ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  39.16K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

30) ตอนที่ 29 ทะเลเคียงดาว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 29 ทะเลเคียงดาว

 

                ชลธีไม่อาจทนอยู่ร่วมกับเปรมยุตาจนจบทริปได้อีกต่อไปจึงทำเรื่องเปลี่ยนเที่ยวบินกลับตั้งแต่เมื่อคืน วันรุ่งขึ้นก็รีบเชคเอาท์ออกมาท่ามกลางความงุนงงของคนอื่นๆโดยให้เหตุผลกับทีมว่าต้องรีบกลับมาดูมารดาที่ป่วยกะทันหัน คงจะมีเปรมยุตาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กลั้นเก็บความระทมเอาไว้ในใจที่คนเคยรักหมดเยื่อใยอาทรต่อตนเองแล้วจริงๆ

ทีที่เครื่องจอดสนิทนิ่งบนรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิตอนเช้าตรู่ในอีกวันต่อมา สิ่งแรกที่ชลธีทำคือรีบเปิดเครื่องมือสื่อสารแล้วโทรหาแทนดาวทันที

                “น้องพลู...พี่กลับมาแล้วนะ” เสียงร้อนรนของคนปลายสายทำให้แทนดาวที่กำลังแต่งตัวตรียมไปมหาวิทยาลัย แปรงผมลงผมลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง

                “งานเสร็จแล้วเหรอคะ?” คิ้วโก่งเรียวดุจคันศรขมวดนิดๆเพราะว่าเขากลับมาเร็วกว่ากำหนด

                “ยังหรอก...แต่พี่กลับมาก่อน”

                “แล้วจะรีบกลับมาทำไมล่ะคะ..น่าจะอยู่หาความสุขอีกสักวันสองวัน” คำตอบประชดเหน็บแนมยิ่งให้คนฟังกระวนกระวายมากขึ้น

                “ใครจะไปมีอารมณ์หาความสุขอีกล่ะ ในเมื่อมีใครบางคนยังเข้าใจอะไรผิดๆ”  เสียงตอบจากคนปลายสายฟังดูติดจะดุจนแทนดาวยอมวางทิฐิแล้วตั้งใจฟัง

                “วันนี้เลิกเรียนกี่โมง?”

                “เที่ยงค่ะ...แต่น้องพลูมีนัดคุยกับอาจารย์ต่อก็น่าจะเสร็จบ่ายสอง”ฃ

                “โอเค...พี่จะไปรับนะ”

                แทนดาวไม่ตอบรับหรือปฏิเสธนอกจากวางสายแล้วหันกลับมามองตัวเองในกระจก การที่ชลธีเร่งรีบกลับมาแบบนี้เพื่อจะอธิบายความจริงว่าเรื่องคืนนั้นเป็นอย่างไรหรือว่าจะกลับมาบอกยุติความสัมพันธ์อย่างที่คิดเอาไว้...

 

                แทนดาวหน้าหงิกเมื่อเห็นว่าใครมารอรับอยู่ตรงจุดนัดหมายที่ปรกติแล้วไม่พี่ชายพี่สาวก็ต้องเป็นรถที่บ้านมารอ อยู่ทุกวัน  แต่วันนี้กลับเป็นบุรุษร่างสูงหน้าคมนัยน์ตาดุกำลังยืนพิงรถอเนกประสงค์สีดำเงาฉ่ำในลักษณะที่บอกว่ามารอยู่พักใหญ่แล้ว คนตัวเล็กมองตอบด้วยกิริยาหน้าเชิดคิดจะทำเป็นแกล้งมองไม่เห็นแล้วเดินหนีไปที่อื่น แต่สายตาดุๆที่ดูคล้ายกับว่าไม่สบอารมณ์อะไรมาสักอย่างเตือนตนเองว่าไม่ควรไปยั่วโมโหหรือก่อกวนให้ผู้ชายคนนั้นไม่พอใจ ก็สายตาเหี้ยมๆแบบนี้แหละที่เคยจ้องมองคู่ศรศิลป์ไม่กินกันอย่างเทียมภพหรืออชิตะแล้วก็มีอันเกิดเรื่องทุกครั้งไป ถึงเขาจะเป็นคนมีเหตุผลและใจดีกับหล่อนเสมอ แต่ถ้าถึงเวลาเลือดเดือดขึ้นมาน่ะ...น่ากลัวกว่าพี่ชายหลายเท่า

                ยิ่งเข้าไปใกล้คนถูกจ้องมองเขม็งก็ยิ่งรู้สึกประหม่า เพราะการมาของเขาเป็นที่สนใจไม่น้อยเลย บรรดานักศึกษาสาวๆทุกคนที่เดินผ่านต่างก็ต้องแลหลังมามองหนุ่มมาดเท่อย่างกับนายแบบที่หลุดออกมาจากนิตยสาร หลายคนพยายามส่งยิ้มให้แต่ชายหนุ่มไม่สนใจอะไรนอกจากมองมองสาวน้อยเอวบางรูปร่างสูงเกินมาตรฐานหญิงไทยเล็กน้อยที่กำลังเดินหน้าเชิดเข้ามา

                “มารอใครเหรอคะ?” หญิงสาวแสร้งทำเสียงทักทายแบบเย็นชาเหมือนไม่รู้จักกันเพื่อข่มความประหม่า ร่างสูงเพียงแค่เปลี่ยนอิริยาบถจากยืนพิงรถเป็นเดินเข้ามาเกือบชิดร่างเล็กแล้วแย่งหนังสือเรียนในอ้อมกอดไปถือเอง

                “มารอคนขี้งอน”

                  “ถอยไปห่างๆเลยนะ ดูสิ...มีแต่คนมอง” เสียงเล็กๆเอ็ดเมื่อการกระทำของเขาตกเป็นเป้าสายตาของสาวๆที่สัญจรผ่านไปมาและดูคล้ายว่าจะเดินช้าลงเมื่อเฉียดมาใกล้บุรุษหน้าคมคนนี้

                “ใครเหรอ?”

                “ฮึ...อย่าบอกนะว่าไม่รู้ตัว ดูแม่พวกนั้นสิ...มองพี่ชลตาเยิ้มจนจะละลายออกมานอกเบ้าแล้ว” หล่อนเบะปากให้นักศึกษาสาวที่จับกลุ่มยืนมองอยู่ไม่ไกล รู้หรอกว่าเป้าสายตาของแม่พวกนั้นก็คือคนร่างสูงที่ยืนค้ำหัวอยู่นี่

                “ไม่รู้สิ...ไม่ได้สังเกตเหมือนกันว่าใครจะมองหรือไม่มอง เพราะพี่ไม่ได้มีสายตาไว้มองใคร...นอกจากน้องพลูคนเดียว” เขาบอกเสียงเรียบ หน้าขรึม ไม่รู้เลยว่าคำตอบนั้นน่ะสร้างความป่วนปั่นพร้อมๆกับความโกรธให้คนฟังมากขนาดไหน อยากหยิกหรือทุบให้สักพลั่กที่ทำปากหวานหน้าตายได้กวนอวัยวะส่วนล่างได้ดีเหลือเกิน

                “เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว พี่ชลมีอะไรถึงมานี่ได้ล่ะ?” คนถูกกวนรีบเปลี่ยนเรื่องกลัวจะอดใจไม่ทำร้ายคนขี้เก๊กไม่ได้

                “ก็บอกแล้วว่าจะมารับ”

                “น้องพลูจะรอพี่หมาก”

                “วันนี้จะไม่มีใครมารับน้องพลู...นอกจากพี่” ชลธีบอกเสียงกร้าว

                “ไม่! น้องพลูไม่ไปกับพี่ชล” แทนดาวไม่ยอม สลัดมือจากการเกาะกุมได้ก็รีบหยิบโทรศัพท์กดเบอร์โทรหาพี่ชาย แต่ไม่มีใครรับก็เลยโทรหามารดา แต่กลับกลายเป็นว่าท่านเป็นคนออนุญาตให้เขามาเองแถมยังกำชับกับบุตรสาวแสนดื้ออีกด้วยว่า  

            “ทำตัวดีๆกับพี่เขานะลูก”

                “โกรธๆๆ! โกรธคุณแม่แล้วก็พี่หมากด้วย!” หล่อนตวาดกับโทรศัพท์เป็นเด็กๆ ชลธีแอบอมยิ้มแล้วไปเปิดประตูเชื้อเชิญเทพธิดาหน้างอขึ้นรถ

                “พี่อุตส่าห์ไม่เข้าออฟฟิศเพื่อน้องพลูเลยนะเนี่ย ว่าจะพาไปหาอะไรกินสักหน่อย” เขาหยิบยกเรื่องงานขึ้นมาอ้างเพื่อให้หญิงสาวรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญกว่าเรื่องเงินๆทองๆ แทนดาวค้อนให้ก่อนจะขึ้นไปนั่งชูคอหน้าเชิดบนรถอย่างเสียไม่ได้

                “อย่างนี้สิครับ...ไม่ดื้อก็น่ารักอย่างนี้” จะประชดหรือชมจริงๆก็มิอาจล่วงรู้ แทนดาวคิดเพียงแต่ว่าตัวเองจะหวั่น ไหวมากน้อยแค่ไหนกับการพบกันคราวนี้ พยายามไม่คิดถึงเรื่องเมื่อวันก่อนแต่มันก็โมโหไม่หายอยู่ดี

                “ฮึ...เจ้าชู้ยักษ์จนได้เรื่องแล้วยังมีหน้ามาพูดดีอีก...แบบนี้มันน่านัก”

                “ถ้าจะด่าพี่ก็ว่ามาดังๆเลยก็ได้ ไม่เห็นต้องมองค้อนทำปากขมุบขมิบเลย” เขาพูดลอยๆขณะจ้องมองไปยังถนนเบื้องหน้า

                “น้องพลูไม่ได้ว่าพี่ชลซะหน่อย รีบไปเสียที...รีบกินจะได้รีบกลับ น้องพลูมีการบ้านเยอะแยะที่ต้องทำนะ” คนนั่งข้างๆว่าฉอดๆที่โดนรู้ทัน สารถีหนุ่มเพียงแค่ยิ้มที่มุมปากแกล้งพึมพำเบาๆแต่ให้ได้ยินด้วยกันว

                “พาลเก่งที่หนึ่ง เอาแต่ใจเป็นเลิศ ดื้อไม่มีใครเทียบติด”

                “น้องพลูไม่ได้เป็นแบบนั้นซะหน่อย พี่ชลนั่นแหละชอบบังคับทางอ้อม”

                “อ้าว...พี่ทำแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”

                “ก็ที่ทำอยู่นี่ไงล่ะ”

                “แล้วกัน...พี่ว่าบอกน้องพลูดีๆแล้วนี่นา ถ้าบังคับจริงคงไม่แค่พาขึ้นรถไปกินข้าวแล้วกลับบ้านหรอก...ต้องทำอย่างอื่นแถมด้วย” คนพูดหันมาทำตาพราวหน้าทะเล้นต่างกับตอนที่ยืนเก๊กท่าอยู่ในมหาวิทยาลัยลิบลับ แทนดาวตบหน้าผากตัวเองฉาด หลงกลคนหน้านิ่งอีกแล้วจนได้...

                “โอ๊ย!...” ชลธีร้องลั่นเอามือขวาลูบแขนซ้ายตัวเองป้อยๆหลังถูกลูกแมวสาวหยิกแถมข่วนอย่างแรง

                “พี่ชลเจ้าเล่ห์! สมควรแล้ว...รู้นะว่าเมื่อกี้แกล้งทำเสียงดุ ตาขวาง ขู่ให้น้องพลูกลัวจะได้ไม่กล้าขัดคำสั่งใช่มั้ยล่ะ?” คนตัวเล็กว่าเสียงเขียว

                “เอ๊ะ!...แล้วตกลงพี่ทำอะไรกันแน่เนี่ย  เป็นมายังไงก็รายงานทุกอย่าง แล้วไอ้ที่ว่าทำเสียงดุตาขวางนี่...บอกตรงๆว่าเปล่าเลย น้องพลูคิดไปเองหรือเปล่า? พี่ก็แค่ไม่อยากยิ้มตอบสาวๆที่เดินผ่านไปมา เดี๋ยวน้องพลูเห็นเข้าก็จะหาว่าเจ้าชู้อีกแล้วก็มาโกรธ...มางอนพี่ล่ะ คิดดูดีๆนะครับ...คนที่ถูกกระทำเป็นใครกันแน่?” เขาเหลือบมองคนข้างๆนิดหนึ่ง พอเห็นว่ายังทำหน้างอก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จงใจให้ฟังดูน่าเวทนามากที่สุด

                “ดูเถอะ...อุตส่าห์หาไฟลท์รีบกลับมาทั้งๆที่งานทางโน้นก็ยังไม่จบ ข้าวเช้า ข้าวเที่ยงก็ไม่ได้แตะ ดีนะ...ที่แวะเข้าคุณแม่น้องพลูท่านเมตตาชงกาแฟมาให้ พอมาถึงก็เจอหน้าหงิกๆของใครไม่รู้ หนำซ้ำยังโดนหยิกด้วย เฮ้อ...เกิดเป็นไอ้ชลนี่ลำบากแท้ๆ” คนเจ้าเล่ห์สาธยายความอานาถาของตัวเองเป็นฉากๆ

                “ก็ใครใช้ให้มาเล่า...ฮึ่ย! แอบเข้าไปหาคุณแม่เพื่อให้น้องพลูหมดทางปฏิเสธใช่มั้ยล่ะ?” คนจนตรอกผินหลังให้ ไม่ไยดีกับสีหน้าใสซื่อแบบเสแสร้งของคนข้างๆ

                “เอาล่ะสิ...งอนตุ๊บป่องขึ้นมาอีกล่ะ เฮ้อ...จะให้ผมง้อยังไงดีละครับ?  คุณแทนดาวคนสวย” เขาลากเสียงยาวขณะเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทางออกไปเส้นเลียบทางด่วน

                “ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น คอยดูนะ...จะฟ้องพี่หมาก” คนตัวเล็กหยิบยกพี่ชายขึ้นมาเป็นโล่กำบังอีกตามเคย ชลธีหัวเราะ

                “อะไรๆก็ฟ้องพี่หมาก ดูซิว่าถ้าแต่งงานกันแล้วจะไปฟ้องใคร?” คราวนี้ต่างคนต่างเงียบ แทนดาวรู้สึกใจกระตุกกับคำว่า ‘แต่งงาน’ หล่อนจะยังมีสิทธิ์คิดเรื่องนี้อยู่อีกหรือเปล่า? ในเมื่อคนที่มีสิทธิ์อย่างแท้จริงประกาศตัวเสียชัดเจนขนาดนั้น

ฉับพลัน...มโนภาพทั้งคู่อิงแอบแนบชิดในค่ำคืนนั้นก็ปรากฏจนไปสะกิดอารมณ์คับแค้นที่อัดอั้นอยู่ในอก หึง…หวง…หรือว่าเป็นอะไรกันแน่?

                “ทะเลาะกับแป๊บๆก็ถึงพอดี เอาล่ะ...สงบศึกกันก่อนนะครับ” ชลธีทำลายความเงียบเมื่อรถจอดสนิทภายในร้านอาหารแห่งหนึ่ง

                “ดื่มน้ำอะไรก่อนดีครับ?...พี่จะสั่งให้” เขาถามอย่างเอาใจ

                “อะไรก็ได้!” คำตอบสั้นๆห้วนๆนั้นไม่ได้ทำให้คนถามรำคาญกลับนึกสนุกด้วยซ้ำไป

                “ที่นี่ไม่น่าจะมีน้ำ ‘อะไรก็ได้’ พี่ก็ไม่เคยกินเหมือนกัน เอาเป็นว่าน้ำส้มคั้นกับน้ำเปล่านะน้อง น้ำส้มนี่ขอเย็นๆ อุณหภูมิติดลบเลยนะ แฟนพี่เขาเป็น ‘ร้อนใน’ แล้วถ้าไม่ลำบากเกินไปวันหลังก็ช่วยเพิ่มเมนู ‘น้ำอะไรก็ได้’ ลงไปด้วยล่ะ” เขาสั่งบริกรวัยรุ่นด้วยน้ำเสียงจริงจัง แทนดาวหน้าตึงเพราะเห็นบริกรคนนั้นจดออร์เดอร์ยิกๆด้วยอาการกลั้นหัวเราะสุดฤทธิ์

                “จำไว้เลยนะ” คนถูกแกล้งกล่าวอาฆาต

                “ครับ” เขารับคำกวนๆ

                “พี่ชลจะหาเรื่องกันใช่มั้ย?” คนฝั่งตรงข้ามแหวขึ้น เกลียดนักกับไอ้มุขกวนประสาทหน้าตายนั่น

                “เปล่านะ...พี่ก็แค่ตามใจน้องพลูเท่านั้นเอง น้องพลูอยากให้พี่ทำอะไรก็ทำไง...ผิดด้วยเหรอ?” คนพูดทำเสียงน่าสงสารแต่คนฟังกำลังจะระเบิดอยู่แล้ว

                “เอาล่ะ...ไม่เล่นก็ได้ งั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกัน” เขากระแอมกระไอสองสามครั้งก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าท่าทางเป็นงานเป็นการ หญิงสาวยังคงทำทีเป็นสนใจดอกไม้ในแจกันทั้งที่ใจมันเต้นรัวรอฟังว่าเขากำลังจะบอกอะไร

                “รู้มั้ยว่าพี่พามานี่ทำไม? น้องพลูคงไม่คิดว่าแค่มากินข้าวเย็นเฉยๆหรอกนะ...” เมื่อคู่สนทนาไม่ว่าอะไรเขาก็พูดต่อ

                “ความจริงพี่ก็ไม่อยากรบกวนวันแบบนี้ของน้องพลูหรอก รู้ว่ามีการบ้านต้องทำ แต่พี่ทนให้ความไม่เข้าใจมารบกวนเราอยู่อย่างนี้ไม่ได้” เขาเว้นจังหวะเมื่อบริกรยกน้ำมาเสิร์ฟ แทนดาวคนน้ำส้มเล่นขณะที่หูก็พร้อมรับฟังทุกคำพูด

                “พี่ทำผิดเอาไว้กับผู้หญิงคนนึง...เธอนั่งอยู่ตรงข้ามพี่นี่เอง ผิดฐานที่ปล่อยให้เธอเจอกับเหตุการณ์แย่ๆ ความผิดที่ไม่น่าให้อภัยครั้งนี้...คนก่ออย่างพี่ไม่มีอะไรแก้ตัว”

                “น้องพลูไม่ได้โกรธนี่คะ ไม่ได้โกรธใครทั้งนั้น”

                “อย่าเพิ่งพูดว่าไม่โกรธ ฟังพี่ก่อนนะครับ...แล้วค่อยตอบว่ายังโกรธอยู่มั้ย” ชลธีย้ายเก้าอี้มานั่งข้างๆ มือหนาเอื้อมมากอบกุมมือน้อยๆที่กำลังเขี่ยหลอดเล่น

                “คืนนั้น...พี่ปรางบอกว่าพี่ชลนอนอยู่ข้างๆเธอ” แทนดาวพูดเสียงเบาหวิว ทั้งโกรธระคนกระดากในเวลาเดียวกันที่ต้องมาคุยอะไรทำนองนี้ในที่สาธารณะ

                “แล้วไงต่อ?”

                “ก็แค่นี้ค่ะ”

                “ใช่...เราอยู่ในห้องพักของพี่...คืนนั้น” ชลธียอมรับตรงๆทำให้คนฟังต้องเม้มปากแน่นแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แต่มืออุ่นก็จับปลายคางเล็กให้หันกลับมาในทันที น้ำตาหยดเล็กที่พยามยามเก็บกลั้นหยดแหมะลงมาอย่างช่วยไม่ได้ ปลายนิ้วอุ่นรีบเช็ดออกไป

                เพียงแค่เห็นน้ำตาหยดน้อยๆก็ทำให้หัวใจแข็งแรงอ่อนยวบยาบ อยากจะกอดหล่อนให้แนบชิดกับอกกว่านี้ อยากจะจูบซับหยดน้ำตาทุกหยดด้วยริมฝีปากอุ่นแทนการใช้นิ้วกรีดอย่างนี้ ติดที่ว่าอยู่ในที่สาธารณะจึงมิอาจทำอะไรตามอำเภอใจ

                “ไม่เอาสิคะ...ฟังพี่ชลก่อนนะ วันนั้นพี่กับคนอื่นๆไปนั่งดื่มด้วยกัน พอรู้ตัวว่าไม่ไหวก็ขึ้นห้องไปก่อน ปรางก็ตามมาด้วย แต่....เอ่อ...พี่เห็นว่ามันไม่เหมาะก็เลยลงมานั่งพักข้างล่างจนค่อนคืน แต่ตอนออกจากห้องลืมหยิบโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมปรางถึงรับสาย...” ชลธีพินิจดวงตาคู่สวยที่ยังคงจับจ้องมาที่ตนผ่านม่านน้ำตา แววตาคู่นั้นบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เขากำลังอธิบาย

                “เราไม่ได้มีอะไรกันนะ พอเช้าพี่ก็รีบเปลี่ยนไฟลท์แล้วเชคเอ้าท์ทันที ต้องขอบคุณน้องพลูด้วยซ้ำไป...ที่ทำให้พี่มีสติมั่นคงจนผ่านพ้นบทพิสูจน์แล้วรีบกลับมาหานี่ไง”

                “แล้วทำไมพี่ปรางต้องพูดแบบนั้นด้วยล่ะคะ? ถ้าอยากได้พี่ชลกลับไปจริงๆ...ก็บอกกันตรงๆไม่เห็นต้องทำให้ซับซ้อน”

                “ทำไปทำไมน่ะเหรอ?...น้องพลูก็จะเข้าใจผิดแล้วเราจะได้ทะเลาะกันอย่างที่เขาอยากให้เป็นไงล่ะ พี่ถึงต้องยุติความตั้งใจของเขาโดยการละทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาปรับความเข้าใจกับน้องพลู พี่อยากแสดงความบริสุทธิ์ใจและให้ความเชื่อมั่นว่า...ทฤษฎีถ่านไฟเก่ามันใช้ไม่ได้กับพี่ น้องพลูจะเชื่อมั้ยครับ?” แทนดาวมองดวงตาล้ำลึกของคนตรงหน้าอย่างค้นคว้า ความรู้สึกขณะนี้แบ่งเป็นสองฝักสองฝ่ายระหว่างเชื่อกับไม่เชื่อ พี่หมากเคยย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าเชื่อใจใครง่ายๆ แต่...ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างดีแล้วมิใช่หรือว่าเขาไม่เคยเล่นลิ้นปลิ้นปล้อนกับหล่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว

                “น้องพลูไม่แน่ใจค่ะ” ถึงจะเชื่อเกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์แต่ก็ยังมีอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ในความคลางแคลงใจ ชลธีดันร่างบอบบางออกห่างแล้วจ้องลึกลงไปในดวงตาทรงอัลมอนด์

                “พี่ผ่านบทพิสูจน์ของตัวเองแล้ว...ขอยืนยันด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย ส่วนน้องพลู...ลองถามใจตัวเองดูนะครับ...ว่าไว้วางใจพี่มากน้อยแค่ไหน? เชื่อใจกันหรือเปล่า? ลองพิจารณาดูเองนะครับ” มือหนาบีบมือบอบบางกระชับขึ้นราวกับจะย้ำให้คนฟังมั่นใจว่าทุกคำพูดล้วนเป็นสัตย์จริง

                 แทนดาวนึกประติดประต่อเรื่องราวที่เคยได้ปะทะคารมเล็กๆกับอดีตคนรักของเขา จากวันนั้นทำให้รู้ว่าภายใต้ใบหน้าสะสวยและกิริยาอ่อนหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้านั้นช่างขัดแย้งกับคำพูดและความรู้สึกนึกคิด วาจาเชือดเฉือนบวกแววตาไม่เป็นมิตรยังคงชวนให้จดจำ ยังจำประโยคที่เจ้าตัวฝากไว้ให้คิดได้

            “คู่ต่อสู้ของพี่จะต้องเข้มแข็งเข้าไว้เพราะเวลาพ่ายแพ้จะได้ทำใจได้เร็ว”

                หรือว่าเปรมยุตากำลังเล่นเกมวัดใจกับตน...

                “พี่เข้าใจความรู้สึกของน้องพลูและรู้ดีว่าการสร้างความเชื่อใจใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย  พี่ไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อยากให้น้องพลูทำความเข้าใจตัวพี่โดยการพิจารณาจากการกระทำและสิ่งที่เห็นอยู่”

แทนดาวมองมืออบอุ่นที่กอบกุมกระชับแล้วทบทวนคำพูดของเขาอีกครั้ง หากบุรุษตรงหน้าจะกลับมาตัดรอนความสัมพันธ์แบบที่คิดอยู่ฝ่ายเดียวก็คงไม่มานั่งพร่ำเสียเวลาอย่างนี้ ในแววตาเด็ดเดี่ยวก็แลดูไม่มีความหวั่นไหวใดๆ แล้วไอ้ที่ว่าโกรธเขา...มันคือความโกรธชนิดมองหน้ากันไม่ได้หรือเป็นเพียงโมหะแห่งความหึงหวงที่เห็นอดีตคนรักเก่าคนนั้นกลับเข้ามาพัวพันกับเขาอีกกระนั้นหรืออย่างไร

                “น้องพลูก็จะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองว่าพี่เป็นคนยังไง ส่วนตัวหนูเองก็จะได้เริ่มเรียนรู้ที่จะไว้วางใจและเชื่อใจเพราะว่าต่อไปในอนาคตมันจะต้องมีเรื่องราวอีกมากมายเกิดขึ้นระหว่างเรา”

เขาพูดถูกแล้ว...หล่อนต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะแยกแยะอะไรๆด้วยตัวเอง ต้องเริ่มหัดไตร่ตรองหาเหตุผลมากกว่าใช้อารมณ์

                “น้องพลูก็ผ่านบทพิสูจน์ของตัวเองเหมือนกันค่ะ” รอยยิ้มเล็กๆค่อยๆมลายรอยบูดบึ้งบนใบหน้าจนหมดสิ้น ความตะขิดตะขวงใจค่อยเบาบางจางลงจนเหลือเพียงตะกอนกากไร้ค่า ชลธียิ้มอย่างดีใจที่สาวน้อยคนนี้เติบโตขึ้นไปอีกหน่อย ทีแรกนึกภาพไว้ว่าหล่อนจะต้องตีโพยตีพายไม่ยอมฟังอะไรเลย

                “พี่ขอบคุณที่น้องพลูเข้าใจ เอาล่ะ...สั่งอาหารกันดีกว่า” มือใหญ่จับปอยผมตรงขมับทัดเก็บไว้หลังหูเล็กด้วยกิริยาอ่อนโยนดังเช่นที่ปฏิบัติกับหล่อนเสมอแล้วโบกมือให้บริกรที่อยู่ใกล้ๆ

                “ไหนดูซิ...คนสวยไม่ร้องแล้วนะคะ ผู้หญิงอะไร...ร้องไห้ยังสวย ยิ่งเวลางอนยิ่งสวย นี่ถ้าพี่รู้ว่าโตมาแล้วเราจะสวยไปทุกอิริยาบถแบบนี้...จะยอมเลี้ยงต้อยเอาไว้ตั้งแต่ขวบนึงแล้ว” ชลธีปลุกปลอบคนตัวเล็กจนสงบในที่สุดด้วยประโยคหยิกแกมหยอกจนได้ค้อนน้อยๆกลับมา น้ำตาหยดสุดท้ายหายไปกับปลายนิ้วเรียวทิ้งไว้เพียงคราบจางๆบนปรางนวล จากนั้นไม่นานบริกรคนเดิมก็เดินกลับมาพร้อมกับของบางอย่างที่ไม่ใช่อาหาร

                “พี่โทรสั่งเอาไว้ก่อนจะมา ดอกไม้สวยๆสำหรับคนน่ารัก น่าทะนุถนอม...น้องพลูรู้ความหมายของมันใช่มั้ยคะ?” ช่อไฮเดรนเยียสีม่วงอ่อนแซมด้วยลิลลี่ญี่ปุ่นสีชมพูดูอ่อนหวานน่ารัก คนรับปลื้มอกปลื้มใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนเห็นรอยลักยิ้มบุ๋ม ชลธีรู้สึกเอ็นดูเหลือล้นจนอดไม่ไหวที่จะแตะปลายนิ้วตรงลักยิ้มกระจิริดบนพวงแก้มนุ่มละไม เจ้าของรอยลักยิ้มชื่นชมช่อบูเก้อยู่สักครู่แล้วตอบคำถามนั้น

                “ไฮเดรนเยียเป็นดอกไม้แห่งหัวใจด้านชาแต่อีกความหมายนึงคือการงอนง้อขอโทษ ส่วนลิลลี่สีชมพูหมายถึง...การพบเจอความรักที่ดีสุด” คอนิยายประโลมโลกอย่างหล่อนเคยอ่านเจอคำบรรยายความหมายของดอกไม้ชนิดต่างๆอยู่ประจำก็เลยพอจะจำได้บ้าง ชลธียิ้มอย่างพอใจกับคำตอบ

                “ทั้งหมดนี้รวมกันก็แปลว่า...การค้นพบความรักที่ดีที่สุดจนสามารถละลายหัวใจที่ด้านชา” สาวน้อยเอียงอายเมื่อผู้ให้สรุปคำนิยามความหมายของดอกไม้ทั้งสองชนิด ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกันด้วยประกายลึกซึ้งยากเกินกว่าที่จะแปลความหมายได้นอกจากคนสองคนเจ้าของหัวใจสองดวงที่เข้าใจกัน ชลธียิ้มพราวแล้วค่อยๆประทับจูบอบอุ่นตรงกลางหน้าผากเนียนละมุน

                “แล้วตอนนี้หัวใจพี่ชลหายด้านชาหรือยังคะ?”

                “หายแล้ว...เพราะมีดาวดวงนี้ส่องสว่างกลางใจ”

                แทนดาวเขิน...อายจนไม่รู้จะแอบซ่อนหน้าแดงราวผลเชอรี่ไว้ที่ไหนดี มองไปรอบๆก็ไม่เห็นตรงไหนจะอยู่ใกล้และบดบังรอยริ้วสีแดงระเรื่อได้ดีเท่ากับอกกว้างแห่งนี้ และดูเหมือนเจ้าของคำพูดหวานปานน้ำตาลอ้อยจะรู้เท่าทันความรู้สึกของคนตัวเล็ก ดังนั้นปลายคางเหลี่ยมจึงค่อยๆจรดลงบนกลางกระหม่อมบังคับให้ศีรษะเล็กให้ต้องแนบเนาตรงอกหนาโดยปริยายในที่สุด

                ชลธีมิได้ขัดเขินหรือกระดากปากแต่อย่างใดที่ใช้ประโยค ‘น้ำเน่า’ บอกความในใจกับสาวน้อยที่แนบหน้ากับอกตนขณะนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใดดีมาเปรียบเปรยกับความรู้สึกตอนนี้ได้ จะบอกว่าเลือดในกายของเขาเปลี่ยนแปรเป็นกระแสอุ่นมีชีวิตชีวานับแต่วันที่ได้พบแม่สาวน้อยจอมเอาแต่ใจคนนี้ก็ไม่ผิด นับวันความซาบซึ้งและผูกพันยิ่งรัดรึงตรึงใจ เขาเข้าใจแล้วในสัจธรรมที่ว่า...การรู้จักอดทนและรอคอยย่อมให้ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง

                อดทน...ต่ออุปสรรคและความระทมจนสามารถข้ามผ่านสันดรแห่งความรวดร้าวชอกช้ำ

                รอคอย...การฟื้นคืนของพลังใจและรับเข้ามาซึ่งสิ่งดีงามในชีวิต

                               

                ชลธีอ่านเอกสารแผ่นหนึ่งในมือย่างใช้สมาธิ มือข้างหนึ่งเคาะนิ้วบนโต๊ะเล่นเป็นจังหวะ บางครั้งก็ลูบไรคางไปมา ไม่ถึงห้านาทีเขาก็อ่านเอกสารแผ่นเดียวจนจบแล้ววางมันลงแล้วเงยหน้ามองสตรีที่ยืนสะอึกสะอื้นตัวสั่นเทิ้มด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก จะบอกเวทนาก็ใช่ จะบอกว่าโกรธก็ใช่อีก

                ดวงตาราบเรียบมีแต่ความเย็นชาจนทำให้มือทั้งสองข้างของเปรมยุตาบิดผ้าเช็ดหน้าสีขาวจนมันยับยี่ราวกับจะใช้มันระบายอารมณ์อัดอั้นและเสียใจที่กำลังเป็นอยู่ ตั้งแต่กลับจากสัมมนามาได้ร่วมสัปดาห์ก็เพิ่งจะมีวันนี้ที่ชลธียอมพูดคุยด้วย ก่อนหน้านั้นเอาแต่เมินหนีเหมือนหล่อนเป็นสิ่งปฏิกูลที่ไม่ควรเดินเฉียดเข้าไปใกล้

                “วันที่สิบห้านี้คือวันสุดท้ายที่คุณจะมาทำงาน” เขายื่นกระดาษที่เพิ่งอ่านจบให้พร้อมกับเชคเงินสดใบหนึ่ง ร่างสั่นเทาสะอึกสะอื้นมองการกระทำของเขาอย่างปวดร้าว

                “ผมจะถือว่านี่คือสิ่งตอบแทนระหว่างเรา คุณจะได้รับเงินชดเชยอีกสามเดือนตามกฎ ส่วนเงินที่ผมให้ต่างหากนี้เอาไว้ใช้ระหว่างที่ต้องหางานทำใหม่” เมื่อเห็นหล่อนยังยืนเฉยเขาจึงเลื่อนเชคใบนั้นเข้าไปใกล้มากขึ้น

                “คุณจะทำกับปรางแบบนี้ไม่ได้นะชล” เปรมยุตาพึมพำซ้ำไปซ้ำมาน้ำตานองเป็นสายปริ่มว่าจะขาดใจ นึกน้อยใจจนไม่รู้จะพรรณนาอย่างไรดี ถ้าเป็นเมื่อเกือบสิบปีก่อนบุรุษที่ยืนหลังตรงอยู่นี่จะไม่มีวันให้น้ำตาของหล่อนไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว

                “คุณรู้ว่าผมทำได้เพราะผมกำลังทำอยู่” ชลธีตอบเสียงเย็นแล้วหันหลังให้อย่างไม่สนใจ แม้ว่าลึกๆแล้วจะนึกสงสารและเห็นใจอยู่บ้าง ตัวเขาองไม่ใช่หรือที่เป็นคนชวนหล่อนมาทำงานด้วย แล้ววันนี้ก็เป็นตัวเองอีกเช่นกันที่บอกให้ออกจากงาน แต่ถ้าไม่เด็ดขาดก็ไม่รู้ว่าเปรมยุตาคนนี้จะก่อเรื่องอะไรให้ต้องลำบากใจอีก

                “เพราะชลกลัว...กลัวว่าจะแพ้ใจตัวเองไม่ให้กลับมารักปรางใช่มั้ย?” เปรมยุตาปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแดงช้ำ ความคิดเข้าข้างตัวเองยังคงมีอยู่เต็มปี่ยม ชลธีถึงกับยกมือขึ้นลูบหน้าในความรั้นที่ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรไปหล่อนก็ไม่เคยจะยอมรับเสียที

                “สิ่งเดียวที่ผมกลัวก็คือ...กลัวว่าคุณจะสร้างเรื่องให้ผมกับแทนดาวเข้าใจผิดกันอีก ผมเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่า...คุณเองจะต้องเป็นฝ่ายเหนื่อยจนต้องรามือถ้าพยายามทำลายเรา” ใบหน้าเรียบเฉยหันกลับมามองพร้อมกับสายตาตำหนิ

                “ผมผิดเองตั้งแต่แรก ผิดที่คิดว่าได้เจอกับเปรมยุตาคนเก่าที่แสนดีถึงได้ชวนมาทำงานด้วย แต่ก็เพิ่งจะรู้ตัวไม่นานว่าทำพลาดอีกแล้ว...เปรมยุตาคนเดิมของผมตายไปพร้อมกับชีวิตบริสุทธิ์ที่เป็นสายเลือดของผมเอง!” เสียงเกรี้ยวกราดบวกกับสายตาเหี้ยมเกรียมผละจากไป เปรมยุตามองตามแผ่นหลังที่เดินลับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เหลียวกลับมา ความเย็นเฉียบเหมือนน้ำแช่เย็นไหลเวียนแทนโลหิตอยู่แทบทุกเส้นเลือด หัวใจบีบรัดตัวมันเองจนเจ็บปวด

                บุรุษผู้ครั้งหนึ่งเคยคุกเข่าอ้อนวอนขอความรักจากตน ผู้ที่ปฏิญาณว่าจะรักและมอบดวงใจนี้ไว้ให้แต่หล่อนเพียงผู้เดียว ผู้ซึ่งมีรักแท้มอบให้สตรีคนหนึ่งด้วยใจภักดิ์ แต่...เพียงความรักมิอาจเพียงพอต่อการดำรงชีพที่ต้องใช้เงินตราเป็นสิ่งสำคัญในการซื้อหาปัจจัยและความสะดวกสบาย ถ้าหล่อนเลือกคบหาเทียมภพตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องพบกับโศกนาฏกรรมแห่งรักในครานั้น  แต่สัจธรรมก็เป็นเช่นนี้เอง...คนที่ใช่แต่ไม่ได้รัก ส่วนคนที่รัก...กลับไม่ใช่

                ยังจำภาพที่ชลธีขอร้องห้ามปรามด้วยน้ำตาแห่งลูกผู้ชายแต่หล่อนก็ใจแข็งพอที่จะมลายล้างเลือดเนื้อบริสุทธิ์ที่กำลังถือกำเนิดขึ้น ชลธีไม่อาจเข้าใจ...หล่อนไม่ได้ต้องการที่จะให้เขารวยล้นฟ้าแต่ว่าถ้าปล่อยให้ชีวิตเล็กๆเกิดมาโดยที่พ่อแม่ไม่มีความพร้อมก็อย่ายอมให้เกิดมาลำบากลำบนเสียดีกว่า นึกแล้วก็สะท้อนสะท้านในหัวอกที่วันนี้ตนเองกลับต้องมายืนอ้อนวอนด้วยน้ำตาเฉกเช่นที่เขาเคยทำเมื่อเกือบสิบปีก่อนไม่ผิดเพี้ยน

                แต่เอาเถิด...ชลธีบอกว่าจะไม่ทำพลาดซ้ำสอง ในทำนองเดียวกัน...เปรมยุตาก็จะไม่ยอมเสียเขาไปเป็นครั้งที่สองเช่นกัน

 

                แทนดาวนั่งมองพี่ชายที่กำลังเช็ดหัวไม้กอล์ฟแต่ละอันอย่างขะมักเขม้นเพื่อเตรียมออกรอบการกุศลในวันสุดสัปดาห์นี้ ส่วนน้องสาวคนสุดท้องก็ได้แต่นั่งมองตาละห้อยเหมือนลูกสุนัขที่ถูกหลอกว่าได้กินขนมแล้วไม่ได้กิน อาการซึมกะทือเช่นนี้ก็เกิดจากพี่ชายจอมโหดประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่ให้น้องสาวสุดหวงไปด้วยเพราะไม่มั่นใจในสวัสดิภาพ และเกรงว่าจะไม่สามารถรับมือกับไอ้เข้สองตัวที่จ้องจะลากน้องลงไปหม่ำในน้ำ   แต่ว่าคนเกิดทีหลังที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะไปเที่ยวก็ไม่ยอมราความพยายามที่จะอ้อนให้คนเกิดก่อนใจอ่อน

                “พี่หมากขา...ตกลงว่าให้น้องพลูไปงานกอล์ฟด้วยใช่มั้ยคะ?” แทนดาวลองแยบๆถามพี่ชายอีกที ดูเชิงก่อนว่าทางนี้จะมีทีท่าอย่างไร

                “เราตีกอล์ฟไม่เป็น...จะไปทำไมกัน”

                “แต่น้องพลูอยากไปด้วยนี่คะ...นะคะ ไปเชียร์พี่หมากกับพี่ผึ้งไง แล้วก็ไปทะเลกัน...ชดเชยที่ครั้งก่อนอดเล่นน้ำ” แทนดาวหน้าจ๋อยแต่ก็พยายามอ้อน

                “นี่อย่าลืมนะว่าไอ้ชลมันไปด้วย บอกตรงๆว่าพี่ไม่ไว้ใจมัน ที่นั่นน่ะ...ถิ่นมันนะจะบอกให้ ไม่รู้ว่ามันจะเตรียมขุดหลุมดักเหยื่อไว้ตรงไหนมั่ง ไหนจะไอ้หมอคิมโดฮันจอมเนียนนั่นอีกล่ะ” เทียมภพบ่นยาวที่จะต้องเจออชิตะมาดเนิร์ดผู้พยายามจะคลุกวงในน้องให้ได้ ไหนจะอดีตเพื่อนที่จ้องจะกินเด็กอยู่เร่าๆ

                “พี่หมากเนี่ย...น้องพลูอยากจะไปพักผ่อนหย่อนใจเสียหน่อยก็ไม่ได้” ไม่พูดเปล่ายังมีเสียงไล่น้ำตากลายๆออกมาด้วย ทำให้คนใจแข็งต้องรีบกอดปลอบ

                “เอาอีกแล้ว...งอแงอีกแล้วนะน้องพลู”

                “พี่หมากกับพี่ผึ้งได้ไปเที่ยวกันสองคน ทิ้งน้องคนเล็กให้อยู่เฝ้าบ้านคนเดียว ใจร้ายมากเลย!”

                “ไม่ต้องร้องเลย...พี่ไปเล่นกอล์ฟในนามบริษัทเท่านั้น ไม่ได้อยากไปเลยนะเนี่ย แล้วก็ไม่อยู่ค้างเล่นน้งเล่นน้ำอะไรนั่นด้วย เช้าไปเย็นกลับ”

                “แต่น้องพลูอยากไปด้วยนี่” แทนดาวเริ่มทำอาการสะบัดสะบิ้งเรียกร้องความเห็นใจ เทียมภพมองแล้วก็ต้องถอนหายใจในความรั้นตะแบง

                “คิดดูก่อน” เขาตัดบทดื้อๆ

                “ใจร้ายที่สุดเลย!”

                แม้จะตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ใจอ่อนยอมทำตามคำขอร้องของน้องสาวคนเล็กแต่ในที่สุดก็ต้องยอมให้ไปด้วย จะไม่ยอมได้อย่างไร...ในเมื่อแม่ตัวแสบเล่นตั้งแง่เอากับเขาตั้งแต่วันนั้น เรียกว่าโดนไปหลายดอก เริ่มแรกก็คงจะเป็นอาการปั้นปึ่งถามคำตอบคำ ไม่วิ่งเข้ามากอดมาหอมเวลากลับมาจากทำงาน หรือบางทีถ้าไปรับที่มหาวิทยาลัยก็เอาแต่นั่งเงียบ ฟังเพลงจากเครื่องเล่นเพลงอย่างเดียวไม่สนใจจะคุยหรือแม้แต่ประจบฉอเลาะขอนั่นขอนี่อย่างเคย

                เทียมภพรู้ล่ะว่าน้องกำลังทำสงครามประสาท ยิ่งช่วงปลายๆสัปดาห์ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆชนิดที่ทำเอาทั้งบ้านต้องหัวเราะท้องขดท้องแข็งที่เจอฤทธิ์เดชน้องสาวที่ไม่เคยยอมใคร อย่างเช่นเอากุญแจรถทุกคันไปซ่อน บางวันก็ได้ดื่มกาแฟใส่เกลือ พอจะสูบบุหรี่ก็เจอแต่มวนบุหรี่เปล่าๆ ไส้ในถูกดึงออกหมด เรียกได้ว่าถูกหัวปั่นทั้งอาทิตย์ ซ้ำยังมีผู้หวังดีอย่างบุพการีคอยพูดให้เปลี่ยนใจถึงขนาดนี้แล้วคงทนยืนกระต่ายขาเดียวอยู่ไม่ไหว

                พอรู้ตัวว่าพี่ชายยอมเปิดไฟเขียวแล้วคนที่ก่อสงครามเย็นก็ลิงโลดรีบจัดกระเป๋าเดินทาง เตรียมชุดสวยไปสักครึ่งโหลได้ทั้งๆที่ไปค้างแค่คืนเดียว ขอพี่ชายซื้อชุดว่ายน้ำตัวใหม่ก็ไม่ได้รับการอนุมัติ ก็ตั้งแต่เกิดเรื่องที่ตรังคราวนั้นเขาก็ไม่ยอมให้น้องได้สวมใส่ชุดว่ายน้ำอีก ไม่ว่าจะปิดมิดชิดอย่างไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น แทนดาวจึงหยิบไปแต่กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีเข้มที่จะใส่เล่นน้ำทะเล

               

                พอถึงวันงาน สามพี่น้องก็ออกเดินทางกันแต่เช้ามืดเพื่อให้ทันเวลาทีออฟหรือพิธีเปิดงานตอนแปดโมงเช้า  ถุงกอล์ฟใบใหญ่สองใบนอนนิ่งอยู่หลังรถตู้อเนกประสงค์ตั้งแต่เมื่อคืน ส่วนกระเป๋าเดินทางอีกใบที่ใหญ่พอๆกันคือเสื้อผ้าและสารพัดสมบัติของน้องเล็กที่หอบไปด้วยราวกับจะไปอยู่ที่เป็นเดือน

                “ทำไมชอบบังคับพี่นัก รู้มั้ยว่าคนเค้าไม่เต็มใจ? ดูสิ...แทนที่จะมีสมาธิตีกอล์ฟก็ต้องคอยพะวงห่วงเราอีก” เทียมภพบ่นกระปอดกระแปดเมื่อเห็นอาการเริงร่าที่จะได้ไปเที่ยวของน้องสาวคนเล็ก

                “ทีนี้รู้หรือยังว่าการถูกบังคับเป็นยังไง?” แทนดาวลอยหน้าลอยตาถามพี่ชาย

                “พี่ไม่เคยบังคับเราสักครั้งเลยนะ” เขาเถียงหน้าตาเฉย

                “โอ๊ะโอ๋...ใช่สิ ครั้งเดียวน่ะ...ไม่เคย”

                “นั่นเพราะพี่หวังดีหรอก”

                “แล้วรู้มั้ยว่าบางทีน้องพลูก็อึดอัดกับความหวังดีของพี่หมาก?”

                “เลิกทะเลาะกันซะทีได้มั้ยคะ? ผึ้งรำคาญจะแย่ นอนงีบเอาแรงกันเถอะค่ะ...จะได้มีแรงยกวงสวิง” ปลายเดือนต้องช่วยหย่าศึกสองพี่น้องที่ทำสงครามน้ำลายกันไม่ยอมจบ สองคู่พี่น้องจึงต้องหุบปากสนิทแล้วนั่งหันหน้าไปคนละทาง บรรยากาศในรถเริ่มอึมครึมเพราะอาการปั้นปึ่งที่คู่นี้ทำใส่กัน แต่เหตุการณ์ก็เป็นอยู่อย่างนี้ไม่ได้นาน พอรถเริ่มออกจากเขตกรุงเทพฯอาการหนังตาปรือของคนตัวเล็กก็เริ่มทำงาน ส่งสายตาออดอ้อนขอนอนหนุนตักหนาๆของพี่ชายที่ตอนแรกทำเป็นไม่สนใจไยดีแต่พอเห็นน้องสาวหาวหวอดหลายครั้งเข้าก็ต้องใจอ่อนยอมดึงตัวมาให้นอนสบายๆแต่ก็ยังไม่วายบ่น

                “ฮึ...เห็นมั้ยล่ะ? ถึงยังไงเราก็ต้องพึ่งพาพี่อยู่วันยันค่ำเพราะงั้นอย่าดื้อให้มากนัก ไม่งั้นถูกตัดหางปล่อยวัดขึ้นมาแล้วจะหนาว”

                “เฮอะ...หมาน่ารักอย่างนี้เดี๋ยวก็มีคนเก็บไปเลี้ยงต่อย่ะ” เทียมภพบีบจมูกให้แรงๆหนึ่งทีอย่างมันเขี้ยว จากนั้นน้องน้อยก็เข้าสู่ห้วงนิทราไม่รับรู้อะไรอีกจนเกือบสามชั่วโมงผ่านไปก็มาถึงจุดหมายปลายทาง

                “อ่า...ถึงแล้วเหรอเนี่ย” หญิงสาวบิดขี้เกียจแล้วก็ขยี้ตาไล่ความง่วงงุน พี่ชายเห็นเข้าเลยตีเพี๊ยะให้ที่มือ

                “พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเอามือขยี้ตา ไปจับอะไรมาบ้างก็ไม่รู้...เดี๋ยวก็เป็นตาแดงหรอก” แทนดาวหน้ามุ่ยที่ตื่นขึ้น มาก็ถูกดุ

                เทียมภพเรียกแคดดี้สาวสองคนให้มารับถุงกอล์ฟแล้วจูงสองสาวเดินเข้าไปในงาน ถึงจะมาก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงแต่ก็มีคนมาหนาตาแล้ว ทั้งคนที่ลงแข่งขันและพนักงานจากองค์กรต่างๆที่ร่วมบริจาคเงินและมาร่วมตั้งบู๊ทโปรโมทบริษัท สองพี่น้องไปลงทะเบียนตรงจุดประชาสัมพันธ์และรับของที่ระลึก นักกอล์ฟทุกคนจะได้รับเสื้อโปโลสีเขียวอ่อนปักโลโก้ของเจ้าภาพจัดงานกับหมวกสีขาวปักโลโก้แบบเดียวกัน

                “น้องพลูอยากได้เสื้อมั่ง” แทนดาวร้องบอกพี่ชายที่กำลังจะไปเลี่ยนสวมเสื้อโปโลที่ได้รับแจกหมาดๆ

                “เค้าแจกนักกอล์ฟ ตัวภาระอย่างเราจะเอาไปทำไม เอานี่ไป...” เทียมภพยกหมวกแก๊ปสีขาวให้น้องสาวขี้งก

                “โน่น...ไปรอที่โต๊ะ ระหว่างรอพี่ก็ช่วยพวกพี่ๆเค้าแจกโบรชัวร์ ห้ามซนเดินไปไหนมาคนเดียวล่ะ” คนเกิดก่อนชี้มือไปตรงตั้งโต๊ะของทวีกิจ แทนดาวเห็นชลธียืนคุยกับพนักงานที่นั่นก็จะเดินไปหาแต่ก็ไม่ทันกับที่ปลายเดือนเดินไปก่อนแล้วก็เลยไม่อยากไปขวาง สาวน้อยเดินเล่นไปมาตามบู๊ทต่างๆจนมาถึงตรงจุดที่มีรถโรงพยาบาลประชาเวชที่เป็นเจ้าภาพหลักจอดอยู่ ข้างๆกันมีโต๊ะปฐมพยาบาลและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นฟรี

                “เชิญนั่งก่อนสิคะน้อง” เสียงพยาบาลสาวใหญ่เชื้อเชิญให้แทนดาวที่ยืนอ่านป้ายอย่างสนใจเข้ามารับบริการตรวจสุขภาพ สีหน้ายิ้มแย้มและอาการโอภาปราศรัยอย่างเป็นกันเองของคุณน้าพยาบาลคนนี้ทำให้สาวน้อยยิ้มตอบรับคำชวนโดยอัตโนมัติ

                “หนูไม่ฉีดยานะคะ” พอหย่อนตัวลงนั่งปุ๊บก็แจ้งจุดประสงค์ปั๊บทำเอาเจ้าหน้าที่ทั้งโต๊ะขำกริ๊ก

                “กลัวเข็มก็ไม่บอก จะได้เตรียมมาเยอะๆ” เสียงนุ่มนวลมาของนายแพทย์หนุ่มหน้าตาใจดีสวมเสื้อโปลโลสีเขียวอ่อนเหมือนนักกอล์ฟคนอื่นๆเรียกให้หญิงสาวลุกขึ้นยืนอีกครั้งเพื่อไหว้ทำความเคารพ

                “สวัสดีค่ะ พี่...เอ่อ...คุณหมออชิตะ”

                “น้องใบพลูนะครับ...ลูกสาวเพื่อนพ่อของหมอเอง คุณแม่ของหมอ...เป็นคนทำคลอดเธอด้วยล่ะ” คนรับไหว้ยิ้มแล้วแนะนำสาวน้อยคนนี้กับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆว่าเป็นลูกสาวเพื่อนสนิทของบิดา

                “เรียกพี่อย่างเดิมเถอะครับ ไม่เป็นไรหรอก” คุณหมอหนุ่มบอกอย่างเป็นกันเองแล้วผายมือให้นั่งลงอย่างเดิม

                “วันนี้พี่อชิต้องตรวจไข้ด้วยหรือเปล่าคะ?”

                “มีคนไข้มาหาก็ต้องตรวจสิครับ ว่าแต่...น้องพลูแวะมาทั้งทีก็ตรวจสุขภาพดูเสียหน่อยเป็นไร ดูสิว่าตัวเล็กๆแบบนี้จะมีโรคอาศัยอยู่กี่ชนิด” คุณหมอพูดล้อๆแล้วก็คว้าท่อนแขนเรียวสอดเข้าไปในเครื่องวัดความดัน เจ้าหน้าที่พยาบาลคนอื่นๆมองทั้งคู่แล้วลอบยิ้มให้กันโดยมิได้นัดหมาย ถึงขนาดคุณหมอลงตรวจตัวด้วยตัวเองแบบนี้แสดงว่าลูกสาวเพื่อนบิดาคนนี้ต้องพิเศษแน่นอน

                “ความดันปรกติดี ขอฟังปอดหน่อยนะครับ...หายใจลึกๆนะ” อชิตะแตะสเตทโทสโคปหรืออุปกรณ์ฟังตรวจกับลำตัวช่วงบน แทนดาวรู้สึกเก้อๆแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะเห็นว่าเป็นการตรวจทั่วๆไป สีหน้าท่าทางของนายแพทย์ผู้แสนสุภาพก็ดูสงบราบเรียบเหมือนเวลาทำงานทั่วไป

                “ไม่อะไรผิดปรกตินะ น้องพลูนอนดึกหรือเปล่า? มีเรื่องเครียดมั้ย? ออกกำลังกายบ้างมั้ย? แล้ว...ประจำเดือนมาปรกติหรือเปล่า?” อชิตะซักประวัติเบื้องต้น แต่พอแทนดาวจะอ้าปากก็มีผู้หวังดีตอบคำถามเหล่านั้นแทน

                “นอนสามทุ่ม ไม่มีเรื่องอะไรต้องเครียด ออกกำลังกายด้วยการบริหารนิ้วคือเล่นเปียโน ส่วนประจำเดือนมาทุกวันที่ยี่สิบห้าสม่ำเสมอ อ้อ...มาครั้งละสามถึงห้าวัน” เทียมภพตามมานั่งข้างๆแล้วช่วยตอบละเอียดยิบชนิดเสียงดังฟังชัด แทนดาวอายมากเพราะตอนนี้ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว

                “งั้นสุขภาพก็ดีไม่น่ามีอะไรห่วง” อชิตะพูดคล้ายจะติดรำคาญเล็กๆที่คนไร้เหตุผลหาเรื่องไม่เลือกเวลาเลย

                “ผมอยากตรวจมั่ง” คนขวางโลกโพล่งขึ้นพลางบริภาษหมอแว่นอยู่ในใจ

                “คุณหมากจะตรวจอะไรดีครับ? สุขภาพทั่วไปหรือสุขภาพจิตดี?...” หมอหนุ่มยิ้มอ่อนและยังเผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นให้น้องสาวคนไข้ด้วย

                “เจ๊จันทร์...ช่วยตรวจคุณคนนี้หน่อยนะ เขาน่าจะชอบพยาบาลสาวๆมากกว่าผู้ชายแมนๆอย่างหมอ” พยาบาลสาวใหญ่ที่ชื่อเจ๊จันทร์เข้ามารับหน้าที่แทนด้วยอาการยิ้มแย้มแจ่มใส

                “เดี๋ยวเจอกัน!” เทียมภพบอกคนที่เพิ่งหลอกแต๊ะอั๋งน้องสาวด้วยความอาฆาต ไอ้คำว่า เดี๋ยวเจอกัน ไม่แน่ใจว่าเจอกันในเกมหรือนอกเกมแน่

                “อ้อ...พอดีมีเสื้อเกินมา นี่ขนาดเล็กสุดแล้ว...น้องพลูน่าจะใส่ได้” อชิตะผู้ไม่สะเทือนและสลดกับกับขู่มอบเสื้อโปโลสีเขียวอ่อนให้สาวน้อยที่ยิ้มรับด้วยความดีใจ

                “ขอบคุณนะคะ น้องพลูกำลังอยากได้อยู่พอดี” แทนดาวยิ้มหวานให้อย่างไม่รู้ตัวทำเอาคนมองใจแกว่ง รอยบางอย่างปรากฏวูบในดวงตาหลังกรอบแว่นสีดำ เพียงแต่แค่วูบเดียวเท่านั้นก็กลับมาเป็นปรกติเพราะรู้สึกตัวว่าไม่สมควรที่จะแสดงอาการเกี้ยวพาสตรีตรงหน้าในวาระเช่นนี้

                “นี่มันบังอาจเอาของมาล่อยัยพลู” เทียมภพคิดแค้นในใจจนเผลอกำหมัดแน่น

                “อย่าเกร็งสิคะคุณ” พยาบาลจันทร์แจ่มเอ็ดคนที่กำลังถูกวัดความดัน

                “ป้า...มีน้ำมันตับปลามั้ย? ผมอยากฉลาดให้ทันเจ้านายป้า” เทียมภพถามพยาบาลสาวใหญ่ไม่จริงจังนักแต่ก็ได้ค้อนจากนางที่ไปเรียกสรรพนามว่าป้า

                “ไม่มีค่ะ...วันนี้ ‘พี่’ ไม่ได้เตรียมมา มีแต่น้ำมันมวยน่ะเอามั้ย?”

 

                เทียมภพไม่กล้าปล่อยให้น้องสาวนั่งอยู่ที่โต๊ะตามลำพังแม้จะมีพนักงานจากทวีกิจอยู่ด้วยก็ตาม คนขี้ระแวงก็เลยต้องหนีบน้องนั่งรถกอล์ฟไปด้วย ชลธีนั่งคู่ไปกับปลายเดือนตามติดด้วยพนักงานอาวุโสอีกคนหนึ่งจนครบทีมสี่คน วันนี้โชคเข้าข้างที่แดดไม่แรงมากอีกทั้งลมก็ไม่แรง แต่กระนั้นปลายเดือนก็ชโลมครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟห้าสิบเป็นรอบที่สาม ยังไม่นับรวมถุงมือ ปลอกแขน หมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด ถุงน่องกันแดด จนแทนดาวอดคิดไม่ได้ว่าทำไมไม่สวมชุดประดาน้ำมาเลย

                “ถ้าพี่หมากตีโฮลอินวันได้น้องพลูจะพาไปเลี้ยงขนม” แทนดาวหอมแก้มพี่ชายเป็นการให้กำลังใจถึงจะรู้ว่าตั้งแต่เล่นกอล์ฟมาแกไม่เคยได้โฮลอินวันสักครั้ง เต็มที่ก็ได้อัลบาทรอสจากหลุมพาร์ห้าไม่เกินสามหนเท่านั้น

                “โห...ของชอบพี่เลยนั่นน่ะ เอาอย่างอื่นไม่ได้เหรอ?” เทียมภพประชดพร้อมยีหัวน้องสาวเล่น

                “ไม้แรกเชิญสุภาพสตรีดีกว่า พวกเราค่อยตาม” พนักงานอาวุโสที่อยู่ในทีมบอกปลายเดือนที่พอกครีมกันแดดเสร็จพอดี หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วเริ่มตีเปิดเกมอย่างสวยงามโดยลูกไปตกบนกรีนใกล้หลุมพอสมควร เรียกเสียงปรบมือเบาๆจากที่เหลือได้จนแทนดาวอิจฉาพี่สาวที่เก่งไปเสียทุกอย่าง

                “ยืนในร่มนี่นะน้องพลู ห้ามส่งเสียงดังกวนคนอื่นล่ะ” เทียมภพกำชับแล้วเดินไปวางลูกกอล์ฟบนที แทนดาวทำหน้ามุ่ย ไอ้ที่ว่าอย่าทำเสียงดังควรจะบอกตัวเองมากกว่า

                “แล้วถ้าพี่ทำโฮลอินวันได้...น้องพลูจะให้อะไรครับ?” เจ้าของหน้าคมถามบ้าง

                “อืม...ทั้งพี่หมากกับพี่ชลไม่ชอบขนม แล้วชอบอาหารญี่ปุ่นมั้ยคะ? น้องพลูเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นก็ได้”

                “ไม่อยากได้สักอย่าง”

                “แล้วพี่ชลอยากได้อะไรล่ะ? อย่าแพงเกินหลักพันนะ ตอนนี้น้องพลูไม่ได้ทำงานแล้ว” แทนดาวรีบดักคอเพราะเกรงว่าเขาอยากจะได้ของมีราคา เช่น ไม้กอล์ฟแพงๆ

                “อืม...ของที่พี่อยากได้จะว่าแพงมันก็แพงอยู่นะ ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน...ต้องรอเวลาและโอกาสเท่านั้น”              คำตอบชวนคิดเป็นปริศนาเร่งให้คนฟังอยากรู้มากขึ้นว่ามันคืออะไร

                “ฟังดูท่าทางจะหายากและคงไม่มีขายในเมืองไทย ว่าแต่...มันคืออะไรคะ?”

                “แล้วจะให้หรือเปล่าล่ะ?” แทนดาวมองหน้าเขาสลับกับพี่ชายที่ยืนเกาหัวยิกๆเพราะตีลูกไปตกบนแฟร์เวย์

                “ให้สิคะ...ถ้ามีนะ พี่ชลเคยซื้อของให้น้องพลูตั้งหลายอย่าง” คนตัวเล็กรับปากเร็วๆโดยไม่ได้คิดให้ถ้วนถี่กับคำขอของคนเจ้าเล่ห์ที่ยืนยิ้มตาประกายวิบวับอย่างคนสมหวัง

                “งั้นถ้าทำโฮลอินวันได้...พี่ขอจูบน้องพลูเป็นรางวัลนะครับ”

 

                รถตู้เอนกประสงค์จอดสนิทอยู่ภายในรีสอร์ทเคียงธาราที่รายล้อมไปด้วยไม้พุ่มเตี้ยออกดอกสีสวย ต้นสนใหญ่สลับปาล์มรายล้อมเป็นแนวกำแพงโดยรอบ ถึงจะเป็นเวลาโพล้เพล้จนดวงอาทิตย์เกือบจะจมมิดหายไปในเส้นขอบฟ้าแล้วก็ตามแต่ดวงไฟเล็กที่ประดับโดยรอบยังพอให้มองเห็นแนวบ้านพักทาสีฟ้าสลับขาวเรียงรายเป็นระเบียบขนานไปกับแนวหาดที่ไม่ไกลกันมากนัก บ้านแต่ละหลังปลูกห่างกันพอสมควรเป็นสัดส่วนโดยปลูกไม้พุ่มเตี้ยตัดแต่งเป็นระเบียบแทนแนวรั้วของบ้านพักแต่ละหลังจึงให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว กลิ่นอายทะเลลอยมากับสายลมปะทะใบหน้าของผู้ที่มาเยี่ยมเยือนจนลืมความเมื่อยล้าจากการเดินทาง

                “สวัสดีค่ะทุกๆคน…เป็นไงบ้างคะ? เดินทางเหนื่อยมากหรือเปล่า?” คุณวารีกับรมณ์นลินยืนรอรับอยู่แล้วตรงทางเข้า สามพี่น้องทำความเคารพเจ้าของบ้านแล้วเดินตามเข้าไปข้างใน ทีแรกมองผ่านๆว่าสวยแล้วแต่พอเข้ามาข้างในห้องที่เรียกว่าจุดเชคอินก็ต้องชื่นชมกับการตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ทิ้งความเป็นธาราที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องผสมผสานระหว่างธรรมชาติกับดนตรี และที่ขาดไม่ได้เลยคือบรรดาของตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์จะต้องออกโทนน้ำเงินหรือฟ้าและสีขาว

                “เพลียตอนอยู่ในสนามกอล์ฟมากกว่าค่ะคุณอา” ปลายเดือนตอบเสียงหวานพลางสอดส่ายสายตามองหาเจ้า ของรีสอร์ทอีกคน ชลธีล่วงหน้ามาก่อนสักพักหนึ่งหลังจบการแข่งขันโดยไม่อยู่รับประทานอาหารกลางวันด้วย เขาบอกกับหล่อนแค่ว่าต้องรีบกลับมา ‘เตรียมงาน’

                “คุณชลยังมาไม่ถึงอีกเหรอคะ?”

                “มาถึงตั้งแต่บ่ายสามแล้วล่ะ เห็นออกไปหาเพื่อนน่ะ...เดี๋ยวก็คงกลับมากินข้าว ไปนั่งพักก่อนสิคะ” คุณวารีผู้โอบอ้อมต้อนรับขับสู้ลูกหลานทวีกิจอย่างดี

                “ลองดื่มน้ำมะพร้าวเย็นๆก่อนนะคะ มะพร้าวนี่เราปลูกเองค่ะ มีบางส่วนที่รับซื้อจากชาวบ้านแถวนี้” รมณ์นลินเดินนำแม่บ้านพร้อมน้ำมะพร้าวทั้งลูกมาบริการ

                “ชื่นใจจัง...พี่หมากลองสิคะ” แทนดาวยื่นมะพร้าวให้พี่ชายลองชิมบ้าง

                “อร่อยจริงด้วยครับคุณอา หอม...หวาน...หวานติดลิ้นเลยครับ” แม้ปากจะเอ่ยชมรสชาติของมะพร้าวหอมสดชื่นแต่ตากลับมองมาที่ลูกสาวเจ้าของบ้านไม่วางทำให้คนถูกมองร้อนวาบตั้งแต่ปลายผมจนปลายเล็บ ไอ้ที่ว่าหวานจนติดลิ้นนี่ทำให้คิดไปได้ไกล

                “เมื่อกี้คุณชลโทรมาบอกว่าไม่กลับมากินข้าวจ้ะ แล้ววันนี้อาจจะไม่บ้านด้วยจ้ะ ถ้างานไม่เสร็จ”พนักงานคนหนึ่งเดินมาแจ้งข่าว คุณวารีพยักหน้ารับรู้

                “ถ้างั้นเราไปกินข้าวกันเลยนะ อารู้มาว่าน้องพลูชอบกินปู...วันนี้เลยมีเมนูปูหลายอย่าง ส่วนน้องผึ้งเห็นว่าเป็นคนรักสุขภาพ อาก็เลยเตรียมเมนูผักปลอดสารที่ปลูกแบบไม่ใช้ดิน ที่รีสอร์ทใช้ผักปลูกเองทำอาหารค่ะ สะอาดปลอดภัย” สองสาวยิ้มกึ่งปลื้มกึ่งเกรงใจที่คุณวารีเอาใจใส่ในทุกรายละเอียด

                “อ้อ...นั่นกรุ๊ปจากโรงพยาบาลที่มาด้วยกันใช่มั้ย? เดี๋ยวอาไปรับก่อนนะคะ เดี๋ยวให้พนักงานช่วยถือของไปเก็บที่บ้าน แล้วเจอกันที่ห้องอาหารเลยนะ” คุณวารีบอกสามพี่น้องก่อนจะเดินไปรับคณะของนายแพทย์อชิตะอีกห้าหกคนที่เพิ่งมาถึง

                “สำหรับคุณ...มีแกงส้มชะอมไข่กุ้งค่ะ” รมณ์นลินกระซิบบอกคนขวางโลกตอนคล้อยหลังคนอื่นๆ เทียมภพยิ้มเบาๆแต่ก็ยังไว้เชิง

                “วันนั้นที่ผมกินได้เพราะหิวหรอก...ไม่ได้ติดอกติดใจอะไรขนาดนั้น” รมณ์นลินมองหน้ากวนๆอย่างหมั่นไส้ ดูเถอะ...จะพูดจาถนอมน้ำใจคนฟังสักนิดนี่ไม่เคยจะได้ รู้อย่างนี้ไม่น่าเหนื่อยนั่งโขลกพริกแกงให้เมื่อยมือ

 

                เช้าวันรุ่งขึ้นทั้งหมดก็มารวมตัวกันเพื่อรับประทานอาหารเช้าและเตรียมตัวที่จะไปดำน้ำดูปะการัง คนที่ออกอาการร่าเริงสุดๆคงจะหนีไม่พ้นสาวน้อยที่แต่งตัวเตรียมอุปกรณ์พร้อมเต็มที่ ส่วนปลายเดือนขอตัวพักผ่อนนวดสปาเพราะไม่อยากโดนแดดซ้ำ

                “ชอบมั้ยคะน้องพลู?” รมณ์นลินที่ตามมาอำนวยความสะดวกถามลูกศิษย์สาวที่กำลังยืนสูดลมทะเลตรงระเบียงห้องอาหาร สองสาวทอดสายตาออกไปยังทะเลครามเบื้องหน้า แลเห็นจอมมหาการเทียมภพเดินพ่นควันยาสูบอยู่แถวตรงชายหาด รมณ์นลินเดาว่าเขาคงออกไปตามหาและจับผิดพฤติกรรมพี่ชายว่ามีอะไรให้เอามาต่อว่าได้บ้าง

                “ชอบที่สุดเลยค่ะ...สวยมากๆเลย อากาศก็ดี สวยไม่แพ้ที่ตรังเลยค่ะ”

                “คุณตาของพี่ท่านเป็นสถาปนิกเป็นคนออกแบบทั้งหมด รีสอร์ทที่ตรังก็ฝีมือท่าน ส่วนการตกแต่งนี่...พี่กับพี่ชลมาเปลี่ยนใหม่ทีหลัง” รมณ์นลินอธิบาย มิน่าล่ะ...ที่นี่ถึงเน้นการตกแต่งที่ผสมผสานกันระหว่างธรรมชาติและดนตรี

                “แล้วที่ธาราล่ะคะ?”

                “พอเคียงธาราสร้างเสร็จไม่นานคุณตาก็เสีย...เลยไม่มีใครคิดแบบให้ พี่ชลเองกำลังเรียนอยู่ต่างประเทศก็เลยจ้างเอา แต่พวกของตกแต่งภายในก็เลือกเองเหมือนเดิม พี่ชลแกชอบอะไรที่ดูเรียบๆแต่มีเอกลักษณ์” แทนดาวทวนคำบอกเล่าของครูสาวแล้วก็นึกเปรียบเทียบกับชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมสันดุจเจ้าชายแขก ไม่ว่าอะไรที่เขาทำล้วนแต่สะท้อนถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัว

                “อย่างนี้นี่เอง...เหมือนพี่ชลใช่มั้ยคะ? ที่ภายนอกดูนิ่งๆ ดุๆ แถมยังขี้เก๊กจนเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวหรือจะเรียกให้อินเตอร์หน่อยก็ต้องบอกว่ามันเป็นคาแรกเตอร์”

                “เป็นคำนิยามที่น่าปลื้มใจจัง” เสียงนุ่มทุ้มคุ้นเคยดังมาจากข้างหลังทำให้คนที่กำลังนินทาบุคคลที่สามใจเต้นแรง

                “พี่ชล...มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยนะ” รมณ์นลินว่า

                “ก็อยากฟังว่าสาวๆคุยอะไรกันบ้าง มาทันได้ยินช็อตเด็ดตอนกำลังนินทาพี่” ชลธีก้าวมาหยุดยืนใกล้ๆสองสาวที่กำลังสนทนาพาดพิงตนอย่างออกรส แทนดาวรีบเมินสายตาไปเสียจากบุรุษหนุ่มที่ยืนกอดอกพิงราวระเบียง วันนี้เขาอยู่ในชุดลำลองสบายๆ ผมเผ้าโดนลมทะเลตีจนยุ่งไม่ได้หวีเซ็ทให้เข้าทรงเรียบเนี้ยบอย่างวันทำงานปรกติแต่ก็ทำให้ใบหน้านั้นดูอ่อนเยาว์ขึ้น

                “ไม่ได้นินทาซะหน่อย” แทนดาวพูดเสียงเบาแล้วประสานสายตากับแววตาลึกล้ำดุจมหาสมุทร เสี้ยววินาทีนั้นแก้มเนียนใสก็เริ่มปลั่งสีเข้มขึ้น

                “อย่าไปสนใจพี่ชลเลยนะน้องพลู เรือมาโน่นแล้ว...พี่ไปตามทีมคุณหมอก่อนนะ” รมณ์นลินปลีกตัวไปหาอชิตะที่เพิ่งรับประทานอาหารเสร็จพอดี

                “เป็นไง...หลับสบายหรือเปล่าครับ?” คำถามนี้ฟังดูพื้นๆและไม่น่าจะตอบยากอะไรแต่ทำให้คนตัวเล็กกลับต้องคิดหนัก ใบหน้าที่ปลั่งสีเข้มยิ่งทวีความชัดเจนขึ้นทีละน้อยเมื่ออยู่กับเขาตามลำพัง

                “ดีค่ะ”

                “หืม...วันนี้น้องพลูเป็นอะไรไป เอาแต่หลบตา ถามคำตอบครึ่งคำ”

                “ก็...” คนตอบหลบประกายตาประหลาดที่จับจ้องมาไม่หยุดหย่อน ทั้งประหม่า วิตกและเก้อกระดากในคราวเดียวกัน

                “สวัสดีครับคุณชล...น้องพลูพร้อมแล้วล่ะสิ” เสียงทักทายดุจดังระฆังช่วยชีวิตคนตัวเล็กไม่ให้ถูกต้อนมากไปกว่านี้ ชลธีมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาเป็นมิตรและดูเหมือนจะยินดีมากกว่าทุกครั้ง

                “หวังว่าคุณหมอและเพื่อนจะชอบที่นี่ ขาดเหลืออะไรก็บอกกันได้นะครับ” เขายิ้มอ่อนให้บุรุษรุ่นราวคราวเดียวกัน ทำให้ทั้งสองคนออกจะแปลกไปกับท่าทีใจดีของคนพูด

                “ทุกอย่างดีมากแล้วครับ ว่าแต่...พี่จะมาชวนน้องพลูไปถ่ายรูปเล่นก่อนลงเรือ ตรงนั้นเอง...พวกนั้นรออยู่โน่นแน่ะ” นายแพทย์หนุ่มชี้ไปทางกลุ่มพยาบาลที่กวักมือเรียกอยู่หน้าหาด แทนดาวมองหน้าชลธีนิดหนึ่งแล้วก็ยิ่งแปลกใจที่ฝ่ายนั้นพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

                “แล้วเจอกันนะ” เขาบอกคนตัวเล็กสั้นๆแล้วมองตามสองหนุ่มสาวเดินเคียงกันไป นัยน์ตาราบเรียบเป็นมิตรเมื่อไม่กี่นาทีก่อนกลับเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์ดุจเปลวเพลิงถูกน้ำมันราด

                “นี่เป็นครั้งสุดท้ายนะหมอ...มีความสุขกับรักข้างเดียวเสียให้เต็มที่!”

 

                รมณ์นลินพาทุกคนไปขึ้นเรือตามเวลานัดหมาย บนเรือนี้นอกจากสองพี่น้องและคณะของอชิตะแล้วก็ยังมีนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติร่วมด้วย ไกด์ประจำเรือเริ่มอธิบายวิธีใส่อุปกรณ์และการดำน้ำตื้นแบบสน็อกเกิ้ล

                “น้องพลูเคยไปเรียนดำน้ำลึกอยู่คอร์สนึง พอตอนดำจริงดันใส่หน้ากากไม่แน่นเลยสำลักน้ำไปหลายอึก พอพี่หมากรู้เข้าก็สั่งห้ามตั้งแต่นั้นเลยค่ะ” แทนดาวเล่าเหตุการณ์ในอดีตให้ครูสาวฟัง จำได้ว่าวันนั้นเทียมภพโกรธจัดขนาดจะฟ้องร้องเอาผิดโรงเรียนแห่งนั้นที่ดูแลน้องสาวไม่ดี

                “แย่จังนะคะ...แต่นี่แค่อยู่ผิวน้ำ ไม่มีอะไรต้องกังวลมากหรอกค่ะ”

                “ห้ามซนว่ายไปไกลพี่นะน้องพลู เดี๋ยวเผื่อมีคลื่นยักษ์ซัดเราไปนี่แย่เลย” เทียมภพย้ำกับน้องขณะช่วยสวมเสื้อชูชีพให้

                “นี่! ขึ้นเรือเขาห้ามพูดเรื่องอัปมงคล” รมณ์นลินเอ็ดคนขี้ระแวงที่พูดจาพาเสียฤกษ์ คนถูกดุแสร้งทำหน้าสลดแล้วก็แอบแลบลิ้นใส่พอหล่อนเผลอหันหลังให้

                “หยอกกันน่ารักดีนะคะ” แทนดาวล้อพี่ชาย

                “เหลวไหล...หยอกเหยิกอะไรกัน อ้อ...เมื่อเช้าพี่เห็นเรายืนคุยกับไอ้ชล คุยอะไรกัน? มันมาหลอกว่าอะไร?” พี่ชายขาโหดถามจริงจังขณะรวบผมยาวสลวยของน้องสาวเก็บในหมวกว่ายน้ำ

                “แค่ถามว่าหลับสบายดีมั้ยเองค่ะ”

                “ชิ...ไอ้วัวแก่คิดจะเลี้ยงต้อย นี่ดีนะที่มันไม่ได้มาด้วย...ไม่งั้นพี่จะแอบจับมันกดน้ำให้ตายลอยขึ้นอืดติดซอกหินอยู่แถวนี้แหละ ส่วนไอ้แว่นนั่น...สบโอกาสเมื่อไหร่ล่ะก็”

                “หยุดเลยค่ะ...นี่เรามาเที่ยวพักผ่อนกันนะ ไม่ได้มาวางแผนฆาตกรรมใคร” พอน้องสาวปรามเสียงดุจอมวางแผนก็หยุดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วถอดเสื้อยืดเก็บใส่เป้ อวดรูปร่างบึกบึนสมชายชาตรีและผิวขาวเนียนละเอียดดุจสตรี รมณ์นลินที่อยู่ใกล้ๆแอบมองแล้วนึกอิจฉาที่เขามีผิวพรรณดีจนผู้หญิงอย่างหล่อนเทียบไม่ติด

                “ซิกแพคมั้ยล่ะคุณ?” เทียมภพตบหน้าท้องที่เป็นลอนกล้ามของตนแถมยังอวดกล้ามแขนอย่างภูมิอกภูมิใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จ้องมอง

                “เอ๊ะ...สงสัยวันนี้น้องพลูคงเป็นส่วนเกิน คราวหน้าถ้าจะจัดทริปอีกไม่ต้องชวนน้องพลูนะคะ...บอกไว้เลยว่าไม่ว่าง” คนตัวเล็กพูดแซวทั้งคู่

                “เหลวไหล!” ทั้งสองตอบพร้อมกันโดยบังเอิญแล้วต่างคนต่างก็เสมองไปคนละทางแก้เก้อไปตามระเบียบ

               

                เมื่อเรือแล่นมาถึงจุดที่มีปะการังอยู่หนาแน่น ไกด์ประจำเรือก็ให้นักเรียนจำเป็นไต่บันไดข้างเรือลงน้ำไปทีละคนโดยมีนักดำน้ำมืออาชีพสี่ห้าคนว่ายวนล้อมรอบกลุ่มนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด แทนดาวรู้สึกเย็นวาบเมื่อผิวสัมผัสน้ำทะเลครั้งแรกแต่จากนั้นไม่นานก็ชินและรู้สึกเย็นสบาย เทียมภพกับรมณ์นลินว่ายเวียนอยู่ใกล้ๆในไม่ช้าก็ปะปนไปกับคนอื่นจนไม่รู้ว่าใครอยู่ตรงไหนบ้าง

                หมู่ปะการังสวยงามที่งอกงามอยู่ในน้ำทะเลใสแจ๋วราวกับกระจกเบื้องล่างดึงดูดให้สาวน้อยเพลิดเพลินจนไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองแตกกลุ่มออกมาแล้ว หล่อนตามฝูงปลาตัวเล็กๆหน้าตาแปลกๆที่ว่ายเวียนอยู่ใกล้ๆ ดูพวกมันจะชินกับการเจอคนมากๆจึงไม่หนีไปไหน หนำซ้ำยังชักชวนเพื่อนฝูงให้มาว่ายเวียนดูเหล่ามนุษย์แปลกหน้า คิดขำๆว่าพวกมันก็คงจะตื่นเต้นที่เห็นพวกมนุษย์หน้าตาประหลาดเลยพากันมาดูใหญ่       

                ในที่ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการเฝ้ามองสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้น้ำ จู่ๆก็รู้สึกว่าร่างกายถูกกระตุกอย่างแรงให้ออกห่างจากกลุ่มไปไกลมากขึ้น เสื้อชูชีพที่สวมใส่อยู่ถูกปลดออกอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองในขณะนี้ ปากที่ยังอมท่อหายใจทำให้ไม่สามารถส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือได้ แต่ไม่นานหน้ากากต่อท่ออากาศที่สวมอยู่ก็ถูกดึงออกแต่พออ้าปากจะร้องก็ตกใจแทบสิ้นสติเมื่อคิดว่ากำลังถูกฉลามคาบแขนข้างหนึ่งฉุดดำดิ่งลึกและไกลออกไปจากเรือ แทนดาวหลับตาปี๋เพราะแสบตา คิดว่าคงตายแน่แล้ว...คงมีใครหวังร้ายจ้างคนมาเก็บแน่ๆ ในใจก็พยายามตั้งสติคิดถึงคุณพ่อคุณแม่และพี่หมาก ชาตินี้คงไม่ได้อยู่ตอบแทนบุญคุณแล้ว

                ร่างบางถูกพาดำดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆและก่อนที่อากาศเฮือกสุดท้ายในปอดจะหมดไปก็รู้สึกว่ามีอะไรนิ่มๆมาอุดที่ปากช่วยทำให้หายใจได้อีกครั้ง ร่างทั้งร่างถูกรัดแน่นและลอยคว้างอยู่ในห้วงน้ำเย็นสบายตัวจนเผลอคิดไปว่าตัวเองคงขาดอากาศหายใจจนตายไปแล้วถึงได้รู้สึกเบาหวิวและสบายขนาดนี้ ไม่ถึงสองนาที...สิ่งที่กอดรัดอยู่เมื่อครู่เริ่มคลายออกและรู้สึกว่าร่างตัวเองกำลังพุ่งขึ้นสู่เบื้องบนในขณะที่วัตถุนิ่มๆที่อุดปากอยู่ยังคงทำหน้าที่ส่งผ่านออกซิเจนต่อไป

                “อ๊ะ!...” เสียงอุทานสั้นๆเมื่อทั้งร่างพุ่งโผล่พ้นน้ำแล้วรีบสูดหายใจเข้าปอดสองสามครั้งลึกๆเพื่อให้แน่ใจว่ายังมีชีวิตอยู่ เท้าทั้งสองข้างยืนเยียบอยู่บนโขดหินตรงจุดหนึ่งท่ามกลางเวิ้งน้ำทะเลสีครามโอบอุ้มอยู่รอบตัว

                “สนุกมั้ยน้องพลู?” แทนดาวกระพริบตาหลายครั้งให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ความฝันแล้วก็แทบจะหลุดปากกรีดร้องออกมาดังๆพอเห็นชัดว่าคนที่รัดรึงตัวอยู่เวลานี้คือชลธีในชุดประดาน้ำเต็มยศยิ้มเผล่อยู่ตรงหน้า

                “พี่ชล! พี่ชลทำไมแกล้งน้องพลูแบบนี้ล่ะ แล้วเมื่อกี้...” หล่อนพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์เฉียดตายเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นทาบริมฝีปาก ความอุ่นซ่านยังฉาบชัดอยู่บนเรียวปากอิ่มแต่ก็ยังไม่ปักใจในรสสัมผัสนัก

                “ก็พาน้องพลูมาดำน้ำไง” ชลธียังพูดเรื่อยๆราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

                “คนบ้า!...น้องพลูนึกว่าถูกฉลามคาบมารับประทานซะอีก” มือบางตีไหล่หนาสามครั้งซ้อนฐานที่ทำให้ตกใจ

                “จะโมโหทำไมกัน? พี่แค่พาน้องพลูดำน้ำดูปะการังใกล้ๆ เป็นไง...ปะการังสวยมั้ยครับ?” นักประดาน้ำเจ้าเล่ห์ยังคงอามรมณ์ดีขณะส่งสายตาแพรวพราวไม่หยุดหย่อน แต่ตอนนี้แทนดาวโกรธมากว่า...โกรธที่เขาเล่นอะไรพิเรนทร์ๆแถมยัง...ยังทำอะไรพิลึกๆในน้ำอีก

                “พาน้องพลูกลับไปที่เรือเดี๋ยวนี้นะ!  โกรธพี่ชลแล้วด้วย”

                “อ้าว...ไม่ดูปลาต่อแล้วเหรอ?”

                “ไม่! พี่ชลขี้แกล้ง....ฉวยโอกาส” อาการหัวเราะชอบใจยิ่งยั่วยุให้หล่อนยิ่งโกรธหนักขึ้น มือเล็กกำแน่นเตรียมทุบอีกสักสองสามทีแต่ก็ต้องรู้สึกแปลกๆกับวัตถุแปลกปลอมที่นิ้วนางข้างขวาซึ่งกำลังส่องประกายวิบวับล้อเล่นกับแสงแดดยามสาย

                “พี่ชล...นี่มัน” พอชูมือดูชัดๆก็เห็นแหวนทองคำขาวประดับไพลินสีน้ำเงินเม็ดเดี่ยวรูปหัวใจ มีเพชรเม็ดเล็กๆฝังบนตัวแหวนที่ดัดเล่นลวดลายคล้ายเลขแปดเป็นเครื่องหมายอินฟินิตี้รองรับเม็ดไพลิน ยิ่งยามกระทบแสงแดดจ้าก็ยิ่งทอประกายน้ำงามมากขึ้นเหมือนรู้ตัวว่ากำลังถูกมอง ชลธีรัดร่างบางให้แน่นขึ้นอีกก่อนจะเปรยประโยคหยุดหัวใจคนรอฟัง

                “น้องพลูจะว่าอะไรมั้ย? ที่รีบรวบรัดหมั้นน้องพลูเร็วอย่างนี้...แต่พี่รอไม่ได้อีกแล้ว” ฝ่ามืออบอุ่นกอบกุมมือข้างที่สวมแหวนแล้วจรดริมฝีปากประทับลงไป

                “พี่ชลคะ...น้องพลู” แทนดาวอ้ำอึ้งพูดไม่ออก เมื่อกี้ตอนอยู่ใต้น้ำนอกจากเขาจะขโมยจูบแล้วยังแอบสวมแหวนให้ด้วยหรือนี่

                “หัวใจสีน้ำเงิน...แทนความหมายของชลธี หัวใจสีน้ำเงินแห่งท้องทะเลลึก” มืออบอุ่นยังคงลูบไล้มือนุ่มเย็นเฉียบขณะให้ความหมายของอัญมณี แขนแข็งแรงข้างหนึ่งรั้งเอวบางที่จมอยู่ใต้น้ำครึ่งหนึ่งให้เข้ามาชิด

                 “บลูแซฟไฟร์หรือไพลินคือสัญลักษณ์ของความมั่นคงและซื่อสัตย์ เพชร...หินที่แข็งแกร่งที่สุด ส่วนเครื่องหมายอินฟินิตี้ก็คือความเป็นนิรันดร์...”

            “แทนดาวขา...คุณจะเมตตารับรักผู้ชายคนนี้ที่เฝ้ารอให้ดาวดวงน้อยมาส่องสว่างกลางใจอันมืดมิดมานานเหลือเกินแล้ว ผมขอมอบหัวใจซื่อสัตย์และมั่นคงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงให้คุณคนเดียว ขอให้ดาวดวงนี้อยู่เคียงคู่ทะเลตลอดไปนะครับ”

                หัวใจดวงน้อยเริ่มสั่นไหวขณะดวงตาคู่สวยกระพริบไล่หยดน้ำที่เกาะติดแพขนตาดุจเกร็ดเพชรและมองลงไปในดวงตาสีเข้มดุจห้วงมหาสมุทรลึกล้ำ วงหน้าสวยก้มหลบเพราะรู้ว่าตอนนี้แก้มทั้งสองข้างได้เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าคราม ชลธีใช้ปลายนิ้วเชยคางมนขึ้นมาให้สบตาตรงๆอย่างรอคอยคำตอบ ประกายตาของเขาระยิบระยับแข่งกับประกายอัญมณี

                “คะ?...ค่ะ"

                คำตอบเบาหวิวเสียจนแทบจะไม่ได้ยินเรียกร้อยยิ้มละมุนและแววตาวาวโรจน์อย่างสุขสมหวังจากคนที่จดจ่อรอคำตอบ สาวน้อยมิได้เบี่ยงหน้าหลบหนีเมื่อใบหน้าคมเข้มโน้มลงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ รู้สึกว่าน้ำทะเลเย็นขึ้นอย่างประหลาดแต่ร่างกายกลับอบอุ่น จะเป็นเพราะถูกกอดอยู่แนบชิดหรือเพราะความสุขประหลาดล้ำลึกที่เกิดขึ้นอยู่ในใจตอนนี้ก็ไม่ทราบได้

                “ขอบคุณครับ” เขากระซิบกระซาบอยู่ชิดริมฝีปาก

                “เรากลับกันดีกว่าค่ะ” ปากบางหลบวูบทันทีเมื่อปากหยักกำลังจะสัมผัสถึงอยู่แล้ว

                “อีกสักเดี๋ยวเถอะ...ไหนๆก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว พี่ขอทวงรางวัลด้วยเลยก็แล้วกัน” ดวงตาดุจห้วงทะเลลึกจ้องมองอย่างมีความหมาย ร่างเล็กอึกอักอย่างจนปัญญาจะหาเหตุผลอันใดมาหยุดยั้งหรือบ่ายเบี่ยง ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ที่เอาแต่หลบหน้าหลบตาเขาอยู่นั่นก็เพราะมัวคิดพะวงเรื่อง ‘รางวัล’ อยู่นั่นเอง

                “งั้นถ้าทำโฮลอินวันได้...พี่ขอจูบน้องพลูเป็นรางวัลนะครับ”

            ชลธีตีโฮลอินวันได้จริงๆนั่นแหละ!

                แทนดาวทำตัวแข็งแต่ก็เป็นเช่นนั้นอยู่ไม่นานมื่อเมื่ออุ่นประคองแก้มนวลไว้ในอุ้งมือ มือเล็กสอดค่อยรอบเอวหนาโดยอัตโนมัติ หล่อนเองก็อยากจะรู้...ตอนที่อยู่ใต้น้ำมันรู้สึกไม่ค่อยถนัดชัดเจนนัก สาวน้อยหลับตาลงปล่อยใจให้ว่างเปล่าและค่อยๆแหงนเงยรอรับริมฝีปากหยักอุ่นที่แตะสัมผัสลงมาอย่างนุ่มนวล ในนาทีต่อมา...แทนดาวก็ได้รู้ว่านิยายที่มีการบรรยายฉากจูบแสนหวานของพระเอกนางเอกว่าการที่พระเอกประกบริมฝีปากแลกจุมพิตกับนางเอกแนบแน่นและเนิ่นนานนั้น...มันเป็นอย่างไร

                การจูบเป็นของขวัญจากพระเจ้าที่มอบให้มนุษย์ปฏิบัติต่อคนที่ตนรัก ดังนั้นชลธีจึงรู้สึกอิ่มเอมในหัวใจเมื่อสตรีที่เฝ้ามีจิตปฏิพัทธ์มานานยอมรับความรักความจริงใจที่มอบให้ เขามั่นใจมานานแล้วว่ารักแทนดาว... แต่ที่ต้องกดเก็บไว้เพราะเป็นห่วงในหลายๆเรื่องโดยเฉพาะความแตกต่างแห่งวัย ที่สำคัญไม่แน่ใจว่าหล่อนคิดกับตนเองเช่นไร

                แต่วันนี้คำตอบทุกอย่างกระจ่างแล้ว...ดาวดวงน้อยตอบรับคำร้องขอของเขาและเต็มใจที่จะตอบรับสัมผัสบางเบาแต่รัญจวนใจที่กำลังมอบให้ ความรู้สึกรักล้ำลึกที่มีต่อคนในอ้อมแขนช่างเหลือคณานับมหาศาลยิ่งกว่าห้วงทะเลที่โอบล้อมอยู่

                นับแต่วินาทีนี้ไป...ดวงดาวจะอยู่คู่เคียงทะเล และรอเวลาที่ท้องทะเลอบอุ่นแห่งนี้จะได้ครอบครองเจ้าดาวดวงน้อยโดยสมบูรณ์

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา