ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  39.20K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

21) ตอนที่ 20 หนึ่งภาพแทนล้านคำพูด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ตอนที่ 20 หนึ่งภาพแทนล้านคำพูด
 
                “คุณตามไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ แกกำลังช็อก...พูดอะไรไปก็คงไม่ยอมรับฟังหรอกค่ะ” เปรมยุตาจับแขนเขาแล้วลูบเบาๆ ชลธีปลดมือนั้นออกไม่คิดว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้
                “โอย...จะบ้าตาย” เขายกมือกุมขมับทำท่าเหมือนจะตายไปเสียจริงๆ ในเมื่อแทนดาวเห็นภาพชัดเจนขนาดนี้แล้วเขาก็ไม่มีคำแก้ตัวใดๆอีก เปรมยุตามองภาพนั้นอย่างร้าวราน ชลธีแคร์เด็กคนนั้นมาก
                แทนดาวหลบมายืนใช้ความคิดตรงมุมหน้าร้านที่ตอนนี้ลูกค้าบางส่วนเริ่มทยอยกลับ อชิตะยังคงนั่งรออยู่ด้านใน ฉากจุมพิตแสนหวานเหมือนที่บรรยายไว้ในนิยายที่ได้ไปเห็นเข้าโดยไม่ตั้งยังติดตา มีคำถามหลายข้อที่ต้องการคำตอบ ข้อแรกเลยทำไมชลธีถึงได้อยากหมั้นกับตนเองทั้งๆที่มีแฟนอยู่แล้ว ไอ้ที่อ้างว่าอยากรับผิดชอบต่อคำครหาที่เกิดขึ้นตอนไปตรังนั้นฟังดูไม่สมเหตุสมผลเสียแล้ว ทำแบบนี้มิถูกนินทาหนักกว่าเดิมหรือว่าหน้าไม่อายไปแย่งแฟนเขา!
                “น้องพลู...พี่อธิบายได้นะครับ” ชลธีตามมาจนได้ หน้าตาและเสียงเคร่งเครียดมาก
                “อธิบายอะไรล่ะคะ? น้องพลูไม่ได้ข้องใจอะไรนี่ เคยได้ยินมั้ยคะ? A picture is worth a thousand words หนึ่งภาพแทนล้านคำพูด” ประโยคเยือกเย็นและคำเปรียบเปรยที่คมกริบยิ่งกว่ามีดโกนจำให้คนฟังเจ็บกว่ายิ่งกว่าถูกตบหน้า
                “มันไม่ใช่อย่างที่เห็นนะ โอเค...ตอนนี้น้องพลูยังโกรธอยู่ คงจะยังไม่อยากฟังพี่”
                “โกรธ? เรื่องอะไรคะ?” คนตัวเล็กแค่นเสียงถามจนอีกฝ่ายเริ่มขัดกับกิริยาประชดประชัน
                “มานี่!” เขาดึงคนตัวเล็กเดินออกไปที่เทอเรซด้านนอก
                “เอ๊ะ! อะไรกันอีกล่ะค่ะ เวลาแบบนี้พี่ชลยังจะมีอารมณ์มาเจาะแจ๊ะกับผู้หญิงคนอื่นอีกหรือ? เดี๋ยวพี่ปรางมาเห็นเธอจะฉีกอกน้องพลูเอาโทษฐานที่ไปยุ่มย่ามกับคนรักของเธอ!” ตนตัวเล็กต่อว่าอย่างไม่เกรงกลัวหน้าท่าทางดุดันของคนที่ยืนยื้อยุดตนอยู่ขณะนี้
                “ปรางไม่ใช่คนรักของพี่! เข้าใจเสียใหม่นะ” เขาย้ำหนักแน่น
                “หรือคะ...สมัยนี้เนี่ย คนเป็นเพื่อนกันเค้าเฟรนซ์คิสกันดูดดื่มขนาดนั้นเชียวหรือ?” คนตัวเล็กแสร้งถามใสซื่อ ชลธีดึงแขนคู่นั้นให้เข้ามาประชิดตัวทันที
                “รู้หรือว่าเฟรนซ์คิสเค้าทำกันยังไง?” คนตัวสูงพูดคล้ายกระซิบ ท่าทางแข็งกร้าวเมื่อคู่เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงทันทีเมื่อได้อยู่แนบชิดคนตัวเล็ก ตอนนี้คนในอ้อมแขนเกิดกลัวขึ้นมาดื้อๆ ไอ้เฟร้นซ์คงเฟร้นซ์คิสอะไรนั่นไม่รู้หรอกว่าจริงๆมันเป็นยังไง แค่จำมาจากนิยายเอาไว้ใช้เก๋ๆ
                “ปล่อยเถอะค่ะ พี่ชลควรจะกลับไปหาพี่ปรางดีกว่า” ร่างเล็กผลักไสคนตัวสูงให้ออกห่าง“ไม่! ไม่มีเหตุผลอะไรที่พี่ต้องกลับไปหาเค้า ที่พี่ต้องการตอนนี้คืออธิบายสิ่งที่น้องพลูเห็น” เขายังดึงดันและเผลออกแรงบีบแขนคนตัวเล็กแรงขึ้น
                “ปล่อยเธอ!” เสียงห้าวลึกมาจากอชิตะที่ก้าวเข้ามาเห็นเหตุการณ์
                “เรื่องนี้...ผมขอคุยกับใบพลูเป็นการส่วนตัว คุณหมอช่วยรอสักครู่หรือจะกลับไปก่อนก็ได้ ผมจะไปส่งเธอเอง” ชลธีบอกเสียงห้าวแสดงความไม่พอใจชัดเจน
                “คงไม่ได้ นั่นคุณกำลังทำให้เธอเจ็บนะ...ปล่อย!” หมอหนุ่มดึงตัวแทนดาวออกมาด้วยความฉุนเฉียวขัดกับนิสัยสุภาพในยามปรกติ ชลธีมองหญิงสาวที่ถูกแย่งตัวไปด้วยความเดือดดาล
                “พี่อชิ...พาน้องพลูกลับบ้านนะคะ” คนตัวเล็กบอกด้วยเสียงสั่นเครือ ไม่เท่านั้นแขนเล็กทั้งสองข้างยังยกขึ้นมากอดแขนข้างหนึ่งของหมอหนุ่มแน่นคล้ายต้องการความปลอดภัย ชลธีมองภาพนั้นด้วยความโกรธจนระงับไม่ได้อีกต่อไป
                “แทนดาว มานี่...เดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงเย็นเยียบแต่ทรงอำนาจทำให้คนถูกสั่งยิ่งตัวสั่น หล่อนไม่เคยเห็นชลธีอยู่ในโหมดโกรธเกรี้ยวเช่นนี้มาก่อน สายตา สุ้มเสียงรวมถึงสีหน้าฉาบไปด้วยความเย็นชาแต่มีแววอำมหิตน่ากลัวซ่อนอยู่
                “คุณไม่มีสิทธิ์บังคับเธอ ไปกันเถอะน้องพลู” อชิตะโอบไหล่คนตัวเล็กไว้หลวมๆจะพาเดินกลับไปแต่ยังไม่ทันพ้นก้าวที่สามคนเลือดร้อนก็กระชากไหล่เขาจนเซ
                “น้องพลูจะไปกับคุณไม่ได้ เธอเป็นคู่หมั้นของผม!” เขาฉุดมืออีกข้างของแทนดาวจนตอนนี้กลายเป็นบุรุษสองคนยื้อยุดแขนหล่อนคนละข้าง
                “ผมจะไม่ปล่อยให้น้องพลูอยู่ตามลำพังกับคนที่กำลังหน้ามืดเด็ดขาด ปล่อย!” อชิตะออกแรงผลักอกคนกำลังโมโหจนเซถอยไปก่อนจะพาร่างน้อยที่เริ่มมีเสียงสะอื้นออกไปจากตรงนั้นโดยเร็ว ชลธีกัดฟันด้วยความโกรธ
                “จะเล่นนอกบทมากเกินไปแล้ว ไอ้หมอ!”
 
“น้องพลู...โอเคหรือยัง?” อชิตะเอ่ยถามเมื่อเห็นแทนดาวยังคงนั่งซึมไม่พูดไม่จาผิดกับตอนมาที่ร่าเริงมาก
                “น้องพลูรู้สึกเพลียค่ะ แล้วก็รู้สึกแย่ที่ทำให้พี่อชิต้องมาเจออะไรแบบนี้” แทนดาวหลับตาลง ภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่ทำให้เครียดและใช้ความคิดมากมายจนเพลียไปจริงๆนั่นแหละ
                “พี่ไม่รู้ว่าน้องพลูกับเค้าผิดใจกันเรื่องอะไร แต่พี่ทนไม่ได้ที่เห็นเค้าใช้กำลังบังคับน้องพลูแบบนั้น” อชิตะเสียงเข้มนิดหนึ่งเมื่อนึกภาพชลธียืดยุดคนตัวเล็กทำราวกับจับตุ๊กตา
                “ให้พี่เดินเข้าไปส่งนะ” อีกพักใหญ่รถยนต์ของหมออชิตะก็เทียบจอดอยู่หน้าบ้าน หมอหนุ่มทำท่าจะลงจากรถ
                “ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่นี้ก็เกรงใจพี่อชิจะแย่ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะสำหรับวันนี้” หล่อนยกมือไหว้เขาแล้วเดินเข้าบ้านด้วยอาการหงอยๆ สาวน้อยรีบขึ้นห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมานั่งคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดกับตัวเองวันนี้ เออหนอ...ตอนเย็นยังมีความสุขอยู่แท้ๆแต่ค่ำก็เกิดเรื่องไม่น่าอภิรมย์ ชีวิตคนเรานี่มันไม่แน่นอนจริงๆ
อชิตะกระทืบเบรกดังเอี๊ยดเมื่อถูกปาดหน้ากระชั้นชิดจนแทบจะหัวคะมำ ยังดีที่เข็มขัดนิรภัยทำงานได้อย่างว่องไว รถยนต์สัญชาติอิตาลีสีเทาเข้มจนเกือบดำที่ขับปาดก็หยุดกะทันหันจนเกิดรอยล้อบดถนนเป็นเส้นยาวเช่นกัน เจ้าของรถตรากระทิงเปลี่ยวจอดพาหนะขวางไว้อย่างนั้นแล้วก้าวลงมาด้วยอาการร้อนรน
“ผมมีเรื่องจะตกลงกับหมอ” ชลธีกระชากประตูฝั่งคนขับของคู่กรณีออกอย่างเร็วแล้วรีบแจ้งจุดประสงค์ อชิตะพ่นลมหายใจเพื่อระงับความโกรธที่อีกฝ่ายเล่นแรงขนาดนี้
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ผมคิดว่าทุกอย่างมันชัดเจนอยู่แล้วนะ” หนุ่มแว่นบอกด้วยเสียงที่บังคับให้นิ่งที่สุด
“ชัดเจนรึ? ใช่มั้ง...ก็ความสนิทสนมของหมอกับใบพลูมันชัดเจนขนาดนั้นไงล่ะ ผมเลยต้องตามมานี่ ผมว่าหมอควรจะเอาใจใส่คนไข้ของตัวเองอย่างเดียวก็พอ ใบพลูไม่ได้ป่วย ไม่ต้องดูแลเอาใจใส่เธอขนาดนั้นก็ได้” ชลธีบอกเสียงกระด้างพลางจ้องหน้าหมอหนุ่มอย่างเอาเรื่อง
“ผมบอกแล้วว่าทำไปตามหน้าที่ ผมเป็นคนพาเธอไปก็มีหน้าที่ต้องดูแลให้ดี แล้วผมถามหน่อย...คุณเป็นคู่หมั้นประสาอะไรถึงกล้าทำให้เธอเสียใจได้ขนาดนั้น?” ชลธีเงียบกริบ โทสะที่ข่มไว้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นที่โดนอีกฝ่ายต่อว่า
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน และผมกำลังพยายามจะอธิบายให้เธอเข้าใจ แต่คุณไม่ควรเข้ามายุ่ง! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราทะเลาะกัน ผมรู้หรอกว่าควรจะปฏิบัติกับเธอยังไง” เขาเถียงคอเป็นเอ็น
“งั้นหรือ? แต่ถ้าเป็นผม...จะไม่ฉุดกระชากแล้วก็เสียงดังใส่ว่าที่คู่หมั้นในที่สาธารณะ” อชิตะหยุดนิดหนึ่งเพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้คิด
“ถึงจะหึงจะหวงมากแค่ไหนก็จะเก็บอารมณ์ไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนั้นแน่!” อชิตะตอกกลับอย่างเหลืออดทำให้เขื่อนเก็บโทสะของคนฟังแตกทันที เขาผลักอกหมอหนุ่มจะเซไปปะทะรถยนต์ที่จอดอยู่ อชิตะปัดมือข้างนั้นออกอย่างแรงเหมือนกัน
“ผมร้างเรื่องชกต่อยมานานแล้ว แต่ถ้าถึงเวลาจำเป็นก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ” อชิตะบอกอย่างโกรธเกรี้ยว ชลธีขบกรามแน่น
“ถ้ามีครั้งที่สอง ผมจะไม่ทน!” เขาพูดทิ้งท้ายอย่างเหี้ยมเกรียมเช่นกันก่อนจะขับเคลื่อนเจ้ากระทิงดุคู่ใจพุ่งทะยานหายไปในความมืด
 
เทียมภพขึ้นมาดูน้องสาวที่ยังไม่ลงไปทานอาหารเช้าด้วยกัน ตอนแรกให้แป๋มไปตามก็พบว่ายังหลับอยู่แต่นี่ก็เกือบเก้าโมงแล้วซึ่งผิดวิสัยคนนอนตื่นเช้า คนตัวเล็กนั้นล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยนั่งเล่นแท็บเล็ตอยู่บนเตียงเงียบๆ ในอ้อมแขนกอดเจ้าเปื่อยส่วนเจ้าหมีโคอาล่ากับจิงโจ้นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นคนละทิศละทาง ดวงตาทรงอัลมอนด์ทอดประกายอ่อนล้าขณะอ่านทวนข้อความในไลน์ที่คุยสั้นๆกับชลธีเมื่อคืน
 
Chon:    I’m Sorry
BaiPlu: For what?
Chon:     Everything
BaiPlu:  Nothing!  A picture is worth than a thousand word
 
 “อ้าว...พี่นึกว่าเรายังไม่ตื่น ทำไมไม่ลงไปกินข้าวล่ะคะ วันนี้มีข้าวต้มกุ้งของโปรดของหนูด้วยนะ?” แทนดาวรีบปิดจอแท็บเล็ตเมื่อพี่ชายเข้ามาในห้อง เทียมภพยื่นหน้าไปจุ๊บหน้าผากเนียน พลางสังเกตว่าหน้าตาของน้องสาวดูซีดเซียวกว่าเดิม
                “ยังไม่ค่อยหิวเลยค่ะ สงสัยเมื่อวานซัดไปเต็มเหนี่ยว นี่ยังตื้ออยู่เลยค่ะ” น้องสาวตอบเลี่ยงไปอย่างนั้นเอง ที่ไม่อยากกินอะไรเพราะยังติดใจเรื่องเมื่อคืนมากกว่า
                “ว่าแล้วเชียว เออ...เป็นไงมั่งล่ะ? งานเมื่อวานสนุกมั้ยคะ?”
                “ก็สนุกดีค่ะ อาหารอร่อยมาก...รสชาติเหมือนไปนั่งกินที่ญี่ปุ่นเลย” น้องสาวพยายามทำเสียงให้ร่าเริง
                “พี่หมากขา...” แทนดาวโผกอดคอพี่ชายด้วยอยากถ่ายทอดความอัดอั้นตันใจที่มี เทียมภพสัมผัสได้ถึงอาการหงอยเหงาของน้องสาวก็แปลกใจ
                “วันนี้เป็นอะไรหืม? ทำไมน้องสาวแสนซนของพี่หมากดูซึมๆจังคะ?”
                “รู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆยังไงก็ไม่รู้ค่ะ สงสัยจะเครียดเรื่องทำปริญญานิพนธ์มากไป” คนตัวเล็กยังบ่ายเบี่ยงที่จะพูดความจริง ตัดสินใจแล้วว่าเรื่องนี้ต้องไม่รู้ถึงหูพี่หมากเด็ดขาด ไม่ใช่เพราะกลัวว่าพี่ชายจะตามไปยำคนที่ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจอยู่อย่างนี้แต่เพราะหล่อนไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโกรธเขา การที่ชลธีจะมีคนรักมันก็ไม่แปลกแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเอ่ยปากขอหมั้นทั้งๆที่ตัวก็ไม่โสด
                “โธ่เอ๊ย...นึกว่าเป็นอะไร เอาน่า...ทนอีกเดียวนะคะคนเก่ง เอางี้...เดี๋ยวอาทิตย์หน้าพี่จะลางานซักสองวันแล้วเราไปเที่ยวประเทศใกล้ๆดีมั้ยคะ? อยากไปไหนล่ะ...สิงคโปร์ เวียดนามหรือบาหลีกันอีกสักรอบดีมั้ย?” แทนดาวได้ฟังก็น้ำตารื้น พี่หมากทำเพื่อหล่อนได้ทุกอย่างแต่ตัวเองกลับตอบแทนความรักอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยการทำท่าซังกะตายมัววิตกกังวลเรื่องของคนอื่นงั้นหรือ
                “ช่วงนี้ยังไม่อยากไปไหนไกลเลยค่ะ ห่วงเรียน...”
                “โอเค...งั้นลงไปกินข้าวซะหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะได้ไปเยี่ยมลูกชายคนล่าสุดของเฮียเบิ้มกัน” เทียมภพดันตัวน้องสาวออกนิดหนึ่งก่อนจะบอกข่าวดีที่แทนดาวต้องร้องออกมาด้วยความดีใจ
                “ซ้อใหญ่คลอดแล้วหรือคะ? ว้าว! ได้ลูกชายเพิ่มอีกคนแล้วสิเฮียเบิ้ม คราวนี้บ้านไม่พังก็ให้มันรู้ไป” เทียมภพขยี้ผมน้องสาวด้วยความเอ็นดู คนที่เซื่องซึมอยู่เมื่อกี้เปลี่ยนท่าทีเป็นลิงโลดจนตามไม่ทัน
               
ชลธีอ่านข้อความที่โต้ตอบกันในไลน์ด้วยความรู้สึกหดหู่ไม่ต่างกัน แม้จะพยายามเตือนตัวเองว่าให้ใจเย็นๆแต่ก็ต้านความร้อนรุมอยากจะพูดคุยแบบซึ่งหน้ากับแทนดาวไม่ไหว เรื่องวันนั้นเขาไม่ผิดสักนิดเดียว อยู่ดีๆเปรมยุตาก็เข้ามาหาและจู่โจมชนิดที่ไม่ทันตั้งหลัก แต่คงเป็นจังหวะที่แสนเลวร้ายที่เผอิญแทนดาวมาเห็นเข้าเสียก่อนแล้วรีบหนีไปโดยไม่อยู่ฟังคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น พอจะตามไปคุยให้รู้เรื่องก็ต้องเจอกับอชิตะที่ตั้งปราการขัดขวางเต็มที่ทั้งๆที่ธุระไม่ใช่ เขาตัดสินใจลองโทรศัพท์หาคนเข้าใจผิด ครั้งแรกไม่รับ สองก็ยังไม่รับ จนครั้งที่สาม
“มีอะไรคะพี่ชล?” เสียงที่กรอกมาตามสายนั้นฟังดูเยือกเย็นชอบกล
“ขอบคุณครับที่รับโทรศัพท์ ถ้าวันนี้พี่ไม่ได้คุยกับน้องพลูล่ะก็คงนอนไม่หลับ”
“น้องพลูว่าน่าจะตรงกันข้ามนะคะ หลับฝันดีล่ะไม่ว่า” หญิงสาวประชดซึ่งคนฟังรู้ตัวดี
“จะไม่ให้พี่อธิบายอะไรเลยเหรอ?” เขาทอดเสียงออดอ้อนพลางคิดในใจว่าสาวน้อยที่กำลังสนทนาด้วยนี้นอกจากอารมณ์ร้ายเหมือนพี่ชายแล้วยังดื้อเหมือนกันอีกสิน่า
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นน้องพลูก็จะบอกว่าไม่ต้องเสียเวลาอธิบายหรอกค่ะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่ชล...น้องพลูไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่าย!” แม้จะคนพูดจะพยายามทำเสียงให้ดูห้วนแต่ก็ไม่อาจกลบเกลื่อนความสั่นของนำเสียงนั้นได้
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ...พี่ก็จะบอกอยู่นี่ไง มันไม่ได้มีอะไรมากเกินไปกว่าที่น้องพลูเห็นเลยนะครับ”
“น้องพลูไม่สนใจหรอกว่าพี่ชลมีอะไรตื้นลึกหนาบางยังไง...กับใคร...”
“ไม่สนแล้วทำไมต้องหนีออกมาด้วย”
“ก็...น้องพลูแค่ตกใจนี่คะ พี่ชลก็ลองคิดดูสิ...อยู่ดีๆก็เดินไปเจอฉากจูบโรแมนติกในที่รโหฐานแบบนั้น บอกตรงๆค่ะว่าน้องพลูอายแทน!” แทนดาวกระแทกเสียงตอบ คนต้นสายถึงกับอึ้งกับคำบริภาษนั้น
“พี่ไม่ได้ตั้งใจให้ทันเกิดขึ้นนะครับ จะพูดยังไงให้เราเข้าใจดีนะ” ชลธีจะบอกว่าเปรมยุตาเป็นฝ่ายกระทำทั้งหมดก็ไม่ได้เพราะไม่ใช่วิสัยลูกผู้ชายอย่างเขาที่จะโยนความผิดให้ผู้หญิงเสียหายแต่ถึงจะพูดความจริงไปแทนดาวก็คงยังไม่เชื่ออยู่ดี ก็หล่อนย้ำนักย้ำหนาว่าหนึ่งภาพแทนล้านคำพูด
 “พอเถอะค่ะ น้องพลูไม่อยากฟังเรื่องเพื่อนรักเพื่อนพิศวาสนี่แล้ว เรื่องแบบนี้ไปหาดูในละครหลังข่าวก็ได้ ส่วนเรื่องหมั้นของเรา...ยกเลิกเถอะค่ะ น้องพลูยังไม่รู้จักพี่ชลเลยสักนิดเดียว อย่าทำให้น้องพลูต้องรู้สึกเหมือนถูกผูกมัด ยิ่งพี่ชลมีแฟนอยู่แล้วก็ไม่ควรสร้างกระแสรักสามเศร้าอีก ในละครมันสนุกแต่ในชีวิตจริงมันไม่สนุกนะคะ”  เสียงของชลธียังคงดังแผ่วๆมา หญิงสาวกดวางสายพลางถอนใจยาว
“ทำไมพี่ชลถึงมีความลับซ่อนเอาไว้มากมายอย่างนี้นะ ถ้าขืนดันทุรังหมั้นหมายกันแล้วจะไปรอดหรือ?”
หลังจากวันนั้นชลธีก็ติดต่อแทนดาวไม่ได้อีก ไม่ยอมรับสาย ไม่ตอบไลน์ ส่งดอกไม้ไปให้ก็ถูกส่งกลับมาทุกที เขาจึงรู้ความเคลื่อนไหวของคนแสนงอนจากปากน้องสาวกับเชคสเตตัสในแต่ละวันบนเฟสบุ๊คของหล่อน จนความอดทนของเขาสิ้นสุดลงเมื่อยังติดต่อคนตัวเล็กไม่ได้เป็นวันที่สาม จึงตัดสินใจบุกไปที่บ้านเสียเลย
“มาแล้วเหรอชล ไปนั่งคุยกับลุงที่ห้องเถอะ” คุณเที่ยงธรรมเดินออกมาทักทายชายหนุ่ม ที่เมื่อวานได้โทรบอกท่านว่าจะมาเยี่ยมเยียน
“ไม่แน่ใจว่าลุงแท้บอกหรือยังว่าเราชนะประมูลส่งเฟอร์นิเจอร์หวายให้โรงแรมเจ็ดดาวที่ดูไบ ล้มคู่แข่งจากสิงคโปร์ได้สวยๆ” เขาแจ้งข่าวดีกับคุณเที่ยงธรรมที่ยิ้มแย้มออกมาด้วยความดีใจ
“เค้าบอกลุงตั้งแต่เมื่อวานซืน โทรรายงานสดมาจากดูไบเลย ขอบใจคุณชลจริงๆ นี่ก็คงจะกลับมาถึงคืนนี้”
“เรื่องนี้ผมทำคนเดียวไม่ได้หรอกครับ หมากเองก็มีส่วนสำคัญ” เขาให้เครดิตศัตรูอย่างไม่ตะขิดตะขวง จริงอยู่ว่าการยื่นซองประมูลที่ดูไบคราวนี้ต้องฟันฝ่าอุปสรรคหลายอย่าง เขาเองก็ต้องใช้ทั้งเครดิต เงินและอาศัยเส้นสายบ้างกว่าจะเข้าถึงงานนี้ได้ ส่วนคู่ปรับอย่างเทียมภพก็เป็นคนติดต่องานทุกอย่างเอง บินไปบินมาในช่วงเวลานั้น
“หมากเค้าเป็นคนเอาจริงเอาจังเวลาทำงาน เรื่องลุยต้องยกให้เค้า” คุณเที่ยงธรรมพูดถึงบุตรชายคนโตด้วยความภาคภูมิใจ  ตอนแรกท่านคิดว่าจะฝากฝังทวีกิจไว้กับลูกคนนี้ไม่ได้เสียแล้ว เพราะตอนเป็นวัยรุ่นนั้นทั้งเกเร ไม่สนใจเรียน ไม่เอางานเอาการอะไรสักอย่าง ได้แต่ใช้เงินไปกับการเที่ยวเตร่และซื้อของฟุ่มเฟือย กว่าจะพัฒนามาเป็นเทียมภพที่เอาการเอางานก็เมื่อจบมหาวิทยาลัยแล้ว
 “อ้าวแก...มาทำไม?” คำทักทายแสนจะเป็นมิตรมาพร้อมกับร่างสูงของเทียมภพผู้แสนสุภาพ เขาเห็นรถยนต์คุ้นตาแวบๆก็จำได้เลยต้องรีบมาต้อนรับ
 “ชลโทรมาบอกพ่อแล้วว่าจะมา กำลังคุยเรื่องยื่นซองประมูลที่สกายแอร์พอดี อ้อ...น้องสาวเราไปไหนล่ะ รู้หรือเปล่าว่าคุณชลเค้ามา?” เทียมภพหูผึ่ง คิ้วขมวดตาขวางขึ้นมาทันที
“ยัยพลูทำรายงานอยู่บนห้อง ผมไม่ต้องการให้ใครไปรบกวน!” เทียมภพโวยวายลั่น แม่บ้านที่อยู่แถวนั้นเลยค่อยๆย่องเข้ามาดูเหตุการณ์ใกล้ๆว่าเกิดอะไรขึ้น
“ลงมาทักทายแป๊บเดียวจะเป็นไรไป” คุณเที่ยงธรรมพยายามกล่อมบุตรชาย
“ไม่ได้ครับ! ผมไม่ให้พบ” บุตรชายยังยืนกรานเสียงแข็ง คุณเที่ยงธรรมหันมามองชายหนุ่มอีกคนอย่างอ่อนใจ
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าเธอยุ่งผมก็ไม่อยากกวน” ชลธีปรายตามองมาทางคนหาเรื่องนิดหนึ่ง อย่างระอาในความไร้เหตุผล
“หมาก...มันจะเป็นไรไป เค้าเป็นคู่หมั้นกันนะลูก” คุณเที่ยงธรรมพยายามไกล่เกลี่ย
“แค่ ‘ว่าที่’ เท่านั้นครับพ่อ ตอนนี้ยัยพลูยังอยู่ในความปกครองของผมเพราะงั้นผมมีสิทธิ์ที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ใครพบเธอก็ได้”
“พี่ชลมีอะไรกับพลูหรือคะ?” ทั้งคู่หยุดการวิวาทย่อยๆในทันทีเมื่อคนที่ถูกพาดพิงเดินเข้ามา สีหน้าราบเรียบของหล่อนทำให้ชลธีถึงกับใจหาย
“น้องพลูลงทำไมเนี่ย? ทำไมไม่ทำการบ้านต่อ”
 “ใครจะไปมีสมาธิล่ะคะ เสียงโหวกเหวกดังไปถึงข้างบน” หญิงสาวบ่น
“เพราะแกคนเดียว” เทียมภพรีบโยนความผิดให้ผู้มาเยือนทันที
“ไม่ต้องไปโทษคนอื่นเลยนะ น้องพลูได้ยินแต่เสียงพี่หมากตะโกนอยู่คนเดียวนั่นแหละ” เท่านั้นเทียมภพจึงเงียบกริบแต่ยังไม่วายแอบบ่นเบาๆ “ก็มันหาเรื่องก่อน”
“พี่เค้ามาเยี่ยมพ่อน่ะลูก แล้ววันจะไปไหนหรือเปล่า?”
“ผมว่าจะพาน้องพลูไปกินข้าวข้างนอก เชิญคุณพ่อกับเอ่อ...คุณชลธีเถอะครับ” เทียมภพรีบตอบให้ น้องสาวมองหน้าพี่ชายตาดุ
“วันนี้น้องพลูไม่อยากออกไปไหนค่ะพี่หมาก ว่าจะไปช่วยคุณย่าทำขนมปั้นสิบ” พูดจบก็เดินออกไป ทิ้งให้ชลธีมองตามอย่างอาวรณ์แล้วอย่างนี้จะไปอธิบายอะไรได้
“เห็นแล้วใช่มั้ยว่ายัยพลูไม่ว่าง ดีใจด้วยนะ” พอได้โอกาสก็รีบผสมโรงตอกย้ำความผิดหวังของเพื่อนรัก แล้วคนตัวโตก็เดินผิวปากจากไปอย่างอารมณ์ดี
“ไม่เป็นไรครับ งั้นผมลากลับก่อนก็แล้วกัน” เขายกมือไหว้คุณเที่ยงธรรมก่อนจะเดินกลับไปที่รถด้วยความผิดหวัง แทนดาวคงโกรธเขามากถึงไม่ยอมแม้แต่จะมองหน้า หลายวันที่ผ่านมาได้แต่จมอยู่กับความมัวหมองในหัวใจ ไม่คิดว่าแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งจะมีอิทธิพลมากมายขนาดนี้ สาบานเถอะ...ทั้งชีวิตนี่เอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้เสมอ แต่ทำไมถึงเอาชนะใจคนตัวเล็กแสนงอนนี่ไม่ได้เสียที
 
วันนี้แทนดาวมารอพี่ชายที่ทวีกิจเพราะมีนัดว่าจะไปรับประทานมื้อค่ำด้วยกัน หญิงสาวใช้เวลาระหว่างรอเดินสำรวจอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพราะตั้งแต่บิดาประกาศรีไทร์ตัวเองและเปลี่ยนผังองค์กรใหม่ก็ไม่ได้เข้ามาที่นี่อีกเลย ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม จะมีก็แต่ห้องๆหนึ่งที่เหมือนเพิ่งต่อเติมใหม่ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจจนต้องหยุดอยู่กับที่เห็นจะเป็นป้ายหน้าห้องที่เขียนว่า ‘ชลธี ธาราพิศุทธิ์’ รู้มาว่าเขาจะมาที่นี่แค่สัปดาห์ละครั้งเพื่อประชุมบอร์ดบริหาร วันอื่นๆก็นั่งประจำที่โรงแรม ความอยากรู้อยากเห็นที่อยู่เหนือคำว่ามารยาททั้งปวงทำให้ถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป
                แทนดาวลอบยิ้มกับตัวเองเมื่อทั้งห้องว่างเปล่า ม่านหน้าต่างรูดปิด ไฟก็ปิด มั่นใจได้ว่าวันนี้เจ้าของห้องไม่อยู่แน่ ภายในห้องดูใหม่สะอาดตาและเป็นระเบียบดูดีมีสไตล์ แม้จะไม่ใหญ่โตโอ่โถงเท่าห้องของบิดาหรือตอนนี้เป็นของพี่ชายไป ไม่รกเรื้อเหมือนรังตุ่นอย่างของเทียมภพ ซึ่งฝ่ายนั้นพอใจที่สุมเอกสารทุกอย่างไปทั่ว พอจะหาทีก็ต้องเกณฑ์ผู้ช่วยมารื้อค้น
บนโต๊ะทำงานมีกรอบรูปไม้สักตั้งอยู่ ในรูปเป็นครอบครัวของเขาทั้งหมด ชลธียังดูเป็นวัยรุ่นส่วนรมณ์นลินก็เหมือนยังอยู่ในวัยมัธยม แทนดาวอมยิ้มเมื่อเพ่งดูใบหน้าอันนิ่งเฉยอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชลธี
“คนอะไร? ร้อยอารมณ์ในหน้าเดียว” คนตัวเล็กใช้นิ้วจิ้มที่ใบหน้านั้นแล้ววางกรอบรูปลงอย่างเดิม
                “เอ...อย่างนี้จะเรียกว่าขโมยได้หรือเปล่าน้า...” แทนดาวสะดุ้งจนเกือบปัดกรอบรูปตกแตกเมื่อเจ้าของห้องตัวจริงมาแอบยืนเงียบกริบอยู่กลางห้อง
                “อุ๊ย!...คุณชลอยู่ที่นี่ด้วยหรือคะ?” น้ำเสียงตกใจและสรรพนามที่ใช้เรียกฟังดูแปร่งๆแต่เจ้าของห้องยังคงยืนนิ่งหน้าตาไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
                “อ้าว...ก็นี่ห้องพี่” เขาตอบเรียบๆ
                “แต่วันนี้ไม่มีประชุมบอร์ดนี่คะ” คนตัวเล็กรีบเดินออกมาให้ห่างโต๊ะทำงานแสดงให้รู้ว่าไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับข้าวของเขานะ
                “เค้าเลื่อนมาเป็นวันนี้” คนร่างสูงสาวเท้าเข้ามาใกล้ๆ แทนดาวยังคงตกใจเลยไม่ได้ถอยหนี
                “อ้อ...แต่จะว่าไปตอนนี้คุณชลธีก็เป็นเจ้าของที่นี่ด้วย จะมาหรือไม่มาวันไหนก็ไม่ใช่สาระสำคัญ” หล่อนประชด ชลธีถอนหายใจด้วยความระอา
                “ทำไมชอบพูดแบบนี้ ที่นี่เป็นของน้องพลู...ไม่ใช่ของพี่” เขาขยับใกล้เข้ามาอีกนิด แทนดาวถอยหลังไปจนติดผนังอีกด้านพยายามบีบตัวให้เล็กที่สุด คนชอบแกล้งกลั้นหัวเราะกับกิริยาท่าทางนั้นก่อนจะเปลี่ยนใจไปนั่งตรงโซฟา
                “มานั่งนี่มา” เขาเชื้อเชิญให้มานั่งด้วยกันแต่กลับโดนคนถูกเชิญเชิดใส่
                “ไม่ค่ะ! ดิฉันจะออกไปแล้ว” คนตัวเล็กตอบห้วนๆพลางสะบัดหน้าไปทางอื่น
                “ไม่นั่งก็ไม่นั่ง” แล้วเขาก็ต้องเป็นฝ่ายลุกเดินไปหาอีกครั้ง พอใกล้จะถึงตัว คนที่บอกอยู่เมื่อกี้ว่าไม่นั่งกลับวิ่งแผล็วมานั่งที่โซฟา ทำให้คนที่มองอยู่เริ่มหมั่นเขี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย
                “น้องพลูครับ...พี่หาโอกาสที่จะพบน้องพลูได้ยากมาก ได้โปรดเถอะ...เลิกกวนพี่สักสามนาทีได้มั้ย?” คำขอร้องแกมอ้อนวอนทำให้คนตัวเล็กหยุดอาการรั้นที่กำลังทำอยู่
                “ก็ดิฉันกำลังจะออกไปอยู่นี่ไง จะได้ไม่มีคนกวน” คำตอบยังห้วนเหมือนเดิม ไม่ได้สำนึกเลยสักนิดว่าตนเองแอบบุรุกเข้ามาในนี้ ชลธีนั่งลงตรงโซฟาใกล้ๆกันและกวาดตาดูให้แน่ใจว่าไม่มีของแข็งใดๆอยู่ใกล้มือพอให้หล่อนหยิบฉวยมาเขวี้ยงใส่ให้หัวแตกอีกรอบ
                “พี่อยากขอโทษเรื่องวันนั้น และอยากอธิบายให้น้องพลูเข้าใจ”
                “ดิฉันไม่ติดใจแล้วค่ะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณชล” แม้จะบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลงแต่สีหน้าก็ยังคงหน้าบึ้งตึง
                “ฟังพี่อธิบายสักนิดนะครับ...คนดี” เขาทอดเสียงออดอ้อนขอความเห็นใจจนคนถูกอ้อนต้องนิ่งฟังโดยดี พร้อมที่จะบันทึกทุกถ้อยคำลงในหน่วยความจำ      
                “พี่จะไม่แก้ตัวและขอยอมรับว่าวันนั้นพี่จูบกับปรางเค้าจริงๆ อย่างที่เห็นนั่นแหละ” ชลธียอมรับเต็มปาก แทนดาวกัดปากตัวเองแน่น รู้สึกชาตั้งแต่หัวจรดเท้า
                “ค่ะ...เห็นชัดเจนเป็นภาพสี่มิติขนาดนั้นถ้าคุณชลยังบอกว่าเป็นภาพลวงตาอีก เห็นทีดิฉันต้องไปตัดแว่นมาใส่” แม้ในใจจะร้อนรุมสักแค่ไหนแต่ก็ยังคงพยายามบังคับเสียงให้เย็นชามากที่สุด
                “ใช่...เราจูบกัน แต่น้องพลูครับ...มันไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปกว่านี้”
                “ก็ไม่รู้สิคะ...คุณชลจะแค่จูบหรือเกินเลยไปอีกนิดหน่อยมันจะเป็นไรไป คนเป็นแฟนกันนี่นะ ดิฉันไม่เก็บเอามาคิดมากหรอกค่ะ” คนตัวเล็กยังคงรักษามาดหยิ่งยโสได้ดี
                “ไม่คิดมากแล้วทำไมต้องงอน?”
                “ไม่ได้งอน!”
                “น้องพลูนี่ปากแข็งที่หนึ่งเลย” เขาย้ายไปนั่งโซฟาตัวเดียวกันโดยเร็ว แทนดาวตกใจกระเถิบหนีแต่ถูกคว้าข้อมือไว้ได้ก่อน
                “ปล่อยนะ! คนฉวยโอกาส” หล่อนตีมือที่ยุดตนอยู่ดังเพี๊ยะแต่เจ้าของมือไม่ยอมปล่อย
                “พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่อยากให้น้องพลูฟังพี่ให้จบก่อน” แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น อาการดีดดิ้นเริ่มรุนแรงขึ้นจนเขาต้องออกแรงกดร่างเล็กนั้นไว้
                “คนเห็นแก่ตัว! มีแฟนอยู่แล้วยังมาตีเนียนเกาะแกะคนอื่น”
                “พี่กับปรางไม่ได้เป็นแฟนกันซะหน่อย”
                “ไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วจะจูบกันได้ยังไง?” คนตัวเล็กยังไม่หยุดอาการสะบัดสะบิ้ง
                “ฟังดีๆนะ...อย่าเพิ่งเถียง พี่กับปราง...พูดง่ายๆคือเราเคยเป็นแฟนกันมาก่อนแต่ว่านั่นก็นานเกือบจะสิบปีมาแล้ว จริงอยู่ว่าทำงานที่เดียวกันอาจจะมีบางจังหวะที่ต้องใกล้ชิดกัน แต่พี่รู้ตัวดีว่าความสัมพันธ์ของเราไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก เพราะว่าตอนนั้น...เราจากกันแบบ...ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่” ชลธีหยุดไปครู่หนึ่ง แทนดาวสังเกตเห็นความร้าวรานปรากฏชัดในดวงสีเหล็กคู่นั้น มันดูเจ็บปวดและทุกข์ทรมานจนคนมองยังใจหาย
                “สิ่งที่เหลืออยู่ระหว่างเราตอนนี้คือคำว่าเพื่อน” เขาหยุดเล่าเมื่อรู้สึกถึงก้อนแข็งๆมาอยู่จุกที่คอ แทนดาวเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่าได้วางมือข้างหนึ่งลงบนแขนของเขาและบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ
                “แล้ววันที่น้องพลูเห็น...เรา พี่เองก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอกแต่นั่นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่พี่ให้ปรางได้ ที่จริงแล้ว...หลังจากงานเลี้ยงคืนนั้นปรางก็รู้ว่าพี่จะไม่กลับไปหาเค้าอีกแล้ว” แทนดาวหน้าสลดลงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อฟังเรื่องราวจนจบ ยิ่งรู้สึกอยากจะล้วงลึกเข้าไปในตัวตนของคนข้างๆมากขึ้น ชลธีมีความลับซุกซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆของชีวิตมากมายเหลือเกิน
                แทนดาวหวนนึกถึงคำสอนของพี่ชายที่ว่า ‘ความรักจะยั่งยืนเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับว่าคนสองคนว่าจะช่วยกันปลูกต้นรักนี้ให้มันเติบโตงอกงามได้ดีแค่ไหน’ มันคงเป็นเช่นนั้นแหละ...ชลธีกับเปรมยุตาไม่อาจดูแลต้นรักให้งอกงามยั่งยืนอย่างที่หวัง ชลธีถึงได้ดูเศร้าและเจ็บปวดกับความรักในอดีตได้ขนาดนี้ เมื่อทุกอย่างกระจ่างในใจก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องตั้งแง่กับเขาอีก
                “อย่าไปพูดถึงมันเลยค่ะ ดิฉันก็จะไม่คิดถึงมันด้วย” แทนดาวยิ้มอย่างให้กำลังใจ มือนุ่มยังคงบีบเบาๆที่ท่อนแขนแข็งแรง ชลธียิ้มตอบ เป็นยิ้มปนเศร้าเพราะเรื่องในอดีตตามกลับมารบกวนหัวใจ
                “ขอบคุณครับที่เข้าใจพี่ แล้วอีกอย่าง...ใครสอนให้พูดแทนตัวเองแบบนั้น ฟังดูไม่รื่นหูเลย พูดกับพี่อย่างเดิมซะดีๆ” เขาสั่งพลางมองมือเล็กที่ยังจับแขนตนเองอยู่อย่างพินิจพิเคราะห์ จิตใจของคนตรงหน้าช่างละเอียดอ่อน เห็นว่ายังเด็กอย่างนี้แต่กลับมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนอื่นได้ลึกซึ้ง
                “จะดีหรือคะ? คุณแม่สอนว่าเวลาอยู่ทวีกิจต้องไม่เรียกชื่อเล่นเหมือนอยู่ที่บ้าน อยู่ที่ทำงานต้องเรียกตามตำแหน่งค่ะ เพื่อไม่ให้เสียการปกครอง” คนตัวเล็กอธิบายไปตามจริง เวลามาอยู่ที่นี่ก็เรียกพี่ชายต่อหน้าคนอื่นว่าคุณเทียมภพ พี่สาวก็เรียกว่าคุณปลายเดือน แม้แต่บิดาก็ต้องเรียกว่าท่านประธาน คนอื่นๆก็จะเรียกชื่อเต็มของหล่อนว่าแทนดาวเช่นกัน
                “อ๋อ...แต่ว่าขอยกเว้นพี่สักคนได้มั้ย? พี่ไม่ถือยศถือตำแหน่งอะไรหรอก” เขาบอกด้วยเสียงนุ่มนวลเมื่อปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปรกติแล้ว
                “พลูจะเรียกพี่ชลเมื่ออยู่กันสองคนก็แล้วกันนะคะ แต่ต่อหน้าคนอื่นขอเรียกแบบเดิม เดี๋ยวคุณแม่กับพี่ผึ้งได้ยินจะดุเอา”
                “โอเค อ้อ...พลูอย่างเดียวก็ไม่เอา ต้องน้องพลูด้วย” เขาสั่งแต่ก็เข้าใจที่คนตัวเล็กบอก
                “งั้นน้องพลูออกไปก่อนดีกว่าค่ะ อุ๊ย...ขอโทษค่ะ” แทนดาวเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ากอดแขนเขาเสียแน่นเชียวเลยรีบชักมือออก ชลธียิ้มอีกครั้งก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักแล้วเดินพร้อมกับสิ่งของบางอย่างในมือ
                “ถ้าตอนนี้หายโกรธพี่แล้ว ก็กรุณารับมันไว้ด้วยนะครับ” แทนดาวมองลังเลนิดหนึ่งก่อนจะรับของสิ่งนั้นมาพิจารณา มันเป็นกำไลข้อมือรูปดอกลิลลี่ ออฟ เดอะวัลเล่ย์ ตัวกำไลเป็นทองคำดัดเป็นลวดลายรูปกิ่งและใบของดอกไม้ชนิดนี้ ส่วนดอกจิ๋วทรงระฆังคว่ำทำจากไข่มุกเม็ดเล็กเรียงร้อยกันสวยงาม พอมองสำรวจรายละเอียดจนพอใจแล้วก็ส่งสายตาเป็นเชิงถามไปที่คนให้
                “พี่ไปสั่งทำไว้นานแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้มอบให้เสียที” แทนดาวจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งคืนให้เขา
                “น้องพลูเกรงใจจังค่ะ มันคงแพงมากเลย คงจะรับไว้ไม่ได้” ด้วยความที่ถูกสั่งสอนมาว่าอย่ารับของกำนัลที่มีมูลค่าสูงทำให้ต้องตัดใจคืนไปทั้งๆที่ก็แอบเสียดาย
                “รับไว้เถอะ มันไม่ได้แพงมหาศาลอะไรขนาดนั้นหรอก พี่แค่อยากซื้อของขวัญให้...ว่าที่คู่หมั้น” แทนดาวรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว มองกำไลในมือด้วยอารมณ์ทั้งอยากได้และไม่อยากได้ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังไม่คุ้นกับคำว่า ‘ว่าที่คู่หมั้น’
                “พี่หมากต้องไม่ชอบแน่ๆเลย” คนตัวเล็กบ่นอุบอิบ
                “คงงั้นมั้ง ก็แน่ล่ะ...ผู้ชายที่ไหนเค้าชอบเครื่องประดับของผู้หญิงกันล่ะ” แล้วเขาก็หัวเราะ แทนดาวหน้ามองเขาแล้วคิดในใจ “เล่นมุกเป็นด้วยนะเนี่ย”
                “พี่หาโอกาสที่จะให้น้องพลูมานานแล้ว คิดว่าจะทำยังไงดีที่จะไม่ถูกตีกลับเหมือนดอกไม้พวกนั้น”
                “ดอกไม้อะไรเหรอคะ?” แทนดาวทำหน้าเหรอหรา ชลธีอมยิ้มก่อนจะพูดต่อ
                “ก็ตอนที่น้องพลูยังงอนพี่อยู่ไง พี่ติดต่อเราไม่ได้เลยส่งดอกไม้ไปให้ที่บ้านทุกวันเลย สงสัยจะมีคนหวังดีกลัวน้องพลูจะแพ้ละอองเกสรมั้ง เลยส่งกลับมาหมดจนบ้านพี่จะกลายเป็นสวนดอกไม้อยู่แล้ว” ชลธีเล่าอย่างไม่เดือดร้อนขณะที่แทนดาวนึกโมโหกรุ่นอยู่ในใจ “พี่หมากนะพี่หมาก ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก”
                “เอามาสิ...พี่จะใส่ให้นะ” เขายื่นมือออกไปรอ คนตัวเล็กค่อยๆยื่นมือซ้ายให้
                “เป็นไง...พอดีเลย” ชลธีสวมกำไลข้างนั้นที่ข้อมือบางอย่างทะนุถนอม เขายังคงเกาะกุมข้อมือนั้นอยู่ไม่ยอมปล่อย เสแสร้งว่ากำลังชื่นชมกำไล
                “สวยจังค่ะ” แทนดาวอุทานเบาๆด้วยความประทับใจและค่อยๆดึงมือกลับเพื่อไหว้ขอบคุณ
                “เอาล่ะ...พี่เคลียร์ตัวเองแล้ว ที่นี้ตาน้องพลูมั่ง...” คนตัวเล็กละสายตาจากเครื่องประดับชิ้นใหม่มามองเขาอย่างตั้งคำถาม
                “เมื่อวันที่นายอชิตะไปส่งเรา คุยอะไรกันบ้าง?” เขาถามเสียงดุเมื่อเอ่ยถึงหมอแว่นคนนั้น
                “ก็ไม่มีอะไรนี่คะ แทบจะไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำเพราะน้องพลูเอาแต่...หลับ” ตอนแรกตั้งใจจะบอกว่าเอาแต่คิดมากเรื่องที่บังเอิญไปเห็นฉากจูบแต่ก็ยับยั้งไว้เสียก่อน ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองเครียดกับเรื่องนั้นแค่ไหน
                “แล้ว...เจ้าหมอนั่นล่วงเกินอะไรน้องพลูหรือเปล่า? อย่างเช่นว่า พูดจาก้อร่อก้อติก แอบจับมือ จับผม” คนหน้าดุถามพลางสำรวจดวงตาประกายสดใสนั้นอย่างค้นหา
                “ไม่มีเลยค่ะ ใครจะไปมือไวเท่าพี่ชลเล่า เผลอเป็นลูบ” คนตัวเล็กว่าให้อย่างหมั่นไส้ ชลธียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะดึงคนตัวเล็กเข้ามาประชิดตัวอย่างอดใจไม่ไหว มือหนายึดข้อมือที่สวมกำไลไว้แน่นส่วนมืออีกข้างจับผมยาวนุ่มสลวยเล่นอยู่อย่างนั้น แทนดาวเริ่มไม่พอใจที่เขาชอบฉวยโอกาส
                “ปล่อยค่ะ พี่ชลทำแบบนี้อีกแล้วนะ” คนตัวเล็กพยายามปลดพันธนาการที่เขาสร้างไว้แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าฝ่ายนั้นจะยอม
                “พี่ปล่อยก็ได้แต่ต้องมีของแลกเปลี่ยน” เขาต่อรองพร้อมกับยิ้มตาพราว
                “อะไรเหรอคะ?” หญิงสาวทำหน้ามีความหวัง ชลธียื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกก่อนจะพูดเหมือนกระซิบแต่ก็ดังชัดเจนจับใจคนรอคอยคำตอบ
                “ต้องให้พี่หอมแก้มก่อน น้องพลูน่ารักมาก...รู้ตัวหรือเปล่า?” ข้อแลกเปลี่ยนที่เขาว่าทำเอาคนถูกขอหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันตาเห็น คนขอหัวเราะชอบใจ
                “ไม่มีทาง! พี่ชลนี่ชอบแกล้งจริงๆเลย”
                “นะคะคนสวย...ไม่งั้นก็จะจับตัวขังไว้ในห้องกันสองคนอย่างนี้แหละ แล้วถ้าโชคดีนะ...ก็อาจจะมีคนมาเห็น ทีนี้ล่ะ...ถูกจับแต่งงานทันทีไม่ต้องมีพิธีหมั้นเลย” แล้วคนช่างต่อก็ก้มลงจูบมือนุ่มนิ่มข้างนั้นเร็วๆ
                “อื้อ...พี่ชลอ่ะ” คนตัวเล็กทำเสียงให้ดุเหมือนโกรธแต่จริงๆแล้วขัดเขินเสียจนไปไม่เป็น
                “ถ้าน้องพลูโกรธก็ตบพี่ได้เลย พี่อนุญาต” เขาหัวเราะในลำคอแล้วค่อยๆเกลี่ยปอยผมที่ระเรี่ยบนแก้มทั้งสองข้าง ตอนนี้ใบหน้าเรียวงามออกชมพูเรื่ออยู่ห่างแค่นิดเดียวเอง
                “แค่ครั้งเดียวนะคะ” คนตัวเล็กกระซิบบอกด้วยความเก้อกระดากอายจนมิอาจมองหน้าเขาได้ ในชีวิตนี้มีผู้ชายเพียงสองคนที่เคยให้หอมแก้มคือบิดากับพี่ชาย แต่ตอนนี้จมูกโด่งของบุรุษหน้าคมค่อยๆกดลงบนแก้มเนียนซับสีแดงเรื่อด้วยเลือดฝาดแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆราวกับจะเก็บกลิ่นหอมจางจากเนื้อเนียนเอาไว้ชื่นใจให้นานที่สุด
                “พอใจแล้วใช่มั้ยคะ?” คนตัวเล็กก้มหน้างุดด้วยความอุธัจขัดเขินที่ถูกชายแปลกหน้าดอมดมแก้มนุ่ม
                “ยัง...” คนที่เพิ่งจะได้ประทับรอยสัมผัสรีบตอบให้รู้ว่ายังไม่พอใจจริงๆ
                “เอ๊ะ!...บอกแล้วไงคะว่าครั้งเดียวเท่านั้น อย่ามาขี้โกงนะ” คนตัวเล็กประท้วง
                “ครั้งเดียวของพี่...หมายความว่าต้องได้ทั้งสองข้าง” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มอย่างผู้กำชัยชนะ ถ้าคิดจะเอาชนะแทนดาวก็ต้องเล่นกลกันหน่อย
ปลายนิ้วเรียวดุจสตรีบังคับให้ใบหน้าหวานให้หันแก้มอีกข้างมาให้แล้วกดจมูกลงไปอีกครั้ง สัมผัสความนุ่มและหอมของแก้มเนียนละมุนยาวนานกว่าครั้งแรก แต่แล้วก็บังเกิดความโลภขึ้นในจิตใจด้านมืดของตนเอง เมื่อถอนจมูกออกจากแก้มนิ่มแล้วก็คิดอยากจะสัมผัสริมฝีปากเคลือบสีชมพูอ่อนอีก นิ้วมือแข็งแรงยังคงบังคับให้ใบหน้างามสะคราญอยู่นิ่งๆ
“ครบแล้วนะคะ” คนตัวเล็กส่งเสียงลอดไรฟันเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ยอมปล่อย
“พี่อยากจะ...” เขาพยายามข่มใจอย่างที่สุดเพื่อหยุดความต้องการของตัวเอง นึกถึงคำมั่นที่ได้ให้ไว้กับบิดาของหล่อนตอนที่ไปขอ “ผมจะไม่ทำเกินเลยให้เธอเสื่อมเสีย”
ชลธีถอนหายใจลึกก่อนจะปล่อยให้คนตัวเล็กที่หน้าแดงราวลูกเชอรี่เป็นอิสระ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เขาจะไม่มีวันใช้ความชำนิชำนาญโอ้โลมให้หล่อนยอมโอนอ่อนจนยอมทำตามใจเขาทุกอย่าง หล่อนคือดอกไม้แห่งพฤษภาที่งดงามบริสุทธิ์จนควรที่จะหักห้ามใจไม่แตะต้องให้กลีบช้ำ
                “ชื่นใจจังค่ะ อิจฉาพี่ชายเราจังที่ได้หอมแก้มน้องพลูทุกวัน” เขาทอดเสียงหวานแถมยังใช้คำพูดคะขาอ่อนโยนแบบเดียวกับพี่ชายจนคนฟังต้องเงยหน้ามองว่าใช่พี่ชลที่แสนจะเคร่งขรึมคนเดิมหรือเปล่า แต่มือปลาหมึกที่ยังลูบไล้เส้นผมเล่นไม่ยอมหยุดทำให้มั่นใจว่าเป็นตัวจริง
                “ค้ากำไรเกินควรแบบนี้ไม่ดีนะคะ เอาเปรียบลูกค้าอย่างนี้ได้ไง”
                “พี่เป็นพ่อค้านี่นา ทำอะไรก็ต้องบวกกำไรเป็นเท่าตัวไว้ก่อน นี่ถือว่าลดราคาให้แล้วนะ”
 
                พอแทนดาวออกไปแล้วเขาก็กลับมาทำงานอย่างอารมณ์ดี ความรู้สึกชื่นอกชื่นใจที่เก็บตุนไว้เต็มปอดยังคงหอมกรุ่นไม่จืดจาง ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมที่ตอนนี้อาบไปด้วยรอยยิ้มกำลังนั่งปล่อยความคิดสบายๆต้องยิ้มกว้าง ในที่สุดเขาก็พบคำตอบที่คาใจมานานนับแต่เมื่อครั้งที่ได้พบกับแทนดาวครั้งแรก จำได้ว่าครั้งนั้นได้สบตาโตทรงอัลมอนด์คู่สวยแล้วรู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เขาจำได้แล้ว...หล่อนคือเด็กผู้หญิงตัวอ้วนกลมคนนั้น!
                เมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อนเขาเคยไปนอนค้างบ้านของเทียมภพเพื่อนคู่หู วันนั้นจำได้ว่าเพื่อนรักอุ้มน้องสาววัยหนึ่งขวบมาอวดด้วยความเห่อ ตอนนั้นดวงตาโตคู่สวยยังมิได้เปล่งประกายงดงามมีเสน่ห์ดึงดูดเช่นในเวลานี้แต่ก็เป็นจุดโดดเด่นจนทำให้จดจำได้ เขายังได้อุ้มหนูน้อยหน้าตาน่ารักยังกับตุ๊กตาแต่แม่หนูจอมแสบกลับฉี่รดใส่เขา
 
“อ้าว...น้องพลูฝากรักมึงซะแล้ว ฮ่าๆ ยัยหนูเล่นตีตราจองซะขนาดนี้ จำไว้นะ...ว่ามึงต้องกลับมาขอเธอแต่งงานด้วย”
 
ชลธีเผลอหัวเราะออกมา ไม่คิดว่าเรื่องที่พูดเล่นหยอกล้อกันเมื่อยี่สิบปีก่อนมันจะกลายเป็นความจริงราวกับนิยาย
 
อีกพักใหญ่ต่อมาประตูห้องก็ถูกเปิดอีกครั้ง ตอนแรกคิดว่าแทนดาวอาจจะลืมอะไรเอาไว้ แต่คนที่เข้ามาใหม่กลับเป็นเปรมยุตา หล่อนเดินเข้ามาด้วยท่าทีเศร้าหมอง น้ำตาอาบเต็มสองตาก่อนจะโผเข้ากอดเขาแน่น
                “ปรางขอโทษ...แต่ปรางทนไม่ได้ ปรางทนเห็นคุณทำแบบนั้นกับเธอไม่ได้จริงๆ!” ชลธียืนงงเป็นไก่ตาแตก  เปรมยุตามาที่นี่ได้ยังไง? ที่สำคัญมาฟูมฟายกับเขาเรื่องอะไรกัน?
                “ปราง! หยุดเถอะ ผมขอร้อง” เขาพยายามเรียกสติของคนที่กำลังกอดตนเองเสียแน่นหนา เสียงร้องไห้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
                “ฆ่าปรางก่อนสิ! แล้วปรางจะเลิกรักคุณ”
 
                ชลธีพยายามแกะมือทั้งสองข้างของเปรมยุตาออกจากรอบเอวแต่ดูเหมือนมันยิ่งรัดแน่นจนต้องตัดสินใจออกแรงกระชากและผลักจนกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว เปรมยุตาหน้าเสีย ดวงตาฉายแววไม่พอใจ ชลธีมองอีกฝ่ายอย่างรู้สึกผิด เขาไม่เคยใช้กำลังกับเพศตรงข้ามมาก่อนเลย
                 “ชลคะ...ปรางขอโทษค่ะ แต่...” น้ำตาไหลรินร่วงเผาะ ชลธีก้าวเข้ามาใกล้ คิดว่าตนคงทำรุนแรงกับหล่อนมากเกินไป เขาเอื้อมมือหมายจะปาดน้ำตาบนแก้มสีกุหลาบนั้นแต่แล้วต้องหยุดชะงัก ถ้าเขาไม่หักใจ...หล่อนก็จะยังคิดว่าเขายังมีเยื่อใยไม่เลิก
                “พอเถอะปราง...ผมว่าคุณกลับไปโรงแรมดีกว่า อย่าเสียเวลามาตามผมเลย ผมมีงานต้องทำและที่นี่...ไม่ใช่ที่ของคุณหรือผม เราไม่ควรเอาเรื่องส่วนส่วนตัวมาพูดกัน” เขาซุกมือในกระเป๋ากางเกงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรที่ดีไปกว่านี้ได้เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันจบสิ้นไปตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อน เป็นแปดปีที่เขาไม่เคยตื่นจากฝันร้ายและจมอยู่กับความเสียใจแสนสาหัส!
                “คุณบอกว่าอย่าเสียเวลามาตามคุณ แต่คุณ...เสียเวลาทำงานอันมีค่าของคุณเพื่อเธอ ที่นี่ไม่ใช่ของปรางหรือของคุณ แต่คุณเลือกที่จะมาอยู่ที่นี่...เพราะเธอ!” เปรมยุตาพรั่งพรูความรู้สึกออกมาจากใจพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก ชลธีหันหลังให้ด้วยกลัวว่าจะใจอ่อนกับน้ำตาที่กำลังไหลพรูอีก
                “ปรางครับ...เราเป็นเพื่อนกันนะ อย่าลืมสิ และผมขอร้อง...อย่าดึงใบพลูเข้ามาเกี่ยว” เขาปรามเสียงดุเมื่อสาวน้อยกำลังถูกพาดพิง เปรมยุตาเสียดหูขึ้นมาอย่างแรงเมื่อได้ยินชื่อนั้น
                “เพื่อน?” หล่อนแค่นเสียงคล้ายจะเยาะตัวเอง “ชลลืมไปแล้วเหรอว่าปรางเป็นเมียคุณ!” หล่อนตะเบ็งเสียงใส่คนที่ยืนหันหลังให้ ชลธีหันมามองโกรธๆ เปรมยุตาผู้อ่อนหวานของเขาไม่มีอีกต่อไปแล้ว ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้ามิใช่สาวน้อยแสนดีที่เคยมอบความรักให้หมดทั้งหัวใจ คนที่เคยเทิดทูนบูชาว่าเป็นหนึ่งเดียวที่จะมอบหัวใจไว้ให้ แต่นี่...ไอ้สิ่งที่ตะโกนย้ำกับเขาเมื่อกี้ หล่อนเองมิใช่หรือที่สละมันไปอย่างไม่ใยดี!
                “แค่ ‘เคย’ นะปราง” เขาตอบเสียงแผ่วเบาหากแต่หนักแน่นเพื่อเน้นย้ำให้คนฟังเข้าถึงความหมาย
                “แต่ชลคะ...เรื่องนั้นมันก็นานมาแล้ว ปรางยังรักคุณอยู่และพร้อมเสมอที่เริ่มต้นใหม่กับคุณ ปรางสัญญาว่าจะไม่ทำเลวร้ายแบบนั้นอีก จะไม่หนีไปไหนอีก” หล่อนอ้อนวอนทั้งน้ำตา แววตาส่อประกายความอาวรณ์
                ชลธีถึงคราวลำบากอีกหน เขาทำร้ายหัวใจใครไม่เป็นแต่ก็ทำร้ายหัวใจตัวเองไม่ได้เช่นกัน เคยรักเปรมยุตาคนเก่าจนสุดหัวใจ แต่สิ่งที่หล่อนพรากเอาไปนั้นมันหนักหนาเสียจนหัวใจของเขาด้านชาไม่หลงเหลือความเอื้ออาทรใดๆให้อีกต่อไปแล้ว
                “เอาลูกผมคืนมาสิ...แล้วผมจะกลับไปอยู่กับคุณ” ชลธีกัดฟันตอบเสียงกร้าว แววตากล้าขึ้นจนเปรมยุตาตัวสั่น
                “ชล...” หล่อนได้แต่ครางเรียกชื่อเขา น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว ตอนนี้ตกใจมากกว่า ไม่คิดว่าอดีตคนรักจะยังฝังใจกับเรื่องนี้อยู่
                “เค้าผิดอะไรปรางถึงได้ทำแบบนั้น? ปรางรู้มั้ยว่าผมไม่เคยมีความสุขเลยนับตั้งแต่ที่ชีวิตบริสุทธิ์ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของผมถูกทำลายโดยผู้หญิงที่ผมเคยรักมากที่สุด ชีวิตมีแต่ความรู้สึกผิดจนไม่อยากแม้แต่จะยิ้มหรือหัวเราะ” เขาหยุดกลืนก้อนแข็งๆลงคอ
“ผมโทษตัวเองมาตลอดว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณต้องตัดสินใจทำแบบนั้น เคยคิดว่าคุณเองก็รักผมมากเหมือนกับที่ผมรักคุณ แต่สิ่งที่คุณได้ทำลงไป...” เขาพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ตะโกนออกไป  “มันก็พิสูจน์แล้วว่า...คุณรักเงินมากกว่าผม” เปรมยุตายืนนิ่ง สิ่งที่หลุดออกมาจากปากของคนเคยรักทำให้หล่อนตัวชา
                “ชลคะ...ฟังปรางก่อน” หล่อนขอร้องทั้งน้ำตา แต่ชลธีกลับนิ่งไม่รู้สึกหวั่นไหวกับน้ำตาของหล่อนอีกต่อไปแล้ว
                “ปรางรักคุณและที่ปรางต้องทำแบบนั้น...ก็เพื่อคุณนะคะ”
                “เพื่อผม!?” เขาแค่นเสียงถาม ดวงตาฉายแววเจ็บปวดรวดร้าว “ฆ่าลูกเพื่อผมงั้นหรือ?”
                “ปรางก็ไม่ได้อยากทำ...คุณคิดว่าปรางอยากจะฆ่าลูกงั้นหรือคะ?” หล่อนสะอื้น สองแก้มเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เจ็บปวดไม่แพ้กัน
                “ตอนนั้น...เราสองคนก็ยังเรียนด้วยกันทั้งคู่ คุณเองก็ไม่พร้อม ถามหน่อยเถอะ...ถ้าปรางไม่ทำแบบนั้น คุณจะเอาอะไรมาเลี้ยงลูก!” หล่อนโพล่งอย่างเหลืออด ชลธีมองกลับมาด้วยสายตากึ่งเห็นใจกึ่งดูถูก
                “คุณไม่เคยเชื่อใจผม... ผมพร้อมจะรับผิดชอบคุณเสมอและสามารถเลี้ยงคุณกับลูกได้สบายมากถ้าคุณรออีกนิด ผมเฝ้าบอกกับคุณอย่างนี้มาตั้งแต่เริ่มคบกัน คุณรู้มั้ย...ผมรักคุณมากแค่ไหน ยิ่งพอรู้ว่าคุณท้อง ผมก็รีบจัดการทุกอย่างให้มันเรียบร้อย....” เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวยที่ครั้งนึงเคยหลงใหลมากมาย
“แต่คุณไม่เชื่อใจผมเลย ไม่ยอมรอผม คุณฆ่าผมทั้งเป็นรู้มั้ยปราง!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา