ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  38.38K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

28) ตอนที่ 27 หวงดวงใจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เว็บขีดเขียนเว็บขีดเขียน

 

ตอนที่ 27 หวงดวงใจ

 

         “ที่ผมเรียกคุณมาวันนี้เพราะมีเรื่องอยากจะตกลงด้วย” ชลธีพูดกับสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉยติดออกจะแข็งกร้าวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างหนาในชุดสูทสีเทาเข้มเกือบดำเอนหลังพิงเก้าอี้พนักสูงด้วยท่าทางสบายๆขัดกับสีหน้าเคร่งเครียดแสดงให้รู้ว่าเรื่องที่บอกว่าจะตกลงด้วยนั้นมีเนื้อหาสำคัญและเป็นเรื่องที่คนฟังจะต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข

           เปรมยุตาหย่อนตัวลงนั่งช้าๆบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม สายตาราบเรียบจับจ้องอยู่ที่สองมือของอดีตคนรักที่บรรจงแตะกาวกับกลีบดอกไม้ดินปั้นที่หักบิ่นให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ดูท่าทางเขาจะตั้งใจและประณีตกับงานฝีมือนี้เป็นพิเศษจนทำให้คนมองรู้สึกชาอยู่ในหัวใจ

           “อะไรเหรอคะ?” เสียงหวานถามกลับขณะเดียวกันก็มองกลับไปในนันย์ตาสีเหล็กอย่างค้นหา ชลธีชูตระกร้าดอกไม้ขึ้นตรวจตราอย่างอย่างละเอียดหลังจากประกอบชิ้นส่วนสุดท้ายของกิ่งดอกที่หักกลับเข้าที่เดิมจนมั่นใจว่ามันแข็งแรงทนทานดีแล้ววางไว้อย่างเก่า

           “เรื่องของผมกับแทนดาว... ไม่อ้อมค้อมก็แล้วกันนะ ผมขอให้คุณมองเธออย่างน้องสาวของเพื่อนและแฟนของเจ้านายคุณ...นั่นก็คือผม” ชลธีจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเยือกเย็น

           “น้องพลูไม่ใช่คนที่คุณจะตามไปหึงหวงหรือกวนใจให้เธอต้องไม่สบายใจ ผมตั้งใจกับการเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้มากและหวังว่าคุณจะไม่ทำตัวให้เราลำบาก” สายตาและสีหน้าที่ว่าเยือกเย็นแล้วแต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเย็นชายิ่งกว่า มันเย็นเยียบจนคนฟังขนลุก

           “เธอฟ้องคุณเหรอคะ?” เปรมยุตาบังคับเสียงไม่ให้สั่นขณะที่สายตาละไปมองตะกร้าดอกไม้ที่ตนเองทำตกเมื่อวานและเขาก็ซ่อมแซมมันจนกลับมาอยู่ในสภาพเดิม

           “เปล่า...ทั้งที่ผมอยากให้เธอฟ้องในทุกๆเรื่องแต่เธอไม่ทำ แต่ที่ผมรู้ก็เพราะว่ารู้จักนิสัยคุณดีไงล่ะ คุณเองก็รู้จักผมดีนี่นา...น่าจะรู้ว่าเวลาผมโกรธแล้วมันจะเป็นยังไง” น้ำเสียงเย็นชายังคงเชือดเฉือนอารมณ์ของคนฟังอย่างไม่ปราณี เปรมยุตาเจ็บลึกอยู่ในอกแล้วเมินหน้าไปเสีย ไม่อยากประสานกับแววตาเย็นเยียบคู่นั้น

           “คุณรักเธอมากเหรอคะ?” หล่อนถามกลับคล้ายจะประชดมากกว่าต้องการคำตอบ

           “เรื่องนี้คุณไม่จำเป็นต้องรู้”

           “งั้นปรางก็เข้าใจถูกแล้วว่าคุณไม่ได้รักเธอ แต่ที่ทำไปเพราะต้องการแก้แค้นในสิ่งที่ปรางทำไว้กับคุณ” เปรมยุตาจ้องมองลึกลงไปในดวงตาราบเรียบดุจสายน้ำนิ่งของเขาแล้วพบว่าตอนนี้มันกำลังโชติด้วยประกายไฟแห่งโมหะ

           “ไม่ใช่เลยปราง! มันไม่ใช่เลยสักนิด!” เขาลุกขึ้นยืนแล้วเคลื่อนตัวมากระชากไหล่หล่อนให้ลุกขึ้นประจันหน้าหน้ากัน

           “คุณอย่าคิดสำคัญตัวผิดมากกว่าไปกว่านี้เลย ที่ผมไม่ได้พูดออกมาจากปากตรงๆว่ารู้สึกยังไงกับน้องพลูก็เพราะว่าเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว...ผมเคยพูดพร่ำคำนี้กับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วสุดท้ายก็เจ็บเจียนจะตายเพราะความรักที่มีให้เธอ...” ชลธีรู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการกลืนน้ำลายลงคอ

           “พอฟื้นจากความตายมาได้...ก็ไม่กล้าบอกรักใครพร่ำเพรื่ออีก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความผมจะรักใครอีกไม่ได้” ชลธีผลักไหล่บางคู่นั้นออกห่างแล้วหันหลังให้อย่างไม่สนใจใยดี

           “คุณเป็นคนปากแข็งเสมอเลยนะคะ ใจก็แข็ง...ปากก็แข็ง แต่อีกไม่นานหรอก...ปรางจะทำให้คุณกลับมาอยู่ตรงนี้...” เปรมยุตาเดินมาหยุดตรงหน้าพร้อมกับชี้มือที่อกซ้ายของตัวเอง

           “อยู่ในที่เดิมที่คุณเคยอยู่อย่างมีความสุข ที่ที่เรานอนหลับฝันไปด้วยกัน คุณไม่ได้รักเด็กนั่น...สักวันคุณต้องรู้ใจตัวเอง ความสัมพันธ์ที่คุณกำลังสานตอนนี้มันเป็นแค่เกราะที่สร้างขึ้นมาป้องกันตัวเองจากปราง!” เปรมยุตาแผดเสียงใส่เขาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ค่อยๆรินรด ชลธีส่ายหน้ากับความดื้อรั้นในความคิดของหล่อน

           “เกราะที่ว่ามันแข็งแรงกว่าที่คุณคิดมากมายนัก...” เขาเดินไปหยิบตะกร้าดอกไม้เล็กๆขึ้นมาดูอีกครั้ง นัยน์ตาที่เปล่งประกายโชติช่วงอ่อนแสงลงทันทีขณะเพ่งมองลิลลี่ ออฟ เดอะ วัลเลย์ดอกกระจิริดที่ได้รับการซ่อมแซมอย่างดี

           “ไม่ว่าจะคุณจะพยายามทำลายมันด้วยวิธีไหนก็ไม่มีวันพังง่ายๆ อาจจะมีชำรุดบ้างแต่ผมก็จะซ่อมมันให้กลับเป็นอย่างเดิม พังอีกก็ซ่อมอีก...จนคุณเองที่ต้องเป็นฝ่ายหมดแรง...เปรมยุตา”

 

           วันนี้ปลายเดือนรับอาสาไปส่งน้องสาวที่โรงแรมในตอนเย็น ถึงจะเสียใจอยู่บ้างที่ไม่พบชลธีตอนที่ไปถึง พอพนักงานบอกว่าเขาออกไปข้างนอกกับเปรมยุตาก็เกิดไม่ชอบใจขึ้นมาเสียดื้อๆ ครุ่นคิดว่าทำไมเขาจะต้องออกไปธุระข้างนอกกับคนรักเก่าด้วย หรือชลธียังไม่สามารถดับถ่านไปเก่าให้มอดสนิทได้จริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้น...ก็คงถึงเวลาแล้วที่หล่อนจะต้องช่วยเอาน้ำไปรดกองเถ้าถ่านให้หมดควันกรุ่นในเร็ววัน

           “คุณชลบอกหรือเปล่าว่าจะกลับเข้ามากี่โมง?” ปลายเดือนถามเลขานุการของชลธีที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องอย่างวางอำนาจจนลืมคิดไปว่าที่นี่ไม่ใช่ทวีกิจซึ่งไม่ควรแสดงตนข่มพนักงานของที่นี่

           “ตามตารางงานวันนี้น่าจะเสร็จประมาณหกโมงเย็นค่ะ แต่ว่าจะกลับเข้ามาที่นี่อีกหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะ” พนักงานสาวตอบกลับอย่างเกรงๆในท่าทางและกิริยาดุจนางพญาของเพื่อนเจ้านายใหญ่คนนี้ แต่ในใจลึกๆก็อดที่จะนินทาไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ช่างไว้ตัวและเย่อหยิ่งต่างกับเจ้านายที่ถึงแม้จะดูเข้มงวดแต่ก็มีอัธยาศัยดี

           “ฉันจะรอที่นี่ก็แล้วกัน” ปลายเดือนบอกแล้วก้าวฉับๆเข้าไปนั่งรออย่างใจเย็นในห้องประชุมกึ่งห้องรับแขกที่อยู่ตรงข้ามกัน

           “รอสัญญาณจากฉัน...แล้วอย่าให้พลาดล่ะ” ปลายเดือนยกโทรศัพท์คุยไม่ถึงห้าวินาทีแล้วก็วางสาย รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้าสวยสะคราญอย่างไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้

 

         แทนดาวเล่นเพลงอย่างมีความสุขตามปรกติ พอมาถึงบทเพลงสุดท้ายของวันนี้ก็เลยเลือกจังหวะครึกครื้นขึ้นมาหน่อยเพื่อส่งท้ายวันศุกร์แห่งชาติ ลูกค้าที่ส่วนมากมาเป็นกรุ๊ปทัวร์ดูค่อนข้างหนาตาเพราะเป็นวันหยุดยาวต่อเนื่องไปจนถึงวันจันทร์ นิ้วมือกลมเรียวดั่งลำเทียนกดคีย์ตัวสุดท้ายพร้อมรอยยิ้มเช่นเคยแล้วค่อยๆเก็บข้าวของ

           “เล่นเพราะจัง...เล่นต่ออีกสักเพลงได้หรือเปล่า? เดี๋ยวให้ทิปพิเศษเลย” ชายรูปร่างสันทัดคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับส่งสายตาเจ้าชู้ให้ ในมือมีแก้วไวน์หรือเหล้าก็ไม่แน่ใจ

           “ขอบคุณนะคะ แต่ว่าวันนี้หมดเวลาแล้ว เดี๋ยวรอฟังเพลงจากนักดนตรีประจำดีกว่าค่ะ” แทนดาวตอบอย่างสุภาพอ่อนหวาน นับเป็นครั้งแรกที่มีลูกค้ามาพูดคุยด้วยตั้งแต่มาทำงานที่นี่เป็นเวลานับเดือนแล้ว

           “ว้า...เสียดายจัง...กำลังเพลินเลย ว่าแต่น้องสาวน่ารักคนนี้ชื่ออะไรเหรอครับ? มาวันไหนบ้าง?” ลูกค้าคนเดิมยังชวนคุยต่อ

           “ชื่อแทนดาวค่ะ จะมาเฉพาะวันพฤหัสฯกับศุกร์ ถ้ายังไงดิฉันขอตัวไปหาพี่สาวก่อนนะคะ” หญิงสาวตอบแล้วเบี่ยงตัวหลบคนที่ยืนขวางทางอยู่

           “ชื่อก็เพราะ เล่นเปียโนก็เพราะ เอ...มีแฟนหรือยังครับเนี่ย?” ชายคนนั้นถือวิสาสะจับข้อมือของหล่อนตอนที่กำลังเดินผ่านซึ่งสร้างความตกอกตกใจให้อยู่ไม่น้อย คิดว่าผู้ชายคนนี้ต้องเมาแน่ๆเพราะขนาดอยู่ไม่ใกล้มากแต่ก็ได้กลิ่นแอลกอฮอล์โชยฉุนเข้าจมูก

           “ขอโทษนะคะ ดิฉันต้องไปแล้วจริงๆ” แทนดาวพยายามจะสลัดมือที่ถูกยึดไว้แต่ก็ไม่สำเร็จและดูเหมือนฝ่ายนั้นยิ่งกำข้อมือแน่นขึ้น หล่อนรู้สึกกลัวขึ้นมาเสียแล้ว ยืนหันรีหันขวางจะมองหาคนช่วยก็ไม่มีใครอยู่แถวนั้นนอกจากลูกค้า เสียงเปียโนจากนักดนตรีประจำดังขึ้นกลบบทสนทนาในที่สุด

           “นั่งคุยเป็นเพื่อนผมก่อนสิ จะคิดค่าชั่วโมงก็ได้นะ...เท่าไหร่ก็เรียกมาได้เลย”

           “ดิฉันไม่ใช่เด็กนั่งดริ้งค์ ถ้าคุณจะมาหาความสำราญแบบนั้นควรไปที่อื่นดีกว่าค่ะ” แทนดาวเริ่มโมโหที่อีกฝ่ายยังพูดจาลามเลียไม่หยุด

           “แล้วน้องไม่อยากไปหาความสำราญอย่างว่ากับผมเหรอ? ไปมั้ย...ผมให้ค่าขนม” ชายคนเดิมยังตื๊อและเริ่มที่จะหนักข้อขึ้น

           “ไม่ไป! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไอ้บ้า!” แทนดาวหมดความอดทนเลยใช้สมุดโน้ตเล่มหนาฟาดไปที่ใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยหนักๆหนึ่งทีเป็นจังหวะเดียวกับที่มือแข็งแรงดุจคีมเหล็กกระชากร่างบางให้ลงไปนั่งบนโซฟาพนักสูงที่สามารถบดบังสายตาของผู้คนแถวนั้นได้เป็นอย่างดี

           “ที่เล่นตัวนี่เพราะอยากอัพราคารึไง? เธอจะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามา หรือถ้าทำถูกใจผมเลี้ยงดูเป็นรายเดือนก็ยังได้” ชายคนนั้นเริ่มส่งมือไม้ลูบไล้ลวนลาม แทนดาวได้กลิ่นเหม็นคลุ้งของน้ำเมาจากลมหายที่ทำให้รู้สึกขยะแขยงบวกสะอิดสะเอียน ใบหน้าที่รกครึ้มไปด้วยหนวดเคราหยาบๆค่อยๆยื่นเข้ามาใกล้ใบหน้าของตน

           “ปล่อยนะ! ช่วยด้วยค่ะ...ช่วยด้วย!” ความตระหนกตกใจจนทำให้ไม่รู้ว่าจะแก้สถานการณ์อย่างไรดีจึงตัดสินใจร้องตะโกนและไม่ถึงสองวินาทีความช่วยเหลือที่ร้องขอก็มา

          “ไอ้ระยำ!” เสียงสบถดังลั่นลอยมาพร้อมๆกับมือที่กระชากคอเสื้อของชายแปลกหน้าจนตัวเกือบลอยขึ้นจากพื้น แล้วอึดใจต่อมาไอ้สารเลวคนนั้นก็ทรุดไปกองกับพื้นพร้อมๆกับเลือดสดๆไหลกบจมูก ได้ยินเสียงร้องจากคนที่เห็นเหตุการณ์แล้วจากนั้นคนอื่นๆก็พากันมามุงดูอยู่ห่างๆ

           “ไอ้เลว! กูจะกระทืบจนกว่ามึงจะสร่างเมา” ชลธีคำรามเสียงกร้าวแล้วทำตามที่พูดโดยไม่รีรอ ทั้งมือทั้งเท้าประเคนใส่คนที่นอนตัวงออยู่บนพื้น หน้าตาของเขาบูดบึ้งและเหี้ยมเกรียมที่สุด

           “ต๊ายแล้ว! เกิดอะไรขึ้น? ยัยพลูเป็นอะไรมั้ย!?” ปลายเดือนเห็นน้องสาวนั่งหน้าตื่นก็ปราดเข้ามาหา แทนดาวกอดพี่สาวไว้แน่นด้วยความตื่นกลัว

           “จับตัวมันไว้! แล้วตามตำรวจมาเดี๋ยวนี้” ชลธีสั่งพนักงานชายสองคนที่กำลังช่วยหิ้วปีกชายคนนั้นขึ้นมา พอแทนดาวเห็นสภาพหน้าตาบวมช้ำและมีเลือดไหลออกปากกับจมูกก็ยิ่งหวาดกลัวเลยร้องไห้ออกมาในที่สุด

           “ผู้ชายคนนั้น...เค้า...ลวนลามพลู” แทนดาวร้องบอกพี่สาว ปลายเดือนกอดปลอบก่อนจะรีบลุกตามชายคนนั้นที่กำลังถูกลากถูลู่ถูกังออกไป

           “น้องพลู! เป็นอะไรตรงไหนมั้ย?” พอจัดการยำสดคนขี้เมาเสร็จแล้วชลธีก็รีบเข้ามาดูอาการว่าที่คู่หมั้น สองแขนแข็งแกร่งกอดร่างเล็กเอาไว้แนบอกแล้วรีบพาขึ้นไปข้างบนเพื่อหลบสายตาสอดรู้สอดเห็นทั้งจากพนักงานและแขกที่มาพัก

 

           “แก...ไอ้เลว! กล้าทำบัดสีกับน้องสาวฉันรึ” ปลายเดือนตวัดฝ่ามือฟาดหน้าคนกระทำผิดเต็มแรง ชายคนนั้นหน้าสะบัดแล้วหันกลับมามองคนตบด้วยอาการงงๆ

           “นายสองคนรีบไปเรียกตำรวจตามที่เจ้านายสั่งสิ! เดี๋ยวฉันเฝ้ามันไว้เอง” ปลายเดือนสั่งเสียงเข้ม พนักงานชายสองคนรีบทำตาม พอสองคนนั่นออกไปแล้วหล่อนก็หันมาพูดกับชายหนุ่มตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

           “รีบไปซะ!” หล่อนพูดห้วนๆสั้นๆแล้วยื่นซองสีขาวให้ ชายคนนั้นเปิดดูแล้วทำหน้าไม่พอใจ

           “อะไรกัน! ผมโดนอัดน่วมขนาดนี้ไม่คิดจะเพิ่มค่ายาให้หน่อยเหรอ?” เขาถามเคืองๆ ปลายเดือนมองกลับอย่างไม่พอใจเช่นกันแต่ก็ยอมเปิดกระเป๋าหยิบธนบัตรส่งให้อีกปึกหนึ่ง

           “หวังว่าคงจะพอค่าทำแผล” ปลายเดือนพูดอย่างดูถูกทั้งน้ำเสียงและสายตาแต่ชายคนนั้นก็มิได้สนใจอะไรมากไปกว่าเงินเป็นฟ่อนในมือแล้วรีบออกไปจากตรงนั้นโดยเร็ว อันที่จริงหล่อนก็ไม่นึกว่าเหตุการณ์มันจะเลยเถิดถึงขั้นเลือดตกยางออก ไม่คิดว่าชลธีจะกลับมาทันเห็นเหตุการณ์แล้วลงไม้ลงมือคนหนุ่มเคราะห์ร้ายไม่ยั้งแต่ก็ยังดีที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้

           “พี่หมากอยู่ไหนคะ? เกิดเรื่องกับยัยพลูแล้วล่ะ...รีบมานะคะ” หล่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาพี่ชาย น้ำเสียงที่กรอกใส่เครื่องมือสื่อสารฟังดูร้อนรนตรงข้ามกับกิริยาเยื้องย่างใจเย็นที่เป็นอยู่ตอนนี้ พอวางสายก็เปิดดูคลิปวิดิโอที่บันทึกภาพเหตุการณ์เมื่อครู่อย่างพอใจจนอดยิ้มบางๆกับตัวเองไม่ได้

แต่...ปลายเดือนไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้สร้างความเคลือบแคลงใจให้กับเปรมยุตาที่กลับเข้ามาพร้อมชลธีและได้เห็นเหตุการณทั้งหมดรวมถึงบทสนทนาระหว่างหล่อนกับชายคนนั้น

 

           “น้องพลู...โธ่! มันไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้นแน่ใช่มั้ย?” ชลธีกอดร่างบางที่ยังคงสั่นเทาด้วยแรงสะอื้นแนบแน่น ฝ่ามืออบอุ่นลูบไล้ไปตามเนื้อตัวราวกับจะลบรอยที่ไอ้คนสถุลนั่นสัมผัสแตะต้องผิวพรรณบอบบางที่เฝ้าหวงแหนทะนุถนอม

“ตอนนั้นน้องพลูไม่รู้ว่านายคนนั้นกำลังเมา คิดว่าเป็นลูกค้ามาคุยด้วยก็เลยไม่ทันระวัง คิดไม่ถึงว่าเค้าจะ...ฮึก” แทนดาวพูดได้แค่นั้นก็หยุดสะอื้น ไม่อยากจะนึกภาพสะอิดสะเอียดที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตัวเองหมาดๆ

“พี่จะไปฆ่ามันเดี๋ยวนี้!” เขาทะลึ่งตัวขึ้นจะไปทำอย่างที่พูดจริงๆแต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน          

“ว่าไงนะ! นี่พวกแกปล่อยให้มันหนีไปได้ยังไง? เปิดกล้องวงจรปิดดูเดี๋ยวนี้ว่ามันออกไปทางไหน” ชลธีตวาดลูกน้องอย่างอารมณ์เสียเต็มที่เมื่อได้รับรายงานว่าคนก่อเรื่องอาศัยจังหวะเผลอหนีไปได้

“พี่ชลขา...น้องพลูกลัวจังเลย คิดไม่ออกเลยว่าถ้าพี่ชลไม่มาน้องพลูจะเป็นยังไง” แทนดาวบอกทั้งน้ำตา ชลธีมองร่างน้อยๆที่ยังสั่นสะท้านสลับกับดวงตาสดใสที่บัดนี้ถูกบดบังไปด้วยน้ำตาเอ่อนองและยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความตระหนกตกใจ

            “ไม่เป็นไรแล้วนะ...ลืมมันซะ หยุดร้องนะคะคนเก่ง” เขากดศีรษะเล็กเอาไว้แนบอกอีกครั้ง ริมฝีปากอุ่นจูบประทับตรงหน้าผาก ฝ่ามืออุ่นลูบหลังอย่างปลอบประโลม ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นไอ้คนชั่วช้าบ้าตัณหาที่บังอาจมาทำระยำอัปรีย์กับแทนดาวในที่ของตน

“คนเก่งของพี่ชล...หยุดร้องนะคะ พี่ชลเช็ดหน้าให้นะคะ” เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าบรรจงซับน้ำตาให้จนแห้งเหือด คนในอ้อมแขนหยุดร้องแล้วคงเหลือแต่อาการสะอึกสะอื้นเบาๆ นัยน์ตาสีเหล็กที่ยังลุกโชนด้วยอารมณ์โทสะกวาดตามองไปตามร่างกายหาร่างรอยที่อาจจะได้รับบาดเจ็บ

“น้องพลูขอโทษที่ทำให้พวกลูกค้าตกใจ” แทนดาวละล่ำละลักขอโทษขอโพยที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ใจก็กลัวว่าโรงแรมจะได้รับผลกระทบไปด้วย ถ้าหล่อนตั้งสติได้เร็วและใจเย็นกว่านี้อีกนิดก็คงหาทางเลี่ยงการปะทะชายคนนั้นได้

“ไม่ใช่ความผิดของน้องพลูสักนิดเดียว อย่าคิดมากนะครับ แล้วก็ลืมเรื่องนั้นให้หมด ให้ตายสิ...พี่จะทำยังไงดีให้น้องพลูหายตกใจ...ฮึบ” เขาช้อนร่างบางที่สั่นจากแรงสะอื้นขึ้นมานั่งบนตักอุ่น สองมือตระกองกอดร่างอรชรแนบแน่น แทนดาวเพียงแต่เอนซบศีรษะพิงอกหนาสองมือเล็กยกขึ้นโอบรอบคอของเขาอย่างต้องการที่พึ่งพิง ความรู้สึกตระหนกตกใจค่อยๆบรรเทาลงจากการปลอบประโลมจากเจ้าของวงแขนกำยำ

“มันจับมือ โอบไหล่ ลูบแขนแล้วก็จับแก้มด้วยค่ะ” แทนดาวกระซิบบอกกับอกอุ่น ดวงตาของชลธีเปล่งประกายร้อนแรงขึ้นวูบหนึ่งอย่างโกรธที่สุดแต่ก็อดกลั้นเอาไว้จนคนตัวเล็กรู้สึกได้ถึงอาการสั่นน้อยๆของวงแขนที่รัดตัวอยู่ เพียงเท่านั้นก็ทำให้ใจเสียเมื่อคิดไปว่าเขาคงจะรังเกียจเนื้อตัวที่ถูกจับต้องโดยคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าจนอยากจะผลักไสหล่อนเต็มทนแล้ว แต่ชลธีมิได้คิดเช่นนั้นแม้แต่น้อยเลย

“พี่แก้ไขเรื่องนี้ได้” ขาดคำร่างหนาก็ผ่อนอ้อมแขนออกนิดหนึ่งแล้วลูบมือไปตามไหล่และท่อนแขนเรียวไปมาอย่างแผ่วเบา มือนุ่มทั้งสองข้างถูกจับขึ้นมาประทับจุมพิตซ้ำไปซ้ำมา แทนดาวจ้องมองนัยน์ตาดุดันที่ตอนนี้อ่อนโยนลงขณะที่เจ้าของใบหน้าเข้มก้มลงมาประทับจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งแล้ววาดไปยังแก้มข้างหนึ่งสลับกับอีกข้างหนึ่ง แต่ละครั้งที่จมูกสัมผัสผิวอ่อนของพวงแก้มนิ่มก็จะฝังจมูกไว้อยู่นานหลายอึดใจกว่าจะถอนออก

“พี่ชล...” แทนดาวกระซิบเรียกชื่อเขาเบาหวิว

“สัมผัสที่น้องพลูจะจำได้...ต้องเป็นสัมผัสจากพี่คนเดียวเท่านั้น” ชลธีกระซิบตอบกลับเช่นกัน ใบหน้าคมเข้มอยู่ห่างเพียงคืบ แววตาที่อ่อนโยนอยู่เมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นหวานซึ้งพร้อมกับที่พวงแก้มของคนในอ้อมกอดเริ่มซับสีชมพูจางๆ ชลธีปล่อยให้ความเงียบและความอบอุ่นจากร่างกายของตัวเองช่วยปลอบโยนคนในอ้อมแขนให้สงบ จนผ่านไปพักใหญ่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องถี่ๆทำให้เขาต้องยกร่างเล็กวางลงบนโซฟาอย่างเดิมแล้วเดินไปเปิดประตู

“น้องพลู! เป็นไงมั่ง?” ทันที่ประตูห้องห้องเปิด เทียมภพก็วิ่งพรวดพราดเข้ามากอดน้องสาวคนเล็กที่นั่งหน้าตาแดงก่ำ ปลายเดือนนั่งลงขนาบอีกข้างหนึ่ง

 

“น้องพลูปลอดภัยดีค่ะ” แทนดาวบอกพี่ชายเสียงค่อยกลัวจะถูกดุอีกที่สร้างปัญหา

“น้องพี่...สุดที่รักของพี่ ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับหนูด้วย ตกใจแย่เลยสิเนี่ย...” เขากอดน้องสาวแน่นขึ้นแล้วหอมแก้มซ้ายขวาหนักๆ ตอนแรกที่ปลายเดือนเล่าเรื่องให้ฟังก็แทบจะคลั่งทีเดียว ยิ่งพอได้ดูคลิปวิอิโอก็ยิ่งร้อนรนจนแทบจะบ้า สังหรณ์ใจอยู่แล้วเชียวว่าวันหนึ่งต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับน้องสาวแน่ๆ

“สีผึ้งพาน้องพลูกลับบ้านไปก่อน พี่จะคุยกับไอ้ชลมันสักพัก” เขาสั่งน้องสาวคนรอง

“ค่ะ...กลับบ้านกันเถอะนะน้องพลู” ปลายเดือนช่วยเก็บข้าวของส่วนตัวของน้องสาว ก่อนจะออกจากห้องสาวน้อยยังมิวายห่วงว่าพี่ชายจะอาละวาดอะไรอีกหรือเปล่า

“น้องพลูกลับก่อนนะคะพี่ชล ขอบคุณมากค่ะสำหรับวันนี้” แทนดาวบอกลาด้วยน้ำเสียงเจือความกังวล ชลธีพยักหน้าและยิ้มให้น้อยๆ ทันทีที่น้องสาวทั้งสองออกไปเทียมภพก็สาวหมัดใส่เพื่อนรักเพื่อนแค้นแบบไม่ต้องพูดอารัมภบทใดๆ

“มึงเคยบอกไว้ว่าไง!? ไหนบอกว่าจะดูแลแทนดาวอย่างดี แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้นฮะไอ้ชล! กูเคยบอกแล้วนะว่า...ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับใบพลูนั่นหมายความว่าเป็นความผิดของมึง!” เทียมภพตะโกนก้องด้วยความโกรธทะลุเพดาน ถ้าเขาพกปืนมา...คนแรกที่จะยิงคือไอ้เดนนรกที่บังอาจมาทำจาบจ้วงกับน้องสาวที่รักปานแก้วตาดวงใจ ส่วนอีกคนที่จะปลิดชีพก็คือไอ้เพื่อนเคยสนิทที่ปล่อยปละละเลยจนทำให้น้องสาวต้องเจอกับเรื่องอุบาทว์เยี่ยงนี้

“มึงมานี่!” ชลธีลากคอเสื้อของคนที่พุ่งหมัดใส่ตนออกไปคุยที่ระเบียงเพราะไม่อยากให้ใครได้ยินเรื่องนี้อีก

“มึงคิดว่ากูอยากให้มันเกิดขึ้นเหรอ? ทุกครั้งที่แทนดาวมาทำงานก็สั่งทุกคนให้ดูแลเธอ ฉันเองก็ลงมาแอบดูเธออยู่บ่อยๆ แต่วันนี้แค่ไม่อยู่พักเดียวมันก็เกิดเรื่อง” ชลธีตวาดกลับอย่างเกรี้ยวกราดพอๆกัน

“ไอ้เดนนรกนั่น...ฉันสัญญาว่าถ้าเจอมันอีก...ฉันจะฆ่ามัน” เขาบอกอย่างเหี้ยมเกรียม

“ถึงยังไง...มันก็รับประกันไม่ได้อยู่ดีว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก” เทียมภพใจเย็นลงบ้างเมื่อรู้เหตุผล แต่ด้วยความเป็นพี่เขาคงไม่อาจทนหวาดระแวงและพะวงกับความปลอดภัยของน้องสาวถ้ายังให้มาทำงานต่ออีก

“แกก็รู้ตัวไม่ใช่เหรอว่าไม่สามารถดูแลใบพลูได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นฉันคงให้น้องทำงานต่อไปอีกไม่ได้ ฉันคงทนให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองไม่ได้!” เทียมภพบอกอย่างหนักแน่น ได้ยินเสียงชลธีถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องและกลับออกมาในไม่กี่นาทีพร้อมกับซองยาสูบ

“แกถามความสมัครใจของน้องพลูหรือยัง? แกไม่เห็นเหรอว่าน้องมีความสุขขนาดไหนที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ” ชลธีพูดเชิงขอร้องกลายๆพลางดึงมวนยาสูบออกมาจุดให้ตัวเองแล้วยื่นให้คนข้างๆบ้าง

“ฉันจะพูดกับน้องเอง แน่นอน...ยัยพลูไม่ยอมง่ายๆหรอก เธอต้องมาขอร้องแกให้ช่วยพูดกับฉันอีกแน่ หวังว่าแกคงเข้าใจในความเป็นห่วงของพี่ชายที่มีต่อน้องสาวนะ” เทียมภพถอนใจขณะพ่นควันขาวอมเทาลอยขึ้นไปในอากาศ ชลธีเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการให้ตนทำอะไร

“บางที...ฉันก็คิดเหมือนแกนะ ถ้าเป็นแก...ก็คงไม่อาจทำใจได้ถ้ามีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับน้องสาวอีก ฉันเองก็ห่วงและหวงเธอมากไม่แพ้แกหรอก...” สองหนุ่มหันมามองหน้ากันโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะเทียมภพที่ดูตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูด

“ความเป็นพี่ชายทำให้แกอยากปกป้องเธอจากอันตรายทั้งปวง ส่วนฉัน...อยากปกป้องแทนดาวจากผู้ชายทุกคนเพราะ...เธอเป็นผู้หญิงที่ฉันรัก!”

 

           เทียมภพนั่งหน้าเครียดอยู่ท่ามกลางวงล้อมของสมาชิกครอบครัวโดยมีน้องสาวคนเล็กนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของมารดา หล่อนไม่ได้ร่ำร้องเพราะยังตื่นตระหนกกับเหตุการณ์เมื่อหัวค่ำแต่ที่คร่ำครวญอยู่ตอนนี้ก็เพราะคำสั่งใหม่ของพี่ชายที่เหมือนกับสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ

           “ที่พี่ทำไปก็เพราะเป็นห่วงหนูนะ เห็นมั้ยว่าข้างนอกนั่นมีแต่อันตราย ใครจะไปคอยเฝ้าเราได้ตลอดเวลา” ตั้งแต่เทียมภพกลับมาถึงบ้านก็เพียรอธิบายเหตุผลให้คนเกิดทีหลังฟังอยู่เป็นสิบรอบเห็นจะได้

           “น้องพลูสัญญาว่าจะระวังตัวให้มากกว่านี้ อย่าห้ามน้องพลูเลยนะคะ” แทนดาวผละจากอ้อมกอดของมารดาเข้าไปเกาะแขนพี่ชายอย่างขอร้อง

           “มันก็ไม่ได้หมายความเราจะไม่เจออันตรายในรูปแบบอื่น ลองทบทวนดูดีๆ...วันแรกที่เราไปทำงานก็มอมเหล้าตัวเองเสียเมาแอ๋ ทิ้งช่วงห่างไม่ทันไรก็เกิดเรื่องอัปรีย์นี่อีก” เทียมภพนึกฉุนขึ้นมาอีกอย่างช่วยไม่ได้เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่น้องเจอมาสดๆร้อนๆ

           “คุณย่าดูสิคะ...ไอ้คนนั้นมันลวนลามยัยพลูใหญ่เลย โถ...น้องพี่” ปลายเดือนเปิดคลิปที่อ้างว่าได้มาจากพนักงานคนหนึ่งให้คุณลำเภาดูแล้วส่งต่อรอบวงจนครบทุกคน แทนดาวทำท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีก

           “ลบทิ้งไปซะสีผึ้ง น้องพลูต้องฟังเหตุผลของพี่นะคะ พี่รักหนูมาก...คงจะทนไม่ได้อีกแน่ถ้าเกิดเรื่องไม่ดีกับเราอีก พ่อแม่ พี่ คุณย่าเป็นห่วงเราแทบแย่” เทียมภพซับน้ำตาให้น้องสาวแผ่วเบา สงสารก็สงสารแต่เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของคนเกิดทีหลังเหนือสิ่งอื่นใด

           “ที่พี่เจ้าพูดก็มีเหตุผลนะเจ้าพลู ย่าว่าพักเรื่องทำงานไว้ก่อนเถอะนะ รอให้สอบเสร็จเรียนจบเสียก่อนแล้วค่อยไปหางานทำใหม่ให้เป็นเรื่องเป็นราว” คุณลำเภาสนับสนุนหลานชายตนโต นางเองก็เป็นห่วงหลานสาวคนเล็กในความที่ยังเป็นเด็ก เรื่องวุฒิภาวะหรือประสบการณ์ใช้ชีวิตยังมีน้อย ควรจะรอให้โตกว่านี้อีกนิดก่อนจะดีกว่าแล้วค่อยออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง

           “เชื่อพี่หมากนะคะน้องพลู...หนูต้องได้เล่นเปียโนที่หนูชอบแน่ๆ แต่ว่าตอนนี้หนูเรียนอย่างเดียวดีกว่า อีกไม่นานก็จบแล้ว...อดทนหน่อยนะคะ” มารดาปลอบบุตรสาว

           “ในเมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกันขนาดนี้แล้ว...น้องพลูค้านไปก็ไม่สำเร็จหรอกค่ะ” แทนดาวพูดงอนๆ

           “เมื่อไหร่เราจะเลิกเอาแต่ใจ แสนงอนและขี้ประชดเสียทีนะ แล้วอย่างนี้พี่จะกล้าปล่อยได้ยังไง” เทียมภพบ่นพลางลูบผมยาวอย่างแสนรัก

           “ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ ดูสิ...ลูกสาวคนสวยของพ่อหน้าตามอมแมมดูไม่ได้เลย” คุณเที่ยงธรรมบอกบุตรสาวที่ยังทำหน้าบึ้ง

           “ไปเถอะน้องพลู เดี๋ยวพี่เดินไปเป็นเพื่อน” ปลายเดือนประคองน้องสาวพาเดินขึ้นบ้านไป

           “พี่สงสารเราจริงๆแต่ว่าไม่รู้จะช่วยยังไง เฮ้อ...อดไปเล่นเปียโนแถมยังอดอยู่ใกล้ๆคุณชลเสียแล้ว...ทำใจเถอะนะจ๊ะ” แทนดาวมองหน้าพี่สาวอย่างไม่แน่ใจว่าต้องการให้กำลังใจหรือว่าอยากซ้ำเติมกันแน่

           “นอกจากจะดีใจที่น้องพลูไม่ได้อยู่ใกล้ๆพี่ชลแล้ว...พี่ผึ้งยังจะได้ประโยชน์อะไรกับเรื่องนี้อีก?”

           “หลายอย่างอยู่นะ เช่นว่า...คุณชลเค้าจะได้มีเวลาให้กับตัวเองในการพิจารณาว่าใครที่คบแล้วมีแต่ความสุขกายสบายใจ ในทำนองเดียวกัน...ใครที่คบแล้วเจอแต่ปัญหา” ปลายเดือนตอบอย่างอารมณ์ดีพลางช่วยแก้มัดผมเปียให้น้อง สองสาวจ้องมองกันผ่านเงาสะท้อนจากกระจก

           “ดูสิ...หน้าตาเราก็คล้ายๆกันนะ แต่ว่าความสามารถ ความคิด ความอ่านของเรามันต่างกันราวฟ้ากับนรกขุมที่เจ็ด พี่ว่านะ...ป่านนี้คุณชลเค้าคงนึกเปรียบเทียบแบบเดียวกันนี่แหละ” ปลายเดือนค่อยๆหวีผมยาวของน้องสาวอย่างเบามือแล้วในวินาทีเดียวกันก็ดึงกระชากจนหน้าหงาย แทนดาวร้องด้วยความเจ็บ

           “พี่บอกแล้วนะว่า...คุณชลเค้าไม่ได้คิดอะไรกับเธอลึกซึ้งแต่ว่าแค่หลงในความใสซื่อของเด็กสาวคนหนึ่งก็เท่านั้น ไม่ได้จริงจังนักหรอก...” แทนดาวจ้องมองพี่สาวด้วยประกายตาแห่งความโกรธ

           “วันนึงที่เค้าคิดได้ว่าอะไรที่คู่ควร...วันนั้นน้องพลูของพี่จะต้องเจ็บมากกว่าถูกดึงผมแบบนี้หลายเท่า เพราะฉะนั้นรีบทำใจเสียแต่วันนี้นะจ๊ะ” ปลายเดือนจัดผมยาวของน้องสาวให้เข้าที่เข้าทางเหมือนเดิมแล้วเดินนวยนาดออกไปอย่างอารมณ์ดี ขณะที่แทนดาวยังคงยืนนิ่งมองตัวเองในกระจก ภาพที่สะท้อนกลับมาคือภาพเด็กผู้หญิงที่รังแต่จะสร้างปัญหาจนเป็นกิจวัตร ผู้หญิงในกระจกคนนี้ไม่คู่ควรแม้แต่จะเดินเคียงข้างเขา

 

           แทนดาวขัดคำสั่งพี่ชายด้วยการมาที่โรงแรมในสัปดาห์ถัดมาโดยอ้างว่าจะมารับเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายแต่จุดประสงค์จริงๆคือการมาขอให้ชลธีช่วยกลับไปพูดโน้มน้าวให้พี่ชายยอมให้มาทำงานที่นี่ต่อ

           “ทำไมพี่ชลถึงใจร้าย! พี่ชลคนใจดีหายไปไหน?” แทนดาวตัดพ้อด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อคนเคยที่คิดว่าจะช่วยตนเองได้กลับสนับสนุนและเห็นด้วยกับพี่ชายเสียนี่

           “มีเหตุผลหน่อยสิใบพลู ที่พี่ตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วงนะ” ชลธีหมุนไหล่บางให้หันกลับมาเผชิญหน้าแล้วก็พบว่าดวงตาคู่สวยเอ่อล้นด้วยน้ำตาที่ในไม่ช้าก็พากันไหลลงมาอาบแก้ม เขายกมือปาดมันออกอย่างร้าวรานใจไม่แพ้กัน

           “แล้วไหนว่าอยากให้น้องพลูทำในสิ่งที่รัก? น้องพลูสัญญาว่าต่อไปนี้จะดูแลตัวเองดีๆ นะคะ...ให้น้องพลูทำงานต่อไปนะคะ” คนตัวเล็กขอร้องปนสะอื้น พยายามใช้ทั้งสายตาทั้งน้ำตาอ้อนวอน

           “คราวนี้พี่คงตามใจไม่ได้...เข้าใจพี่หน่อยสิครับ” ชลธียังยืนยันคำเดิม

           “ไม่ยอมตามใจหรือว่ากลัวใครบางคนไม่สบายใจกันแน่? ถึงยืนกรานที่จะขับไล่ไสส่งน้องพลู” แทนดาวเริ่มมีอารมณ์พาลเมื่อเขายังไม่ยอมเปลี่ยนใจ

           “ใครบางคนที่ว่ามันใครกันล่ะ? แล้วขับไล่ไสส่งนี่คืออะไร? ไปเอาความคิดนี้มากไหน?” คนฟังขมวดคิ้วอย่างตั้งคำถาม

           “พี่ชลเกรงใจพี่ปรางใช่มั้ย? ที่น้องพลูมายู่ที่นี่ พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็เลยได้โอกาสไล่น้องพลูไป!” สิ้นคำสารภาพคนตัวเล็กก็ยิ่งสะอื้นหนักขึ้น ชลธีส่ายหน้ากับความคิดที่ไม่มีเหตุผลของคนตรงหน้า

           “เฮ้ย!...ไปกันใหญ่แล้ว น้องพลูฟังนะครับ...เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับปรางเลย ไม่มีเหตุผลอะไรที่พี่ต้องไปเกรงใจเค้า แต่ที่ไม่อยากให้น้องพลูมาทำงานอีกก็เพราะว่าไม่อยากให้ต้องมาเสี่ยง” เขาหยุดนิดหนึ่งเพื่อซับน้ำตาของคนตัวเล็กที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหลั่งริน

           “พี่น่ะ...อยากให้น้องพลูมาอยู่ใกล้ๆทุกวินาทีด้วยซ้ำ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันทำให้พี่ห่วงเราแทบจะบ้า เกิดวันดีคืนดีมีไอ้ขี้เมาคนไหนมาลวนลามอีกจะทำยังไง? พี่เองก็ไม่ได้อยู่ด้วยตลอดเวลานะครับ พี่รู้สึกผิดมากที่ให้การดูแลน้องพลูไม่ดีแล้วก็ทนไม่ได้ที่จะให้ใครมาทำหยาบคายแบบนั้นกับน้องพลู” เขาทอดเสียงอ่อนโยนลงพร้อมๆกับที่อาการสะอื้นของคนตัวเล็กค่อยๆสงบ

           “แต่น้องพลูสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดี”

           “น้องพลูขา...ถึงจะดูแลตัวเองดีแค่ไหนแต่น้องพลูก็เป็นผู้หญิง เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พี่จะเอาหน้าไปพบลุงธรรมได้ยังไงในเมื่อดูแลลูกสาวเค้าไม่ได้ ได้โปรดเข้าใจพี่ด้วยนะคะ...คนสวย” เขาพยายามให้เหตุผลและปลอบประโลมไปในตัว

           “ก็ได้ค่ะ ในเมื่อพี่ชลไม่ไว้วางใจกัน น้องพลูไม่ทำงานที่นี่ก็ได้แต่จะไปหางานที่อื่นเอง” แทนดาวมองตาเขาอย่างตัดพ้อ ในเมื่อไม่อยากให้มาก็จะไม่มา

           “อย่าประชดกันแบบนี้ได้มั้ยครับ?” ชลธีดึงร่างบางเข้ามาหาตัวทำท่าจะกอดแต่คนตัวเล็กก็ฝืนตัวออกมาแล้วเดินสะบัดไปยืนริมหน้าต่าง

           “น้องพลูไม่ได้ล้อเล่นนะ จะทำจริงๆนะ...คอยดู”

           “ไม่เอาน่า...งอนแบบนี้ไม่น่ารักเลย ลองคิดดูสิ...ถ้าไปเจอคนเลวๆแบบนั้นข้างนอกน้องพลูจะจัดการยังไง? ใครจะมาช่วย? เอาอย่างนี้แล้วกัน...ถ้ามีโอกาสพิเศษพี่จะให้น้องพลูมาเล่นนะคะ” ชลธีเข้าสวมกอดจากด้านหลังพร้อมกับกดจมูกลงบนกลางกระหม่อมเบาๆ

           “อื้อ...ปล่อยเค้านะ”

           “ปล่อย...ปล่อย!” แทนดาวรีบสะบัดตัวออกแล้วจะเดินหนีก็เลยถูกอุ้มไว้ทั้งตัว ร่างอรชรถูกยกลอยขึ้นจากพื้นก็ดิ้นสุดฤทธิ์ มือก็ทุบตีแขนแข็งแกร่งที่รัดรึงร่างรัวๆ

           “สู้แรงพี่ได้เหรอ?” คนอุ้มถามอย่างท้าทายแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ มีร่างเล็กที่ยังดิ้นดุ๊กดิ๊กนั่งซ้อนบนตัก มือแข็งแรงรวบมือเล็กๆทั้งสองข้างไว้ด้วยมือเดียวโดยไม่ต้องออกแรงมาก

           “ปล่อยหนูนะ!” แทนดาวร้องบอกอย่างคนหมดทางสู้ นั่งสิ้นฤทธิ์อยู่บนตักกว้างนั่นเอง

           “ไม่ปล่อยหรอก...ก็หนูอยากดื้อนี่คะ คราวนี้จะตั้งใจฟังดีๆได้หรือยัง?” เขาบอกแกมบังคับ แทนดาวสะบัดหน้าไปทางอื่น ไม่อยากมองหน้าคนใจร้าย

           “เหตุการณ์วันนั้นทำให้พี่กลัว...กลัวว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก รู้มั้ย...พี่แทบคลั่งตอนที่ไอ้มนุษย์หื่นนั่นมันกอด มันจับต้องตัวน้องพลู แทบจะเอาปืนมายิงทิ้ง! เพราะพี่หวง...หวงไปหมดเลย ตลอดเวลาที่รู้จักกันพี่ทะนุถนอมเราขนาดไหนก็น่าจะรู้...” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลจนแทนดาวต้องหันกลับมาประสานสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงหาอาทรตามที่พูด ชลธีปล่อยมือน้อยๆให้เป็นอิสระแล้วเชยคางมนเข้ามาใกล้ๆจนได้ระดับพอดีกับจมูกโด่ง

           “แก้มซ้าย...” จมูกโด่งกดหนักๆลงไปตรงบริเวณนั้นแล้วสูดหายใจเข้าลึก แทนดาวตัวเกร็งแต่ก็มิได้หลบหลีก สองมือที่แต่แรกผลักไสก็เปลี่ยนไปขยุ้มอกเสื้อของอีกฝ่ายอย่างเผลอตัว

           “แก้มขวา...” ใบหน้าคมสันเปลี่ยนตำแหน่งไปสูดดมความหอมตรงแก้มอีกข้าง

           “หน้าผาก...” ริมฝีปากอุ่นเลื่อนขึ้นไปแตะตรงกลางหน้าผากนวลเนียนแผ่วเบา

           “ส่วนตรงนี้...” ปลายนิ้วอุ่นลากไล้ที่กลีบปากสีชมพูอ่อนขณะเดียวกันใบหน้าเข้มก็ขยับใกล้เข้ามาจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆรดรินที่ปลายจมูก ปลายนิ้วอุ่นจับคางเล็กให้แหงนเงยมากกว่าเดิมจนทำมุมพอดีกับริมปีปากหยักที่ค่อยเลื่อนมาใกล้ แทนดาวหลับตากลั้นหายใจรอคอยบางสิ่งบางอย่าง ความโกรธเคืองถูกกลบฝังไว้ด้วยอารมณ์ตื่นเต้นและอยากรู้ว่าอรรถรสแห่งจุมพิตที่เคยอ่านเจอในนิยายอยู่บ่อยๆมันจะเป็นเช่นไร

           “เว้นไว้ก่อนแล้วกัน แต่อีกไม่นานหรอก...” ชลธีผละใบหน้าออกห่างในนาทีสุดท้าย แทนดาวไม่รู้หรอกว่าเขาต้องใช้ความพยายามขนาดไหนในการหักดิบความต้องการของตัวเอง ทุกครั้งที่นึกถึงสัญญาที่ให้ไว้กับบิดาของหล่อนมันทำให้เขาต้องหยุดยั้งทุกการกระทำที่อาจจะนำพาไปสู่ความเกินเลย

           “ทุกอย่างที่พี่ได้สัมผัส...นั่นหมายความว่าตรงนั้นเป็นของพี่คนเดียว ไม่ว่าใครก็จะมาซ้ำรอยไม่ได้! หรือถ้าใครกล้า...นั่นก็เท่ากับว่าชีวิตมันถึงฆาตแล้ว!” เสียงของเขาฟังดุนุ่มนวลแต่ก็แฟงความเฉียบขาดอยู่ในที แทนดาวก้มหน้าซบกับซอกไหล่ด้วยความเขินอาย ชลธีปล่อยให้คนตัวเล็กอิงแอบอยู่อย่างนั้น ใจครุ่นคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นมันออกจะเกินไปหน่อยแต่ก็เพื่อความปลอดภัยของหล่อนเอง

         “ขอโทษนะคะ พอดีปรางมีเรื่องด่วนต้องให้ชลตัดสินใจตอนนี้” เสียงของเปรมยุตาที่มาพร้อมๆกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันทำให้สองร่างที่นั่งอิงซบกันอยู่รีบผลักออกจากกันในทันที แทนดาวรีบลุกขึ้นจากตักอุ่นไปหยุดยืนห่างๆ ส่วนชลธีมองคนที่เข้ามาโดยไม่เคาะประตูด้วยสายตำหนิอย่างแรง

           “น้องพลูรอก่อนนะ...อย่าเพิ่งไปไหน พี่ขึ้นมาแล้วต้องเห็นว่าเรายังอยู่ที่นี่นะ ไม่อย่างนั้น...เตรียมตัวไว้ได้เลย ไอ้ที่พี่บอกว่าจะ ‘เว้นไว้’ ก็จะไม่การยกเว้นอีกแล้ว” เขาทำเสียงขู่แต่นัยน์ตาระยับแล้วรีบเดินออกไป เปรมยุตาไม่ได้ตามออกไปทันทีแต่กลับเดินช้าๆเข้ามาหาสาวน้อยที่ยืนนิ่งอยู่ สายตาราบเรียบแต่แฝงแววเยาะหยันทำให้คนถูกมองเริ่มรู้สึกหนาวๆร้อนๆ

           “หวังว่าคงไม่ได้เข้ามาขัดจังหวะรื่นรมย์ของน้องพลูมากเกินไปนะคะ แต่มันมีงานด่วนจริงๆ” เปรมยุตาหยุดยืนกอดอกมองสายตาเรียบลึก

           “มันก็ไม่ได้มีอะไรนี่คะ” แทนดาวตอบอ้อมแอ้ม มือเย็นเฉียบกุมกันแน่น ในใจก็คิดว่าเปรมยุตาจะรู้สึกหรือคิดอย่างไรบ้างที่เห็นภาพความใกล้ชิดระหว่างตนกับชลธี

           “เหรอคะ? พี่เข้าใจนะคะว่าคุณหมากเค้าเลี้ยงน้องพลูมาแบบไข่ในหินจริงๆเลยอาจจะรู้สึกเก็บกดไปบ้าง พอเวลาได้อยู่ใกล้เพศตรงข้ามเลยไม่รู้ว่าควรจะวางตัวยังไงก็เลยเผลอเอาตัวไปวางบนตักผู้ชายเสียเลย” เปรมยุตายังคงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่ความหมายเจ็บลึก คนฟังเริ่มหงุดหงิดเล็กๆ

“แต่ก็ว่าไม่ได้หรอกค่ะ น้องพลูยังไม่เคยมีเพื่อนชายก็คงจะตื่นเต้นกับสัมผัสแปลกใหม่เป็นธรรมดา แหม...ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าคนที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบเข้มงวดเนี่ย...พอได้ออกจากบ้านพ้นหูพ้นตาผู้ปกครองแล้วจะแอบแรงได้เหมือนกัน แบบนี้...จะเรียกว่า ‘แอ๊บใส’ ได้มั้ยนะ?” เปรมยุตาตวัดเสียงห้วนในตอนท้าย แทนดาวมองกลับอย่างไม่พอใจที่โดนดูถูกเหยียดหยามแบบนี้

“แล้วตอนที่พี่ปรางมีแฟน...พี่ปรางวางตัวยังไงคะ? วางบนโต๊ะหรือวางบนเตียง?” แทนดาวย้อน กลับนิ่มๆแต่ก็เรียกโทสะจากอีกฝ่ายได้ทันที

“ปากเปราะเราะรายเหมือนกันนะคะ แต่ก็ดีค่ะ...คู่ต่อสู้ของพี่จะต้องเข้มแข็งเข้าไว้เพราะเวลาพ่ายแพ้จะได้ทำใจได้เร็ว” เปรมยุตาบอกเสียงกร้าว แววตาโกรธเกรี้ยวราวกับจะลุกเป็นไฟ

           “ถ้าจะแข่งแย่งผู้ชาย...น้องพลูขอถอนตัวค่ะ เพราะชัยชนะที่ได้มามันไม่น่าภูมิใจอะไร อีกอย่าง...เป็นคนไม่ชอบยึดติดกับอดีตค่ะ” แทนดาวเป็นฝ่ายเดินเข้ามาเปรมยุตาบ้าง ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันอย่างไม่เกรงกลัวใครจนคนที่เริ่มก่อนต้องเป็นฝ่ายเดินออกไปเองเพราะไม่อยากให้ชลธีรอนานจนเป็นที่สงสัย

           แทนดาวกัดปากจนเจ็บเพื่อข่มความโกรธ ไม่คิดว่าจะต้องมาปะทะคารมกับสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘แฟนเก่า’ ของว่าที่คู่หมั้น ไม่เข้าใจด้วยว่าเปรมยุตามาพูดเหน็บแนมตนแรงๆแบบนั้นทำไม แค่จะยั่วให้โกรธหรือต้องการแสดงความหึงหวงในตัวคนรักเก่า แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรมาดูถูกดูแคลนกันขนาดนั้น

 

           แทนดาวพยายามขับไล่ความโมโหออกไปจากจิตใจแล้วนั่งรออยู่ในห้องตามที่เขาสั่ง มือเล็กล้วงกระเป๋าถือหยิบซองค่าจ้างงวดสุดท้ายเปิดออกดูก็ต้องแปลกใจที่จำนวนเงินนั้นมากเกินกว่าจำนวนวันที่มาทำงาน ตามความเข้าใจนั้นลูกจ้างพาร์ทไทม์ไม่น่าจะได้รับเงินชดเชยต่างกับพนักงานประจำ ด้วยความสงสัยเลยลงไปถามแผนกบัญชีให้รู้เรื่อง

           “คุณเจี๊ยบใช่มั้ยคะ? พอดีดิฉันมีเรื่องจะถามค่ะ” แทนดาวเข้าประเด็นที่สงสัยทันทีเมื่อได้พบผู้จัดการแผนก

           “คุณชลเอาเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายมาให้ค่ะ แต่คิดว่าทางบัญชีคิดผิดหรือเปล่า? เพราะว่าดิฉันทำงานขาดไปหนึ่งวันแต่ยังได้เงินเต็ม ถ้าหากว่าจ่ายผิดก็จะคืนให้ค่ะ” แทนดาวยื่นซองนั้นให้ดู

           “อ๋อ...เรื่องค่าจ้างคุณแทนดาวต้องไปถามทางคุณชลเองค่ะ พี่เจี๊ยบ...เอ่อ...ทางการเงินไม่ได้เป็นคนจ่ายค่ะเพราะชื่อคุณแทนดาวไม่ได้เข้าระบบพนักงานเหมือนคนอื่น” เจ้าหน้าที่บัญชีอาวุโสตอบยิ้มๆ

           “ว่าไงนะคะ!? งั้นก็แสดงว่าเงินนี่เป็นของ...” แทนดาวตกใจกับคำบอกเล่าของคุณเจี๊ยบแล้วก็คิดทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วก็ตำหนิตัวเองว่าน่าจะเอะใจตั้งแต่แรกว่าทำไมครั้งแรกฝ่ายบุคคลถึงให้แค่กรอกใบสมัครที่ระบุเพียงรายละเอียดส่วนตัวโดยไม่ได้เรียกเก็บเอกสารอย่างอื่นเพิ่ม เวลารับเงินเขาก็เป็นคนเอามาให้ด้วยตัวเองโดยบอกแค่ว่าฝ่ายบัญชีฝากมา

           “คุณชลอาจจะให้ทิปพิเศษมั้งคะ? แหม...น่ารักจริงเชียว ให้ค่าขนมแฟนตั้งเยอะขนาดนี้ถ้าเป็นพี่เจี๊ยบนะ...รักตายเลยค่ะ” คุณเจี๊ยบหัวเราะคิกคักแต่คนฟังยิ้มไม่ออก

           “ขอบคุณมากนะคะ งั้นดิฉันไปก่อนนะคะ” แทนดาวเดินออกมาจากห้องนั้นด้วยความรู้สึกโกรธ ชลธีช่างสร้างเรื่องให้ประหลาดใจอยู่ได้เรื่อยๆจริงๆ พอกลับขึ้นมาที่ห้องก็เห็นคนชอบทำเซอร์ไพร้ส์ยืนทอดอารมณ์อยู่ตรงระเบียงด้านนอก แทนดาวล้วงเอาซองเงินออกมาแล้วเดินออกไปหา

           ชลธีขยี้มวนบุหรี่ที่ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่งกับที่เขี่ยพอสาวน้อยคนเดิมเดินใกล้เข้ามา ร่างสูงพาตัวเองเข้าไปใกล้แล้วยิ้มให้น้อยๆ

           “พี่นึกว่าจะหนีกลับไปแล้วนะเนี่ย อุตส่าห์วางแผนลงโทษไว้อย่างดีเชียว” น้ำเสียงของเขาเจือความขบขันขณะสังเกตปฏิกิริยาของคนตรงหน้าที่ยืนหน้าง้ำหน้างอ

           “มีอะไรอีกบ้างคะ? ที่ยังบอกน้องพลูไม่หมด” แทนดาวเดินเลี่ยงไปยืนพิงกำแพงระเบียง สายตาทอดมองออกไปยังทิวทัศน์เบื้องล่าง

           “น้องพลูพูดถึงอะไรล่ะ?” เขาเดินมายืนข้างๆกัน มือหนึ่งเอื้อมไปจับผมยาวที่สะบัดไหวตามแรงลม

           “ฮึ...รู้มั้ยว่าเมื่อกี้น้องพลูหายไปไหนมา?” คนตัวเล็กหันไปมองเขาด้วยสายตาโกรธขึ้ง ใบหน้าคมเข้มส่ายไปมาเพราะไม่รู้จริงๆ

           “น้องพลูลงไปที่ฝ่ายบัญชีมาแล้วก็ได้รับความกระจ่างว่าเงินที่ได้ตั้งแต่มาทำงานที่นี่คือเงินส่วนตัวของพี่ชล ไม่ใช่เงินที่ทางโรมแรมจ่าย” พูดจบก็สะบัดหน้าหนีและรวบผมไปพาดไหล่อีกฝั่งหนึ่งไม่ยอมให้เขาจับเล่นอีก

           “เหรอ...แล้วไงจ๊ะ?” เขาถามกลับอย่างไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร

           “นี่พี่ชลอย่ามาทำเป็นทองไม่รู้ร้อนนะ หลอกเค้าแล้วยังมาตีหน้านิ่งอีก” แทนดาวว่าโกรธๆ

          “อะไรเนี่ย...แล้วพี่ไปหลอกอะไร? ทำผิดอะไรอีกล่ะครับ?” เขาหัวเราะเบาๆขณะมองหน้าบึ้งๆของอีกฝ่าย

           “ยังจะมาทำไม่รู้เรื่องอีกนะ อย่างนี้ก็เท่ากับว่าค่าข้าว ค่าขนม ค่าของที่น้องพลูซื้อมันก็เหมือนพี่ชลใช้เงินตัวเองซื้อน่ะสิ” คนตัวเล็กต่อว่าต่อขานเป็นชุด

           “แล้วพี่โกหกตรงไหนล่ะ? ไม่เคยบอกเลยนะว่าทางโรงแรมเป็นคนจ้าง พี่บอกเองตลอดว่า ‘พี่จ้าง’ แล้วนายจ้างจ่ายเงินลูกจ้างมันผิดตรงไหนล่ะ?” เขาทำหน้าใสซื่อจนคนมองเกิดหมั่นไส้

           “อีกอย่างนะ...เงินนี่พี่ก็ไม่ได้ให้ฟรีๆ น้องพลูทำงานแลกมานะครับ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่อย่างที่น้องพลูซื้อให้พี่ก็เท่ากับว่าใช้เงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงตัวเองซื้อมันมา แล้วพี่ก็ประทับมากที่น้องพลูใช้มันอย่างมีคุณค่า ถึงจะเป็นจำนวนไม่มากแต่น้องพลูก็ยังรู้จักเก็บและแบ่งปันให้ผู้มีพระคุณ” น้ำเสียงของเขาจริงจังกว่าเดิมและไม่มีแววล้อเล่นอีกต่อไป ชลธีโอบบ่าคนตัวเล็กเดินกลับเข้าไปข้างในเพื่อหลบอากาศร้อนอบอ้าว

           “ถ้ารู้แต่แรกว่าพี่ชลเป็นคนจ่ายเงิน น้องพลูจะเรียกค่าตัวให้แพงกว่านี้สักห้าเท่า” ถึงอารมณ์โกรธจะเย็นลงแล้วแต่น้ำเสียงก็ออกจะฟังดูงอนๆ ชลธีหัวเราะเมื่อได้ยินแบบนั้น

           “ไม่เอานะคะ...หายงอนนะ จากนี้ไปพี่คงได้เจอเราน้อยลงก็คงจะ...คิดถึง แต่ไม่เป็นไร...รอให้สอบเสร็จเรียบร้อยแล้วจะพาไปเที่ยวบ่อยๆ” มือแข็งแรงจับมือนุ่มขึ้นมาพิจารณา มองแหวนทองสลักนามสกุลที่นิ้วกลางข้างซ้ายแล้วก็จับนิ้วนางที่อยู่ข้างๆกันขึ้นมา

           “รู้มั้ย? ว่าพี่กำลังนับถอยหลังรอเวลาที่จะได้สวมแหวนที่นิ้วนี้ให้น้องพลู” ริมปีปากหยักจรดลงบนข้อนิ้วนางข้างซ้ายพร้อมกับส่งสายตาหวานฉ่ำให้เจ้าของมือเรียวอย่างมีความหมาย เจ้าของนิ้วเรียวงามดั่งลำเทียนหันหน้าไปอีกทางหลบสายตาประกายระยับ เวลาเขาอยู่ในโหมดโหดก็ดูน่าเกรงขามจนไม่กล้าต่อกร แต่พอเวลาอยู่ในโหมดหวานซึ้งก็ทำให้รู้สึกฟินจนแทบจะฉีกหมอนขาด

           “พี่ชลไปทำงานต่อเถอะค่ะ เดี๋ยวน้องพลูก็ต้องกลับแล้ว อีกสักพักน้าตาลคงจะมาถึง” แทนดาวบอกแล้วค่อยๆชักมือกลับ ความอุ่นจัดยังประทับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย

           “อ้อ…พี่มีเรื่องจะบอกด้วย เมื่อกี้ที่ว่ามีงานด่วนคือทางเราได้รับเชิญให้ไปร่วมสัมมนาซีอีโอของผู้ประกอบการโรงแรมและที่พักอาศัย งานมีทุกปีแต่ปีนี้จัดที่อเมริกา พี่ต้องไปที่นั่นอาทิตย์นึง” เขาแจ้งข่าวที่เพิ่งได้รับรายงานมา

          “เหรอคะ? เดินทางวันไหนแล้วไปกันกี่คนคะ?”แทนดาวถามอย่างสนใจ

           “ต้นเดือนหน้าจ้ะ ที่ไปก็จะมีพี่กับกรรมการใหญ่อีกสองคน ระดับผู้จัดการก็จะมีฝ่ายรูมเซอร์วิส การตลาดแล้วก็ฝ่ายอีเว้นต์...ก็คือปราง” วลีสุดท้ายนั้นเบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะบอกแต่กลัวแทนดาวจะไม่สบายใจที่รู้ว่าตนต้องร่วมเดินทางไปกับอดีตคนรัก

           “.....” คนฟังนิ่งเงียบไปจนชลธีใจเสีย ดวงตาทรงอัลมอนด์มีแต่ความว่างเปล่า

           “ว่าไงคะ? คิดอะไรอยู่ บอกพี่ชลได้มั้ยคะ?” ชายหนุ่มจ้องใบหน้างามผุดผ่องที่คิ้วขมวดเข้าหากันนิดๆอย่างค้นคว้า

           “ก็...ไปทำงานให้สนุกก็แล้วกันค่ะ” ตอบแค่นั้นริมฝีปากบางก็เม้มเข้าหากันแน่น ชลธีลูบศีรษะเล็กแล้วโคลงเล่นไปมา

           “พี่ไปทำงานจริงๆนะ หนูต้องเชื่อใจพี่นะคะ เราเป็นแฟนกันแล้ว เวลามีอะไรข้องใจต้องคุยกัน อย่าคิดเองเออเองจะทำให้ไม่สบายใจเสียเปล่าๆ ถ้าไม่ติดว่าเรายังต้องไปเรียน...พี่พาไปด้วยแล้ว ถึงไอ้หมากมันจะฆ่าพี่ก็ยอม” เขาหยิกแก้มเนียนเบาๆจนเห็นรอยยิ้มจางๆส่งมา หวังว่าแทนดาวคงจะเข้าใจและเชื่อใจอย่างที่เขาบอกไว้

           “มันคือบทพิสูจน์บทแรกใช่มั้ยคะ?” แทนดาวคล้ายจะพูดกับตัวเองมากกว่าจะถามแต่คนฟังก็เข้าใจความหมายดี

           “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ น้องพลูก็จะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองว่าพี่เป็นคนยังไง ส่วนตัวหนูเองก็จะได้เริ่มเรียนรู้ที่จะไว้วางใจและเชื่อใจเพราะว่าต่อไปในอนาคตมันจะต้องมีเรื่องราวอีกมากมายเกิดขึ้นระหว่างเรา” ชลธีพูดจริงจังจนทำให้คนฟังต้องเก็บมาคิดไตร่ตรอง มันก็จริงอย่างที่เขาบอกนั่นล่ะ...ความห่างไกลจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดี

           “สงสัยน้าตาลจะมาถึงแล้วล่ะค่ะ” แทนราวรีบไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาพอดีแต่พอดูชื่อคนโทรที่ปรากฏหน้าจอก็ลังเลใจที่จะรับสายจนชลธีเองก็สงสัย

           “ว่าไงคะพี่อชิ?” แทนดาวกลืนน้ำลายลงคอย่างฝืนๆเมื่อต้องพูดชื่อนั้นออกไป ชลธีทิ้งตัวนั่งใกล้ๆคอยฟังบทสนทนาอย่างไม่ต้องคำนึงถึงมารยาท

           “อ๋อ...งั้นเหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวน้องพลูรีบลงไปเลย” แทนดาวพูดแค่นั้นก็กดวางสายแล้วมองคนที่นั่งหน้าหงิกอย่างหวาดหวั่น

           “พี่อชิมารออยู่ข้างล่างค่ะ วันนี้เค้าจะพาน้องพลูกับคุณพ่อคุณแม่ไปทานข้าวเย็นที่บางขุนเทียน ร้านอาหารทะเลของญาติที่บอกไว้เมื่อคราวก่อน คุณลุงชัยพ่อของพี่อชิก็ไปค่ะ ตอนนี้น้าตาลไปรับพ่อกับแม่ที่บ้านส่วนพี่อชิมารับน้องพลูที่นี่ค่ะ” คนตัวเล็กเล่าด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ ชลธีนิ่งสนิท กรามขบกันจนน่ากลัวว่าฟันจะแตก

           “ไปสิ...พี่ลงไปส่งนะ” เขาจูงมือคนตัวเล็กให้เดินไปด้วยกัน พอลงมาข้างล่างก็เห็นนายแพทย์อชิตะยืนรออยู่ตรงจุดประชาสัมพันธ์ไกลๆ

           “นี่ต่างหากล่ะ...บทพิสูจน์แรก” ชลธีบอกคนตัวเล็กด้วยเสียงห้าวลึก

          

           อชิตะมองมือที่เกาะกุมกันของทั้งคู่ด้วยสายตาราบเรียบ ริมฝีปากบางทรงเส้นตรงยกโค้งขึ้นจนเกิดรอยยิ้มที่ดูใจดีตามบุคลิกนายแพทย์ผู้แสนจะสุภาพอ่อนโยน วันนี้เขาไม่ได้สวมเสื้อกาวน์หรือเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงแลกสีดำอย่างเคยแต่สวมเสื้อยืดคอกลมสีเทากับกางเกงยีนส์พอดีตัวและเซ็ททรงผมชี้ไปชี้มาแบบที่นิยมกัน สลัดภาพหมอหนุ่มที่ดูภูมิฐานอยู่เสมอเป็นชายหนุ่มแสนสำอางคนหนึ่ง ก็คงจะมีเพียงแว่นตากรอบดำบนใบหน้าที่ยังรักษาลุคหมออชิตะคนเดิม

           “วันนี้จะพาน้องพลูไปทานข้าวเหรอครับ? ขยันจังนะครับ...ว่างจากตรวจคนไข้ก็พาแฟนคนอื่นไปเที่ยว” ชลธีกล่าวคำทักทายแสดงความประชดประชันเหน็บแนมแบบไม่มีกั๊ก สายตาของสองหนุ่มที่จ้องมองกันเหมือนเสือกับสิงห์ที่กำลังตั้งท่าเตรียมจะกระโจนใส่กันอย่างไรอย่างนั้น

           “ผมบอกอาธรรมไว้นานแล้ว พอดีวันนี้ว่างก็ถือโอกาสพาไป คงจะไม่มีอะไรเสียหายที่น้องพลูจะไปกับพ่อแม่ของเธอ” อชิตะตอบนิ่งๆ มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋าในท่าทางสบายๆ

           “หาทางเข้าเก่งนะครับ” ชลธีแค่นเสียงพูดกึ่งประชดกึ่งดูถูกแล้วหันมาทางสาวน้อยข้างตัว

           “น้องพลูไปกับคุณพ่อพี่ก็หมดห่วงว่าจะมีใครมาทำเกาะแกะรุ่มร่าม จำไว้นะครับ...บางคนที่ดูดีแต่บางทีก็อาจจะร้ายลึก...คนแบบนี้น่ากลัว” วลีสุดท้ายเขาหันกลับมามองบุรุษวัยเดียวกันที่ยังคงนิ่งฟังเฉยๆ

           “เราไปกันเถอะค่ะ พี่อชิจอดรถไว้ไหนคะ?” แทนดาวรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะกลัวจะเกิดการปะทะคารมกันหนักกว่านี้

           “อยู่ชั้นนี้แหละ ไปกันเถอะ” เขาพูดกับแทนดาวอย่างนิ่มนวลแต่ตามองอีกคนด้วยแววกระด้าง

           “พี่จะเดินไปด้วย” ชลธีรีบบอกเมื่อแทนดาวกำลังจะปล่อยมือที่กุมอยู่ อชิตะเดินนำออกไปยังอาคารจอดรถที่อยู่ในตึกเดียวกัน พอไปถึงก็มิวายที่คนขี้หวงจะแซะหนุ่มแว่น

           “กินข้าวกินปลาเสร็จแล้วก็รีบปล่อยตัวแฟนผมกลับบ้านไปกับพ่อแม่ของเธอนะคุณหมอ...ไม่ต้องใจดีพาไปที่ไหนต่อนะครับ เด็ก...ยังต้องเรียนหนังสือ” ชลธีปล่อยมือนุ่มนิ่มแล้วเปลี่ยนมากอดอกเพื่อป้องกันไม่ให้มือไม้เผลอไปฟาดหน้าอีกคนเข้า

           “ครับ...ผมทราบดีว่าจะต้องปฏิบัติยังไง จะไม่ทำให้เธอต้องอึดอัดหรือลำบากใจแน่นอน” เขาตอบอีกฝ่ายอย่างสุภาพแต่คนฟังกลับฉุนกึก

           “แล้วยังไง? พูดแบบนี้ก็แสดงว่าผมดูแลเธอไม่ดีงั้นสิ? หาเรื่องเหรอวะ?” มือที่กอดอกอยู่หลัดๆเปลี่ยนมาเป็นชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง อชิตะหน้าเปลี่ยนสีทันทีที่ถูกหาเรื่องมากเกินไปแล้ว

           “รีบไปกันเถอะค่ะ ป่านนี้คุณพ่อกับคุณแม่ออกมาแล้ว” แทนดาวเห็นท่าไม่ดีก็รีบห้าม

           “อย่าพาลสิ คุณจะมีปัญหาอะไรมากนักกับการที่ผมจะพาครอบครัวน้องพลูไปกินข้าว มันผิดศีลข้อไหนเหรอ? ก็ผมว่าง...ไม่มีภาระหรือพันธะใดๆให้ต้องกังวล” เสียงของอชิตะกระด้างขึ้นจนแทนดาวที่เพิ่งได้เห็นโหมดอารมณ์ของนายแพทย์หนุ่มคนนี้ยังรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง

           “แก! อย่าแม้แต่จะคิดนะ ไม่รู้สึกละอายใจมั่งรึไงวะ? ที่คอยตามหยอดผู้หญิงของคนอื่น” คราวนี้ชลธีผลักอีกฝ่ายจนเซไปพิงกับรถแล้วกดไหล่ข้างหนึ่งให้อยู่นิ่ง

           “แต่เท่าที่รู้...น้องพลูยังไม่ใช่ผู้หญิงของคุณ กรุณาใช้ศัพท์คำอื่นเรียกเธอให้สุภาพกว่านี้” อชิตะตะคอกลับรุนแรงไม่แพ้กันแล้วยันร่างหนาออกไป แทนดาวยกมือทาบอกตกใจกับการกระทำของพี่หมอผู้อ่อนโยนที่ตอนนี้ไม่มีภาพนั้นเหลือเลย

           “ได้...สงสัยร่างกายหมอต้องการธาตุดิน!” พอพูดจบชลธีก็เหวี่ยงกำปั้นหนักๆใส่กลางลำตัวของหมอหนุ่มจนทรุดลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้น

           “ว๊าย! พี่ชลอย่าค่ะ...อย่าทำพี่อชิ” แทนดาวรีบเข้าไปประคองคนที่นั่งกุมท้องเพราะคิดว่าอชิตะผู้ซึ่งนุ่มนิ่มนุ่มนวลขนาดนี้คงสู้รบปรบมือกับชลธีไม่ไหวแน่ แต่ไม่กี่นาทีถัดมาคนที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้นแล้วชกเปรี้ยงเข้าให้ที่กึ่งอกกึ่งคางคนที่เปิดเกมก่อนทำให้ฝ่ายนั้นหงายหลังลงไปนั่งเช่นกัน

           “ผมเคยบอกแล้วนะว่า...ถึงจะร้างบทบู๊มานานแต่ถ้าจำเป็นก็พร้อมชน” อชิตะท้ากลับอย่างไม่เกรงกลัว แทนดาวเอามือปิดปากกลั้นเสียงอุทาน

           “หยุดค่ะ! ทั้งคู่เลย ไม่งั้นน้องพลูจะไปจากตรงนี้เดี๋ยวนี้!” แทนดาวยืนคั่นกลางบุรุษเคยสุภาพทั้งสองแล้วโน้มตัวลงไปประคองชลธีให้ลุกขึ้นมา

           “พี่ชลจำคำที่บอกน้องพลูตอนอยู่ข้างบนไม่ได้แล้วเหรอคะ? น้องพลูแค่ไปทานข้าวกับครอบครัวเองนะคะ” แทนดาวเตือนสติคนที่กำลังโมโหหน้ามืด ชลธียกมือขึ้นเช็ดปากเช็คดูว่ามีเลือดออกหรือไม่

           “พี่ไว้ใจเราแต่ไม่ไว้ใจมัน!” เขาตวัดตาไปทางคู่ต่อสู้อย่างอาฆาต

           “หึ...คุณควรจะถามตัวเองก่อนว่า คุณเอง...ไว้ใจตัวเองได้แค่ไหนก่อนที่จะไม่ไว้คนอื่น!” อชิตะบอกเสียงเครียด มือยังคงลูบท้องบริเวณที่ถูกหมัดลุ่นๆอัดเอา

           “มึง!” ชลธีทำท่าจะเข้ามาซ้ำแต่มีแทนดาวยืนขวางไว้

           “พอแล้วค่ะพี่ชล! น้องพลูต้องไปแล้วนะคะ ให้ผู้ใหญ่รอนานๆมันไม่ดี ถึงแล้วจะโทรหานะคะ” แทนดาวรีบตัดจบแล้วก้าวขึ้นรถของอชิตะอย่างรวดเร็ว

           “ไม่ต้องห่วงนะ...ผมจะดูแลแทนดาวอย่างดี คุณรู้สึกยังไงกับเธอ...ผมก็รู้สึกไม่ต่างกันหรอก” หมอหนุ่มยิ้มเย็นพร้อมกับส่งสายตาถากถางให้คนอารมณ์ร้อน ชลธีกำหมัดแน่นหอบหายใจฮืดฮาดขณะมองสองคนนั้นออกไปจนลับตา

           “ถ้าแกอยากวอร์...ฉันก็จะวอร์กับแก ไอ้แว่น!” ชลธีอาฆาตแล้วรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์

           พอรู้ว่าคู่อริเบอร์สองมารับน้องสาวไปเทียมภพก็นั่งไม่ติด รีบโกยงานทุกอย่างสุมๆกันไว้แล้วคว้ากุญแจรถจะตามไปสมทบ เขาแวะโรงเรียนดนตรีบ้านตัวโน้ตเพื่อรับรมณ์นลินไปด้วยกันโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายยังมีสอนต่ออีกตั้งชั่วโมง รมณ์นลินต้องเดือดร้อนฝากฝังครูรุ่นน้องให้ดูแลเด็กๆแทน

           “คุณหมากจะรีบไปไหนคะ? นี่มันเพิ่งจะสี่โมงครึ่งโมงเอง นัดหกโมงครึ่งไม่เหรอคะ?” รมณ์นลินบอกคนใจร้อนที่ขับรถปาดซ้ายปาดขวาอยู่บนทางด่วนด้วยความเร็วเกินกฎหมายกำหนดอีกต่างหาก

           “ไม่ได้หรอก...เดี๋ยวไม่ทันมัน” เขาบอกเสียงเครียด ตาก็จับจ้องถนนเบื้องหน้าคอยหาช่องแซงคันอื่นจนเป็นที่น่าอกสั่นขวัญแขวน

           “ไม่ทันใครเหรอคะ?” รมณ์นลินงงเพราะว่าวันนี้พี่ชายตัวเองก็ไม่ได้ไปด้วยเลยมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้หมายถึงชลธีแน่

           “ไอ้หมอคิมโดฮันไง” เทียมภพตอบเร็วๆ เขาจำชื่อนี้มาจากน้องสาวที่เคยบอกว่าอชิตะหน้าคล้ายตัวละครในซีรีย์เกาหลีที่ชื่อคิมโดฮัน

           “ชื่อพิลึกนะคะ ลูกครึ่งเหรอ?” รมณ์นลินยิ่งงงหนักเพราะไม่รู้จัก

           “ผมจะบอกอะไรให้นะ ตอนนี้นอกจากไอ้ตุ๊กตาสิงห์หน้าโบสถ์พี่ชายคุณแล้วเนี่ย...ยังมีไอ้หมอแว่นพิศวงที่มันเคยจีบคุณอยู่พักนึงเข้ามาร่วมแจมศึกชิงน้องสาวผมด้วย” เทียมภพอธิบายสั้นๆแล้วกดคันเร่งลงอีกเพื่อแซงรถซุปเปอร์คาร์ข้างหน้า

           “ขับช้าจังนะมึง...รถแพงซะเปล่า เออ...แต่รถกูแพงกว่าว่ะ โทษที” ใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้านสบถเบาๆแล้วหันมายักคิ้วให้รมณ์นลินที่นั่งเอามือทาบอกหายใจไม่ทั่วท้องที่คนข้างๆขับรถได้น่าหวาด เสียวเหลือเกิน

           “คุณหมออชิตะน่ะเหรอคะ?” รมณ์นลินเดาอยู่ครู่หนึ่งก็แน่ใจว่าน่าจะเป็นนายแพทย์หนุ่มคนนี้ที่กำลังถูกพาดพิง

           “ใช่! มันน่ะตัวดีเลย มาเงียบแต่เคลมไวใครก็ตามไม่ทัน นี่ถ้าไอ้ชลไม่โทรมาถามผมว่าจะไปรับยัยพลูที่ธาราหรือเปล่า...ก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้แว่นอาราเล่มันไปฉกตัวน้องถึงโรงแรม” เขาโพล่งออกมาอย่างกราดเกรี้ยว คนฟังขำนิดหนึ่งกับฉายาที่อีกฝ่ายใช้เรียกนายแพทย์หนุ่มผู้นอบน้อมคนนั้น แต่ก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่าพี่ชายหึงขนาดแอบเนียนโทรมาฟ้องเพื่อนแค้น

           “คุณก็เลยรีบตามไปเนี่ยนะ โธ่เอ๊ย...ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากังวลเสียหน่อย พ่อแม่คุณก็ไปด้วยไม่ใช่เหรอ?”

            “พ่อกับแม่ผมน่ะ ท่านเห็นว่าไอ้แว่นอาราเล่มันเป็นลูกเพื่อนสนิทก็เลยไม่คิดอะไร มันฉลาดมั้ยล่ะ? เอาความสนิทสนมของรุ่นพ่อแม่มาใช้เป็นบันไดปีนขึ้นห้องยัยพลู!” เขาว่าอย่างเหลืออด

           “พูดจาน่าเกลียด คุณหมอเค้าไม่มีวันทำแบบนั้นหรอกค่ะ” หล่อนมั่นใจในความเป็นสุภาพบุรุษของ อชิตะเต็มเปี่ยม ที่พูดรับรองเขาได้เต็มปากก็เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาได้สักระยะหนึ่งก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าอชิตะจะมีนิสัยเจ้าชู้ประตูดินหรือทำกิริยาที่ไม่ให้เกียรติเพศตรงข้าม

           “ฮึ...ว่าได้เหรอ ทีแรกผมก็คิดว่ามันจะเคลมคุณ ที่ไหนได้...กลับซ้อนแผนเอากระชอนค่อยๆตักยัยพลูแทน” เขาทำเสียงฮึดฮัดอยู่ในลำคอ รมณ์นลินผ่อนลมหายใจยาวกับความคิดอันไม่พึงประสงค์ของคนข้างๆ

           “คนบ้า! เคลมเคลิมอะไรเล่า แล้วน้องพลูก็ไม่ใช่ลูกน้ำนะที่จะเอากระชอนช้อนขึ้นมาน่ะ” รมณ์นลินทุบไหล่ให้ปึ้กหนึ่งอย่างหมั่นไส้เหลืออดเว็บขีดเขียน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา