ปลูกรักในรั้วใจ
10.0
เขียนโดย อิสวารายา
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.
39 ตอน
0 วิจารณ์
39.21K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
29) ตอนที่ 28 บทพิสูจน์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 28 บทพิสูจน์
เทียมภพลอบสังเกตการเอาอกเอาใจของนายแพทย์หนุ่มที่กำลังปฏิบัติต่อน้องสาวแล้วก็นึกขัดหูขัดตา ไอ้ครั้นจะห้ามปรามออกนอกหน้าเกินไปก็เกรงอกเกรงใจญาติผู้ใหญ่ ก็เลยคอยสอดส่องอีกฝ่ายไม่ให้ใกล้ชิดกับแทนดาวมากนัก ทั้งยังสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมปล่อยคนรอยหยักสมองเยอะคนนี้ให้ขายขนมจีบน้องสาวสุดหวงอย่างสบายใจแน่ๆ
“คุณหมากหน้าตาดูไม่สบายเลยนะ ป่วยเหรอครับ? หรือว่ากินของขมเข้าไป” อชิตะถามอย่างสุภาพเมื่อสังเกตว่าอีกฝ่ายเอาแต่ทำหน้าตาเหมือนหมีกินรังแตนแถมยังจ้องเขม็งมาที่ตนยู่ตลอดเวลา
“เปล่า...แต่เหม็น เหม็นปลาหมึกหนวดอยู่ไม่สุขไต่ไปเรื่อย มันน่าตัดหนวดทิ้งนัก” เทียมภพว่าเหน็บคนถามที่คอยตักโน่นตักนี่ส่งข้ามโต๊ะให้น้องสาวอยู่แทบจะตลอดเวลา
“งั้นลองกินไข่หอยเม่นมั้ยครับ? ไม่เหม็น...แต่หนามมันเยอะระวังจะตำปากได้” หมอหนุ่มถามทีเล่นทีจริง คนถูกถามถลึงตาอย่างไม่พอใจที่โดนตอกกลับ
“พี่หมากขา...แกะปูให้หน่อย” แทนดาวยื่นก้ามปูนึ่งก้ามโตให้พี่ชายเพื่อเบี่ยงความสนใจไม่ให้ไปหาเรื่องคนอื่น“วันนี้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ผมก็เลยมีข่าวมาประชาสัมพันธ์” อชิตะเริ่มหัวข้อใหม่เมื่อจอมหาเรื่องหันไปต่อสู้
กับก้ามปูอย่างดุเดือดเหมือนกับมันคือคู่ต่อสู้ที่จะต้องฆ่าให้ตายสนิท
“พอดีช่วงหยุดยาวสิ้นเดือนนี้จะมีแข่งกอล์ฟการกุศลหาเงินสร้างตึกผู้ป่วยใหม่ให้โรงพยาบาลต่างจังหวัด กลุ่มโรงพยาบาลในเครือเป็นเจ้าภาพจัดงาน...ก็เลยอยากจะชวนคุณลุงเผื่อจะสนใจ”
“น่าสนใจดี...แต่ติดที่ว่าลุงยังเดินเหินยังไม่ค่อยแข็งแรง ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ไปออกรอบกับคุณชัยบ่อยๆ” คุณเที่ยงธรรมบอกแล้วหันมาคุยกับบุตรชาย
“หมากล่ะ...สนใจหรือเปล่า? ไปออกรอบกับหมอเค้าสิ”
“ดีเหมือนกันนะหมาก...แม่อยากจะทำบุญด้วย” คุณดวงทิพย์หันเห็นด้วย เทียมภพคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตกปากรับคำเพราะเห็นว่าจะได้ทำบุญและเป็นการโปรโมทบริษัทไปในตัว
“ก็ได้...ผมจะช่วยเป็นสปอนเซอร์ในนามของทวีกิจสามล้านบาท เดี๋ยวจะให้ฝ่ายพีอาร์ติดต่อกลับไป” เขาตอบโดยไม่มองหน้าคู่สนทนาขณะวางเนื้อปูที่ออกแรงแงะจากเปลือกของมันจนเละเทะไม่เป็นชิ้นในจานน้องสาว
“ถ้างั้นคุณหมากก็ได้โควตาส่งทีมเข้าแข่งขันด้วย งานนี้มีถ้วยรางวัลแล้วก็จะได้ลงโฆษณาฟรีในนิตยสารรายเดือนของกระทรวงฯด้วย” อชิตะบอกแล้วหันไปยิ้มให้สาวน้อยที่ยังคงตั้งใจกับการรับประทานเนื้อปู ส่วนเทียมภพแค่พยักหน้าส่งๆอย่างไม่ใคร่สนใจนัก
“ว่าแต่จัดกันที่ไหนล่ะ?” คุณเที่ยงธรรมถามอย่างสนใจ
“สนาม กรีน วัลเลย์ ที่ระยองครับ” คำตอบของหมอหนุ่มสะกิดใจให้รมณ์นลินที่นั่งฟังอยู่นานแล้วแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรจนอีกฝ่ายหันมาคุยด้วย
“ผมฝากคุณแฟงไปชวนคุณชลธีด้วยนะครับ...เผื่อว่าจะสนใจ” คราวนี้ทั้งรมณ์นลินและเทียมภพหันมามองหน้ากัน ความสงสัยเล็กๆก่อตัวขึ้นในใจของทั้งคู่
“น้องพลูไปด้วยนะครับ วันหยุดยาวแบบนี้ไปเชียร์กีฬาคลายเครียด...เสร็จแล้วจะได้ไปพักผ่อนที่ชายทะเลกันต่อสักคืน ถือว่าเป็นการสมนาคุณที่คุณเทียมภพมีจิตใจเมตตาบริจาคเงิน” หมอหนุ่มคุยต่ออย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มสำรวมที่ปรากฏประจำยามอยู่ในเวลาทำงานแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มเก๋เท่ละละลายใจสาวเมื่อยามอยู่ในเวลาส่วนตัวเช่นนี้
“ดีเลย...พวกเด็กๆจะได้ไปพักผ่อนกัน ไอ้เรามันคนแก่...ต้องเข้าวัดอย่างเดียว” คุณบันลือชัยสนับสนุน
“อืม...ผมทราบมาว่าคุณแฟงมีรีสอร์ทที่นั่น ถ้าเป็นไปได้...ผมอยากไปพัก คุณแฟงจะช่วยจองห้องให้หน่อยได้มั้ยครับ?” รมณ์นลินมองหน้าคนถามอย่างชั่งใจ ไม่อยากจะคิดลึกว่าทั้งหมดนี้คือความบังเอิญหรือความตั้งใจของอชิตะกันแน่
“ได้ค่ะ...แฟงจะบอกทางโน้นไว้” รมณ์นลินตกปากรับคำทำให้เทียมภพไม่พอใจอย่างมาก อารมณ์ขุ่นเคืองที่สะกดกลั้นไว้อย่างดิบดีระเบิดออกมาในสุด ปล่อยช้อนตกกระทบกระจานดังเคร้งคร้างแถมยังกระแทกเอาแก้วน้ำหกเรี่ยราดอีก
“ผมขอตัวไปห้องน้ำสักครู่” แทนดาวมองตามหลังพี่ชายอารมณ์ร้อนอย่างหวั่นใจ ถ้าลองว่าออกอาการตึงตังเหมือนช้างกระทืบโรงแบบนี้รับรองว่าต้อง ‘มีเรื่อง’
อชิตะมองกิริยานั้นแล้วยกมุมปากยิ้มขันๆที่ฝ่ายนั้นพื้นเสียจนได้ อยากจะเตือนว่าไอ้นิสัยวู่วามบุ่มบ่ามนี่นอกจากจะทำให้คิดอะไรหุนหันพลันแล่นไม่รอบคอบแล้วยังรังแต่จะทำให้ตัวเองเดือดร้อน เขาตัดสินใจลุกตามออกไปแล้วก็พบว่า ‘คนพื้นเสีย’ ไม่ได้มาเข้าห้องน้ำอย่าที่บอก แต่กำลังยืนสูบยาระบายอารมณ์อยู่ด้านนอก หน้าตาหล่อเหลาดูยับย่นบูดบึ้งไม่เป็นมิตรบ่งบอกได้ดีว่ากำลังอยู่ในสภาวะเดือดดาลเต็มที่
“ดูท่าทางคุณหมากจะไม่ค่อยพอใจที่มาร่วมโต๊ะกับผมสักเท่าไหร่นะ” อชิตะลองถามหยั่งเชิง เทียมภพหันหน้าบูดบึ้งกลับมามองคู่อริอย่างไม่ไว้วางใจ
“ไม่พอใจตั้งแต่หมอออกตัวว่าคิดอกุศลกับใบพลูแล้ว นี่มันยังไงกัน? ผมรู้นะ...ว่าไอ้ที่คุณทำทั้งหมดนี่มันคือแผนการที่ตระเตรียมมาอย่างดี ต้องการอะไร?” เทียมภพกัดฟันถามอย่างข่มความรู้สึก
“พูดกันตรงๆแมนๆเลยก็แล้วกันนะ...” อชิตะยืดอกขึ้นขณะยืนประจันหน้ากับบุรุษรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างไม่คร้ามเกรงกับกิตติศัพท์ความหวงโหดของอีกฝ่ายที่มีต่อน้องสาวแสนสวย
“ผมชอบน้องพลูและกำลังจีบเธออยู่ คุณหมากอย่ากังวลเลยครับ...ผมจะไม่ทำอะไรให้เกินความพอดี” สิ้นคำสารภาพตรงๆแมนๆอย่างที่นายแพทย์หนุ่มบอกก็ทำให้คนฟังตัวชา ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร...แต่พอเจอคนจริงแบบนี้ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน
“ไม่ได้โว้ย! นี่หมอจะพรากผู้เยาว์รึไง? อย่าว่าแต่จีบเลย...ผมจะไม่ยอมให้หมอเข้าใกล้น้องได้อีกแล้ว ไอ้ที่ผ่านมาถือว่าผมเผลอก็แล้วกัน” เทียมภพประกาศก้อง ในใจก็แต่งตั้งให้นายแพทย์หนุ่มแสนสุภาพคนนี้เป็นศัตรูมีพิษอันตรายระดับสาม
“น้องพลูอายุยี่สิบสามแล้วนะครับ...คงจะพรากอะไรกันไม่ได้แล้ว” อชิตะยังคงตอบโต้แบบใจเย็น
“ถ้าหมอกล้าก็ลองดู! คิดจะเคี้ยวหญ้าอ่อนก็ต้องเจอของแข็งกันหน่อยล่ะ”
“เอาเถอะครับ...คุณหมากจะไม่ยอมหรือจะขัดขวางก็สุดแท้แต่ใจ แต่บอกก่อนว่าผมไม่หยุดแน่ๆเพราะว่าไม่ได้อะไรผิด ที่สำคัญผมก็มีสิทธิ์ที่จะทำความสนิทสนมกับใบพลู” หมอหนุ่มยืนยันเจตนารมณ์อย่างหนักแน่น
“นี่...ไม่เกรงกลัวกันเลยใช่มั้ย? ผม...หมากหมัดมฤตยูนะเว้ย! อยากเจ็บตัวเหรอถึงกล้าเข้ามายุ่มย่ามกับยัยพลู! รู้มั้ย...ไอ้พวกที่มั่นหน้ามั่นใจแบบหมอนี่แหละ...โดนยำไปไม่รู้กี่รายแล้ว” เทียมภพชี้หน้านิ้วสั่น
“ก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัวนี่ ถ้ากลัว...ผมจะมายืนอยู่ตรงนี้เหรอ?” หมอหนุ่มขยับแว่นอย่างอารมณ์ดี
“คุณหมากคงเคยเล่นเกมใช่มั้ยครับ? เวลาเล่นเกมเนี่ย...มันต้องมีการวางแผนให้รอบคอบ ประเมินกำลังคู่ต่อสู้และดูอาวุธในมือ ถ้าผมขาดข้อใดข้อหนึ่งไป...ก็คงไม่กล้าจะเข้ามาตีเมืองด้วยหรอก ดูคู่ต่อสู้ของผมแต่ละคนสิ...ธรรมดาเสียที่ไหน” อชิตะมองลึกลงไปในดวงตาสีนิลของคนตรงหน้าอย่างท้าทาย
“อ้อ...ไอ้ที่ใส่แว่นหนาๆนี่เป็นเพราะตอนวัยรุ่นคงจะติดเกมนั่งรากงอกอยู่ตามร้านเกมใช่มั้ยล่ะ? โธ่...ไอ้พวกเด็กเกรียน เกมน่ะ...ผมก็เล่น แต่ว่าถ้าไอ้เกรียนคนไหนมันคิดจะฝ่าด่านเข้ามาขโมยของๆผม...ตายทุกรายนะครับ” เทียมภพทำเสียงดูถูก
“นั่นแสดงว่าไอ้พวกนั้นวางแผนไม่ดีพอ แต่เอาเถอะ...เพราะเล่นเกมมากก็เลยรู้ว่าจะต้องรับมือกับพวกเกรียนด้วยกันยังไง” อชิตะย้อนเนิบๆ
“นี่แกว่าฉันเป็นไอ้เด็กเกรียนเหรอวะ?” เทียมภพกัดฟันกรอดด้วยความเดือดดาลและเริ่มที่จะระงับอารมณ์ไม่ได้ หนุ่มแว่นเพียงแต่ยิ้มที่มุมปากแล้วเดินกลับไปข้างในทิ้งให้คนกำลังตกมันยืนตัวสั่นปากสั่นอยู่ที่เดิม
“ไอ้แว่นอาราเล่...ฉันไว้ชีวิตแกมานานเกินไปแล้ว!” เทียมภพมองตามไปด้วยสายตาอาฆาต
เทียมภพมาส่งรมณ์นลินที่บ้านหลังจบอาหารมื้อค่ำที่แสนจะกล้ำกลืนฝืนทนนักสำหรับตน ระหว่างทางก็เอาแต่ผุดคำบริภาษเจ้าภาพเลี้ยงข้าวไม่หยุดหย่อนจนคนนั่งข้างๆต้องออกโรงช่วยเตือนสติที่เต็มไปด้วยทิฐิของคนใจร้อน
“คุณหมากก็คิดมาก...หมออชิคงแค่อยากชวนพวกเราไปร่วมสนุกนั้นเองค่ะ ไม่น่าจะมีอะไรแอบแฝงนะ...ก็เค้าบอกอยู่แล้วว่าทางโรงพยาบาลในเครือเป็นคนจัดงาน”
“ผมไม่เชื่อหรอกว่ามันจะหยุดอยู่แค่นั้น คุณยังรู้จักไอ้แว่นสามก๊กนี่น้อยไป อย่างวันนี้ที่มันชวนบ้านผมมากินข้าวก็เพราะว่าอยากจะเข้าหายัยพลูต่างหากล่ะ มันรู้ว่าถ้าชวนยัยพลูมาโต้งๆนี่ผมไม่ยอมแน่” น้ำเสียงต่อว่าต่อขานใส่อารมณ์เต็มที่ขณะตีโค้งเข้าซอยบ้าน
“แล้วยังไงล่ะคะ? คุณอชิเค้าก็ไม่ได้ทำเรื่องเสื่อมเสียอะไร น้องพลูเองก็เคารพเธอเหมือนพี่ชายคนนึง แฟงไม่เห็นว่ามันจะไม่งามตรงไหน”
“งามไม่งามไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่รู้ทั้งรู้ว่ายัยพลูมีคนหมั้นหมายอยู่แล้วยังจะมาแซะเนี่ย...มันไม่เข้าท่าเลยนะ เป็นถึงมดหมอจะมาดอดเปิดคลินิกนอกเวลารักษาแฟนคนอื่นเค้า!” ใบหน้าได้รูปราวสตรีดูบูดบึ้งเมื่อโพล่งความคิดในใจออกมาทำให้รมณ์นลินอ้าปากค้างก่อนจะหัวเราะออกมา
“เอ...คุณหมากพูดแบบนี้แสดงว่าหึงคุณหมอแทนพี่ชลใช่มั้ยเนี่ย? ยอมรับแล้วพี่ชลเหรอคะ?” รมณ์นลินสบโอกาสถามทีเล่นทีจริง
“เฮ้ย...เปล่าๆ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ...มันคนละเรื่องกัน” เขารีบปฏิเสธพัลวันและพูดด้วยเสียงเครียดมากกว่าเดิม
“ลองมองในมุมคนนอกก็ได้ คนดีๆที่ไหนจะไปวุ่นวายกับคนที่มีเจ้าของแล้ว ถึงจะยังไม่เป็นทางการแต่มันก็ไม่ควร คิดดูนะครับแฟง...นี่ขนาดยัยพลูถูกคุมเข้มทั้งจากผมและพี่ชายคุณ ไอ้แว่นปลาไหลไฟฟ้ามันยังเจาะเกราะเข้ามาได้... ยอมใจมันจริงๆ” เทียมภพถอนใจยาวพร้อมๆกับจอดรถเทียบหน้ารั้วบ้าน
“คุณก็เหมือนกันนะแฟง...ถึงจะเห็นว่าเจ้านั่นเป็นแค่เพื่อนบ้านที่ดีแต่ก็อย่าไว้ใจให้มากนัก ผมไม่ชอบ...มันหึง” เขาบอกออกไปตรงๆทำให้คนฟังรู้สึกขัดเขินขึ้นมาทันที ตกลงว่าตอนนี้คนบ้าระห่ำอยู่ในอารมณ์โหมดไหนกัน
“รบรากับใครก็ไม่เหนื่อยเท่าไอ้หมอนี่อีกแล้ว” เขาหันมาบอกสตรีที่นั่งข้างๆด้วยสายตาเคียดแค้นแล้วจึงค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทีละนิด ใบหน้าหล่อหวานราวสตรีขัดกับนิสัยโผงผางค่อยๆโน้มลงมาแตะจมูกกับหน้าผากเกลี้ยงเกลาแล้วกำลังจะลงไปยังริมฝีปาก
“ปี๊น!....” เสียงแตรรถดังสนั่นทำให้ทั้งคู่สะดุ้งแล้วหันรีบกลับไปมองด้วยเกรงว่าจอดรถขวางใครไว้ แต่พอเห็นรถต้นเสียงก็ทำให้รมณ์นลินถึงกับหน้าถอดสี
“ตายจริง! พี่ชลกลับมาพอดี แฟงเข้าบ้านก่อนนะคะ ขับรถดีๆนะคะ” รมณ์นลินบอกลารวกๆแล้วรีบก้าวลงไป เจ้าของรถที่ส่งเสียงดังเมื่อกี้เคลื่อนตัวมาเทียบข้างๆแล้วต่างฝ่ายต่างลดกระจกมาจ้องหน้ากันและกัน เทียมภพทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แถมยังยักคิ้วหลิ่วตากวนๆก่อนจะขับรถออกไป
ชลธีออกจะแปลกใจและสงสัยกับคำบอกเล่าของน้องสาวที่อชิตะฝากมาชักชวนตนให้ไปร่วมงานกอล์ฟการกุศลครั้งนี้ด้วยในเมื่อฝ่ายนั้นรู้ดีว่าเขาไม่ค่อยชอบขี้หน้านัก
“พี่จะช่วยทำบุญสามล้านแต่ว่าจะลงแข่งในนามทวีกิจ ทีมเดียวกับไอ้หมาก ดีเหมือนกัน....ไม่ได้ฟาดกันนานแล้ว” เขาพูดลอยๆขณะอ่านบัตรเชิญที่น้องสาวนำมาให้
“ฟาดอะไรกันล่ะคะ? งานทำบุญทำทานแท้ๆ อย่าไปมีเรื่องกันล่ะ ห่วงแต่พี่ชายน้องพลูนั่นแหละ...วันนี้ตอนที่นั่งกินข้าวด้วยกันก็หาช่องแขวะคุณหมอตลอด หวิดจะรำมวยก็หลายครั้ง นี่ถ้าไม่ติดว่ามีพวกผู้ใหญ่ไปด้วยแฟงคงได้เป็นกรรมการห้ามมวย” รมณ์นลินเล่าเรื่องวันนี้ให้พี่ชายฟัง ชลธีอมยิ้มอย่างมีเลศนัย ถูกต้องแล้ว...เขาตั้งใจโทรหาเพื่อนขี้โมโหเพราะมั่นใจว่าคนบ้าเลือดพรรค์นั้นคงไม่ยอมปล่อยให้น้องสาวถูกคนหัวหมอหยอดจีบโดยง่ายแน่ ก็เลยหวังให้เทียมภพไปป่วนให้เสียกระบวนเท่านั้น
“แต่ก็น่าคิดนะแฟง...นายอชินั่นรู้ว่าเรามีรีสอร์ทอยู่ระยอง แถมงานกอล์ฟก็จัดที่โน่น มันบังเอิญประจวบเหมาะขนาดนี้เลยเหรอ?” เขาถามต่ออย่างใช้ความคิด โรงแรมที่พักในจังหวัดนั้นมีมากมายแต่ทำไมต้องเจาะจงเป็นที่รีสอร์ทเคียงธาราของตนด้วย
“แฟงว่าไม่น่าจะมีอะไรนะคะ เค้าก็คงอยากไปพักกับคนรู้จัก นี่แฟงบอกให้เด็กจองบ้านไว้ห้าหลังเพราะทางคุณหมอจะพาพวกเจ้าหน้าจากโรงพยาบาลไปพักด้วย งานนี้ไม่ใช่เล็กๆเลย” แม้ปากจะบอกว่าไม่มีอะไรแต่ใจก็แอบคิดตามอย่างที่พี่ชายบอก
“มันชวนใบพลูไปด้วยใช่มั้ย? คงจะบอกว่า...วันหยุดยาวแบบนี้น้องพลูจะได้ไปพักผ่อนเล่นน้ำทะเล...ใช่มั้ยล่ะ?” ประโยคนี้ฟังดูกระด้างแกมหมั่นไส้จนคนฟังรู้สึก
“นี่พี่ชลแอบติดเครื่องดักฟังที่ตัวหมออชิหรือเปล่าเนี่ย?” รมณ์นลินอึ้งที่พี่ชายเดาคำพูดอชิตะได้เกือบเป๊ะ “เฮอะ...ไอ้มุขเนียนๆแบบนี้พี่เห็นมาบ่อย บางทีก็งัดมาใช้เสียเอง...” เขาตอบขำๆแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเตรียมตัวเตรียมจะขึ้นบนบ้าน
“มันรู้ว่าบ้านเราอยู่ระยอง รู้ว่าพี่กับไอ้หมากชอบตีกอล์ฟ ที่สำคัญรู้ว่าน้องพลูชอบทะเล...” ชลธีพึมพำกับตัวเองมากกว่าจะอยากให้ใครได้ยิน ประกายตาอำมหิตปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง
“เอาวะ....งานนี้สนุกแน่”
ชลธีแวะมาหาแทนดาวที่บ้านก่อนเดินทางไกลตอนเที่ยงคืนวันนี้ ดูเหมือนว่านับแต่วันที่แทนดาวถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปทำงานที่โรงแรม...บ้านทวีกิจไพศาลก็เปิดประตูต้อนรับบุรุษร่างสูงเจ้าของใบหน้าคมคายคล้ายลูกครึ่งแขกคนนี้อยู่เนืองๆ แม้บางครั้งจะติดภารกิจยุ่งเหยิงเพียงใดอย่างน้อยก็ต้องมาให้ได้ทุกสัปดาห์ แต่ถึงจะเยี่ยมหน้ามาบ่อยแค่ไหนแต่พี่ชายหล่อนก็ยังคงคุมเข้มไม่ยอมอนุญาตให้พาไปเที่ยวไหนสองต่อสอง จะมีบ้างที่ได้พาไปรับประทานอาหารหรือซื้อของเล็กๆน้อยๆด้วยกันก็ต่อเมื่อคุณดวงทิพย์มารดาของหล่อนไปด้วยเท่านั้น
สาวน้อยกำลังนั่งทำการบ้านอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่ใต้ร่มซุ้มกระดังงาที่เดิม บนโต๊ะมีชมพู่กับมะม่วงหั่นชิ้นวางจัดในจานเล็กเป็นของว่างแกง่วงขณะนั่งขีดเขียนข้อความในสมุดการบ้าน บางครั้งก็เห็นคนตัวเล็กเปลี่ยนอิริยาบถเป็นเกาหัวบ้าง ขมวดคิ้วบ้างหรือบางทีก็อมหัวดินสออย่างใช้ความคิด ชลธียังคงยืนมองอยู่เพียงห่างๆไม่อยากเข้าไปรบกวนเวลาแห่งการใช้สมาธิก็เลยจะเดินกลับไปรอในบ้านแต่แทนดาวก็หันมาเห็นเข้าเสียก่อนเลยเดินมาทักทายเสียเอง
“พี่ชล...มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ? สงสัยตอนมาน้องพลูยังอยู่บนห้องเลยไม่ได้ยินเสียงรถ” เสียงใสพูดทักทายพร้อมกับยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย ถึงจะคุ้นเคยกันมาระยะหนึ่งแล้วก็ยังเคยชินกับการทำความเคารพผู้ที่ได้ชื่อว่าคู่หมั้นทุกครั้งที่พบกัน การกระทำที่เป็นนิสัยนี้ทำให้ชลธีมองว่ามันดู ‘น่ารัก’ และอยากให้คงไว้ซึ่งมรรยาทอันดีที่หาดูได้ยากยิ่งในสังคมก้มหน้าเช่นปัจจุบัน นี่คงเป็นเหตุผลสำคัญที่ลูกหลานบ้านทวีกิจมักจะได้รับความเอ็นดูจากผู้หลักผู้หลักใหญ่ในเรื่องการมีสัมมาคารวะและมารยาทงดงาม ตัวแทนดาวเองก็ซึมซับจริตอันควรนี้มาแต่เล็กแต่น้อยกับคำพร่ำสอนของผู้ปกครองที่ว่าคนเราถ้าลองรู้จักกาลเทศะ รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ นอบน้อมถ่อมตนแล้วย่อมจะได้รับความเมตตาเสมอดังคำที่คุณลำเภาอบรมสั่งสอนลูกๆหลานๆตั้งแต่เพิ่งเริ่มรู้ความ
“สิบนิ้วมีก็ยกประนมขึ้นไปเถอะ มันไม่ได้ทำให้เมื่อยล้านักหรอก คนเห็นเค้าจะได้เมตตาเอ็นดู คนดีมีมารยาทไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนชื่นชู ไม่ได้แก่ตัวคนเดียวหรอก...เค้าเยินยอกันยันโคตรเหง้าบรรพบุรุษ”
“พี่ไม่ได้ขับรถมาเองน่ะ ให้ลูกน้องมาส่งแค่หน้าบ้าน น้องพลูทำการบ้านอยู่เหรอ? ไปทำต่อเถอะนะ พี่จะเข้าไปหาลุงธรรม” เขาตอบด้วยเสียงอบอุ่นนุ่มนวลเช่นเคย สังเกตว่าว่าวันนี้เขาแต่งกายลำลองมากกว่าทุกวัน สวมเสื้อยืดสีพื้นน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนส์ขาเดฟสีดำสนิท สวมรองเท้าผ้าใบที่ดูเหมือนคนเตรียมพร้อมจะเดินทาง ใบหน้าคมสันแลดูสดใสและมีรอยยิ้มมากกว่าเก่าจนแทบจะลืมใบหน้าเย็นชาติดออกจะดุเมื่อครั้งรู้จักกันใหม่ๆ
“ใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ เขียนอ้างอิงปริญญานิพนธ์อยู่ ถ้าครั้งนี้ผ่านก็เรียกว่าโหลดดิ้งเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ เหลือแค่สอบปลายภาคสุดท้ายเท่านั้นค่ะ” แทนดาวบอกอย่างร่าเริง สีหน้าเคร่งเครียดที่เห็นเมื่อครู่ถูกกดทับด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ชลธีเดินตามร่างเล็กไปนั่งตรงโต๊ะหินอ่อนที่เดียวกัน แทนดาวกวาดกองตำราเคลียร์พื้นที่ให้เขานั่งสะดวก
“คุณชล...มาอยู่นี่น่ะเอง เห็นเด็กเดินไปบอกคุณมา ดีจริงค่ะ...ผึ้งมีอะไรจะให้ดู” ปลายเดินร้องเรียกเสียงหวานและไม่ช้าเจ้าของเสียงก็หย่อนตัวลงนั่งข้างๆกัน
“อะไรเหรอครับ?” คำถามนั้นไม่ได้ฟังดูสนอกสนใจอะไรซ้ำยังติดออกจะรำคาญนิดๆ เขามองหน้าแทนดาวนิดหนึ่งอย่างรู้สึกผิดที่นำความรบกวนมาให้ แทนดาวยังเขียนการบ้านต่อไม่สนใจการมากวนใจของพี่สาว
“แบบเฟอร์นิเจอร์ที่ผ่านเข้ารอบไงคะ” ปลายเดือนยื่นแฟ้มเล่มหนึ่งให้ ชลธีเปิดดูหน้าแรกอย่างสนใจผลงานการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่เขาเคยเสนอให้จัดแคมเปญประกวดออกแบบโดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาที่เรียนด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ส่งผลงานเข้ามา
“นี่รอบสุดท้ายแล้วใช่มั้ยครับ?” เขาถามโดยไม่มองหน้า
“ใช่ค่ะ...พี่หมากดูไปแล้วตอนอยู่ออฟฟิศ หน้าที่แปะโพสต์อิทไว้นั่นแหละแบบที่แกชอบ ผึ้งอยากให้คุณชลดูก่อนจะเดินทาง เลือกแบบที่เข้าตาไว้ก่อนสิคะ พอคุณกลับมาจะได้เรียกประชุมตัดสินกันอีกที” ชลธีพยักหน้าพลางพลิกดูแบบที่ผ่านเข้ารอบมาอย่างสนอกสนใจ เขาทึ่งในความสามารถของเด็กไทยที่มีไอเดียแปลกแนวไม่แพ้นักออกแบบชื่อดัง อนาคตคงจะไปได้อีกไกลแน่นอน
“เราเข้าไปดูกันข้างในดีกว่าค่ะ น้องพลูกำลังทำการบ้าน...จะได้ไม่รบกวน” ปลายเดือนฉุดแขนของเขาให้ลุกขึ้นมาแล้วหันไปคุยกับน้องสาวที่ยังคงจดจ่ออยู่กับตำรา
“เสร็จแล้วก็ตามเข้าไปนะจ๊ะน้องพลู วันนี้พี่ซื้อเครปเค้กของโปรดมาให้ด้วย” ปลายเดือนกันมาบอกเสียงใสผิดกับชลธีที่ทำหน้าบอกไม่ถูก แทนดาวนั่งหน้าง้ำเขียนหนังสือต่อไปด้วยอาการกระแทกกระทั้น ความรู้สึกคล้ายกับถูกกระชากผมแล้วลูบหัวอย่างไรไม่รู้
อีกพักใหญ่ต่อมาแทนดาวที่ทำการบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปนั่งทอดอารมณ์อยู่ในศาลาแปดเหลี่ยม ในมือน้อยมีถุงกระดาษใบเล็กบรรจุผ้าพันคอไหมพรมสีน้ำเงินลายดาวที่ไปหาซื้อมาเมื่อวันก่อน หล่อนตั้งใจซื้อให้เขาเอาไปใช้ที่โน่นเผื่อว่าอากาศจะหนาวเย็น นั่งรออยู่เป็นนานจนเวลาล่วงเลยมาถึงยามโพล้เพล้เจียนจะมืดค่ำเต็มทนถึงจะเห็นร่างสูงกำลังเคลื่อนกายผ่านมา
“พี่รอน้องพลูอยู่ในบ้านตั้งนานเลยออกมาดูว่าทำการบ้านเสร็จหรือยัง?” คำบอกเล่าของเขาทำให้คนฟังรู้สึกขัดเล็กๆ ที่ออกมาช้าเอาป่านนี้ไม่ใช่เพราะกำลังเลือกแบบเฟอร์นิเจอร์กับพี่สาวเสียเพลินหรอกหรือ
“เลือกแบบเสร็จแล้วเหรอคะ?” เสียงที่ถามนั้นฟังคล้ายจะประชดมากกว่าถามเพื่อต้องการคำตอบ
“เสร็จตั้งนานแล้ว พอดีพี่ไปคุยกับลุงธรรมระหว่างรอน้องพลูนั่นแหละ...แสนงอนจริง” มือใหญ่เอื้อมมาจับศีรษะเล็กโคลงเบาๆ
“แล้วนี่พี่ชลจะเข้าบ้านอีกมั้ยคะ? หรือว่าไปสนามบินเลย?”
“ไปสนามบินเลยจ้ะ นัดคนอื่นๆเอาสามทุ่ม...เดี๋ยวลูกน้องพี่คงมาถึง” เขาก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงแสงไฟสลัวจากโคมไฟดวงเล็กที่ประดับรอบศาลาแห่งนี้ส่องแสงสว่างเพียงสลัวให้มองเห็นใบหน้าคมคายสันกรามชัดและจมูกโด่งที่มักจะซุกซนแอบตวัดมาสูดแก้มหอมทุกครั้งที่มีโอกาส
“พี่ไม่อยู่หลายวัน...น้องพลูจะคิดถึงกันบ้างมั้ย?” น้ำเสียงอบอุ่นปนอ่อนหวานละลายใจทำให้คนฟังต้องหลบตาประกาย มือที่ถือถุงกระดาษบีบกันแน่นกว่าเดิมสกัดกลั้นอารมณ์ขัดเขิน
“ไปแค่อาทิตย์เดียวเอง...ไม่ทันจะคิดถึงหรอกค่ะ” คนตอบเสมองออกไปอีกทาง ชลธียิ้มกับกิริยาซ่อนความขวยอายไม่ค่อยจะมิดของคนตัวเล็ก
“เสียใจจัง...แต่พี่ต้องคิดถึงน้องพลูมากแน่ๆ ไม่มีใครคอยกวนใจมันก็เหงานะ”
“ไม่ดีเหรอคะ? พี่ชลน่าจะชอบนะ”
“ไม่ชอบ...” เขาส่ายหน้า “พี่ชอบถูกน้องพลูกวนมากกว่า มันเป็นนิสัยไปเสียแล้ว ถ้าวันไหนไม่มีเรื่องของน้องพลูมาทำให้ว้าวุ่นใจ...วันนั้นจะนอนหลับยากกว่าปรกติ” เขาพูดไปยิ้มไป แทนดาวเบ้ปากใส่
“ขอกอดให้อุ่นใจหน่อยนะคะ” ยังไม่ทันที่แทนดาวจะว่าอะไร เอวเล็กก็ถูกแขนแข็งแกร่งตวัดเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว จมูกโด่งกดแช่กับกลุ่มผมสวย เสียงสูดหายใจลึกราวกับจะกักตุนกลิ่นหอมจางๆเอาไว้ระลึกถึงยามอยู่ห่างไกล
“อื้อ...ปล่อยนะ! มากอดอะไรกันตรงนี้” คนตัวเล็กส่งเสียงประท้วงอู้อี้แต่ก็ไม่อาจผลักไสร่างแข็งแกร่งดุจกำแพงคอนกรีตอออกไปได้
“ดูแลตัวเองดีๆนะน้องพลู...แล้วพี่จะเฟสไทม์หาทุกวันเลย อยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ?” แขนแข็งแรงค่อยคลายนิดๆขณะดันตัวคนให้อ้อมแขนออกห่างเพื่อพิศมองดวงหน้างามพิศุทธิ์ นี่ขนาดยังไม่จากกันยังรู้สึกคิดถึงได้ขนาดนี้...
“ไม่หรอกค่ะ พี่ชลไปทำงานให้สนุกนะคะ อ้อ...นี่น้องพลูซื้อมาให้ ถึงอากาศที่โน่นจะไม่หนาวมากแต่เอาติดตัวไปเผื่อได้ใช้นะคะ” แทนดาวยื่นถุงกระดาษใบนั้นให้
“ขอบคุณครับ พี่ต้องได้ใช้แน่ๆ อย่างน้อยตอนอยู่บนเครื่องก็อาจจะทนแอร์เย็นๆไม่ไหวต้องเอาออกมาพันคอจะได้รู้สึกว่ากำลังกอดคนซื้อให้” คนพูดส่งสายตาระยับให้คนตัวเล็กที่ออกอาการคล้ายพะอืดพะอม
“อี๋...พี่ชลเนี่ยสงสัยจะดูละครมากไปแล้วนะ”
“รู้ด้วยเหรอ? ตั้งแต่คบน้องพลูนี่พี่หันมาสนในอ่านนิยายบ้าง ดูละครน้ำเน่าบ้างจะได้มีมุขเชยๆเอาไว้พูดกับน้องพลูไง มุขจีบสาวเลี่ยนๆแบบในนิยายน่ะ...มันคลาสสิคจะตายไป...จริงมั้ย?” คนตัวเล็กไม่ตอบแต่กลั้นอมยิ้มเอาไว้จนแก้มป่อง
“เอาล่ะ...ได้เวลา คิส คิส กันแล้ว” เข้าก้มหน้าลงมาใกล้เร่งให้คนตัวเล็กทำอย่างที่บอกแต่แทนดาวอิดออด ดูเถิด...จะมาขอให้ทำอะไรพิลึกๆกันในบ้านนี่น่ะหรือ
“ไม่เอา...เดี๋ยวพี่หมากเห็น”
“เร็ว...” เสียงสั่งการดุน้อยๆเมื่อคนตัวเล็กยังดื้อไม่ยอมตามใจ แทนดาวหันซ้ายหันขวาจนมั่นใจว่าไม่มีใครคอยสอดส่องก็เขย่งเท้าแตะจมูกกับแก้มสากเร็วๆแต่คนเจ้าเล่ห์หันหน้ากลับทันควันจนทำให้ริมฝีปากของทั้งคู่ชนกันเสี้ยววินาที
“จุ๊บ…” แทนดาวยกมือแตะริมฝีปากด้วยความคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเล่นไม่ซื่อ มือน้อยทุบที่ไหล่หนาดังผลั่ก
“พี่ชลอ่ะ!” ความตกใจระคนอายทำให้ใบพวงแก้มเนียนเกิดริ้วสีชมพู มือหนาคว้าข้อมือเล็กขึ้นจุมพิตแผ่วเบา ในวินาทีนั้นแทนดาวเหลือบไปเห็นท่อนแขนข้างซ้ายที่เคยมีรอยสักอักษรภาษาอังกฤษตัว ‘P’ แต่บัดนี้มันว่างเปล่า ทำให้เกิดความรู้สึกฟูฟ่องขึ้นในหัวใจอย่างประหลาด
“พี่ไม่ได้รังแกนะ...แต่เรามัวชักช้าหลบไม่ทันเอง” เขาตอบหน้าตาเฉย
“หาเรื่องตลอดเลยพี่ชลเนี่ย...ว่าแต่เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ”
“รู้มั้ย...นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พี่รู้สึกว่าไม่อยากเดินทางไกล ไม่ว่าจะไปเที่ยวหรือไปทำงาน...พี่ไม่อยากไปที่ไหนไกลๆน้องพลูเลย...มันคิดถึง”
เทียมภพหนวดกระตุกถี่ๆเมื่อเห็นว่าใครมาส่งรมณ์นลินที่บ้านตนในวันหยุดสุดสัปดาห์แสนสบายใจแบบนี้ ดูเหมือนว่าไอ้ที่พูดกับหล่อนไปเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าอย่าไว้วางใจหนุ่มแว่นมากแผนการคนนี้เห็นท่าจะไม่ได้ซึมซาบเข้าไปในหน่วยความจำสักนิด เขาไม่ชอบอชิตะและไม่ต้องการให้รมณ์นลินเข้าไปสนิทชิดเชื้อไม่ว่าจะฐานะอะไรก็ตาม
“วันนี้ไม่ตรวจคนไข้เหรอหมอ?” เทียมภพออกมาทักทายด้วยมาดกวนๆปนเอาเรื่องอย่างเคย ยิ่งพอเห็นหน้าซื่อๆสวมแว่นนี่ครั้งใดเป็นต้องหงุดหงิดบอกไม่ถูก
“ที่มานี่ก็มาตรวจคนไข้นี่แหละครับ ผมเอายาบำรุงมาให้อาธรรมแล้วก็จะมาดูคุณย่าด้วย คราวก่อนท่านบอกว่าเหนื่อยเวลาหายใจ พอดีทราบว่าวันนี้คุณแฟงต้องมาสอนที่นี่...ก็เลยไปรับมาจากโรงเรียน” อชิตะตอบสบายๆแล้วส่งสารพัดถุงให้แม่บ้านคนหนึ่งเอาไปเก็บ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นขนมนมเนยของชอบของน้องสาวทั้งนั้น
“ถ้าจะมาหาใบพลูก็ต้องบอกก่อนนะ...ว่าเสียใจด้วย ยัยพลูเรียนดนตรีเสร็จก็ต้องทำการบ้านอ่านหนังสือต่อ คงไม่มีเวลามาคุยเล่นกับหมอหรอกนะ” เทียมภพรีบดักคออีกฝ่าย
“ผมก็ไม่ได้บอกนี่ครับ...ว่ามาหาน้องพลู บอกแล้วว่ามาหาอาธรรมกับคุณย่า...ชัดเจนนะครับ” ถึงคนตอบจะตอบด้วยน้ำเสียงและกิริยาอาการเป็นปรกติแต่กลับยั่วยุต่อมโทสะคนฟังให้ระเบิดได้เกือบจะทันที
“แฟง...คุณเข้าบ้านไปก่อนเถอะ น้องพลูอาบอยู่ข้างบนเดี๋ยวคงจะลงมา” เขาหันไปบอกรมณ์นลินที่ยืนดูเชิงอย่างประหวั่นพรั่นพรึงแต่ก็ยอมไปโดยดีเพราะคิดว่าเทียมภพคงไม่วู่วามขนาดก่อเรื่องในบ้านตัวเอง
“ผมรู้นะว่าไอ้ที่หมอทำทั้งหมดนี่...ตั้งแต่เรื่องวันนั้น เป็นแผนใช่มั้ย?”
“แผนอะไรเหรอครับ?” อชิตะทำหน้างงๆกับคำถาม
“ก็แผนแอบเข้าถ้ำเสือกะจะลักพาลูกเสือไปเลี้ยงต้อยไงล่ะ”
“คิดมากไปแล้วมั้ง? ผมไม่เคยมีความคิดสิบแปดบวกแบบนั้นเลย ทำอะไร...ก็ชัดเจนตรงไปตรงมาอย่างที่เห็น คุณหมากอย่ามีอคติกับผมเลยครับ เก็บสมองเอาไว้คิดเรื่องงานดีกว่า” อชิตะพูดต่อเรื่อยๆโดยไม่สนใจท่าทีที่เริ่มเหมือนคิงคองโมโหหิวของคู่สนทนา
“ส่วนเรื่องรักๆใคร่ๆก็หัดปล่อยวางเสียบ้าง ปล่อยให้เป็นเรื่องของวัยรุ่นเค้าเถอะครับ”
“มึง!...คราวที่แล้วปล่อยไปเพราะเกรงใจพ่อแม่แกหรอกนะ แต่คราวนี้ไม่มีเมตตา” เทียมภพผลักอชิตะที่ยังไม่ทันตั้งหลักจนล้มลงก้นจ้ำเบ้ากับพื้นคอนกรีตแต่ไม่ถึงนาทีเขาก็ลุกขึ้นตั้งตัวอย่างระแวดระวัง
“คุณกับคุณชลธีนี่ชอบใช้วิธีอันธพาลไร้สมองกันทั้งคู่เลยนะ แต่ก็ไม่เป็นไร...ผมไม่เคยเกี่ยง” อชิตะหลบหมัดตรงๆที่พุ่งแหวกอากาศจวนเจียนเข้าเบ้าหน้าอย่างหวุดหวิดแล้วตวัดมือกลับไปที่ชายโครงคนเปิดเกม เทียมภพจุกจนร้องไม่ออก ถึงจะผ่านสังเวียนการเตะต่อยมานักต่อนักแต่ก็ดูเหมือนจะออกไปทางถนัดใช้กำลังเข้าแลกมากกว่าเจนจัดในเรื่องชั้นเชิง ผิดกับคู่ต่อสู้ที่กำลังประเมินคู่ซ้อมอย่างใจเย็น
“แก...กล้าสู้เหรอไอ้แว่น!” เทียมภพง้างขาจะเตะแต่ก็ถูกสกัดล้มแหงแก๋อยู่ตรงนั้น พอดีกับที่รมณ์นลินเดินออกมาดูทั้งคู่ด้วยความเป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องแล้วก็มีเรื่องจริงๆนั่นล่ะ
“น้องพลู!...แย่แล้วล่ะค่ะ พี่ชายของน้องพลูกำลังซ้อมแม่ไม้มวยไทยกับคุณอชิ” รมณ์นลินวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาบอกลูกศิษย์สาวที่เพิ่งจะออกจากห้องน้ำหมาดๆ
“หา!...” แทนดาวรีบวิ่งพรวดพราดลงมาทั้งๆที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย สวมเพียงเสื้อคลุมผ้าขนหนูกับผมเผ้าเปียกน้ำลู่แนบศีรษะ ไม่อาจทนอยู่เฉยๆได้อีกเมื่อได้รับรายงานข่าวที่ไม่ค่อยจะดีนัก นึกโมโหพี่ชายเจ้าอารมณ์ที่ชอบใช้กำลังโดยไม่ถามเหตุผล แต่ครั้งนี้ไม่คิดว่าแจ็คพอตจะมาตกที่นายแพทย์หนุ่มผู้แสนดีอย่างอชิตะ ไม่รู้ว่างานนี้จะได้เลือดได้แผลกันไปเท่าไหร่
ฝ่ายคู่ต่อสู้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดประลองฝีมือกันแต่อย่างใด ภาพที่สองสาวเห็นตรงหน้าก็คือสองหนุ่มรูปร่างใกล้เคียงกันกำลังกอดรัดนัวเนียไม่อายฟ้าดิน
“พอแล้ว...พี่หมากหยุด!” แทนดาวตะโกนร้อง อชิตะมองเห็นคนตัวเล็กกำลังจะเดินเข้ามาห้ามก็รีบปล่อยมือที่ยึดแขนของคู่ต่อสู้ไว้มั่นให้เป็นอิสระ เทียมภพคิดว่าอีกฝ่ายอ่อนแรงลงบวกกับรู้สึกได้เปรียบจึงรวบรวมกำลังสาวหมัดหมัดไปที่ครึ่งตาครึ่งคิ้วของฝ่ายตรงข้าม แต่อชิตะไม่ยอมยกมือขึ้นตั้งกาดหรือถ้าจะหลบเสียก็ไม่ยากนัก
“โอ๊ย!...” ผู้ถูกหมัดมฤตยูซัดเข้าเต็มๆเบ้าตาล้มพับพร้อมกับเสียงร้องโอดโอย แว่นตากรอบดำกระเด็นไปตกอีกทาง แทนดาวรีบเข้ามาประคองส่วนรมณ์นลินรีบไปรั้งตัวคนประเคนหมัดไม่ให้ตามไปซ้ำ
“ตายแล้วพี่อชิ! พี่หมากใจร้าย! ไปทำพี่อชิทำไม” แทนดาวยกมือปิดปากเมื่อเห็นเลือดสดไหลเป็นยางบอนออกจากหางคิ้วของอชิตะ
“อะไรกันน่ะ!” เสียงคุณลำเภาเดินออกมาดูโดยมีปลายเดือนประคองออกมา
“สงสัยจะเกิดศึกชิงนางกันค่ะ” ปลายเดือนพูดเยาะๆ งานนี้ชลธีคงเต้นเป็นเจ้าเข้าแน่ๆถ้ารู้ว่านายแพทย์หนุ่มคู่แข่งตัวฉกาจมากู้ลอบคู่หมายถึงบ้านจนถึงขั้นวางมวยกันเลยทีเดียว
เทียมภพขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นเคืองขณะจ้องมองคู่ต่อสู้ที่ทั้งน้องสาวคนรองและคนเล็กกำลังทำแผลให้ ดูอาการแล้วก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรจนต้องเอาใจกันขนาดนั้น เสียงร้องโอยเป็นระยะๆยามที่น้องสาวจิ้มสำลีเช็ดหยดเลือดก็เรียกอารมณ์หมั่นไส้ให้เกิดขึ้น
“ทำไมไม่คุยกันให้รู้เรื่องก่อนล่ะ? ดูสิ...ฟกช้ำดำเขียวกันไปหมด” คุณลำเภามองสองหนุ่มอย่างระอาใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหลานชายเจ้าอารมณ์ที่นิยมเจรจาพาทีกับคู่อริด้วยกำลัง
“ผมคงไปพูดจาไม่เข้าหูคุณหมากเข้า...ก็เลยเข้าใจผิดกัน” อชิตะตอบเสียงเบาแล้วลอบมองไปทางคนก่อเรื่อง
“อาขอโทษหมอจริงๆนะที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หมากเค้าเป็นคนใจร้อน” คุณเที่ยงธรรมพยายามขอโทษขอโพยแทนบุตรชายที่ดูท่าทางจะยังอัดแขกผู้มาเยือนไม่หนำใจ
“พ่อ...ผมเองก็เจ็บนะ” เทียมภพร้องประท้วงที่ใครๆเอาแต่รุมตำหนิตน แต่ว่าภาพสุดท้ายที่หลายคนเห็นประจักษ์แก่ตาก็คืออชิตะโดนหมัดพิฆาตของเทียมภพสอยจนร่วงไป
“เงียบเลยนะพี่หมาก! ดูหน้าคุณหมอสิ...โถ น้องพลูปิดพลาสเตอร์เร็วๆสิ” ปลายเดือนทำเสียงเวทนาไม่สมจริงนักเพราะใจลึกๆแล้วเรื่องนี้ทำให้เบิกบานใจเสียมากกว่า ส่วนเทียมภพไม่อาจะทนดูความมารยาเจ้าเล่ห์ของคนบาดเจ็บได้อีกต่อไป รีบลุกออกไปจากที่นั่นโดยเร็วแล้วไม่นานทุกคนก็ได้เยินเสียงติดเครื่องยนต์ดังกระหึ่มและนาทีต่อมาเจ้าม้าลำพองสีแดงเพลิงก็พุ่งทะยานพ้นประตูบ้านไปจนแทบมองไม่ทัน
ในเวลานั้นคงไม่ใครสังเกตเห็นรอยยิ้มซ่อนปริศนาของอชิตะ...
“เสร็จแล้วไปหาอาที่ห้องหนังสือก็แล้วกันนะ” คุณเที่ยงธรรมส่ายหน้ากับความเอาแต่ใจของบุตรชายแล้วเดินออกไป ปลายเดือนรีบประคองคุณลำเภาตามไปอีกคน
“พี่แฟงไปรอก่อนนะคะ น้องพลูเก็บของก่อน” แทนดาวบอกครูสาวเสียงอ่อยแล้วรีบเก็บหยูกยาลงกล่อง ความสำนึกผิดแทนพี่ชายยังท่วมท้นอยู่ในหัวใจ บุรุษตรงหน้าไม่ควรเลยที่จะต้องมาเจ็บตัวเพราะตน
แทนดาวยกมือแตะหางคิ้วของอชิตะอย่างระมัดระวังที่สุดเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาเจ็บมากไปกว่านี้ ดวงตาทรง
อัลมอนด์มีน้ำตาปริ่มจนแทบจะไหลล้นออกมาอยู่รอมร่อเพราะความสงสาร ไหนจะรอยช้ำจางๆตรงโหนกแก้มยิ่งทำให้รู้สึกผิดมากขึ้น เป็นเพราะตนเองคนเดียวที่ทำให้คนแสนดีอย่างเขาต้องมาเจ็บตัว
“พี่หมากทำเกินไปแล้ว น้องพลูโกรธจริงๆแล้วคราวนี้ พี่อชิอย่าเอาเรื่องพี่หมากเลยนะคะ” แทนดาวอ้อนวอนกึ่งขอร้อง มือเล็กจับข้อมือขาวสะอาดอย่างขอลุแก่โทษ
“น้องพลูสบายใจเถอะนะ...พี่ไม่คิดจะแจ้งความเอาผิดอะไรหรอก บางทีลูกผู้ชายมันก็ต้องมีการใช้กำลังในการตัดสินข้อขัดแย้ง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน...พี่เข้าใจหัวอกของพี่ชายที่หวงน้องสาวคนเดียว ถ้าพี่มีน้องน่ารักๆแบบน้องพลู...ก็คงจะหวงมาก...อาจจะมากยิ่งกว่า” อชิตะเปลี่ยนมาจับมือนุ่มนิ่มที่ยึดข้อมือของตนไว้แล้วสบสายตาหวาดหวั่นอย่างเข้าอกเข้าใจเจือด้วยความหมายบางอย่างอยู่ในที
“น้องพลูเสียใจจริงๆนะคะ ไม่รู้จะขอโทษพี่อชิยังไงดี” แทนดาวยังคงเป็นกังวลในความผิดที่พี่ชายอารมณ์ร้อนก่อ
“อย่าคิดมากสิครับ...ว่าแต่น้องพลูต้องไปให้กำลังพี่แข่งกอล์ฟด้วยนะ” หมอหนุ่มมองหน้าสาวน้อยอย่างต้องการคำตอบ แทนดาวคิดหนักที่จะตกปากรับคำ ถึงจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรเสียหายเพราะไม่ได้ไปกันสองต่อสองแต่หล่อนก็ห่วงใยความรู้สึกของชลธีมากกว่า
“น้องพลูต้องถามพี่ชลก่อนค่ะ” แทนดาวตอบออกไปตรงๆ
“อะไรกัน...พี่เราก็ไปด้วย ทำไมต้องไปถามเค้าด้วยล่ะ?” อชิตะถามพลางมองมือนุ่มนิ่มที่กุมอยู่ แทนดาวรู้สึกตัวจึงรีบดึงมือกลับมาประสานไว้บนตักอย่างเดิม
“ก็...น้องพลูเป็นแฟนพี่ชล” เสียงตอบเบาหวิวแทบจะไม่ได้ยิน ถึงอย่างไรก็ยังกระดากและไม่ชินปากที่จะเรียกเขาว่าแฟนเสียที นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่เขาแวะมาล่ำลาก่อนจะเดินทางทางไกล ได้จุมพิตเล็กๆที่อาจจะเรียกได้ไม่เต็มปากนักว่าจุมพิตเพราะเพียงแค่สัมผัสกันไม่ถึงหนึ่งวินาทีแต่ก็สามารถก็ทำให้หัวใจดวงน้อยๆเริ่มเต้นแรง
“น้องพลูรักเค้าเหรอ?” อชิตะมองลึกลงไปในดวงตาสีดำคลับดุจท้องฟ้ายามย่ำคืน ในประกายตาดุจดาวเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจที่ปรากฏชัด
“อยู่ในช่วงศึกษาทำความรู้จักกันค่ะ น้องพลูคงบอกอะไรมากกว่านี้ไม่ได้” แทนดาวไม่อาจตอบคำถามนี้ได้ตรงๆหรอก ด้วยความที่ถูกอบรมเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวดก็เลยไม่กล้าที่จะพูดถึงเรื่องรักใคร่เชิงชู้สาวจนเกินงาม
“เพราะอย่างนี้นี่เอง...พี่ว่าเรื่องที่ทำให้น้องพลูคิดไม่ตกเสียทีก็คงเป็นเพราะการประกาศหมั้นกะทันหัน น้องพลูก็เลยรู้สึกเหมือนถูกผูกมัดแถมถูกยัดเยียดให้ใช้คำว่าแฟนตั้งแต่นั้นมา” อชิตะเดาสิ่งที่ซ่อนอยู่ในประกายตาของคนตรงหน้าแทนดาวออกจะตกใจความความคิดลึกล้ำนี้มากกว่า
“ยังจำที่พี่เคยบอกเมื่อครั้งแรกๆที่เรารู้จักกันได้มั้ย? ว่ายังมีเวลาอีกมากที่จะแก้ไขปัญหานี้” แทนดาวมองดวงตาหลังกรอบแว่นสีดำอย่างค้นหาว่าบุรุษตรงหน้าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่
“น้องพลูเข้าใจเจตนาของพี่อชินะคะ แต่ว่าน้องพลูมีแฟนแล้ว...พี่อชิไม่ควรเสียจะเวลา ดูสิ...ต้องมาเจ็บตัวเปล่าๆ” แทนดาวพยายามคัดค้านในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังกระทำ
“อย่าเพิ่งปิดใจสิครับ...ถ้าน้องพลูบอกว่ากำลังศึกษาดูใจกันอยู่แล้วทำไมไม่ลองศึกษาคนอื่นบ้างล่ะ”
“พี่อชิ!”
“ชลธีทำสิ่งที่เห็นแก่ตัวมากมาตั้งแต่แรกโดยการผูกมัดน้องพลูด้วยวิธีมัดมือชก แต่พี่...จะทำให้น้องพลูค่อยๆรักจนไม่อาจที่จะขัดขืนหัวใจตัวเองได้เช่นกัน”
วันที่สี่ของการมาทำงานในต่างบ้านต่างเมืองทำให้ชลธีรู้สึกว้าเหว่สุดหัวใจ ผิดกับแต่ก่อนที่ไม่เคยรู้สึกว่าอยากจะกลับแต่บ้านมากเท่าคราวนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะงานประชุมยาวนานที่ออกจะน่าเบื่อหน่ายที่ผ่านไปในแต่ละวันหรือเป็นเพราะว่าความคิดถึงที่มีต่อใครบางคนทำให้อยากกลับอยู่ทุกลมหายใจ
พอเสร็จจากสัมมนาตอนเที่ยงวันพอดีทางทีมก็ตกลงกันว่าจะมาออกมาเดินท่องเมืองซานฟรานซิสโก ต่างคนต่างแยกย้ายเดินสำรวจร้านรวงต่างๆตามอัธยาศัย ถึงแม้ว่าสภาพอากาศจะไม่หนาวเย็นแต่ชลธีก็เอาผ้าพันคอสีน้ำเงินลายดาวที่คนแสนงอนซื้อให้มาคล้องคอไว้ เขาใช้เวลาเดินเลือกสินค้าของที่ระลึกอยู่ในร้านแห่งหนึ่งได้สักพักใหญ่แล้ว ในตะกร้าช้อปปิ้งเต็มไปด้วยลูกกวาดและช็อคโกแลตหลากรสชาติที่ตั้งใจซื้อไปฝากพนักงานและคนที่บ้าน ส่วนอีกตะกร้าเต็มไปของที่ระลึกน่ารักที่ซื้อไปฝากสาวน้อยที่เฝ้าถวิลหาตั้งแต่มาถึงที่นี่
“ซื้ออะไรไปเยอะแยะคะนั่น?” เสียงร้องทักจากเปรมยุตาดังขึ้น หล่อนเดินมาพร้อมกับผู้จัดการฝ่ายตลาด
“ก็พวกขนมน่ะครับ พวกเด็กๆชอบกินกัน แล้วนั่น...คุณปรางกับคุณหมวยไปเหมาร้านเครื่องสำอางกันมาเหรอ?” เขาถามกลับเมื่อเห็นสองสาวหิ้วถุงช้อปปิ้งเต็มสองมือ
“พวกเด็กๆฝากซื้อค่ะ ของตัวเองมีไม่กี่ชิ้นนอกนั้นซื้อฝากกับฝากซื้อค่ะ”
“คุณหมวยน่าจะเปิดรับพรีออเดอร์เสียเลย” ชลธีแซวกลับทำให้ผู้จัดการสาวใหญ่ยิ้มกว้าง ร้อยวันพันปีไม่เคยจะเห็นบอสใหญ่คนนี้พูดจาเล่นหัวกับใครหรอก แต่พักหลังตั้งแต่มีแฟนเป็นสาวน้อยน่ารักคนนั้นก็รู้สึกว่าเจ้านายผู้เคร่งขรึมเย็นชาดูจะมีชีวิตชีวาและอารมณ์ขันมากกว่าเดิม
“ถ้าทำได้นี่พี่หมวยรวยไปนานแล้วค่ะ ว่าแต่...ของน่ารักๆทั้งนั้นเลยนะคะ นี่เอาไปฝากคุณแฟงกับคุณน้องใบพลูใช่มั้ยคะ?” สาวใหญ่คนเดิมคุ้ยดูของในตะกร้าของบอสใหญ่ก็เห็นว่ามีพวงกุญแจ ถุงมือ ผ้าพันคอ ตุ๊กตาและเครื่องประดับหลายชิ้นซึ่งทุกชิ้นล้วนเป็นสีชมพู
“ก็...ให้ใบพลู ส่วนแฟงเค้าไม่อยากได้อะไรเลยรอบนี้ก็เลยซื้อไปแต่พวกขนม”
“น่ารักจังเลยนะคะ พี่หมวยอยากให้ถึงวันแต่งงานคุณชลเร็วๆจัง” ผู้จัดการสาวใหญ่ยังคงเม้าท์ต่ออย่างสนุกปากจนทำให้อีกคนที่ยืนอยู่ด้วยหน้าตึงขึ้นมาทันที
“คุณหมวยก็อย่าแซวเจ้านายมากสิคะ ดูสิ...เขินจะแย่แล้ว” เปรมยุตาที่ยืนเงียบอยู่นานขัดขึ้น หล่อนไม่อยากได้ยินใครพูดถึงว่าที่คู่หมั้นของอดีตคนรักในเวลาที่มีโอกาสมากับเขาไกลตั้งครึ่งโลก
“ชลคะ...เดี๋ยวปรางกับคุณหมวยจะไปดื่มชากันฝั่งโน้น คุณอาร์มกับคุณนาตาชาไปรออยู่ก่อนแล้ว ชลจะไปด้วยมั้ย?”
“เดี๋ยวผมตามไปก็แล้วกัน หาซื้อของให้น้องพลูอีกเดี๋ยว...ยังได้ไม่ครบเลย” เขาตอบเรียบๆแล้วหันกลับไปเลือกของต่อ เปรมยุตาหน้านิ่งสนิท
ในตอนค่ำวันเดียวกันทั้งหมดก็มานั่งดื่มผ่อนคลายความเมื่อยล้ากันที่ไนต์คลับภายในโรงแรมที่พัก บอสใหญ่ทั้งสามคนสั่งเครื่องดื่มมึนเมามาหลายชนิดแต่ชลธีเลือกที่จะจิบไวน์เบาๆ บทสนทนาดำเนินไปได้สักพักเขาก็ขอตัวออกมาโทรหาคนที่อยู่เมืองไทยแต่ว่าหล่อนไม่รับสายก็เลยแค่พิมพ์ข้อความสั้นๆทิ้งไว้ว่าออกมานั่งดื่มกับเพื่อนๆ
“ดื่มด้วยกันอีกแก้วสิคะ....ของปรางยังไม่หมดเลย” ชลธีอยากปฏิเสธเพราะตั้งแต่มานั่งก็ดื่มไปหลายแก้วแล้ว ชักรู้สึกมึนนิดๆแล้วด้วย
“ไม่ไหวแล้วล่ะปราง พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”
“อีกแก้วเดียวน่าคุณชล...จะได้หลับสบาย ดูคุณนาตาชาสิ...ขนาดเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆยังซัดวอดก้าไปครึ่งขวด ดูสิ...ยังนั่งนิ่งอยู่เลย” หนึ่งในบอสใหญ่ที่มาด้วยกันคะยั้นคะยอ
“ไม่ทันเมาหรอกค่ะ อีกแก้วเดียวเอง...นะคะ” เปรมยุตาส่งแก้วบรรจุน้ำสีอำพันให้อีกครั้ง ชลธีจำใจจรดแก้วบางใสที่ริมฝีปากและดื่มของเหลวสีเหลืองแก่รวดเดียวจนหมดเพื่อให้จบๆไป กองเชียร์ต่างหัวเราะชอบใจแต่ทว่าหลังจากนั้นมันไม่ได้จบที่แก้วเดียวอย่างที่ตั้งใจ ทั้งไวน์ทั้งเหล้าถูกส่งเข้าปากเรื่อยๆจนกึ่มได้ที่
“เอาล่ะ...ผมต้องกลับห้องเสียที เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” เขาบอกลาทุกคนแล้วรีบเดินออกมาเพราะรู้สึกถึงอาการมึนที่ควบคุมลำบาก เปรมยุตาตามมาติดๆ
“ชลคะ...งั้นขึ้นไปด้วยกันเลยดีกว่า” ชายหนุ่มพยักหน้า ระหว่างทางที่เดินกลับมาก็ต้องคอยเบือนหน้าหนีหลบสายตาแปลกๆจากเปรมยุตาที่ทอดส่งมาเป็นระยะ
“ชล...ไหวมั้ยเนี่ย? ดูสิ...เหงื่อเต็มเลย” ฝ่ามืออุ่นๆเช็ดไปตามเม็ดเหงื่อผุดพรายบนใบหน้าหล่อเหลา ชลธีหันหน้าหนีโดยเร็วทำให้คนที่กำลังพยายามเช็ดเหงื่อหน้าสลดลง
“ผม...รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย เอาล่ะ...ผมไปนอนก่อนนะ” เขาบอกพร้อมกับเสียบคีย์การ์ดเปิดประตูเข้าห้องไปโดยเร็วแต่ก็ไม่ทันที่เปรมยุตารั้งประตูไว้แล้วก้าวตามเข้ามา
“ว่าแต่ว่า...ชลไม่ได้เป็นอะไรมากใช่มั้ยคะ?” แววตาของคนถามเต็มเปี่ยมไปด้วยประกายลึกล้ำประหลาด
“เดี๋ยวผมไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อยก็คงจะดีขึ้น สงสัยดื่มมากไปหน่อย มากับคุณอาร์มทีไร...โดนมอมทุกที” เขายังพยายามพูดติดตลก
“ปรางกลับไปพักผ่อนเถอะ” เขาบอกห้วนๆแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าเพื่อให้สร่างขึ้น เปรมยุตาไม่ยอมกลับออกไปแต่ยิ้มเย็นแล้วปิดประตูห้องลงอย่างเบามือ
พอออกจากห้องน้ำชลธีก็ผงะเมื่อยังเห็นเปรมยุตาอยู่ในห้อง พยายามกระพริบตาหลายๆครั้งเผื่อว่ามันอาจจะแค่ตาฝาดไปแต่หล่อนก็ยังนั่งอยู่ที่ปลายเตียงและกำลังมองกลับมาด้วยสายตาหยาดเยิ้มจนไม่อยากให้หล่อนมาอยู่ใกล้ๆในเวลาอย่างนี้เลย
“ปราง...ทำไมคุณยังไม่ไปอีก!” เขาถามเสียงดังขณะพยายามข่มอารมณ์บางอย่างที่กำลังก่อตัวควบคู่กับความมึนเมา
“ปรางเป็นห่วงคุณมาก...เลยตามมาดูแลไง?” เปรมยุตาตอบเสียงหวานรัญจวนแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปหาช้าๆ
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก ออกไปก่อนเถอะ...ผมอยากนอนแล้ว” ชลธีเบือนหน้าหนีเมื่อหล่อนเอามืออุ่นๆปาดหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนแก้มแผ่วเบาแล้วก็ต้องสะดุ้งแรงเมื่อปลายนิ้วเรียวสวยค่อยๆไล้ไปทั่วแผงอกตึงแน่นเปลือยเปล่า
“ปรางดีใจจังที่เรามีโอกาสได้อยู่ด้วยกันแบบนี้อีก” หล่อนกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า ชลธีเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวเป็นก้อนพายุที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งให้กระจุยกระจาย
“ไม่เอานะปราง...” เขาเรียกสติทั้งของตนเองและคนที่กำลังตวัดแขนเรียวกอดตัวอยู่แนบแน่น อกอวบหยุ่นบดเบียดแผงอกกำยำอย่างจงใจปลุกเร้า
“อย่าไล่กันเลยนะคะ คืนนี้ให้ปรางอยู่เป็นเพื่อนนะคะ” เขากำลังจะเอ่ยปากห้ามแต่ก็ต้องกลืนคำๆนั้นลงคอเมื่อถูกริมฝีปากบางเบาเข้าครอบครองอย่างช่ำชอง ชลธีต้านมันไม่อยู่อีกต่อไปแล้วและรู้ตัวว่ากำลังจะพ่ายแพ้ให้แก่สำนึกส่วนเลวภายใต้อิทธิพลของอารมณ์ดำฤษณา เขาไม่อาจฝืนให้มือตัวเองที่ค่อยๆเลื่อนขึ้นมาโอบเอวบางเอาไว้ก่อนจะรัดแน่นขึ้นขณะตอบรับจุมพิตอันเย้ายวนและเชิญชวน
“ปราง...ไม่ได้นะ มันไม่ถูกต้อง” ชลธีฝืนตัวเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากร้อนๆเมื่อรู้สึกว่าแผ่นหลังกระทบฟูกนิ่มๆ เขาพยายามดันตัวอีกฝ่ายออกแต่หล่อนก็โอบรัดรอบคอไว้แน่นหนา มือเรียวเลื่อนไล้มายังอกเปลือยอีกครั้ง
“อย่ากังวลไปเลย...ปรางเต็มใจให้คุณทุกอย่างเพราะว่าปรางรักคุณค่ะ...ชล” น้ำเสียงหวานกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูผสมผสานกับแววตาเศร้าหมองหากแต่เปี่ยมไปด้วยความรักจ้องมองลึกลงไปในดวงตาสีเหล็กราวกับจะใช้มันช่วยรื้อฟื้นวันเวลาเก่าๆที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ด้วยกันอย่างนี้ แต่ชลธีกลับคิดอะไรไม่ออกนอกจากมองร่างอุ่นที่กำลังปลดเปลื้องอาภรณ์ท่อนล่างออกไปจากร่างของเขาอย่างใจเย็น สายตาพร่ามัวและสติที่ไม่เต็มร้อยทำให้เห็นเพียงสตรีคนหนึ่งที่ไม่รู้จักกันแต่กำลังจะกระทำกิจบางอย่างร่วมกันเพียงแค่นั้น
ชลธีสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างเนียนละมุนที่ทาบทับอยู่บนตัวแนบสนิททุกส่วนจนอณูอากาศไม่สามารถเล็ดลอดผ่านไปได้ เขากัดฟันข่มกลั้นอารมณ์เมื่อริมฝีกปากบางจูบไล้ไปตามไรคาง ซอกคอและลิ้มเลียตรงแผ่นอกหนาแน่นอย่างชำนิชำนาญ หากแต่ทนได้แค่เพียงไม่กี่นาทีเขาก็เป็นฝ่ายพลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบนและ ‘ตอบโต้’ เฉกเช่นเดียวกับที่หล่อนทำเมื่อครู่
“น้องพลู…” เสียงครางเผลอเรียกชื่อสตรีที่เป็นดวงดาวในดวงใจออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยว่าสตรีที่นอนใต้ร่างตนเองตอนนี้มิใช่สาวน้อยนัยน์ตาดุจดาวคนนั้น เขารู้เพียงแต่ว่าตอนนี้ต้องการปลดปล่อย...ต้องปลดปล่อยความกำหนัดอันพึงมีในตัวบุรุษตามธรรมชาติที่ถูกยั่วยุปลุกปั่นจนแทบมิอาจต้านทานพายุดำฤษณาที่กำลังกรรโชกแรง
มันเป็นทางเดียวที่จะดับอารมณ์พุ่งพล่านอย่างกับไฟนรกโลกันต์ของเขาได้!...
ชลธีมิใช่คนมักมากในกามารมณ์...และมิใช่รูปั้นปูนแข็งแต่ก็มีความยับยั้งชั่งใจมากพอเว้นเสียแต่ว่าจะถูกปลุกปั่นด้วยอุบายและวิธีสกปรกจนเขาไม่อาจทานทนกับความทุกข์ทรมานทางกายอย่างเช่นเวลานี้ที่อารมณ์ใคร่เสน่หาไหลเรื่อยร้อนแรงแรงดุจลาวาภูเขาไฟเมื่ออาภรณ์ชิ้นสุดท้ายของใครคนหนึ่งถูกปลดเปลื้องออกไปในที่สุด!
“นี่คือบทพิสูจน์แรกใช่มั้ยคะ?”
เสียงใสๆดังแว่วมาจากแดนไกล เสียงนี้กังวานจับจิตใจถึงแม้จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของน้ำเมาดีกรีแรงที่สุดก็ยังจำได้ นันย์ตาสีเหล็กที่ฉาบไปด้วยประกายราคะและมึนเมากลับค่อยๆมองเห็นภาพต่างๆแจ่มชัดขึ้นแล้วแทนที่ด้วยความปวดหนึบที่ศีรษะ ร่างเปลือยเปล่าที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับรสสัมผัสจากร่างกายกำยำก็ดูเหมือนจะชะงักงันไปกับการเปลี่ยนแปลงอารมณ์กะทันหัน
“เรามาไกลกันเกินไปหน่อยแล้ว” เขาพูดพึมพำแล้วรีบพลิกตัวลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว คว้าเสื้อผ้ามาสวมอย่างรีบรนแล้วออกจากห้องไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองคนที่นั่งอารมณ์ค้างอยู่บนเตียงแม้แต่น้อย
เครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กส่งเสียงดังปลุกให้เปรมยุตาที่ยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องเดิมเดินไปหยิบโทรศัพท์ของชลธีบนโต๊ะหัวเตียงที่ฝ่ายนั้นลืมหยิบติดตัวไปด้วย พอเห็นชื่อคนโทรเข้าแสดงบนหน้าจอก็กระตุกยิ้มบางๆที่มุมปากก่อนจะกดรับสาย
“สวัสดีค่ะน้องพลู”
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่า...นั่นพี่ปรางกำลังพูดใช่มั้ยคะ?” แทนดาวแปลกใจที่คนรับไม่ใช่เขา เสียงผู้หญิงที่คุ้นหูแต่ว่าไม่อยากจะเดาเลยว่าเป็นใครเลยลองถามออกไป
“พี่ปรางเองค่ะ หวังว่าน้องพลูคงจำได้” แทนดาวเริ่มเอะใจที่เปรมยุตารับโทรศัพท์ของเขาในเวลานี้
“อ้อ...จำได้ค่ะ ว่าแต่ว่าพี่ชลอยู่แถวๆนั้นหรือเปล่าคะ? พอดีพี่ชลโทรมาเมื่อช่วงหัวค่ำแต่ว่าน้องพลูไม่ได้รับก็เลยโทรกลับมาค่ะ” แทนดาวพยายามทำเสียงให้เป็นปรกติแต่เปรมยุตาจับได้ว่ามันสั่นเครือน้อยๆซึ่งเป็นที่พอใจสำหรับตัวเองอย่างมาก
“ขอโทษทีค่ะ สงสัยตอนที่น้องพลูโทรมาเรายังนั่งกันอยู่ในผับ แต่ตอนนี้ชลเค้ายังนอนหลับอยู่เลย...จะให้ปลุกมั้ยคะ? นอนอยู่ข้างๆพี่เอง” แทนดาวตัวชากับคำตอบ ‘นอนอยู่ข้างๆ’ นั้นแปลความหมายตรงตัวได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถึงจะถูกเลี้ยงมาแบบไข่ในหินแต่ก็มิได้ใสซื่อโลกสวยจนคิดว่าสองคนนั่นนอนจับมือดูดาวกันเฉยๆเป็นแน่
“งั้นหรือคะ? ถะ...ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ ฝากบอกพี่ชลด้วยก็แล้วกันว่าน้องพลูโทรมา” มือน้อยๆสั่นเทาขณะกดตัดสาย หยาดน้ำตาเม็ดโตค่อยๆไหลรินเรื่อยผ่านแก้มบางอย่างห้ามไม่อยู่ พยายามคิดในแง่ดีว่ามันคงจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเหมือนคราวก่อน พวกเขาอาจจะไม่ได้อยู่กันตามลำพังก็เป็นได้ แต่ทำไมหนอ...หัวใจเจ้ากรรมมันถึงเจ็บแปลบปลาบเมื่อคิดว่าก็อาจเป็นไปได้ที่ทั้งคู่จะอยู่กันตามลำพัง
“ต้องเชื่อใจเค้าสิ...นี่คือบทพิสูจน์ความไว้วางใจ” แทนดาวปลอบตัวเอง
แม้จะเพิ่งเริ่มต้นคบหาศึกษาดูใจกันหรือพบปะกันนับครั้งได้ แต่เขาเองมิใช่หรือ...ที่พาตัวเองเข้ามาในชีวิตและผูกพันหล่อนไว้ด้วยการขอหมั้น ถึงจะยังไม่ได้ทำพิธีอย่างเป็นทางการเพราะยังติดว่าต้องรอเรียนจบก่อน แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนแล้วมิใช่หรือว่าทั้งคู่ต้องเกี่ยวดองกันในไม่ช้า หาไม่แล้วจะมาตีตราเอาไว้ก่อนทำไมถ้ายังตัดใจจากคนรักเก่าไม่ได้ เขาเองมิใช่หรือ...ที่ค่อยซึมแทรกเข้ามาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แล้วหล่อนเล่า...เขาจัดสรรให้อยู่ตรงส่วนไหน?
แทนดาวยังคงจ้องมองโทรศัพท์ในมืออย่างฟุ้งซ่าน อดคิดต่ออีกไม่ได้ว่าชลธีคิดจะจับปลาสองมือหรือแค่คบหล่อนไว้ประดับบารมีให้คนอื่นๆรู้ว่าตัวแน่แค่ไหนที่สามารถล้วงคองูเห่าอย่างเทียมภพ คว้าตัวน้องสาวที่แสนจะหวงแหนมาครอบครองได้ ที่แย่ไปกว่านั้น....จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เขาเพียงแค่ต้องการเอาตัวเข้ามาพัวพันเพื่อหาทางครอบครองกิจการของทวีกิจ เพราะนอกเหนือจากการทำให้ตัวเองได้มีชื่อในบัญชีผู้ถือหุ้นเกินครึ่งแล้ว...ยังได้ตัวทายาทคนเล็กของตระกูลมาและกำลังรอเวลาที่จะรวบรวมกิจการของทวีกิจเป็นของตัวโดยสมบูรณ์ในเร็ววัน!
“จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง ลึกยิ่งกว่ามหาสมุทรที่ลึกที่สุด” แทนดาวบอกกับตัวเองแล้วซบหน้ากับฝ่ามือ
“ฮือ...พี่ชล” สุดจะกลั้นน้ำตาที่ปริ่มล้นจนในที่สุดก็ต้องยอมปล่อยให้ทำนบหยาดน้ำใสแตกร้าว ถ้าหากว่าการเดินทางของเขาครั้งนี้คือการกลับไปสานสัมพันธ์รักครั้งเก่าจริงๆ หล่อนจะทำตัวอย่างไรถ้าเขากลับมาพร้อมกับการบอกยุติความสัมพันธ์ที่กำลังก่อตัว
โอ...หัวใจดวงน้อยที่ไม่เคยมีบาดแผลจากความรักจะรับมืออย่างไรดี? ความเจ็บปวดจากพิษของมันจะเจ็บเจียนจะตายอย่างที่พร่ำพรรณนาในนิยายหรือเปล่าหนอ...
เกือบค่อนคืนที่ชลธีหนีมาสงบสติอารมณ์อยู่ข้างนอกจนคิดว่าสร่างเมาระดับหนึ่งแล้วก็กลับขึ้นห้องแต่ก็ยังคงแปลกใจติดออกจะโกรธที่ยังเห็นเปรมยุตานั่งรออยู่ หล่อนสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยและกำลังดูทีวีอย่างสบายใจบนเตียงนุ่มที่เมื่อคู่เกือบจะกลายเป็นสังเวียนประลองความกำหนัดเสน่หา
“คุณต้องการอะไรกันแน่ปราง?” เขาถามเสียงห้วนจะแทบเป็นตะคอก
“ต้องการคุณค่ะ...สิ่งเดียวที่ปรางต้องการคือคุณ” เปรมยุตายิ้มเย็นๆให้อย่างไม่สะทกสะท้านกับอารมณ์กราดเกรี้ยวนั้น
“ผมไม่มีอะไรจะให้หรอก...นอกจากความว่างเปล่า ออกไปได้แล้ว...อย่าให้ผมต้องใช้กำลัง” เขาบอกเสียงเยียบเย็นและเหี้ยมเกรียมจนคนฟังใจหายแต่ก็ยังทำใจแข็ง
“แหม...ใจร้ายจังนะคะ ต่างกับเมื่อกี้ลิบลับเลย จูบของคุณยังเร่าร้อนเหมือนเดิมเลยนะคะ” เปรมยุตาแสร้งพูดยั่ว
“งั้นหรือ? ขอโทษทีนะที่ทำให้คุณอารมณ์ค้าง หวังว่าจะไม่โกรธกัน เอาตรงๆนะ...ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นผมคงไปต่อจนจบเกม แต่กับคุณ...ผมฝืนทำไม่ได้จริงๆ” ขาดคำเปรมยุตาก็สะบัดฝ่ามือตบที่หน้าคมคายอย่างแรงจนหน้าหัน
“คุณมันปากแข็ง คนใจร้าย...ปรางไม่เชื่อหรอกว่าคุณลืมปรางได้หมดหัวใจแล้วจริงๆ คุณแค่แก้แค้นเท่านั้น!” เปรมยุตาตวาดก้อง น้ำตาพรั่งพรูออกมาด้วยความโกรธผสมอายที่โดนดูถูก
“เชื่อผมเถอะ...ว่ามันหมดแล้วจริงๆ หมดทุกสิ่งทุกอย่าง” ชลธีเน้นคำหนักแน่นพร้อมกับยื่นท่อนแขนข้างซ้ายที่เคยมีรอยสักอักษรย่อชื่อของหล่อนที่บัดนี้มันว่างเปล่า แม้จะเห็นรอยลบจางๆบนผิวหนังแต่อีกไม่นานนักก็จะเลือนหายไป เปรมยุตามองมันด้วยสายตาแห่งความปวดร้าวจนไม่อาจทนเก็บกลั้น
“ถ้าอย่างนั้นปรางก็ขอให้คุณสุขสมหวังกับรักครั้งใหม่ก็แล้วกันนะคะ อ้อ...ตอนที่คุณหลับอยู่น่ะ คู่หมั้นเด็กของคุณโทรมา ปรางเลยบอกเธอไปเรียบร้อยว่าเราอยู่ด้วยกัน คุณเตรียมคำอธิบายดีๆไว้หรือยังล่ะ?” หล่อนพูดเยาะๆพลางปาดน้ำตาออกจากใบหน้าสวยที่บัดนี้มันแดงช้ำ ชลธีนิ่งไปนิดหนึ่ง ความโกรธแล่นขึ้นมาอีกจนห้ามไม่อยู่ ตรงเข้าไปกระชากแขนหล่อนและออกแรงบีบมันอย่างแรงจนอีกฝ่ายเบ้หน้าด้วยความเจ็บ
“ขอบใจมากนะ! แต่ผมจะให้คุณยุ่งกับเธอได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะ ถ้าผมรู้หรือเห็นว่าคุณไปทำอะไรให้เธอไม่สบายใจอีก...คุณจะไม่ได้อยู่เป็นสุขแน่ๆ!” แล้วเหวี่ยงหล่อนออกไปนอกห้อง ได้ยินเสียงกรี๊ดดังสนั่นไล่ตามหลังมาพร้อมกับประตูที่ถูกกระชากปิดดังปัง!
เทียมภพลอบสังเกตการเอาอกเอาใจของนายแพทย์หนุ่มที่กำลังปฏิบัติต่อน้องสาวแล้วก็นึกขัดหูขัดตา ไอ้ครั้นจะห้ามปรามออกนอกหน้าเกินไปก็เกรงอกเกรงใจญาติผู้ใหญ่ ก็เลยคอยสอดส่องอีกฝ่ายไม่ให้ใกล้ชิดกับแทนดาวมากนัก ทั้งยังสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมปล่อยคนรอยหยักสมองเยอะคนนี้ให้ขายขนมจีบน้องสาวสุดหวงอย่างสบายใจแน่ๆ
“คุณหมากหน้าตาดูไม่สบายเลยนะ ป่วยเหรอครับ? หรือว่ากินของขมเข้าไป” อชิตะถามอย่างสุภาพเมื่อสังเกตว่าอีกฝ่ายเอาแต่ทำหน้าตาเหมือนหมีกินรังแตนแถมยังจ้องเขม็งมาที่ตนยู่ตลอดเวลา
“เปล่า...แต่เหม็น เหม็นปลาหมึกหนวดอยู่ไม่สุขไต่ไปเรื่อย มันน่าตัดหนวดทิ้งนัก” เทียมภพว่าเหน็บคนถามที่คอยตักโน่นตักนี่ส่งข้ามโต๊ะให้น้องสาวอยู่แทบจะตลอดเวลา
“งั้นลองกินไข่หอยเม่นมั้ยครับ? ไม่เหม็น...แต่หนามมันเยอะระวังจะตำปากได้” หมอหนุ่มถามทีเล่นทีจริง คนถูกถามถลึงตาอย่างไม่พอใจที่โดนตอกกลับ
“พี่หมากขา...แกะปูให้หน่อย” แทนดาวยื่นก้ามปูนึ่งก้ามโตให้พี่ชายเพื่อเบี่ยงความสนใจไม่ให้ไปหาเรื่องคนอื่น“วันนี้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ผมก็เลยมีข่าวมาประชาสัมพันธ์” อชิตะเริ่มหัวข้อใหม่เมื่อจอมหาเรื่องหันไปต่อสู้
กับก้ามปูอย่างดุเดือดเหมือนกับมันคือคู่ต่อสู้ที่จะต้องฆ่าให้ตายสนิท
“พอดีช่วงหยุดยาวสิ้นเดือนนี้จะมีแข่งกอล์ฟการกุศลหาเงินสร้างตึกผู้ป่วยใหม่ให้โรงพยาบาลต่างจังหวัด กลุ่มโรงพยาบาลในเครือเป็นเจ้าภาพจัดงาน...ก็เลยอยากจะชวนคุณลุงเผื่อจะสนใจ”
“น่าสนใจดี...แต่ติดที่ว่าลุงยังเดินเหินยังไม่ค่อยแข็งแรง ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ไปออกรอบกับคุณชัยบ่อยๆ” คุณเที่ยงธรรมบอกแล้วหันมาคุยกับบุตรชาย
“หมากล่ะ...สนใจหรือเปล่า? ไปออกรอบกับหมอเค้าสิ”
“ดีเหมือนกันนะหมาก...แม่อยากจะทำบุญด้วย” คุณดวงทิพย์หันเห็นด้วย เทียมภพคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตกปากรับคำเพราะเห็นว่าจะได้ทำบุญและเป็นการโปรโมทบริษัทไปในตัว
“ก็ได้...ผมจะช่วยเป็นสปอนเซอร์ในนามของทวีกิจสามล้านบาท เดี๋ยวจะให้ฝ่ายพีอาร์ติดต่อกลับไป” เขาตอบโดยไม่มองหน้าคู่สนทนาขณะวางเนื้อปูที่ออกแรงแงะจากเปลือกของมันจนเละเทะไม่เป็นชิ้นในจานน้องสาว
“ถ้างั้นคุณหมากก็ได้โควตาส่งทีมเข้าแข่งขันด้วย งานนี้มีถ้วยรางวัลแล้วก็จะได้ลงโฆษณาฟรีในนิตยสารรายเดือนของกระทรวงฯด้วย” อชิตะบอกแล้วหันไปยิ้มให้สาวน้อยที่ยังคงตั้งใจกับการรับประทานเนื้อปู ส่วนเทียมภพแค่พยักหน้าส่งๆอย่างไม่ใคร่สนใจนัก
“ว่าแต่จัดกันที่ไหนล่ะ?” คุณเที่ยงธรรมถามอย่างสนใจ
“สนาม กรีน วัลเลย์ ที่ระยองครับ” คำตอบของหมอหนุ่มสะกิดใจให้รมณ์นลินที่นั่งฟังอยู่นานแล้วแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรจนอีกฝ่ายหันมาคุยด้วย
“ผมฝากคุณแฟงไปชวนคุณชลธีด้วยนะครับ...เผื่อว่าจะสนใจ” คราวนี้ทั้งรมณ์นลินและเทียมภพหันมามองหน้ากัน ความสงสัยเล็กๆก่อตัวขึ้นในใจของทั้งคู่
“น้องพลูไปด้วยนะครับ วันหยุดยาวแบบนี้ไปเชียร์กีฬาคลายเครียด...เสร็จแล้วจะได้ไปพักผ่อนที่ชายทะเลกันต่อสักคืน ถือว่าเป็นการสมนาคุณที่คุณเทียมภพมีจิตใจเมตตาบริจาคเงิน” หมอหนุ่มคุยต่ออย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มสำรวมที่ปรากฏประจำยามอยู่ในเวลาทำงานแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มเก๋เท่ละละลายใจสาวเมื่อยามอยู่ในเวลาส่วนตัวเช่นนี้
“ดีเลย...พวกเด็กๆจะได้ไปพักผ่อนกัน ไอ้เรามันคนแก่...ต้องเข้าวัดอย่างเดียว” คุณบันลือชัยสนับสนุน
“อืม...ผมทราบมาว่าคุณแฟงมีรีสอร์ทที่นั่น ถ้าเป็นไปได้...ผมอยากไปพัก คุณแฟงจะช่วยจองห้องให้หน่อยได้มั้ยครับ?” รมณ์นลินมองหน้าคนถามอย่างชั่งใจ ไม่อยากจะคิดลึกว่าทั้งหมดนี้คือความบังเอิญหรือความตั้งใจของอชิตะกันแน่
“ได้ค่ะ...แฟงจะบอกทางโน้นไว้” รมณ์นลินตกปากรับคำทำให้เทียมภพไม่พอใจอย่างมาก อารมณ์ขุ่นเคืองที่สะกดกลั้นไว้อย่างดิบดีระเบิดออกมาในสุด ปล่อยช้อนตกกระทบกระจานดังเคร้งคร้างแถมยังกระแทกเอาแก้วน้ำหกเรี่ยราดอีก
“ผมขอตัวไปห้องน้ำสักครู่” แทนดาวมองตามหลังพี่ชายอารมณ์ร้อนอย่างหวั่นใจ ถ้าลองว่าออกอาการตึงตังเหมือนช้างกระทืบโรงแบบนี้รับรองว่าต้อง ‘มีเรื่อง’
อชิตะมองกิริยานั้นแล้วยกมุมปากยิ้มขันๆที่ฝ่ายนั้นพื้นเสียจนได้ อยากจะเตือนว่าไอ้นิสัยวู่วามบุ่มบ่ามนี่นอกจากจะทำให้คิดอะไรหุนหันพลันแล่นไม่รอบคอบแล้วยังรังแต่จะทำให้ตัวเองเดือดร้อน เขาตัดสินใจลุกตามออกไปแล้วก็พบว่า ‘คนพื้นเสีย’ ไม่ได้มาเข้าห้องน้ำอย่าที่บอก แต่กำลังยืนสูบยาระบายอารมณ์อยู่ด้านนอก หน้าตาหล่อเหลาดูยับย่นบูดบึ้งไม่เป็นมิตรบ่งบอกได้ดีว่ากำลังอยู่ในสภาวะเดือดดาลเต็มที่
“ดูท่าทางคุณหมากจะไม่ค่อยพอใจที่มาร่วมโต๊ะกับผมสักเท่าไหร่นะ” อชิตะลองถามหยั่งเชิง เทียมภพหันหน้าบูดบึ้งกลับมามองคู่อริอย่างไม่ไว้วางใจ
“ไม่พอใจตั้งแต่หมอออกตัวว่าคิดอกุศลกับใบพลูแล้ว นี่มันยังไงกัน? ผมรู้นะ...ว่าไอ้ที่คุณทำทั้งหมดนี่มันคือแผนการที่ตระเตรียมมาอย่างดี ต้องการอะไร?” เทียมภพกัดฟันถามอย่างข่มความรู้สึก
“พูดกันตรงๆแมนๆเลยก็แล้วกันนะ...” อชิตะยืดอกขึ้นขณะยืนประจันหน้ากับบุรุษรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างไม่คร้ามเกรงกับกิตติศัพท์ความหวงโหดของอีกฝ่ายที่มีต่อน้องสาวแสนสวย
“ผมชอบน้องพลูและกำลังจีบเธออยู่ คุณหมากอย่ากังวลเลยครับ...ผมจะไม่ทำอะไรให้เกินความพอดี” สิ้นคำสารภาพตรงๆแมนๆอย่างที่นายแพทย์หนุ่มบอกก็ทำให้คนฟังตัวชา ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร...แต่พอเจอคนจริงแบบนี้ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน
“ไม่ได้โว้ย! นี่หมอจะพรากผู้เยาว์รึไง? อย่าว่าแต่จีบเลย...ผมจะไม่ยอมให้หมอเข้าใกล้น้องได้อีกแล้ว ไอ้ที่ผ่านมาถือว่าผมเผลอก็แล้วกัน” เทียมภพประกาศก้อง ในใจก็แต่งตั้งให้นายแพทย์หนุ่มแสนสุภาพคนนี้เป็นศัตรูมีพิษอันตรายระดับสาม
“น้องพลูอายุยี่สิบสามแล้วนะครับ...คงจะพรากอะไรกันไม่ได้แล้ว” อชิตะยังคงตอบโต้แบบใจเย็น
“ถ้าหมอกล้าก็ลองดู! คิดจะเคี้ยวหญ้าอ่อนก็ต้องเจอของแข็งกันหน่อยล่ะ”
“เอาเถอะครับ...คุณหมากจะไม่ยอมหรือจะขัดขวางก็สุดแท้แต่ใจ แต่บอกก่อนว่าผมไม่หยุดแน่ๆเพราะว่าไม่ได้อะไรผิด ที่สำคัญผมก็มีสิทธิ์ที่จะทำความสนิทสนมกับใบพลู” หมอหนุ่มยืนยันเจตนารมณ์อย่างหนักแน่น
“นี่...ไม่เกรงกลัวกันเลยใช่มั้ย? ผม...หมากหมัดมฤตยูนะเว้ย! อยากเจ็บตัวเหรอถึงกล้าเข้ามายุ่มย่ามกับยัยพลู! รู้มั้ย...ไอ้พวกที่มั่นหน้ามั่นใจแบบหมอนี่แหละ...โดนยำไปไม่รู้กี่รายแล้ว” เทียมภพชี้หน้านิ้วสั่น
“ก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัวนี่ ถ้ากลัว...ผมจะมายืนอยู่ตรงนี้เหรอ?” หมอหนุ่มขยับแว่นอย่างอารมณ์ดี
“คุณหมากคงเคยเล่นเกมใช่มั้ยครับ? เวลาเล่นเกมเนี่ย...มันต้องมีการวางแผนให้รอบคอบ ประเมินกำลังคู่ต่อสู้และดูอาวุธในมือ ถ้าผมขาดข้อใดข้อหนึ่งไป...ก็คงไม่กล้าจะเข้ามาตีเมืองด้วยหรอก ดูคู่ต่อสู้ของผมแต่ละคนสิ...ธรรมดาเสียที่ไหน” อชิตะมองลึกลงไปในดวงตาสีนิลของคนตรงหน้าอย่างท้าทาย
“อ้อ...ไอ้ที่ใส่แว่นหนาๆนี่เป็นเพราะตอนวัยรุ่นคงจะติดเกมนั่งรากงอกอยู่ตามร้านเกมใช่มั้ยล่ะ? โธ่...ไอ้พวกเด็กเกรียน เกมน่ะ...ผมก็เล่น แต่ว่าถ้าไอ้เกรียนคนไหนมันคิดจะฝ่าด่านเข้ามาขโมยของๆผม...ตายทุกรายนะครับ” เทียมภพทำเสียงดูถูก
“นั่นแสดงว่าไอ้พวกนั้นวางแผนไม่ดีพอ แต่เอาเถอะ...เพราะเล่นเกมมากก็เลยรู้ว่าจะต้องรับมือกับพวกเกรียนด้วยกันยังไง” อชิตะย้อนเนิบๆ
“นี่แกว่าฉันเป็นไอ้เด็กเกรียนเหรอวะ?” เทียมภพกัดฟันกรอดด้วยความเดือดดาลและเริ่มที่จะระงับอารมณ์ไม่ได้ หนุ่มแว่นเพียงแต่ยิ้มที่มุมปากแล้วเดินกลับไปข้างในทิ้งให้คนกำลังตกมันยืนตัวสั่นปากสั่นอยู่ที่เดิม
“ไอ้แว่นอาราเล่...ฉันไว้ชีวิตแกมานานเกินไปแล้ว!” เทียมภพมองตามไปด้วยสายตาอาฆาต
เทียมภพมาส่งรมณ์นลินที่บ้านหลังจบอาหารมื้อค่ำที่แสนจะกล้ำกลืนฝืนทนนักสำหรับตน ระหว่างทางก็เอาแต่ผุดคำบริภาษเจ้าภาพเลี้ยงข้าวไม่หยุดหย่อนจนคนนั่งข้างๆต้องออกโรงช่วยเตือนสติที่เต็มไปด้วยทิฐิของคนใจร้อน
“คุณหมากก็คิดมาก...หมออชิคงแค่อยากชวนพวกเราไปร่วมสนุกนั้นเองค่ะ ไม่น่าจะมีอะไรแอบแฝงนะ...ก็เค้าบอกอยู่แล้วว่าทางโรงพยาบาลในเครือเป็นคนจัดงาน”
“ผมไม่เชื่อหรอกว่ามันจะหยุดอยู่แค่นั้น คุณยังรู้จักไอ้แว่นสามก๊กนี่น้อยไป อย่างวันนี้ที่มันชวนบ้านผมมากินข้าวก็เพราะว่าอยากจะเข้าหายัยพลูต่างหากล่ะ มันรู้ว่าถ้าชวนยัยพลูมาโต้งๆนี่ผมไม่ยอมแน่” น้ำเสียงต่อว่าต่อขานใส่อารมณ์เต็มที่ขณะตีโค้งเข้าซอยบ้าน
“แล้วยังไงล่ะคะ? คุณอชิเค้าก็ไม่ได้ทำเรื่องเสื่อมเสียอะไร น้องพลูเองก็เคารพเธอเหมือนพี่ชายคนนึง แฟงไม่เห็นว่ามันจะไม่งามตรงไหน”
“งามไม่งามไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่รู้ทั้งรู้ว่ายัยพลูมีคนหมั้นหมายอยู่แล้วยังจะมาแซะเนี่ย...มันไม่เข้าท่าเลยนะ เป็นถึงมดหมอจะมาดอดเปิดคลินิกนอกเวลารักษาแฟนคนอื่นเค้า!” ใบหน้าได้รูปราวสตรีดูบูดบึ้งเมื่อโพล่งความคิดในใจออกมาทำให้รมณ์นลินอ้าปากค้างก่อนจะหัวเราะออกมา
“เอ...คุณหมากพูดแบบนี้แสดงว่าหึงคุณหมอแทนพี่ชลใช่มั้ยเนี่ย? ยอมรับแล้วพี่ชลเหรอคะ?” รมณ์นลินสบโอกาสถามทีเล่นทีจริง
“เฮ้ย...เปล่าๆ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ...มันคนละเรื่องกัน” เขารีบปฏิเสธพัลวันและพูดด้วยเสียงเครียดมากกว่าเดิม
“ลองมองในมุมคนนอกก็ได้ คนดีๆที่ไหนจะไปวุ่นวายกับคนที่มีเจ้าของแล้ว ถึงจะยังไม่เป็นทางการแต่มันก็ไม่ควร คิดดูนะครับแฟง...นี่ขนาดยัยพลูถูกคุมเข้มทั้งจากผมและพี่ชายคุณ ไอ้แว่นปลาไหลไฟฟ้ามันยังเจาะเกราะเข้ามาได้... ยอมใจมันจริงๆ” เทียมภพถอนใจยาวพร้อมๆกับจอดรถเทียบหน้ารั้วบ้าน
“คุณก็เหมือนกันนะแฟง...ถึงจะเห็นว่าเจ้านั่นเป็นแค่เพื่อนบ้านที่ดีแต่ก็อย่าไว้ใจให้มากนัก ผมไม่ชอบ...มันหึง” เขาบอกออกไปตรงๆทำให้คนฟังรู้สึกขัดเขินขึ้นมาทันที ตกลงว่าตอนนี้คนบ้าระห่ำอยู่ในอารมณ์โหมดไหนกัน
“รบรากับใครก็ไม่เหนื่อยเท่าไอ้หมอนี่อีกแล้ว” เขาหันมาบอกสตรีที่นั่งข้างๆด้วยสายตาเคียดแค้นแล้วจึงค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทีละนิด ใบหน้าหล่อหวานราวสตรีขัดกับนิสัยโผงผางค่อยๆโน้มลงมาแตะจมูกกับหน้าผากเกลี้ยงเกลาแล้วกำลังจะลงไปยังริมฝีปาก
“ปี๊น!....” เสียงแตรรถดังสนั่นทำให้ทั้งคู่สะดุ้งแล้วหันรีบกลับไปมองด้วยเกรงว่าจอดรถขวางใครไว้ แต่พอเห็นรถต้นเสียงก็ทำให้รมณ์นลินถึงกับหน้าถอดสี
“ตายจริง! พี่ชลกลับมาพอดี แฟงเข้าบ้านก่อนนะคะ ขับรถดีๆนะคะ” รมณ์นลินบอกลารวกๆแล้วรีบก้าวลงไป เจ้าของรถที่ส่งเสียงดังเมื่อกี้เคลื่อนตัวมาเทียบข้างๆแล้วต่างฝ่ายต่างลดกระจกมาจ้องหน้ากันและกัน เทียมภพทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แถมยังยักคิ้วหลิ่วตากวนๆก่อนจะขับรถออกไป
ชลธีออกจะแปลกใจและสงสัยกับคำบอกเล่าของน้องสาวที่อชิตะฝากมาชักชวนตนให้ไปร่วมงานกอล์ฟการกุศลครั้งนี้ด้วยในเมื่อฝ่ายนั้นรู้ดีว่าเขาไม่ค่อยชอบขี้หน้านัก
“พี่จะช่วยทำบุญสามล้านแต่ว่าจะลงแข่งในนามทวีกิจ ทีมเดียวกับไอ้หมาก ดีเหมือนกัน....ไม่ได้ฟาดกันนานแล้ว” เขาพูดลอยๆขณะอ่านบัตรเชิญที่น้องสาวนำมาให้
“ฟาดอะไรกันล่ะคะ? งานทำบุญทำทานแท้ๆ อย่าไปมีเรื่องกันล่ะ ห่วงแต่พี่ชายน้องพลูนั่นแหละ...วันนี้ตอนที่นั่งกินข้าวด้วยกันก็หาช่องแขวะคุณหมอตลอด หวิดจะรำมวยก็หลายครั้ง นี่ถ้าไม่ติดว่ามีพวกผู้ใหญ่ไปด้วยแฟงคงได้เป็นกรรมการห้ามมวย” รมณ์นลินเล่าเรื่องวันนี้ให้พี่ชายฟัง ชลธีอมยิ้มอย่างมีเลศนัย ถูกต้องแล้ว...เขาตั้งใจโทรหาเพื่อนขี้โมโหเพราะมั่นใจว่าคนบ้าเลือดพรรค์นั้นคงไม่ยอมปล่อยให้น้องสาวถูกคนหัวหมอหยอดจีบโดยง่ายแน่ ก็เลยหวังให้เทียมภพไปป่วนให้เสียกระบวนเท่านั้น
“แต่ก็น่าคิดนะแฟง...นายอชินั่นรู้ว่าเรามีรีสอร์ทอยู่ระยอง แถมงานกอล์ฟก็จัดที่โน่น มันบังเอิญประจวบเหมาะขนาดนี้เลยเหรอ?” เขาถามต่ออย่างใช้ความคิด โรงแรมที่พักในจังหวัดนั้นมีมากมายแต่ทำไมต้องเจาะจงเป็นที่รีสอร์ทเคียงธาราของตนด้วย
“แฟงว่าไม่น่าจะมีอะไรนะคะ เค้าก็คงอยากไปพักกับคนรู้จัก นี่แฟงบอกให้เด็กจองบ้านไว้ห้าหลังเพราะทางคุณหมอจะพาพวกเจ้าหน้าจากโรงพยาบาลไปพักด้วย งานนี้ไม่ใช่เล็กๆเลย” แม้ปากจะบอกว่าไม่มีอะไรแต่ใจก็แอบคิดตามอย่างที่พี่ชายบอก
“มันชวนใบพลูไปด้วยใช่มั้ย? คงจะบอกว่า...วันหยุดยาวแบบนี้น้องพลูจะได้ไปพักผ่อนเล่นน้ำทะเล...ใช่มั้ยล่ะ?” ประโยคนี้ฟังดูกระด้างแกมหมั่นไส้จนคนฟังรู้สึก
“นี่พี่ชลแอบติดเครื่องดักฟังที่ตัวหมออชิหรือเปล่าเนี่ย?” รมณ์นลินอึ้งที่พี่ชายเดาคำพูดอชิตะได้เกือบเป๊ะ “เฮอะ...ไอ้มุขเนียนๆแบบนี้พี่เห็นมาบ่อย บางทีก็งัดมาใช้เสียเอง...” เขาตอบขำๆแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเตรียมตัวเตรียมจะขึ้นบนบ้าน
“มันรู้ว่าบ้านเราอยู่ระยอง รู้ว่าพี่กับไอ้หมากชอบตีกอล์ฟ ที่สำคัญรู้ว่าน้องพลูชอบทะเล...” ชลธีพึมพำกับตัวเองมากกว่าจะอยากให้ใครได้ยิน ประกายตาอำมหิตปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง
“เอาวะ....งานนี้สนุกแน่”
ชลธีแวะมาหาแทนดาวที่บ้านก่อนเดินทางไกลตอนเที่ยงคืนวันนี้ ดูเหมือนว่านับแต่วันที่แทนดาวถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปทำงานที่โรงแรม...บ้านทวีกิจไพศาลก็เปิดประตูต้อนรับบุรุษร่างสูงเจ้าของใบหน้าคมคายคล้ายลูกครึ่งแขกคนนี้อยู่เนืองๆ แม้บางครั้งจะติดภารกิจยุ่งเหยิงเพียงใดอย่างน้อยก็ต้องมาให้ได้ทุกสัปดาห์ แต่ถึงจะเยี่ยมหน้ามาบ่อยแค่ไหนแต่พี่ชายหล่อนก็ยังคงคุมเข้มไม่ยอมอนุญาตให้พาไปเที่ยวไหนสองต่อสอง จะมีบ้างที่ได้พาไปรับประทานอาหารหรือซื้อของเล็กๆน้อยๆด้วยกันก็ต่อเมื่อคุณดวงทิพย์มารดาของหล่อนไปด้วยเท่านั้น
สาวน้อยกำลังนั่งทำการบ้านอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่ใต้ร่มซุ้มกระดังงาที่เดิม บนโต๊ะมีชมพู่กับมะม่วงหั่นชิ้นวางจัดในจานเล็กเป็นของว่างแกง่วงขณะนั่งขีดเขียนข้อความในสมุดการบ้าน บางครั้งก็เห็นคนตัวเล็กเปลี่ยนอิริยาบถเป็นเกาหัวบ้าง ขมวดคิ้วบ้างหรือบางทีก็อมหัวดินสออย่างใช้ความคิด ชลธียังคงยืนมองอยู่เพียงห่างๆไม่อยากเข้าไปรบกวนเวลาแห่งการใช้สมาธิก็เลยจะเดินกลับไปรอในบ้านแต่แทนดาวก็หันมาเห็นเข้าเสียก่อนเลยเดินมาทักทายเสียเอง
“พี่ชล...มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ? สงสัยตอนมาน้องพลูยังอยู่บนห้องเลยไม่ได้ยินเสียงรถ” เสียงใสพูดทักทายพร้อมกับยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย ถึงจะคุ้นเคยกันมาระยะหนึ่งแล้วก็ยังเคยชินกับการทำความเคารพผู้ที่ได้ชื่อว่าคู่หมั้นทุกครั้งที่พบกัน การกระทำที่เป็นนิสัยนี้ทำให้ชลธีมองว่ามันดู ‘น่ารัก’ และอยากให้คงไว้ซึ่งมรรยาทอันดีที่หาดูได้ยากยิ่งในสังคมก้มหน้าเช่นปัจจุบัน นี่คงเป็นเหตุผลสำคัญที่ลูกหลานบ้านทวีกิจมักจะได้รับความเอ็นดูจากผู้หลักผู้หลักใหญ่ในเรื่องการมีสัมมาคารวะและมารยาทงดงาม ตัวแทนดาวเองก็ซึมซับจริตอันควรนี้มาแต่เล็กแต่น้อยกับคำพร่ำสอนของผู้ปกครองที่ว่าคนเราถ้าลองรู้จักกาลเทศะ รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ นอบน้อมถ่อมตนแล้วย่อมจะได้รับความเมตตาเสมอดังคำที่คุณลำเภาอบรมสั่งสอนลูกๆหลานๆตั้งแต่เพิ่งเริ่มรู้ความ
“สิบนิ้วมีก็ยกประนมขึ้นไปเถอะ มันไม่ได้ทำให้เมื่อยล้านักหรอก คนเห็นเค้าจะได้เมตตาเอ็นดู คนดีมีมารยาทไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนชื่นชู ไม่ได้แก่ตัวคนเดียวหรอก...เค้าเยินยอกันยันโคตรเหง้าบรรพบุรุษ”
“พี่ไม่ได้ขับรถมาเองน่ะ ให้ลูกน้องมาส่งแค่หน้าบ้าน น้องพลูทำการบ้านอยู่เหรอ? ไปทำต่อเถอะนะ พี่จะเข้าไปหาลุงธรรม” เขาตอบด้วยเสียงอบอุ่นนุ่มนวลเช่นเคย สังเกตว่าว่าวันนี้เขาแต่งกายลำลองมากกว่าทุกวัน สวมเสื้อยืดสีพื้นน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนส์ขาเดฟสีดำสนิท สวมรองเท้าผ้าใบที่ดูเหมือนคนเตรียมพร้อมจะเดินทาง ใบหน้าคมสันแลดูสดใสและมีรอยยิ้มมากกว่าเก่าจนแทบจะลืมใบหน้าเย็นชาติดออกจะดุเมื่อครั้งรู้จักกันใหม่ๆ
“ใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ เขียนอ้างอิงปริญญานิพนธ์อยู่ ถ้าครั้งนี้ผ่านก็เรียกว่าโหลดดิ้งเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ เหลือแค่สอบปลายภาคสุดท้ายเท่านั้นค่ะ” แทนดาวบอกอย่างร่าเริง สีหน้าเคร่งเครียดที่เห็นเมื่อครู่ถูกกดทับด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ชลธีเดินตามร่างเล็กไปนั่งตรงโต๊ะหินอ่อนที่เดียวกัน แทนดาวกวาดกองตำราเคลียร์พื้นที่ให้เขานั่งสะดวก
“คุณชล...มาอยู่นี่น่ะเอง เห็นเด็กเดินไปบอกคุณมา ดีจริงค่ะ...ผึ้งมีอะไรจะให้ดู” ปลายเดินร้องเรียกเสียงหวานและไม่ช้าเจ้าของเสียงก็หย่อนตัวลงนั่งข้างๆกัน
“อะไรเหรอครับ?” คำถามนั้นไม่ได้ฟังดูสนอกสนใจอะไรซ้ำยังติดออกจะรำคาญนิดๆ เขามองหน้าแทนดาวนิดหนึ่งอย่างรู้สึกผิดที่นำความรบกวนมาให้ แทนดาวยังเขียนการบ้านต่อไม่สนใจการมากวนใจของพี่สาว
“แบบเฟอร์นิเจอร์ที่ผ่านเข้ารอบไงคะ” ปลายเดือนยื่นแฟ้มเล่มหนึ่งให้ ชลธีเปิดดูหน้าแรกอย่างสนใจผลงานการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่เขาเคยเสนอให้จัดแคมเปญประกวดออกแบบโดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาที่เรียนด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ส่งผลงานเข้ามา
“นี่รอบสุดท้ายแล้วใช่มั้ยครับ?” เขาถามโดยไม่มองหน้า
“ใช่ค่ะ...พี่หมากดูไปแล้วตอนอยู่ออฟฟิศ หน้าที่แปะโพสต์อิทไว้นั่นแหละแบบที่แกชอบ ผึ้งอยากให้คุณชลดูก่อนจะเดินทาง เลือกแบบที่เข้าตาไว้ก่อนสิคะ พอคุณกลับมาจะได้เรียกประชุมตัดสินกันอีกที” ชลธีพยักหน้าพลางพลิกดูแบบที่ผ่านเข้ารอบมาอย่างสนอกสนใจ เขาทึ่งในความสามารถของเด็กไทยที่มีไอเดียแปลกแนวไม่แพ้นักออกแบบชื่อดัง อนาคตคงจะไปได้อีกไกลแน่นอน
“เราเข้าไปดูกันข้างในดีกว่าค่ะ น้องพลูกำลังทำการบ้าน...จะได้ไม่รบกวน” ปลายเดือนฉุดแขนของเขาให้ลุกขึ้นมาแล้วหันไปคุยกับน้องสาวที่ยังคงจดจ่ออยู่กับตำรา
“เสร็จแล้วก็ตามเข้าไปนะจ๊ะน้องพลู วันนี้พี่ซื้อเครปเค้กของโปรดมาให้ด้วย” ปลายเดือนกันมาบอกเสียงใสผิดกับชลธีที่ทำหน้าบอกไม่ถูก แทนดาวนั่งหน้าง้ำเขียนหนังสือต่อไปด้วยอาการกระแทกกระทั้น ความรู้สึกคล้ายกับถูกกระชากผมแล้วลูบหัวอย่างไรไม่รู้
อีกพักใหญ่ต่อมาแทนดาวที่ทำการบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปนั่งทอดอารมณ์อยู่ในศาลาแปดเหลี่ยม ในมือน้อยมีถุงกระดาษใบเล็กบรรจุผ้าพันคอไหมพรมสีน้ำเงินลายดาวที่ไปหาซื้อมาเมื่อวันก่อน หล่อนตั้งใจซื้อให้เขาเอาไปใช้ที่โน่นเผื่อว่าอากาศจะหนาวเย็น นั่งรออยู่เป็นนานจนเวลาล่วงเลยมาถึงยามโพล้เพล้เจียนจะมืดค่ำเต็มทนถึงจะเห็นร่างสูงกำลังเคลื่อนกายผ่านมา
“พี่รอน้องพลูอยู่ในบ้านตั้งนานเลยออกมาดูว่าทำการบ้านเสร็จหรือยัง?” คำบอกเล่าของเขาทำให้คนฟังรู้สึกขัดเล็กๆ ที่ออกมาช้าเอาป่านนี้ไม่ใช่เพราะกำลังเลือกแบบเฟอร์นิเจอร์กับพี่สาวเสียเพลินหรอกหรือ
“เลือกแบบเสร็จแล้วเหรอคะ?” เสียงที่ถามนั้นฟังคล้ายจะประชดมากกว่าถามเพื่อต้องการคำตอบ
“เสร็จตั้งนานแล้ว พอดีพี่ไปคุยกับลุงธรรมระหว่างรอน้องพลูนั่นแหละ...แสนงอนจริง” มือใหญ่เอื้อมมาจับศีรษะเล็กโคลงเบาๆ
“แล้วนี่พี่ชลจะเข้าบ้านอีกมั้ยคะ? หรือว่าไปสนามบินเลย?”
“ไปสนามบินเลยจ้ะ นัดคนอื่นๆเอาสามทุ่ม...เดี๋ยวลูกน้องพี่คงมาถึง” เขาก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงแสงไฟสลัวจากโคมไฟดวงเล็กที่ประดับรอบศาลาแห่งนี้ส่องแสงสว่างเพียงสลัวให้มองเห็นใบหน้าคมคายสันกรามชัดและจมูกโด่งที่มักจะซุกซนแอบตวัดมาสูดแก้มหอมทุกครั้งที่มีโอกาส
“พี่ไม่อยู่หลายวัน...น้องพลูจะคิดถึงกันบ้างมั้ย?” น้ำเสียงอบอุ่นปนอ่อนหวานละลายใจทำให้คนฟังต้องหลบตาประกาย มือที่ถือถุงกระดาษบีบกันแน่นกว่าเดิมสกัดกลั้นอารมณ์ขัดเขิน
“ไปแค่อาทิตย์เดียวเอง...ไม่ทันจะคิดถึงหรอกค่ะ” คนตอบเสมองออกไปอีกทาง ชลธียิ้มกับกิริยาซ่อนความขวยอายไม่ค่อยจะมิดของคนตัวเล็ก
“เสียใจจัง...แต่พี่ต้องคิดถึงน้องพลูมากแน่ๆ ไม่มีใครคอยกวนใจมันก็เหงานะ”
“ไม่ดีเหรอคะ? พี่ชลน่าจะชอบนะ”
“ไม่ชอบ...” เขาส่ายหน้า “พี่ชอบถูกน้องพลูกวนมากกว่า มันเป็นนิสัยไปเสียแล้ว ถ้าวันไหนไม่มีเรื่องของน้องพลูมาทำให้ว้าวุ่นใจ...วันนั้นจะนอนหลับยากกว่าปรกติ” เขาพูดไปยิ้มไป แทนดาวเบ้ปากใส่
“ขอกอดให้อุ่นใจหน่อยนะคะ” ยังไม่ทันที่แทนดาวจะว่าอะไร เอวเล็กก็ถูกแขนแข็งแกร่งตวัดเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว จมูกโด่งกดแช่กับกลุ่มผมสวย เสียงสูดหายใจลึกราวกับจะกักตุนกลิ่นหอมจางๆเอาไว้ระลึกถึงยามอยู่ห่างไกล
“อื้อ...ปล่อยนะ! มากอดอะไรกันตรงนี้” คนตัวเล็กส่งเสียงประท้วงอู้อี้แต่ก็ไม่อาจผลักไสร่างแข็งแกร่งดุจกำแพงคอนกรีตอออกไปได้
“ดูแลตัวเองดีๆนะน้องพลู...แล้วพี่จะเฟสไทม์หาทุกวันเลย อยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ?” แขนแข็งแรงค่อยคลายนิดๆขณะดันตัวคนให้อ้อมแขนออกห่างเพื่อพิศมองดวงหน้างามพิศุทธิ์ นี่ขนาดยังไม่จากกันยังรู้สึกคิดถึงได้ขนาดนี้...
“ไม่หรอกค่ะ พี่ชลไปทำงานให้สนุกนะคะ อ้อ...นี่น้องพลูซื้อมาให้ ถึงอากาศที่โน่นจะไม่หนาวมากแต่เอาติดตัวไปเผื่อได้ใช้นะคะ” แทนดาวยื่นถุงกระดาษใบนั้นให้
“ขอบคุณครับ พี่ต้องได้ใช้แน่ๆ อย่างน้อยตอนอยู่บนเครื่องก็อาจจะทนแอร์เย็นๆไม่ไหวต้องเอาออกมาพันคอจะได้รู้สึกว่ากำลังกอดคนซื้อให้” คนพูดส่งสายตาระยับให้คนตัวเล็กที่ออกอาการคล้ายพะอืดพะอม
“อี๋...พี่ชลเนี่ยสงสัยจะดูละครมากไปแล้วนะ”
“รู้ด้วยเหรอ? ตั้งแต่คบน้องพลูนี่พี่หันมาสนในอ่านนิยายบ้าง ดูละครน้ำเน่าบ้างจะได้มีมุขเชยๆเอาไว้พูดกับน้องพลูไง มุขจีบสาวเลี่ยนๆแบบในนิยายน่ะ...มันคลาสสิคจะตายไป...จริงมั้ย?” คนตัวเล็กไม่ตอบแต่กลั้นอมยิ้มเอาไว้จนแก้มป่อง
“เอาล่ะ...ได้เวลา คิส คิส กันแล้ว” เข้าก้มหน้าลงมาใกล้เร่งให้คนตัวเล็กทำอย่างที่บอกแต่แทนดาวอิดออด ดูเถิด...จะมาขอให้ทำอะไรพิลึกๆกันในบ้านนี่น่ะหรือ
“ไม่เอา...เดี๋ยวพี่หมากเห็น”
“เร็ว...” เสียงสั่งการดุน้อยๆเมื่อคนตัวเล็กยังดื้อไม่ยอมตามใจ แทนดาวหันซ้ายหันขวาจนมั่นใจว่าไม่มีใครคอยสอดส่องก็เขย่งเท้าแตะจมูกกับแก้มสากเร็วๆแต่คนเจ้าเล่ห์หันหน้ากลับทันควันจนทำให้ริมฝีปากของทั้งคู่ชนกันเสี้ยววินาที
“จุ๊บ…” แทนดาวยกมือแตะริมฝีปากด้วยความคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเล่นไม่ซื่อ มือน้อยทุบที่ไหล่หนาดังผลั่ก
“พี่ชลอ่ะ!” ความตกใจระคนอายทำให้ใบพวงแก้มเนียนเกิดริ้วสีชมพู มือหนาคว้าข้อมือเล็กขึ้นจุมพิตแผ่วเบา ในวินาทีนั้นแทนดาวเหลือบไปเห็นท่อนแขนข้างซ้ายที่เคยมีรอยสักอักษรภาษาอังกฤษตัว ‘P’ แต่บัดนี้มันว่างเปล่า ทำให้เกิดความรู้สึกฟูฟ่องขึ้นในหัวใจอย่างประหลาด
“พี่ไม่ได้รังแกนะ...แต่เรามัวชักช้าหลบไม่ทันเอง” เขาตอบหน้าตาเฉย
“หาเรื่องตลอดเลยพี่ชลเนี่ย...ว่าแต่เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ”
“รู้มั้ย...นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พี่รู้สึกว่าไม่อยากเดินทางไกล ไม่ว่าจะไปเที่ยวหรือไปทำงาน...พี่ไม่อยากไปที่ไหนไกลๆน้องพลูเลย...มันคิดถึง”
เทียมภพหนวดกระตุกถี่ๆเมื่อเห็นว่าใครมาส่งรมณ์นลินที่บ้านตนในวันหยุดสุดสัปดาห์แสนสบายใจแบบนี้ ดูเหมือนว่าไอ้ที่พูดกับหล่อนไปเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าอย่าไว้วางใจหนุ่มแว่นมากแผนการคนนี้เห็นท่าจะไม่ได้ซึมซาบเข้าไปในหน่วยความจำสักนิด เขาไม่ชอบอชิตะและไม่ต้องการให้รมณ์นลินเข้าไปสนิทชิดเชื้อไม่ว่าจะฐานะอะไรก็ตาม
“วันนี้ไม่ตรวจคนไข้เหรอหมอ?” เทียมภพออกมาทักทายด้วยมาดกวนๆปนเอาเรื่องอย่างเคย ยิ่งพอเห็นหน้าซื่อๆสวมแว่นนี่ครั้งใดเป็นต้องหงุดหงิดบอกไม่ถูก
“ที่มานี่ก็มาตรวจคนไข้นี่แหละครับ ผมเอายาบำรุงมาให้อาธรรมแล้วก็จะมาดูคุณย่าด้วย คราวก่อนท่านบอกว่าเหนื่อยเวลาหายใจ พอดีทราบว่าวันนี้คุณแฟงต้องมาสอนที่นี่...ก็เลยไปรับมาจากโรงเรียน” อชิตะตอบสบายๆแล้วส่งสารพัดถุงให้แม่บ้านคนหนึ่งเอาไปเก็บ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นขนมนมเนยของชอบของน้องสาวทั้งนั้น
“ถ้าจะมาหาใบพลูก็ต้องบอกก่อนนะ...ว่าเสียใจด้วย ยัยพลูเรียนดนตรีเสร็จก็ต้องทำการบ้านอ่านหนังสือต่อ คงไม่มีเวลามาคุยเล่นกับหมอหรอกนะ” เทียมภพรีบดักคออีกฝ่าย
“ผมก็ไม่ได้บอกนี่ครับ...ว่ามาหาน้องพลู บอกแล้วว่ามาหาอาธรรมกับคุณย่า...ชัดเจนนะครับ” ถึงคนตอบจะตอบด้วยน้ำเสียงและกิริยาอาการเป็นปรกติแต่กลับยั่วยุต่อมโทสะคนฟังให้ระเบิดได้เกือบจะทันที
“แฟง...คุณเข้าบ้านไปก่อนเถอะ น้องพลูอาบอยู่ข้างบนเดี๋ยวคงจะลงมา” เขาหันไปบอกรมณ์นลินที่ยืนดูเชิงอย่างประหวั่นพรั่นพรึงแต่ก็ยอมไปโดยดีเพราะคิดว่าเทียมภพคงไม่วู่วามขนาดก่อเรื่องในบ้านตัวเอง
“ผมรู้นะว่าไอ้ที่หมอทำทั้งหมดนี่...ตั้งแต่เรื่องวันนั้น เป็นแผนใช่มั้ย?”
“แผนอะไรเหรอครับ?” อชิตะทำหน้างงๆกับคำถาม
“ก็แผนแอบเข้าถ้ำเสือกะจะลักพาลูกเสือไปเลี้ยงต้อยไงล่ะ”
“คิดมากไปแล้วมั้ง? ผมไม่เคยมีความคิดสิบแปดบวกแบบนั้นเลย ทำอะไร...ก็ชัดเจนตรงไปตรงมาอย่างที่เห็น คุณหมากอย่ามีอคติกับผมเลยครับ เก็บสมองเอาไว้คิดเรื่องงานดีกว่า” อชิตะพูดต่อเรื่อยๆโดยไม่สนใจท่าทีที่เริ่มเหมือนคิงคองโมโหหิวของคู่สนทนา
“ส่วนเรื่องรักๆใคร่ๆก็หัดปล่อยวางเสียบ้าง ปล่อยให้เป็นเรื่องของวัยรุ่นเค้าเถอะครับ”
“มึง!...คราวที่แล้วปล่อยไปเพราะเกรงใจพ่อแม่แกหรอกนะ แต่คราวนี้ไม่มีเมตตา” เทียมภพผลักอชิตะที่ยังไม่ทันตั้งหลักจนล้มลงก้นจ้ำเบ้ากับพื้นคอนกรีตแต่ไม่ถึงนาทีเขาก็ลุกขึ้นตั้งตัวอย่างระแวดระวัง
“คุณกับคุณชลธีนี่ชอบใช้วิธีอันธพาลไร้สมองกันทั้งคู่เลยนะ แต่ก็ไม่เป็นไร...ผมไม่เคยเกี่ยง” อชิตะหลบหมัดตรงๆที่พุ่งแหวกอากาศจวนเจียนเข้าเบ้าหน้าอย่างหวุดหวิดแล้วตวัดมือกลับไปที่ชายโครงคนเปิดเกม เทียมภพจุกจนร้องไม่ออก ถึงจะผ่านสังเวียนการเตะต่อยมานักต่อนักแต่ก็ดูเหมือนจะออกไปทางถนัดใช้กำลังเข้าแลกมากกว่าเจนจัดในเรื่องชั้นเชิง ผิดกับคู่ต่อสู้ที่กำลังประเมินคู่ซ้อมอย่างใจเย็น
“แก...กล้าสู้เหรอไอ้แว่น!” เทียมภพง้างขาจะเตะแต่ก็ถูกสกัดล้มแหงแก๋อยู่ตรงนั้น พอดีกับที่รมณ์นลินเดินออกมาดูทั้งคู่ด้วยความเป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องแล้วก็มีเรื่องจริงๆนั่นล่ะ
“น้องพลู!...แย่แล้วล่ะค่ะ พี่ชายของน้องพลูกำลังซ้อมแม่ไม้มวยไทยกับคุณอชิ” รมณ์นลินวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาบอกลูกศิษย์สาวที่เพิ่งจะออกจากห้องน้ำหมาดๆ
“หา!...” แทนดาวรีบวิ่งพรวดพราดลงมาทั้งๆที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย สวมเพียงเสื้อคลุมผ้าขนหนูกับผมเผ้าเปียกน้ำลู่แนบศีรษะ ไม่อาจทนอยู่เฉยๆได้อีกเมื่อได้รับรายงานข่าวที่ไม่ค่อยจะดีนัก นึกโมโหพี่ชายเจ้าอารมณ์ที่ชอบใช้กำลังโดยไม่ถามเหตุผล แต่ครั้งนี้ไม่คิดว่าแจ็คพอตจะมาตกที่นายแพทย์หนุ่มผู้แสนดีอย่างอชิตะ ไม่รู้ว่างานนี้จะได้เลือดได้แผลกันไปเท่าไหร่
ฝ่ายคู่ต่อสู้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดประลองฝีมือกันแต่อย่างใด ภาพที่สองสาวเห็นตรงหน้าก็คือสองหนุ่มรูปร่างใกล้เคียงกันกำลังกอดรัดนัวเนียไม่อายฟ้าดิน
“พอแล้ว...พี่หมากหยุด!” แทนดาวตะโกนร้อง อชิตะมองเห็นคนตัวเล็กกำลังจะเดินเข้ามาห้ามก็รีบปล่อยมือที่ยึดแขนของคู่ต่อสู้ไว้มั่นให้เป็นอิสระ เทียมภพคิดว่าอีกฝ่ายอ่อนแรงลงบวกกับรู้สึกได้เปรียบจึงรวบรวมกำลังสาวหมัดหมัดไปที่ครึ่งตาครึ่งคิ้วของฝ่ายตรงข้าม แต่อชิตะไม่ยอมยกมือขึ้นตั้งกาดหรือถ้าจะหลบเสียก็ไม่ยากนัก
“โอ๊ย!...” ผู้ถูกหมัดมฤตยูซัดเข้าเต็มๆเบ้าตาล้มพับพร้อมกับเสียงร้องโอดโอย แว่นตากรอบดำกระเด็นไปตกอีกทาง แทนดาวรีบเข้ามาประคองส่วนรมณ์นลินรีบไปรั้งตัวคนประเคนหมัดไม่ให้ตามไปซ้ำ
“ตายแล้วพี่อชิ! พี่หมากใจร้าย! ไปทำพี่อชิทำไม” แทนดาวยกมือปิดปากเมื่อเห็นเลือดสดไหลเป็นยางบอนออกจากหางคิ้วของอชิตะ
“อะไรกันน่ะ!” เสียงคุณลำเภาเดินออกมาดูโดยมีปลายเดือนประคองออกมา
“สงสัยจะเกิดศึกชิงนางกันค่ะ” ปลายเดือนพูดเยาะๆ งานนี้ชลธีคงเต้นเป็นเจ้าเข้าแน่ๆถ้ารู้ว่านายแพทย์หนุ่มคู่แข่งตัวฉกาจมากู้ลอบคู่หมายถึงบ้านจนถึงขั้นวางมวยกันเลยทีเดียว
เทียมภพขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นเคืองขณะจ้องมองคู่ต่อสู้ที่ทั้งน้องสาวคนรองและคนเล็กกำลังทำแผลให้ ดูอาการแล้วก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรจนต้องเอาใจกันขนาดนั้น เสียงร้องโอยเป็นระยะๆยามที่น้องสาวจิ้มสำลีเช็ดหยดเลือดก็เรียกอารมณ์หมั่นไส้ให้เกิดขึ้น
“ทำไมไม่คุยกันให้รู้เรื่องก่อนล่ะ? ดูสิ...ฟกช้ำดำเขียวกันไปหมด” คุณลำเภามองสองหนุ่มอย่างระอาใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหลานชายเจ้าอารมณ์ที่นิยมเจรจาพาทีกับคู่อริด้วยกำลัง
“ผมคงไปพูดจาไม่เข้าหูคุณหมากเข้า...ก็เลยเข้าใจผิดกัน” อชิตะตอบเสียงเบาแล้วลอบมองไปทางคนก่อเรื่อง
“อาขอโทษหมอจริงๆนะที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หมากเค้าเป็นคนใจร้อน” คุณเที่ยงธรรมพยายามขอโทษขอโพยแทนบุตรชายที่ดูท่าทางจะยังอัดแขกผู้มาเยือนไม่หนำใจ
“พ่อ...ผมเองก็เจ็บนะ” เทียมภพร้องประท้วงที่ใครๆเอาแต่รุมตำหนิตน แต่ว่าภาพสุดท้ายที่หลายคนเห็นประจักษ์แก่ตาก็คืออชิตะโดนหมัดพิฆาตของเทียมภพสอยจนร่วงไป
“เงียบเลยนะพี่หมาก! ดูหน้าคุณหมอสิ...โถ น้องพลูปิดพลาสเตอร์เร็วๆสิ” ปลายเดือนทำเสียงเวทนาไม่สมจริงนักเพราะใจลึกๆแล้วเรื่องนี้ทำให้เบิกบานใจเสียมากกว่า ส่วนเทียมภพไม่อาจะทนดูความมารยาเจ้าเล่ห์ของคนบาดเจ็บได้อีกต่อไป รีบลุกออกไปจากที่นั่นโดยเร็วแล้วไม่นานทุกคนก็ได้เยินเสียงติดเครื่องยนต์ดังกระหึ่มและนาทีต่อมาเจ้าม้าลำพองสีแดงเพลิงก็พุ่งทะยานพ้นประตูบ้านไปจนแทบมองไม่ทัน
ในเวลานั้นคงไม่ใครสังเกตเห็นรอยยิ้มซ่อนปริศนาของอชิตะ...
“เสร็จแล้วไปหาอาที่ห้องหนังสือก็แล้วกันนะ” คุณเที่ยงธรรมส่ายหน้ากับความเอาแต่ใจของบุตรชายแล้วเดินออกไป ปลายเดือนรีบประคองคุณลำเภาตามไปอีกคน
“พี่แฟงไปรอก่อนนะคะ น้องพลูเก็บของก่อน” แทนดาวบอกครูสาวเสียงอ่อยแล้วรีบเก็บหยูกยาลงกล่อง ความสำนึกผิดแทนพี่ชายยังท่วมท้นอยู่ในหัวใจ บุรุษตรงหน้าไม่ควรเลยที่จะต้องมาเจ็บตัวเพราะตน
แทนดาวยกมือแตะหางคิ้วของอชิตะอย่างระมัดระวังที่สุดเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาเจ็บมากไปกว่านี้ ดวงตาทรง
อัลมอนด์มีน้ำตาปริ่มจนแทบจะไหลล้นออกมาอยู่รอมร่อเพราะความสงสาร ไหนจะรอยช้ำจางๆตรงโหนกแก้มยิ่งทำให้รู้สึกผิดมากขึ้น เป็นเพราะตนเองคนเดียวที่ทำให้คนแสนดีอย่างเขาต้องมาเจ็บตัว
“พี่หมากทำเกินไปแล้ว น้องพลูโกรธจริงๆแล้วคราวนี้ พี่อชิอย่าเอาเรื่องพี่หมากเลยนะคะ” แทนดาวอ้อนวอนกึ่งขอร้อง มือเล็กจับข้อมือขาวสะอาดอย่างขอลุแก่โทษ
“น้องพลูสบายใจเถอะนะ...พี่ไม่คิดจะแจ้งความเอาผิดอะไรหรอก บางทีลูกผู้ชายมันก็ต้องมีการใช้กำลังในการตัดสินข้อขัดแย้ง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน...พี่เข้าใจหัวอกของพี่ชายที่หวงน้องสาวคนเดียว ถ้าพี่มีน้องน่ารักๆแบบน้องพลู...ก็คงจะหวงมาก...อาจจะมากยิ่งกว่า” อชิตะเปลี่ยนมาจับมือนุ่มนิ่มที่ยึดข้อมือของตนไว้แล้วสบสายตาหวาดหวั่นอย่างเข้าอกเข้าใจเจือด้วยความหมายบางอย่างอยู่ในที
“น้องพลูเสียใจจริงๆนะคะ ไม่รู้จะขอโทษพี่อชิยังไงดี” แทนดาวยังคงเป็นกังวลในความผิดที่พี่ชายอารมณ์ร้อนก่อ
“อย่าคิดมากสิครับ...ว่าแต่น้องพลูต้องไปให้กำลังพี่แข่งกอล์ฟด้วยนะ” หมอหนุ่มมองหน้าสาวน้อยอย่างต้องการคำตอบ แทนดาวคิดหนักที่จะตกปากรับคำ ถึงจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรเสียหายเพราะไม่ได้ไปกันสองต่อสองแต่หล่อนก็ห่วงใยความรู้สึกของชลธีมากกว่า
“น้องพลูต้องถามพี่ชลก่อนค่ะ” แทนดาวตอบออกไปตรงๆ
“อะไรกัน...พี่เราก็ไปด้วย ทำไมต้องไปถามเค้าด้วยล่ะ?” อชิตะถามพลางมองมือนุ่มนิ่มที่กุมอยู่ แทนดาวรู้สึกตัวจึงรีบดึงมือกลับมาประสานไว้บนตักอย่างเดิม
“ก็...น้องพลูเป็นแฟนพี่ชล” เสียงตอบเบาหวิวแทบจะไม่ได้ยิน ถึงอย่างไรก็ยังกระดากและไม่ชินปากที่จะเรียกเขาว่าแฟนเสียที นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่เขาแวะมาล่ำลาก่อนจะเดินทางทางไกล ได้จุมพิตเล็กๆที่อาจจะเรียกได้ไม่เต็มปากนักว่าจุมพิตเพราะเพียงแค่สัมผัสกันไม่ถึงหนึ่งวินาทีแต่ก็สามารถก็ทำให้หัวใจดวงน้อยๆเริ่มเต้นแรง
“น้องพลูรักเค้าเหรอ?” อชิตะมองลึกลงไปในดวงตาสีดำคลับดุจท้องฟ้ายามย่ำคืน ในประกายตาดุจดาวเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจที่ปรากฏชัด
“อยู่ในช่วงศึกษาทำความรู้จักกันค่ะ น้องพลูคงบอกอะไรมากกว่านี้ไม่ได้” แทนดาวไม่อาจตอบคำถามนี้ได้ตรงๆหรอก ด้วยความที่ถูกอบรมเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวดก็เลยไม่กล้าที่จะพูดถึงเรื่องรักใคร่เชิงชู้สาวจนเกินงาม
“เพราะอย่างนี้นี่เอง...พี่ว่าเรื่องที่ทำให้น้องพลูคิดไม่ตกเสียทีก็คงเป็นเพราะการประกาศหมั้นกะทันหัน น้องพลูก็เลยรู้สึกเหมือนถูกผูกมัดแถมถูกยัดเยียดให้ใช้คำว่าแฟนตั้งแต่นั้นมา” อชิตะเดาสิ่งที่ซ่อนอยู่ในประกายตาของคนตรงหน้าแทนดาวออกจะตกใจความความคิดลึกล้ำนี้มากกว่า
“ยังจำที่พี่เคยบอกเมื่อครั้งแรกๆที่เรารู้จักกันได้มั้ย? ว่ายังมีเวลาอีกมากที่จะแก้ไขปัญหานี้” แทนดาวมองดวงตาหลังกรอบแว่นสีดำอย่างค้นหาว่าบุรุษตรงหน้าต้องการจะสื่ออะไรกันแน่
“น้องพลูเข้าใจเจตนาของพี่อชินะคะ แต่ว่าน้องพลูมีแฟนแล้ว...พี่อชิไม่ควรเสียจะเวลา ดูสิ...ต้องมาเจ็บตัวเปล่าๆ” แทนดาวพยายามคัดค้านในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังกระทำ
“อย่าเพิ่งปิดใจสิครับ...ถ้าน้องพลูบอกว่ากำลังศึกษาดูใจกันอยู่แล้วทำไมไม่ลองศึกษาคนอื่นบ้างล่ะ”
“พี่อชิ!”
“ชลธีทำสิ่งที่เห็นแก่ตัวมากมาตั้งแต่แรกโดยการผูกมัดน้องพลูด้วยวิธีมัดมือชก แต่พี่...จะทำให้น้องพลูค่อยๆรักจนไม่อาจที่จะขัดขืนหัวใจตัวเองได้เช่นกัน”
วันที่สี่ของการมาทำงานในต่างบ้านต่างเมืองทำให้ชลธีรู้สึกว้าเหว่สุดหัวใจ ผิดกับแต่ก่อนที่ไม่เคยรู้สึกว่าอยากจะกลับแต่บ้านมากเท่าคราวนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะงานประชุมยาวนานที่ออกจะน่าเบื่อหน่ายที่ผ่านไปในแต่ละวันหรือเป็นเพราะว่าความคิดถึงที่มีต่อใครบางคนทำให้อยากกลับอยู่ทุกลมหายใจ
พอเสร็จจากสัมมนาตอนเที่ยงวันพอดีทางทีมก็ตกลงกันว่าจะมาออกมาเดินท่องเมืองซานฟรานซิสโก ต่างคนต่างแยกย้ายเดินสำรวจร้านรวงต่างๆตามอัธยาศัย ถึงแม้ว่าสภาพอากาศจะไม่หนาวเย็นแต่ชลธีก็เอาผ้าพันคอสีน้ำเงินลายดาวที่คนแสนงอนซื้อให้มาคล้องคอไว้ เขาใช้เวลาเดินเลือกสินค้าของที่ระลึกอยู่ในร้านแห่งหนึ่งได้สักพักใหญ่แล้ว ในตะกร้าช้อปปิ้งเต็มไปด้วยลูกกวาดและช็อคโกแลตหลากรสชาติที่ตั้งใจซื้อไปฝากพนักงานและคนที่บ้าน ส่วนอีกตะกร้าเต็มไปของที่ระลึกน่ารักที่ซื้อไปฝากสาวน้อยที่เฝ้าถวิลหาตั้งแต่มาถึงที่นี่
“ซื้ออะไรไปเยอะแยะคะนั่น?” เสียงร้องทักจากเปรมยุตาดังขึ้น หล่อนเดินมาพร้อมกับผู้จัดการฝ่ายตลาด
“ก็พวกขนมน่ะครับ พวกเด็กๆชอบกินกัน แล้วนั่น...คุณปรางกับคุณหมวยไปเหมาร้านเครื่องสำอางกันมาเหรอ?” เขาถามกลับเมื่อเห็นสองสาวหิ้วถุงช้อปปิ้งเต็มสองมือ
“พวกเด็กๆฝากซื้อค่ะ ของตัวเองมีไม่กี่ชิ้นนอกนั้นซื้อฝากกับฝากซื้อค่ะ”
“คุณหมวยน่าจะเปิดรับพรีออเดอร์เสียเลย” ชลธีแซวกลับทำให้ผู้จัดการสาวใหญ่ยิ้มกว้าง ร้อยวันพันปีไม่เคยจะเห็นบอสใหญ่คนนี้พูดจาเล่นหัวกับใครหรอก แต่พักหลังตั้งแต่มีแฟนเป็นสาวน้อยน่ารักคนนั้นก็รู้สึกว่าเจ้านายผู้เคร่งขรึมเย็นชาดูจะมีชีวิตชีวาและอารมณ์ขันมากกว่าเดิม
“ถ้าทำได้นี่พี่หมวยรวยไปนานแล้วค่ะ ว่าแต่...ของน่ารักๆทั้งนั้นเลยนะคะ นี่เอาไปฝากคุณแฟงกับคุณน้องใบพลูใช่มั้ยคะ?” สาวใหญ่คนเดิมคุ้ยดูของในตะกร้าของบอสใหญ่ก็เห็นว่ามีพวงกุญแจ ถุงมือ ผ้าพันคอ ตุ๊กตาและเครื่องประดับหลายชิ้นซึ่งทุกชิ้นล้วนเป็นสีชมพู
“ก็...ให้ใบพลู ส่วนแฟงเค้าไม่อยากได้อะไรเลยรอบนี้ก็เลยซื้อไปแต่พวกขนม”
“น่ารักจังเลยนะคะ พี่หมวยอยากให้ถึงวันแต่งงานคุณชลเร็วๆจัง” ผู้จัดการสาวใหญ่ยังคงเม้าท์ต่ออย่างสนุกปากจนทำให้อีกคนที่ยืนอยู่ด้วยหน้าตึงขึ้นมาทันที
“คุณหมวยก็อย่าแซวเจ้านายมากสิคะ ดูสิ...เขินจะแย่แล้ว” เปรมยุตาที่ยืนเงียบอยู่นานขัดขึ้น หล่อนไม่อยากได้ยินใครพูดถึงว่าที่คู่หมั้นของอดีตคนรักในเวลาที่มีโอกาสมากับเขาไกลตั้งครึ่งโลก
“ชลคะ...เดี๋ยวปรางกับคุณหมวยจะไปดื่มชากันฝั่งโน้น คุณอาร์มกับคุณนาตาชาไปรออยู่ก่อนแล้ว ชลจะไปด้วยมั้ย?”
“เดี๋ยวผมตามไปก็แล้วกัน หาซื้อของให้น้องพลูอีกเดี๋ยว...ยังได้ไม่ครบเลย” เขาตอบเรียบๆแล้วหันกลับไปเลือกของต่อ เปรมยุตาหน้านิ่งสนิท
ในตอนค่ำวันเดียวกันทั้งหมดก็มานั่งดื่มผ่อนคลายความเมื่อยล้ากันที่ไนต์คลับภายในโรงแรมที่พัก บอสใหญ่ทั้งสามคนสั่งเครื่องดื่มมึนเมามาหลายชนิดแต่ชลธีเลือกที่จะจิบไวน์เบาๆ บทสนทนาดำเนินไปได้สักพักเขาก็ขอตัวออกมาโทรหาคนที่อยู่เมืองไทยแต่ว่าหล่อนไม่รับสายก็เลยแค่พิมพ์ข้อความสั้นๆทิ้งไว้ว่าออกมานั่งดื่มกับเพื่อนๆ
“ดื่มด้วยกันอีกแก้วสิคะ....ของปรางยังไม่หมดเลย” ชลธีอยากปฏิเสธเพราะตั้งแต่มานั่งก็ดื่มไปหลายแก้วแล้ว ชักรู้สึกมึนนิดๆแล้วด้วย
“ไม่ไหวแล้วล่ะปราง พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”
“อีกแก้วเดียวน่าคุณชล...จะได้หลับสบาย ดูคุณนาตาชาสิ...ขนาดเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆยังซัดวอดก้าไปครึ่งขวด ดูสิ...ยังนั่งนิ่งอยู่เลย” หนึ่งในบอสใหญ่ที่มาด้วยกันคะยั้นคะยอ
“ไม่ทันเมาหรอกค่ะ อีกแก้วเดียวเอง...นะคะ” เปรมยุตาส่งแก้วบรรจุน้ำสีอำพันให้อีกครั้ง ชลธีจำใจจรดแก้วบางใสที่ริมฝีปากและดื่มของเหลวสีเหลืองแก่รวดเดียวจนหมดเพื่อให้จบๆไป กองเชียร์ต่างหัวเราะชอบใจแต่ทว่าหลังจากนั้นมันไม่ได้จบที่แก้วเดียวอย่างที่ตั้งใจ ทั้งไวน์ทั้งเหล้าถูกส่งเข้าปากเรื่อยๆจนกึ่มได้ที่
“เอาล่ะ...ผมต้องกลับห้องเสียที เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” เขาบอกลาทุกคนแล้วรีบเดินออกมาเพราะรู้สึกถึงอาการมึนที่ควบคุมลำบาก เปรมยุตาตามมาติดๆ
“ชลคะ...งั้นขึ้นไปด้วยกันเลยดีกว่า” ชายหนุ่มพยักหน้า ระหว่างทางที่เดินกลับมาก็ต้องคอยเบือนหน้าหนีหลบสายตาแปลกๆจากเปรมยุตาที่ทอดส่งมาเป็นระยะ
“ชล...ไหวมั้ยเนี่ย? ดูสิ...เหงื่อเต็มเลย” ฝ่ามืออุ่นๆเช็ดไปตามเม็ดเหงื่อผุดพรายบนใบหน้าหล่อเหลา ชลธีหันหน้าหนีโดยเร็วทำให้คนที่กำลังพยายามเช็ดเหงื่อหน้าสลดลง
“ผม...รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย เอาล่ะ...ผมไปนอนก่อนนะ” เขาบอกพร้อมกับเสียบคีย์การ์ดเปิดประตูเข้าห้องไปโดยเร็วแต่ก็ไม่ทันที่เปรมยุตารั้งประตูไว้แล้วก้าวตามเข้ามา
“ว่าแต่ว่า...ชลไม่ได้เป็นอะไรมากใช่มั้ยคะ?” แววตาของคนถามเต็มเปี่ยมไปด้วยประกายลึกล้ำประหลาด
“เดี๋ยวผมไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อยก็คงจะดีขึ้น สงสัยดื่มมากไปหน่อย มากับคุณอาร์มทีไร...โดนมอมทุกที” เขายังพยายามพูดติดตลก
“ปรางกลับไปพักผ่อนเถอะ” เขาบอกห้วนๆแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าเพื่อให้สร่างขึ้น เปรมยุตาไม่ยอมกลับออกไปแต่ยิ้มเย็นแล้วปิดประตูห้องลงอย่างเบามือ
พอออกจากห้องน้ำชลธีก็ผงะเมื่อยังเห็นเปรมยุตาอยู่ในห้อง พยายามกระพริบตาหลายๆครั้งเผื่อว่ามันอาจจะแค่ตาฝาดไปแต่หล่อนก็ยังนั่งอยู่ที่ปลายเตียงและกำลังมองกลับมาด้วยสายตาหยาดเยิ้มจนไม่อยากให้หล่อนมาอยู่ใกล้ๆในเวลาอย่างนี้เลย
“ปราง...ทำไมคุณยังไม่ไปอีก!” เขาถามเสียงดังขณะพยายามข่มอารมณ์บางอย่างที่กำลังก่อตัวควบคู่กับความมึนเมา
“ปรางเป็นห่วงคุณมาก...เลยตามมาดูแลไง?” เปรมยุตาตอบเสียงหวานรัญจวนแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปหาช้าๆ
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก ออกไปก่อนเถอะ...ผมอยากนอนแล้ว” ชลธีเบือนหน้าหนีเมื่อหล่อนเอามืออุ่นๆปาดหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนแก้มแผ่วเบาแล้วก็ต้องสะดุ้งแรงเมื่อปลายนิ้วเรียวสวยค่อยๆไล้ไปทั่วแผงอกตึงแน่นเปลือยเปล่า
“ปรางดีใจจังที่เรามีโอกาสได้อยู่ด้วยกันแบบนี้อีก” หล่อนกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า ชลธีเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวเป็นก้อนพายุที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งให้กระจุยกระจาย
“ไม่เอานะปราง...” เขาเรียกสติทั้งของตนเองและคนที่กำลังตวัดแขนเรียวกอดตัวอยู่แนบแน่น อกอวบหยุ่นบดเบียดแผงอกกำยำอย่างจงใจปลุกเร้า
“อย่าไล่กันเลยนะคะ คืนนี้ให้ปรางอยู่เป็นเพื่อนนะคะ” เขากำลังจะเอ่ยปากห้ามแต่ก็ต้องกลืนคำๆนั้นลงคอเมื่อถูกริมฝีปากบางเบาเข้าครอบครองอย่างช่ำชอง ชลธีต้านมันไม่อยู่อีกต่อไปแล้วและรู้ตัวว่ากำลังจะพ่ายแพ้ให้แก่สำนึกส่วนเลวภายใต้อิทธิพลของอารมณ์ดำฤษณา เขาไม่อาจฝืนให้มือตัวเองที่ค่อยๆเลื่อนขึ้นมาโอบเอวบางเอาไว้ก่อนจะรัดแน่นขึ้นขณะตอบรับจุมพิตอันเย้ายวนและเชิญชวน
“ปราง...ไม่ได้นะ มันไม่ถูกต้อง” ชลธีฝืนตัวเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากร้อนๆเมื่อรู้สึกว่าแผ่นหลังกระทบฟูกนิ่มๆ เขาพยายามดันตัวอีกฝ่ายออกแต่หล่อนก็โอบรัดรอบคอไว้แน่นหนา มือเรียวเลื่อนไล้มายังอกเปลือยอีกครั้ง
“อย่ากังวลไปเลย...ปรางเต็มใจให้คุณทุกอย่างเพราะว่าปรางรักคุณค่ะ...ชล” น้ำเสียงหวานกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูผสมผสานกับแววตาเศร้าหมองหากแต่เปี่ยมไปด้วยความรักจ้องมองลึกลงไปในดวงตาสีเหล็กราวกับจะใช้มันช่วยรื้อฟื้นวันเวลาเก่าๆที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ด้วยกันอย่างนี้ แต่ชลธีกลับคิดอะไรไม่ออกนอกจากมองร่างอุ่นที่กำลังปลดเปลื้องอาภรณ์ท่อนล่างออกไปจากร่างของเขาอย่างใจเย็น สายตาพร่ามัวและสติที่ไม่เต็มร้อยทำให้เห็นเพียงสตรีคนหนึ่งที่ไม่รู้จักกันแต่กำลังจะกระทำกิจบางอย่างร่วมกันเพียงแค่นั้น
ชลธีสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างเนียนละมุนที่ทาบทับอยู่บนตัวแนบสนิททุกส่วนจนอณูอากาศไม่สามารถเล็ดลอดผ่านไปได้ เขากัดฟันข่มกลั้นอารมณ์เมื่อริมฝีกปากบางจูบไล้ไปตามไรคาง ซอกคอและลิ้มเลียตรงแผ่นอกหนาแน่นอย่างชำนิชำนาญ หากแต่ทนได้แค่เพียงไม่กี่นาทีเขาก็เป็นฝ่ายพลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบนและ ‘ตอบโต้’ เฉกเช่นเดียวกับที่หล่อนทำเมื่อครู่
“น้องพลู…” เสียงครางเผลอเรียกชื่อสตรีที่เป็นดวงดาวในดวงใจออกมาโดยไม่รู้ตัวเลยว่าสตรีที่นอนใต้ร่างตนเองตอนนี้มิใช่สาวน้อยนัยน์ตาดุจดาวคนนั้น เขารู้เพียงแต่ว่าตอนนี้ต้องการปลดปล่อย...ต้องปลดปล่อยความกำหนัดอันพึงมีในตัวบุรุษตามธรรมชาติที่ถูกยั่วยุปลุกปั่นจนแทบมิอาจต้านทานพายุดำฤษณาที่กำลังกรรโชกแรง
มันเป็นทางเดียวที่จะดับอารมณ์พุ่งพล่านอย่างกับไฟนรกโลกันต์ของเขาได้!...
ชลธีมิใช่คนมักมากในกามารมณ์...และมิใช่รูปั้นปูนแข็งแต่ก็มีความยับยั้งชั่งใจมากพอเว้นเสียแต่ว่าจะถูกปลุกปั่นด้วยอุบายและวิธีสกปรกจนเขาไม่อาจทานทนกับความทุกข์ทรมานทางกายอย่างเช่นเวลานี้ที่อารมณ์ใคร่เสน่หาไหลเรื่อยร้อนแรงแรงดุจลาวาภูเขาไฟเมื่ออาภรณ์ชิ้นสุดท้ายของใครคนหนึ่งถูกปลดเปลื้องออกไปในที่สุด!
“นี่คือบทพิสูจน์แรกใช่มั้ยคะ?”
เสียงใสๆดังแว่วมาจากแดนไกล เสียงนี้กังวานจับจิตใจถึงแม้จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของน้ำเมาดีกรีแรงที่สุดก็ยังจำได้ นันย์ตาสีเหล็กที่ฉาบไปด้วยประกายราคะและมึนเมากลับค่อยๆมองเห็นภาพต่างๆแจ่มชัดขึ้นแล้วแทนที่ด้วยความปวดหนึบที่ศีรษะ ร่างเปลือยเปล่าที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับรสสัมผัสจากร่างกายกำยำก็ดูเหมือนจะชะงักงันไปกับการเปลี่ยนแปลงอารมณ์กะทันหัน
“เรามาไกลกันเกินไปหน่อยแล้ว” เขาพูดพึมพำแล้วรีบพลิกตัวลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว คว้าเสื้อผ้ามาสวมอย่างรีบรนแล้วออกจากห้องไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองคนที่นั่งอารมณ์ค้างอยู่บนเตียงแม้แต่น้อย
เครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กส่งเสียงดังปลุกให้เปรมยุตาที่ยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องเดิมเดินไปหยิบโทรศัพท์ของชลธีบนโต๊ะหัวเตียงที่ฝ่ายนั้นลืมหยิบติดตัวไปด้วย พอเห็นชื่อคนโทรเข้าแสดงบนหน้าจอก็กระตุกยิ้มบางๆที่มุมปากก่อนจะกดรับสาย
“สวัสดีค่ะน้องพลู”
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่า...นั่นพี่ปรางกำลังพูดใช่มั้ยคะ?” แทนดาวแปลกใจที่คนรับไม่ใช่เขา เสียงผู้หญิงที่คุ้นหูแต่ว่าไม่อยากจะเดาเลยว่าเป็นใครเลยลองถามออกไป
“พี่ปรางเองค่ะ หวังว่าน้องพลูคงจำได้” แทนดาวเริ่มเอะใจที่เปรมยุตารับโทรศัพท์ของเขาในเวลานี้
“อ้อ...จำได้ค่ะ ว่าแต่ว่าพี่ชลอยู่แถวๆนั้นหรือเปล่าคะ? พอดีพี่ชลโทรมาเมื่อช่วงหัวค่ำแต่ว่าน้องพลูไม่ได้รับก็เลยโทรกลับมาค่ะ” แทนดาวพยายามทำเสียงให้เป็นปรกติแต่เปรมยุตาจับได้ว่ามันสั่นเครือน้อยๆซึ่งเป็นที่พอใจสำหรับตัวเองอย่างมาก
“ขอโทษทีค่ะ สงสัยตอนที่น้องพลูโทรมาเรายังนั่งกันอยู่ในผับ แต่ตอนนี้ชลเค้ายังนอนหลับอยู่เลย...จะให้ปลุกมั้ยคะ? นอนอยู่ข้างๆพี่เอง” แทนดาวตัวชากับคำตอบ ‘นอนอยู่ข้างๆ’ นั้นแปลความหมายตรงตัวได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถึงจะถูกเลี้ยงมาแบบไข่ในหินแต่ก็มิได้ใสซื่อโลกสวยจนคิดว่าสองคนนั่นนอนจับมือดูดาวกันเฉยๆเป็นแน่
“งั้นหรือคะ? ถะ...ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ ฝากบอกพี่ชลด้วยก็แล้วกันว่าน้องพลูโทรมา” มือน้อยๆสั่นเทาขณะกดตัดสาย หยาดน้ำตาเม็ดโตค่อยๆไหลรินเรื่อยผ่านแก้มบางอย่างห้ามไม่อยู่ พยายามคิดในแง่ดีว่ามันคงจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเหมือนคราวก่อน พวกเขาอาจจะไม่ได้อยู่กันตามลำพังก็เป็นได้ แต่ทำไมหนอ...หัวใจเจ้ากรรมมันถึงเจ็บแปลบปลาบเมื่อคิดว่าก็อาจเป็นไปได้ที่ทั้งคู่จะอยู่กันตามลำพัง
“ต้องเชื่อใจเค้าสิ...นี่คือบทพิสูจน์ความไว้วางใจ” แทนดาวปลอบตัวเอง
แม้จะเพิ่งเริ่มต้นคบหาศึกษาดูใจกันหรือพบปะกันนับครั้งได้ แต่เขาเองมิใช่หรือ...ที่พาตัวเองเข้ามาในชีวิตและผูกพันหล่อนไว้ด้วยการขอหมั้น ถึงจะยังไม่ได้ทำพิธีอย่างเป็นทางการเพราะยังติดว่าต้องรอเรียนจบก่อน แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนแล้วมิใช่หรือว่าทั้งคู่ต้องเกี่ยวดองกันในไม่ช้า หาไม่แล้วจะมาตีตราเอาไว้ก่อนทำไมถ้ายังตัดใจจากคนรักเก่าไม่ได้ เขาเองมิใช่หรือ...ที่ค่อยซึมแทรกเข้ามาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แล้วหล่อนเล่า...เขาจัดสรรให้อยู่ตรงส่วนไหน?
แทนดาวยังคงจ้องมองโทรศัพท์ในมืออย่างฟุ้งซ่าน อดคิดต่ออีกไม่ได้ว่าชลธีคิดจะจับปลาสองมือหรือแค่คบหล่อนไว้ประดับบารมีให้คนอื่นๆรู้ว่าตัวแน่แค่ไหนที่สามารถล้วงคองูเห่าอย่างเทียมภพ คว้าตัวน้องสาวที่แสนจะหวงแหนมาครอบครองได้ ที่แย่ไปกว่านั้น....จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เขาเพียงแค่ต้องการเอาตัวเข้ามาพัวพันเพื่อหาทางครอบครองกิจการของทวีกิจ เพราะนอกเหนือจากการทำให้ตัวเองได้มีชื่อในบัญชีผู้ถือหุ้นเกินครึ่งแล้ว...ยังได้ตัวทายาทคนเล็กของตระกูลมาและกำลังรอเวลาที่จะรวบรวมกิจการของทวีกิจเป็นของตัวโดยสมบูรณ์ในเร็ววัน!
“จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง ลึกยิ่งกว่ามหาสมุทรที่ลึกที่สุด” แทนดาวบอกกับตัวเองแล้วซบหน้ากับฝ่ามือ
“ฮือ...พี่ชล” สุดจะกลั้นน้ำตาที่ปริ่มล้นจนในที่สุดก็ต้องยอมปล่อยให้ทำนบหยาดน้ำใสแตกร้าว ถ้าหากว่าการเดินทางของเขาครั้งนี้คือการกลับไปสานสัมพันธ์รักครั้งเก่าจริงๆ หล่อนจะทำตัวอย่างไรถ้าเขากลับมาพร้อมกับการบอกยุติความสัมพันธ์ที่กำลังก่อตัว
โอ...หัวใจดวงน้อยที่ไม่เคยมีบาดแผลจากความรักจะรับมืออย่างไรดี? ความเจ็บปวดจากพิษของมันจะเจ็บเจียนจะตายอย่างที่พร่ำพรรณนาในนิยายหรือเปล่าหนอ...
เกือบค่อนคืนที่ชลธีหนีมาสงบสติอารมณ์อยู่ข้างนอกจนคิดว่าสร่างเมาระดับหนึ่งแล้วก็กลับขึ้นห้องแต่ก็ยังคงแปลกใจติดออกจะโกรธที่ยังเห็นเปรมยุตานั่งรออยู่ หล่อนสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยและกำลังดูทีวีอย่างสบายใจบนเตียงนุ่มที่เมื่อคู่เกือบจะกลายเป็นสังเวียนประลองความกำหนัดเสน่หา
“คุณต้องการอะไรกันแน่ปราง?” เขาถามเสียงห้วนจะแทบเป็นตะคอก
“ต้องการคุณค่ะ...สิ่งเดียวที่ปรางต้องการคือคุณ” เปรมยุตายิ้มเย็นๆให้อย่างไม่สะทกสะท้านกับอารมณ์กราดเกรี้ยวนั้น
“ผมไม่มีอะไรจะให้หรอก...นอกจากความว่างเปล่า ออกไปได้แล้ว...อย่าให้ผมต้องใช้กำลัง” เขาบอกเสียงเยียบเย็นและเหี้ยมเกรียมจนคนฟังใจหายแต่ก็ยังทำใจแข็ง
“แหม...ใจร้ายจังนะคะ ต่างกับเมื่อกี้ลิบลับเลย จูบของคุณยังเร่าร้อนเหมือนเดิมเลยนะคะ” เปรมยุตาแสร้งพูดยั่ว
“งั้นหรือ? ขอโทษทีนะที่ทำให้คุณอารมณ์ค้าง หวังว่าจะไม่โกรธกัน เอาตรงๆนะ...ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นผมคงไปต่อจนจบเกม แต่กับคุณ...ผมฝืนทำไม่ได้จริงๆ” ขาดคำเปรมยุตาก็สะบัดฝ่ามือตบที่หน้าคมคายอย่างแรงจนหน้าหัน
“คุณมันปากแข็ง คนใจร้าย...ปรางไม่เชื่อหรอกว่าคุณลืมปรางได้หมดหัวใจแล้วจริงๆ คุณแค่แก้แค้นเท่านั้น!” เปรมยุตาตวาดก้อง น้ำตาพรั่งพรูออกมาด้วยความโกรธผสมอายที่โดนดูถูก
“เชื่อผมเถอะ...ว่ามันหมดแล้วจริงๆ หมดทุกสิ่งทุกอย่าง” ชลธีเน้นคำหนักแน่นพร้อมกับยื่นท่อนแขนข้างซ้ายที่เคยมีรอยสักอักษรย่อชื่อของหล่อนที่บัดนี้มันว่างเปล่า แม้จะเห็นรอยลบจางๆบนผิวหนังแต่อีกไม่นานนักก็จะเลือนหายไป เปรมยุตามองมันด้วยสายตาแห่งความปวดร้าวจนไม่อาจทนเก็บกลั้น
“ถ้าอย่างนั้นปรางก็ขอให้คุณสุขสมหวังกับรักครั้งใหม่ก็แล้วกันนะคะ อ้อ...ตอนที่คุณหลับอยู่น่ะ คู่หมั้นเด็กของคุณโทรมา ปรางเลยบอกเธอไปเรียบร้อยว่าเราอยู่ด้วยกัน คุณเตรียมคำอธิบายดีๆไว้หรือยังล่ะ?” หล่อนพูดเยาะๆพลางปาดน้ำตาออกจากใบหน้าสวยที่บัดนี้มันแดงช้ำ ชลธีนิ่งไปนิดหนึ่ง ความโกรธแล่นขึ้นมาอีกจนห้ามไม่อยู่ ตรงเข้าไปกระชากแขนหล่อนและออกแรงบีบมันอย่างแรงจนอีกฝ่ายเบ้หน้าด้วยความเจ็บ
“ขอบใจมากนะ! แต่ผมจะให้คุณยุ่งกับเธอได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะ ถ้าผมรู้หรือเห็นว่าคุณไปทำอะไรให้เธอไม่สบายใจอีก...คุณจะไม่ได้อยู่เป็นสุขแน่ๆ!” แล้วเหวี่ยงหล่อนออกไปนอกห้อง ได้ยินเสียงกรี๊ดดังสนั่นไล่ตามหลังมาพร้อมกับประตูที่ถูกกระชากปิดดังปัง!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ