกจะออกมาจากห้องเดี่ยวๆ ขวามืออ่ะมั้ง

พอฉันเดินไปประตูเข้าไป...ระหว่างนั้นก็เพิ่งนึกได้ว่าเราน่าจะเคาะถามก่อนว่าใครอยู่ในห้องถึงได้เห็นภาพที่ไม่น่าเชื่อคาตาจนหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

ริมฝีปากของสาวเอลฟ์ที่ฉันเคยเจอก่อนหน้านี้และเผ่าปีศาจที่เป็นสัสดีกำลังบรรจงจูบอย่างละเมียดละไมด้วยความหิวโหยกันและกัน ทั้งสองนั่งบนเตียงพลอดรักโดยไม่รู้ตัวเลยว่าฉันเข้ามา

◊◊◊

ช่วงคุยกับไรท์เตอร์

จบลงไปแล้วสำหรับ Ch.11 ของเรื่อง CrystalFall: Fake/Brave นะจ๊ะ

ฮ่าๆ เฟลิกซ์ตกขอบโลกอีกแล้วนะครับท่าน

แต่สุดท้ายแล้วก็ได้กลับมาอยู่กับพรรคพวกสัสดีอีกครั้ง

อีกเรื่องบางอย่างที่พูดถึงยามที่ชื่อว่าเอทิน...เขาเป็นอะไร?

สัสดีกำลังใช้โทรจิตหาใครอยู่กันแน่? ใช่ยูกะที่เฟลิกซ์เข้ามาเห็นบรรยากาศซัมติงกับสัสดีหรือไหม?

แล้วแอนดิวที่เป็นสามีของมาเรียหายไปไหนล่ะ?

โปรดติดตามตอนต่อไปที่มีชื่อว่า

  1. แกนกลางคริสตัล 2 - [Good Day] – ครึ่งกลาง

ถ้าชอบก็ Comment ให้กำลังใจกันบ้างเน้อ 1 Comment เท่ากับล้านกำลังใจเลย ฮ่าๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา