ปลูกรักในรั้วใจ
10.0
เขียนโดย อิสวารายา
วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.
39 ตอน
0 วิจารณ์
39.20K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
21) ตอนที่ 20 หนึ่งภาพแทนล้านคำพูด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 20 หนึ่งภาพแทนล้านคำพูด
“คุณตามไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ แกกำลังช็อก...พูดอะไรไปก็คงไม่ยอมรับฟังหรอกค่ะ” เปรมยุตาจับแขนเขาแล้วลูบเบาๆ ชลธีปลดมือนั้นออกไม่คิดว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้
“โอย...จะบ้าตาย” เขายกมือกุมขมับทำท่าเหมือนจะตายไปเสียจริงๆ ในเมื่อแทนดาวเห็นภาพชัดเจนขนาดนี้แล้วเขาก็ไม่มีคำแก้ตัวใดๆอีก เปรมยุตามองภาพนั้นอย่างร้าวราน ชลธีแคร์เด็กคนนั้นมาก
แทนดาวหลบมายืนใช้ความคิดตรงมุมหน้าร้านที่ตอนนี้ลูกค้าบางส่วนเริ่มทยอยกลับ อชิตะยังคงนั่งรออยู่ด้านใน ฉากจุมพิตแสนหวานเหมือนที่บรรยายไว้ในนิยายที่ได้ไปเห็นเข้าโดยไม่ตั้งยังติดตา มีคำถามหลายข้อที่ต้องการคำตอบ ข้อแรกเลยทำไมชลธีถึงได้อยากหมั้นกับตนเองทั้งๆที่มีแฟนอยู่แล้ว ไอ้ที่อ้างว่าอยากรับผิดชอบต่อคำครหาที่เกิดขึ้นตอนไปตรังนั้นฟังดูไม่สมเหตุสมผลเสียแล้ว ทำแบบนี้มิถูกนินทาหนักกว่าเดิมหรือว่าหน้าไม่อายไปแย่งแฟนเขา!
“น้องพลู...พี่อธิบายได้นะครับ” ชลธีตามมาจนได้ หน้าตาและเสียงเคร่งเครียดมาก
“อธิบายอะไรล่ะคะ? น้องพลูไม่ได้ข้องใจอะไรนี่ เคยได้ยินมั้ยคะ? A picture is worth a thousand words หนึ่งภาพแทนล้านคำพูด” ประโยคเยือกเย็นและคำเปรียบเปรยที่คมกริบยิ่งกว่ามีดโกนจำให้คนฟังเจ็บกว่ายิ่งกว่าถูกตบหน้า
“มันไม่ใช่อย่างที่เห็นนะ โอเค...ตอนนี้น้องพลูยังโกรธอยู่ คงจะยังไม่อยากฟังพี่”
“โกรธ? เรื่องอะไรคะ?” คนตัวเล็กแค่นเสียงถามจนอีกฝ่ายเริ่มขัดกับกิริยาประชดประชัน
“มานี่!” เขาดึงคนตัวเล็กเดินออกไปที่เทอเรซด้านนอก
“เอ๊ะ! อะไรกันอีกล่ะค่ะ เวลาแบบนี้พี่ชลยังจะมีอารมณ์มาเจาะแจ๊ะกับผู้หญิงคนอื่นอีกหรือ? เดี๋ยวพี่ปรางมาเห็นเธอจะฉีกอกน้องพลูเอาโทษฐานที่ไปยุ่มย่ามกับคนรักของเธอ!” ตนตัวเล็กต่อว่าอย่างไม่เกรงกลัวหน้าท่าทางดุดันของคนที่ยืนยื้อยุดตนอยู่ขณะนี้
“ปรางไม่ใช่คนรักของพี่! เข้าใจเสียใหม่นะ” เขาย้ำหนักแน่น
“หรือคะ...สมัยนี้เนี่ย คนเป็นเพื่อนกันเค้าเฟรนซ์คิสกันดูดดื่มขนาดนั้นเชียวหรือ?” คนตัวเล็กแสร้งถามใสซื่อ ชลธีดึงแขนคู่นั้นให้เข้ามาประชิดตัวทันที
“รู้หรือว่าเฟรนซ์คิสเค้าทำกันยังไง?” คนตัวสูงพูดคล้ายกระซิบ ท่าทางแข็งกร้าวเมื่อคู่เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงทันทีเมื่อได้อยู่แนบชิดคนตัวเล็ก ตอนนี้คนในอ้อมแขนเกิดกลัวขึ้นมาดื้อๆ ไอ้เฟร้นซ์คงเฟร้นซ์คิสอะไรนั่นไม่รู้หรอกว่าจริงๆมันเป็นยังไง แค่จำมาจากนิยายเอาไว้ใช้เก๋ๆ
“ปล่อยเถอะค่ะ พี่ชลควรจะกลับไปหาพี่ปรางดีกว่า” ร่างเล็กผลักไสคนตัวสูงให้ออกห่าง“ไม่! ไม่มีเหตุผลอะไรที่พี่ต้องกลับไปหาเค้า ที่พี่ต้องการตอนนี้คืออธิบายสิ่งที่น้องพลูเห็น” เขายังดึงดันและเผลออกแรงบีบแขนคนตัวเล็กแรงขึ้น
“ปล่อยเธอ!” เสียงห้าวลึกมาจากอชิตะที่ก้าวเข้ามาเห็นเหตุการณ์
“เรื่องนี้...ผมขอคุยกับใบพลูเป็นการส่วนตัว คุณหมอช่วยรอสักครู่หรือจะกลับไปก่อนก็ได้ ผมจะไปส่งเธอเอง” ชลธีบอกเสียงห้าวแสดงความไม่พอใจชัดเจน
“คงไม่ได้ นั่นคุณกำลังทำให้เธอเจ็บนะ...ปล่อย!” หมอหนุ่มดึงตัวแทนดาวออกมาด้วยความฉุนเฉียวขัดกับนิสัยสุภาพในยามปรกติ ชลธีมองหญิงสาวที่ถูกแย่งตัวไปด้วยความเดือดดาล
“พี่อชิ...พาน้องพลูกลับบ้านนะคะ” คนตัวเล็กบอกด้วยเสียงสั่นเครือ ไม่เท่านั้นแขนเล็กทั้งสองข้างยังยกขึ้นมากอดแขนข้างหนึ่งของหมอหนุ่มแน่นคล้ายต้องการความปลอดภัย ชลธีมองภาพนั้นด้วยความโกรธจนระงับไม่ได้อีกต่อไป
“แทนดาว มานี่...เดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงเย็นเยียบแต่ทรงอำนาจทำให้คนถูกสั่งยิ่งตัวสั่น หล่อนไม่เคยเห็นชลธีอยู่ในโหมดโกรธเกรี้ยวเช่นนี้มาก่อน สายตา สุ้มเสียงรวมถึงสีหน้าฉาบไปด้วยความเย็นชาแต่มีแววอำมหิตน่ากลัวซ่อนอยู่
“คุณไม่มีสิทธิ์บังคับเธอ ไปกันเถอะน้องพลู” อชิตะโอบไหล่คนตัวเล็กไว้หลวมๆจะพาเดินกลับไปแต่ยังไม่ทันพ้นก้าวที่สามคนเลือดร้อนก็กระชากไหล่เขาจนเซ
“น้องพลูจะไปกับคุณไม่ได้ เธอเป็นคู่หมั้นของผม!” เขาฉุดมืออีกข้างของแทนดาวจนตอนนี้กลายเป็นบุรุษสองคนยื้อยุดแขนหล่อนคนละข้าง
“ผมจะไม่ปล่อยให้น้องพลูอยู่ตามลำพังกับคนที่กำลังหน้ามืดเด็ดขาด ปล่อย!” อชิตะออกแรงผลักอกคนกำลังโมโหจนเซถอยไปก่อนจะพาร่างน้อยที่เริ่มมีเสียงสะอื้นออกไปจากตรงนั้นโดยเร็ว ชลธีกัดฟันด้วยความโกรธ
“จะเล่นนอกบทมากเกินไปแล้ว ไอ้หมอ!”
“น้องพลู...โอเคหรือยัง?” อชิตะเอ่ยถามเมื่อเห็นแทนดาวยังคงนั่งซึมไม่พูดไม่จาผิดกับตอนมาที่ร่าเริงมาก
“น้องพลูรู้สึกเพลียค่ะ แล้วก็รู้สึกแย่ที่ทำให้พี่อชิต้องมาเจออะไรแบบนี้” แทนดาวหลับตาลง ภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่ทำให้เครียดและใช้ความคิดมากมายจนเพลียไปจริงๆนั่นแหละ
“พี่ไม่รู้ว่าน้องพลูกับเค้าผิดใจกันเรื่องอะไร แต่พี่ทนไม่ได้ที่เห็นเค้าใช้กำลังบังคับน้องพลูแบบนั้น” อชิตะเสียงเข้มนิดหนึ่งเมื่อนึกภาพชลธียืดยุดคนตัวเล็กทำราวกับจับตุ๊กตา
“ให้พี่เดินเข้าไปส่งนะ” อีกพักใหญ่รถยนต์ของหมออชิตะก็เทียบจอดอยู่หน้าบ้าน หมอหนุ่มทำท่าจะลงจากรถ
“ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่นี้ก็เกรงใจพี่อชิจะแย่ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะสำหรับวันนี้” หล่อนยกมือไหว้เขาแล้วเดินเข้าบ้านด้วยอาการหงอยๆ สาวน้อยรีบขึ้นห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมานั่งคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดกับตัวเองวันนี้ เออหนอ...ตอนเย็นยังมีความสุขอยู่แท้ๆแต่ค่ำก็เกิดเรื่องไม่น่าอภิรมย์ ชีวิตคนเรานี่มันไม่แน่นอนจริงๆ
อชิตะกระทืบเบรกดังเอี๊ยดเมื่อถูกปาดหน้ากระชั้นชิดจนแทบจะหัวคะมำ ยังดีที่เข็มขัดนิรภัยทำงานได้อย่างว่องไว รถยนต์สัญชาติอิตาลีสีเทาเข้มจนเกือบดำที่ขับปาดก็หยุดกะทันหันจนเกิดรอยล้อบดถนนเป็นเส้นยาวเช่นกัน เจ้าของรถตรากระทิงเปลี่ยวจอดพาหนะขวางไว้อย่างนั้นแล้วก้าวลงมาด้วยอาการร้อนรน
“ผมมีเรื่องจะตกลงกับหมอ” ชลธีกระชากประตูฝั่งคนขับของคู่กรณีออกอย่างเร็วแล้วรีบแจ้งจุดประสงค์ อชิตะพ่นลมหายใจเพื่อระงับความโกรธที่อีกฝ่ายเล่นแรงขนาดนี้
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ผมคิดว่าทุกอย่างมันชัดเจนอยู่แล้วนะ” หนุ่มแว่นบอกด้วยเสียงที่บังคับให้นิ่งที่สุด
“ชัดเจนรึ? ใช่มั้ง...ก็ความสนิทสนมของหมอกับใบพลูมันชัดเจนขนาดนั้นไงล่ะ ผมเลยต้องตามมานี่ ผมว่าหมอควรจะเอาใจใส่คนไข้ของตัวเองอย่างเดียวก็พอ ใบพลูไม่ได้ป่วย ไม่ต้องดูแลเอาใจใส่เธอขนาดนั้นก็ได้” ชลธีบอกเสียงกระด้างพลางจ้องหน้าหมอหนุ่มอย่างเอาเรื่อง
“ผมบอกแล้วว่าทำไปตามหน้าที่ ผมเป็นคนพาเธอไปก็มีหน้าที่ต้องดูแลให้ดี แล้วผมถามหน่อย...คุณเป็นคู่หมั้นประสาอะไรถึงกล้าทำให้เธอเสียใจได้ขนาดนั้น?” ชลธีเงียบกริบ โทสะที่ข่มไว้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นที่โดนอีกฝ่ายต่อว่า
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน และผมกำลังพยายามจะอธิบายให้เธอเข้าใจ แต่คุณไม่ควรเข้ามายุ่ง! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราทะเลาะกัน ผมรู้หรอกว่าควรจะปฏิบัติกับเธอยังไง” เขาเถียงคอเป็นเอ็น
“งั้นหรือ? แต่ถ้าเป็นผม...จะไม่ฉุดกระชากแล้วก็เสียงดังใส่ว่าที่คู่หมั้นในที่สาธารณะ” อชิตะหยุดนิดหนึ่งเพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้คิด
“ถึงจะหึงจะหวงมากแค่ไหนก็จะเก็บอารมณ์ไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนั้นแน่!” อชิตะตอกกลับอย่างเหลืออดทำให้เขื่อนเก็บโทสะของคนฟังแตกทันที เขาผลักอกหมอหนุ่มจะเซไปปะทะรถยนต์ที่จอดอยู่ อชิตะปัดมือข้างนั้นออกอย่างแรงเหมือนกัน
“ผมร้างเรื่องชกต่อยมานานแล้ว แต่ถ้าถึงเวลาจำเป็นก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ” อชิตะบอกอย่างโกรธเกรี้ยว ชลธีขบกรามแน่น
“ถ้ามีครั้งที่สอง ผมจะไม่ทน!” เขาพูดทิ้งท้ายอย่างเหี้ยมเกรียมเช่นกันก่อนจะขับเคลื่อนเจ้ากระทิงดุคู่ใจพุ่งทะยานหายไปในความมืด
เทียมภพขึ้นมาดูน้องสาวที่ยังไม่ลงไปทานอาหารเช้าด้วยกัน ตอนแรกให้แป๋มไปตามก็พบว่ายังหลับอยู่แต่นี่ก็เกือบเก้าโมงแล้วซึ่งผิดวิสัยคนนอนตื่นเช้า คนตัวเล็กนั้นล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยนั่งเล่นแท็บเล็ตอยู่บนเตียงเงียบๆ ในอ้อมแขนกอดเจ้าเปื่อยส่วนเจ้าหมีโคอาล่ากับจิงโจ้นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นคนละทิศละทาง ดวงตาทรงอัลมอนด์ทอดประกายอ่อนล้าขณะอ่านทวนข้อความในไลน์ที่คุยสั้นๆกับชลธีเมื่อคืน
Chon: I’m Sorry
BaiPlu: For what?
Chon: Everything
BaiPlu: Nothing! A picture is worth than a thousand word
“อ้าว...พี่นึกว่าเรายังไม่ตื่น ทำไมไม่ลงไปกินข้าวล่ะคะ วันนี้มีข้าวต้มกุ้งของโปรดของหนูด้วยนะ?” แทนดาวรีบปิดจอแท็บเล็ตเมื่อพี่ชายเข้ามาในห้อง เทียมภพยื่นหน้าไปจุ๊บหน้าผากเนียน พลางสังเกตว่าหน้าตาของน้องสาวดูซีดเซียวกว่าเดิม
“ยังไม่ค่อยหิวเลยค่ะ สงสัยเมื่อวานซัดไปเต็มเหนี่ยว นี่ยังตื้ออยู่เลยค่ะ” น้องสาวตอบเลี่ยงไปอย่างนั้นเอง ที่ไม่อยากกินอะไรเพราะยังติดใจเรื่องเมื่อคืนมากกว่า
“ว่าแล้วเชียว เออ...เป็นไงมั่งล่ะ? งานเมื่อวานสนุกมั้ยคะ?”
“ก็สนุกดีค่ะ อาหารอร่อยมาก...รสชาติเหมือนไปนั่งกินที่ญี่ปุ่นเลย” น้องสาวพยายามทำเสียงให้ร่าเริง
“พี่หมากขา...” แทนดาวโผกอดคอพี่ชายด้วยอยากถ่ายทอดความอัดอั้นตันใจที่มี เทียมภพสัมผัสได้ถึงอาการหงอยเหงาของน้องสาวก็แปลกใจ
“วันนี้เป็นอะไรหืม? ทำไมน้องสาวแสนซนของพี่หมากดูซึมๆจังคะ?”
“รู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆยังไงก็ไม่รู้ค่ะ สงสัยจะเครียดเรื่องทำปริญญานิพนธ์มากไป” คนตัวเล็กยังบ่ายเบี่ยงที่จะพูดความจริง ตัดสินใจแล้วว่าเรื่องนี้ต้องไม่รู้ถึงหูพี่หมากเด็ดขาด ไม่ใช่เพราะกลัวว่าพี่ชายจะตามไปยำคนที่ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจอยู่อย่างนี้แต่เพราะหล่อนไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโกรธเขา การที่ชลธีจะมีคนรักมันก็ไม่แปลกแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเอ่ยปากขอหมั้นทั้งๆที่ตัวก็ไม่โสด
“โธ่เอ๊ย...นึกว่าเป็นอะไร เอาน่า...ทนอีกเดียวนะคะคนเก่ง เอางี้...เดี๋ยวอาทิตย์หน้าพี่จะลางานซักสองวันแล้วเราไปเที่ยวประเทศใกล้ๆดีมั้ยคะ? อยากไปไหนล่ะ...สิงคโปร์ เวียดนามหรือบาหลีกันอีกสักรอบดีมั้ย?” แทนดาวได้ฟังก็น้ำตารื้น พี่หมากทำเพื่อหล่อนได้ทุกอย่างแต่ตัวเองกลับตอบแทนความรักอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยการทำท่าซังกะตายมัววิตกกังวลเรื่องของคนอื่นงั้นหรือ
“ช่วงนี้ยังไม่อยากไปไหนไกลเลยค่ะ ห่วงเรียน...”
“โอเค...งั้นลงไปกินข้าวซะหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะได้ไปเยี่ยมลูกชายคนล่าสุดของเฮียเบิ้มกัน” เทียมภพดันตัวน้องสาวออกนิดหนึ่งก่อนจะบอกข่าวดีที่แทนดาวต้องร้องออกมาด้วยความดีใจ
“ซ้อใหญ่คลอดแล้วหรือคะ? ว้าว! ได้ลูกชายเพิ่มอีกคนแล้วสิเฮียเบิ้ม คราวนี้บ้านไม่พังก็ให้มันรู้ไป” เทียมภพขยี้ผมน้องสาวด้วยความเอ็นดู คนที่เซื่องซึมอยู่เมื่อกี้เปลี่ยนท่าทีเป็นลิงโลดจนตามไม่ทัน
ชลธีอ่านข้อความที่โต้ตอบกันในไลน์ด้วยความรู้สึกหดหู่ไม่ต่างกัน แม้จะพยายามเตือนตัวเองว่าให้ใจเย็นๆแต่ก็ต้านความร้อนรุมอยากจะพูดคุยแบบซึ่งหน้ากับแทนดาวไม่ไหว เรื่องวันนั้นเขาไม่ผิดสักนิดเดียว อยู่ดีๆเปรมยุตาก็เข้ามาหาและจู่โจมชนิดที่ไม่ทันตั้งหลัก แต่คงเป็นจังหวะที่แสนเลวร้ายที่เผอิญแทนดาวมาเห็นเข้าเสียก่อนแล้วรีบหนีไปโดยไม่อยู่ฟังคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น พอจะตามไปคุยให้รู้เรื่องก็ต้องเจอกับอชิตะที่ตั้งปราการขัดขวางเต็มที่ทั้งๆที่ธุระไม่ใช่ เขาตัดสินใจลองโทรศัพท์หาคนเข้าใจผิด ครั้งแรกไม่รับ สองก็ยังไม่รับ จนครั้งที่สาม
“มีอะไรคะพี่ชล?” เสียงที่กรอกมาตามสายนั้นฟังดูเยือกเย็นชอบกล
“ขอบคุณครับที่รับโทรศัพท์ ถ้าวันนี้พี่ไม่ได้คุยกับน้องพลูล่ะก็คงนอนไม่หลับ”
“น้องพลูว่าน่าจะตรงกันข้ามนะคะ หลับฝันดีล่ะไม่ว่า” หญิงสาวประชดซึ่งคนฟังรู้ตัวดี
“จะไม่ให้พี่อธิบายอะไรเลยเหรอ?” เขาทอดเสียงออดอ้อนพลางคิดในใจว่าสาวน้อยที่กำลังสนทนาด้วยนี้นอกจากอารมณ์ร้ายเหมือนพี่ชายแล้วยังดื้อเหมือนกันอีกสิน่า
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นน้องพลูก็จะบอกว่าไม่ต้องเสียเวลาอธิบายหรอกค่ะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่ชล...น้องพลูไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่าย!” แม้จะคนพูดจะพยายามทำเสียงให้ดูห้วนแต่ก็ไม่อาจกลบเกลื่อนความสั่นของนำเสียงนั้นได้
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ...พี่ก็จะบอกอยู่นี่ไง มันไม่ได้มีอะไรมากเกินไปกว่าที่น้องพลูเห็นเลยนะครับ”
“น้องพลูไม่สนใจหรอกว่าพี่ชลมีอะไรตื้นลึกหนาบางยังไง...กับใคร...”
“ไม่สนแล้วทำไมต้องหนีออกมาด้วย”
“ก็...น้องพลูแค่ตกใจนี่คะ พี่ชลก็ลองคิดดูสิ...อยู่ดีๆก็เดินไปเจอฉากจูบโรแมนติกในที่รโหฐานแบบนั้น บอกตรงๆค่ะว่าน้องพลูอายแทน!” แทนดาวกระแทกเสียงตอบ คนต้นสายถึงกับอึ้งกับคำบริภาษนั้น
“พี่ไม่ได้ตั้งใจให้ทันเกิดขึ้นนะครับ จะพูดยังไงให้เราเข้าใจดีนะ” ชลธีจะบอกว่าเปรมยุตาเป็นฝ่ายกระทำทั้งหมดก็ไม่ได้เพราะไม่ใช่วิสัยลูกผู้ชายอย่างเขาที่จะโยนความผิดให้ผู้หญิงเสียหายแต่ถึงจะพูดความจริงไปแทนดาวก็คงยังไม่เชื่ออยู่ดี ก็หล่อนย้ำนักย้ำหนาว่าหนึ่งภาพแทนล้านคำพูด
“พอเถอะค่ะ น้องพลูไม่อยากฟังเรื่องเพื่อนรักเพื่อนพิศวาสนี่แล้ว เรื่องแบบนี้ไปหาดูในละครหลังข่าวก็ได้ ส่วนเรื่องหมั้นของเรา...ยกเลิกเถอะค่ะ น้องพลูยังไม่รู้จักพี่ชลเลยสักนิดเดียว อย่าทำให้น้องพลูต้องรู้สึกเหมือนถูกผูกมัด ยิ่งพี่ชลมีแฟนอยู่แล้วก็ไม่ควรสร้างกระแสรักสามเศร้าอีก ในละครมันสนุกแต่ในชีวิตจริงมันไม่สนุกนะคะ” เสียงของชลธียังคงดังแผ่วๆมา หญิงสาวกดวางสายพลางถอนใจยาว
“ทำไมพี่ชลถึงมีความลับซ่อนเอาไว้มากมายอย่างนี้นะ ถ้าขืนดันทุรังหมั้นหมายกันแล้วจะไปรอดหรือ?”
หลังจากวันนั้นชลธีก็ติดต่อแทนดาวไม่ได้อีก ไม่ยอมรับสาย ไม่ตอบไลน์ ส่งดอกไม้ไปให้ก็ถูกส่งกลับมาทุกที เขาจึงรู้ความเคลื่อนไหวของคนแสนงอนจากปากน้องสาวกับเชคสเตตัสในแต่ละวันบนเฟสบุ๊คของหล่อน จนความอดทนของเขาสิ้นสุดลงเมื่อยังติดต่อคนตัวเล็กไม่ได้เป็นวันที่สาม จึงตัดสินใจบุกไปที่บ้านเสียเลย
“มาแล้วเหรอชล ไปนั่งคุยกับลุงที่ห้องเถอะ” คุณเที่ยงธรรมเดินออกมาทักทายชายหนุ่ม ที่เมื่อวานได้โทรบอกท่านว่าจะมาเยี่ยมเยียน
“ไม่แน่ใจว่าลุงแท้บอกหรือยังว่าเราชนะประมูลส่งเฟอร์นิเจอร์หวายให้โรงแรมเจ็ดดาวที่ดูไบ ล้มคู่แข่งจากสิงคโปร์ได้สวยๆ” เขาแจ้งข่าวดีกับคุณเที่ยงธรรมที่ยิ้มแย้มออกมาด้วยความดีใจ
“เค้าบอกลุงตั้งแต่เมื่อวานซืน โทรรายงานสดมาจากดูไบเลย ขอบใจคุณชลจริงๆ นี่ก็คงจะกลับมาถึงคืนนี้”
“เรื่องนี้ผมทำคนเดียวไม่ได้หรอกครับ หมากเองก็มีส่วนสำคัญ” เขาให้เครดิตศัตรูอย่างไม่ตะขิดตะขวง จริงอยู่ว่าการยื่นซองประมูลที่ดูไบคราวนี้ต้องฟันฝ่าอุปสรรคหลายอย่าง เขาเองก็ต้องใช้ทั้งเครดิต เงินและอาศัยเส้นสายบ้างกว่าจะเข้าถึงงานนี้ได้ ส่วนคู่ปรับอย่างเทียมภพก็เป็นคนติดต่องานทุกอย่างเอง บินไปบินมาในช่วงเวลานั้น
“หมากเค้าเป็นคนเอาจริงเอาจังเวลาทำงาน เรื่องลุยต้องยกให้เค้า” คุณเที่ยงธรรมพูดถึงบุตรชายคนโตด้วยความภาคภูมิใจ ตอนแรกท่านคิดว่าจะฝากฝังทวีกิจไว้กับลูกคนนี้ไม่ได้เสียแล้ว เพราะตอนเป็นวัยรุ่นนั้นทั้งเกเร ไม่สนใจเรียน ไม่เอางานเอาการอะไรสักอย่าง ได้แต่ใช้เงินไปกับการเที่ยวเตร่และซื้อของฟุ่มเฟือย กว่าจะพัฒนามาเป็นเทียมภพที่เอาการเอางานก็เมื่อจบมหาวิทยาลัยแล้ว
“อ้าวแก...มาทำไม?” คำทักทายแสนจะเป็นมิตรมาพร้อมกับร่างสูงของเทียมภพผู้แสนสุภาพ เขาเห็นรถยนต์คุ้นตาแวบๆก็จำได้เลยต้องรีบมาต้อนรับ
“ชลโทรมาบอกพ่อแล้วว่าจะมา กำลังคุยเรื่องยื่นซองประมูลที่สกายแอร์พอดี อ้อ...น้องสาวเราไปไหนล่ะ รู้หรือเปล่าว่าคุณชลเค้ามา?” เทียมภพหูผึ่ง คิ้วขมวดตาขวางขึ้นมาทันที
“ยัยพลูทำรายงานอยู่บนห้อง ผมไม่ต้องการให้ใครไปรบกวน!” เทียมภพโวยวายลั่น แม่บ้านที่อยู่แถวนั้นเลยค่อยๆย่องเข้ามาดูเหตุการณ์ใกล้ๆว่าเกิดอะไรขึ้น
“ลงมาทักทายแป๊บเดียวจะเป็นไรไป” คุณเที่ยงธรรมพยายามกล่อมบุตรชาย
“ไม่ได้ครับ! ผมไม่ให้พบ” บุตรชายยังยืนกรานเสียงแข็ง คุณเที่ยงธรรมหันมามองชายหนุ่มอีกคนอย่างอ่อนใจ
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าเธอยุ่งผมก็ไม่อยากกวน” ชลธีปรายตามองมาทางคนหาเรื่องนิดหนึ่ง อย่างระอาในความไร้เหตุผล
“หมาก...มันจะเป็นไรไป เค้าเป็นคู่หมั้นกันนะลูก” คุณเที่ยงธรรมพยายามไกล่เกลี่ย
“แค่ ‘ว่าที่’ เท่านั้นครับพ่อ ตอนนี้ยัยพลูยังอยู่ในความปกครองของผมเพราะงั้นผมมีสิทธิ์ที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ใครพบเธอก็ได้”
“พี่ชลมีอะไรกับพลูหรือคะ?” ทั้งคู่หยุดการวิวาทย่อยๆในทันทีเมื่อคนที่ถูกพาดพิงเดินเข้ามา สีหน้าราบเรียบของหล่อนทำให้ชลธีถึงกับใจหาย
“น้องพลูลงทำไมเนี่ย? ทำไมไม่ทำการบ้านต่อ”
“ใครจะไปมีสมาธิล่ะคะ เสียงโหวกเหวกดังไปถึงข้างบน” หญิงสาวบ่น
“เพราะแกคนเดียว” เทียมภพรีบโยนความผิดให้ผู้มาเยือนทันที
“ไม่ต้องไปโทษคนอื่นเลยนะ น้องพลูได้ยินแต่เสียงพี่หมากตะโกนอยู่คนเดียวนั่นแหละ” เท่านั้นเทียมภพจึงเงียบกริบแต่ยังไม่วายแอบบ่นเบาๆ “ก็มันหาเรื่องก่อน”
“พี่เค้ามาเยี่ยมพ่อน่ะลูก แล้ววันจะไปไหนหรือเปล่า?”
“ผมว่าจะพาน้องพลูไปกินข้าวข้างนอก เชิญคุณพ่อกับเอ่อ...คุณชลธีเถอะครับ” เทียมภพรีบตอบให้ น้องสาวมองหน้าพี่ชายตาดุ
“วันนี้น้องพลูไม่อยากออกไปไหนค่ะพี่หมาก ว่าจะไปช่วยคุณย่าทำขนมปั้นสิบ” พูดจบก็เดินออกไป ทิ้งให้ชลธีมองตามอย่างอาวรณ์แล้วอย่างนี้จะไปอธิบายอะไรได้
“เห็นแล้วใช่มั้ยว่ายัยพลูไม่ว่าง ดีใจด้วยนะ” พอได้โอกาสก็รีบผสมโรงตอกย้ำความผิดหวังของเพื่อนรัก แล้วคนตัวโตก็เดินผิวปากจากไปอย่างอารมณ์ดี
“ไม่เป็นไรครับ งั้นผมลากลับก่อนก็แล้วกัน” เขายกมือไหว้คุณเที่ยงธรรมก่อนจะเดินกลับไปที่รถด้วยความผิดหวัง แทนดาวคงโกรธเขามากถึงไม่ยอมแม้แต่จะมองหน้า หลายวันที่ผ่านมาได้แต่จมอยู่กับความมัวหมองในหัวใจ ไม่คิดว่าแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งจะมีอิทธิพลมากมายขนาดนี้ สาบานเถอะ...ทั้งชีวิตนี่เอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้เสมอ แต่ทำไมถึงเอาชนะใจคนตัวเล็กแสนงอนนี่ไม่ได้เสียที
วันนี้แทนดาวมารอพี่ชายที่ทวีกิจเพราะมีนัดว่าจะไปรับประทานมื้อค่ำด้วยกัน หญิงสาวใช้เวลาระหว่างรอเดินสำรวจอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพราะตั้งแต่บิดาประกาศรีไทร์ตัวเองและเปลี่ยนผังองค์กรใหม่ก็ไม่ได้เข้ามาที่นี่อีกเลย ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม จะมีก็แต่ห้องๆหนึ่งที่เหมือนเพิ่งต่อเติมใหม่ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจจนต้องหยุดอยู่กับที่เห็นจะเป็นป้ายหน้าห้องที่เขียนว่า ‘ชลธี ธาราพิศุทธิ์’ รู้มาว่าเขาจะมาที่นี่แค่สัปดาห์ละครั้งเพื่อประชุมบอร์ดบริหาร วันอื่นๆก็นั่งประจำที่โรงแรม ความอยากรู้อยากเห็นที่อยู่เหนือคำว่ามารยาททั้งปวงทำให้ถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป
แทนดาวลอบยิ้มกับตัวเองเมื่อทั้งห้องว่างเปล่า ม่านหน้าต่างรูดปิด ไฟก็ปิด มั่นใจได้ว่าวันนี้เจ้าของห้องไม่อยู่แน่ ภายในห้องดูใหม่สะอาดตาและเป็นระเบียบดูดีมีสไตล์ แม้จะไม่ใหญ่โตโอ่โถงเท่าห้องของบิดาหรือตอนนี้เป็นของพี่ชายไป ไม่รกเรื้อเหมือนรังตุ่นอย่างของเทียมภพ ซึ่งฝ่ายนั้นพอใจที่สุมเอกสารทุกอย่างไปทั่ว พอจะหาทีก็ต้องเกณฑ์ผู้ช่วยมารื้อค้น
บนโต๊ะทำงานมีกรอบรูปไม้สักตั้งอยู่ ในรูปเป็นครอบครัวของเขาทั้งหมด ชลธียังดูเป็นวัยรุ่นส่วนรมณ์นลินก็เหมือนยังอยู่ในวัยมัธยม แทนดาวอมยิ้มเมื่อเพ่งดูใบหน้าอันนิ่งเฉยอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชลธี
“คนอะไร? ร้อยอารมณ์ในหน้าเดียว” คนตัวเล็กใช้นิ้วจิ้มที่ใบหน้านั้นแล้ววางกรอบรูปลงอย่างเดิม
“เอ...อย่างนี้จะเรียกว่าขโมยได้หรือเปล่าน้า...” แทนดาวสะดุ้งจนเกือบปัดกรอบรูปตกแตกเมื่อเจ้าของห้องตัวจริงมาแอบยืนเงียบกริบอยู่กลางห้อง
“อุ๊ย!...คุณชลอยู่ที่นี่ด้วยหรือคะ?” น้ำเสียงตกใจและสรรพนามที่ใช้เรียกฟังดูแปร่งๆแต่เจ้าของห้องยังคงยืนนิ่งหน้าตาไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
“อ้าว...ก็นี่ห้องพี่” เขาตอบเรียบๆ
“แต่วันนี้ไม่มีประชุมบอร์ดนี่คะ” คนตัวเล็กรีบเดินออกมาให้ห่างโต๊ะทำงานแสดงให้รู้ว่าไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับข้าวของเขานะ
“เค้าเลื่อนมาเป็นวันนี้” คนร่างสูงสาวเท้าเข้ามาใกล้ๆ แทนดาวยังคงตกใจเลยไม่ได้ถอยหนี
“อ้อ...แต่จะว่าไปตอนนี้คุณชลธีก็เป็นเจ้าของที่นี่ด้วย จะมาหรือไม่มาวันไหนก็ไม่ใช่สาระสำคัญ” หล่อนประชด ชลธีถอนหายใจด้วยความระอา
“ทำไมชอบพูดแบบนี้ ที่นี่เป็นของน้องพลู...ไม่ใช่ของพี่” เขาขยับใกล้เข้ามาอีกนิด แทนดาวถอยหลังไปจนติดผนังอีกด้านพยายามบีบตัวให้เล็กที่สุด คนชอบแกล้งกลั้นหัวเราะกับกิริยาท่าทางนั้นก่อนจะเปลี่ยนใจไปนั่งตรงโซฟา
“มานั่งนี่มา” เขาเชื้อเชิญให้มานั่งด้วยกันแต่กลับโดนคนถูกเชิญเชิดใส่
“ไม่ค่ะ! ดิฉันจะออกไปแล้ว” คนตัวเล็กตอบห้วนๆพลางสะบัดหน้าไปทางอื่น
“ไม่นั่งก็ไม่นั่ง” แล้วเขาก็ต้องเป็นฝ่ายลุกเดินไปหาอีกครั้ง พอใกล้จะถึงตัว คนที่บอกอยู่เมื่อกี้ว่าไม่นั่งกลับวิ่งแผล็วมานั่งที่โซฟา ทำให้คนที่มองอยู่เริ่มหมั่นเขี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย
“น้องพลูครับ...พี่หาโอกาสที่จะพบน้องพลูได้ยากมาก ได้โปรดเถอะ...เลิกกวนพี่สักสามนาทีได้มั้ย?” คำขอร้องแกมอ้อนวอนทำให้คนตัวเล็กหยุดอาการรั้นที่กำลังทำอยู่
“ก็ดิฉันกำลังจะออกไปอยู่นี่ไง จะได้ไม่มีคนกวน” คำตอบยังห้วนเหมือนเดิม ไม่ได้สำนึกเลยสักนิดว่าตนเองแอบบุรุกเข้ามาในนี้ ชลธีนั่งลงตรงโซฟาใกล้ๆกันและกวาดตาดูให้แน่ใจว่าไม่มีของแข็งใดๆอยู่ใกล้มือพอให้หล่อนหยิบฉวยมาเขวี้ยงใส่ให้หัวแตกอีกรอบ
“พี่อยากขอโทษเรื่องวันนั้น และอยากอธิบายให้น้องพลูเข้าใจ”
“ดิฉันไม่ติดใจแล้วค่ะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณชล” แม้จะบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลงแต่สีหน้าก็ยังคงหน้าบึ้งตึง
“ฟังพี่อธิบายสักนิดนะครับ...คนดี” เขาทอดเสียงออดอ้อนขอความเห็นใจจนคนถูกอ้อนต้องนิ่งฟังโดยดี พร้อมที่จะบันทึกทุกถ้อยคำลงในหน่วยความจำ
“พี่จะไม่แก้ตัวและขอยอมรับว่าวันนั้นพี่จูบกับปรางเค้าจริงๆ อย่างที่เห็นนั่นแหละ” ชลธียอมรับเต็มปาก แทนดาวกัดปากตัวเองแน่น รู้สึกชาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ค่ะ...เห็นชัดเจนเป็นภาพสี่มิติขนาดนั้นถ้าคุณชลยังบอกว่าเป็นภาพลวงตาอีก เห็นทีดิฉันต้องไปตัดแว่นมาใส่” แม้ในใจจะร้อนรุมสักแค่ไหนแต่ก็ยังคงพยายามบังคับเสียงให้เย็นชามากที่สุด
“ใช่...เราจูบกัน แต่น้องพลูครับ...มันไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปกว่านี้”
“ก็ไม่รู้สิคะ...คุณชลจะแค่จูบหรือเกินเลยไปอีกนิดหน่อยมันจะเป็นไรไป คนเป็นแฟนกันนี่นะ ดิฉันไม่เก็บเอามาคิดมากหรอกค่ะ” คนตัวเล็กยังคงรักษามาดหยิ่งยโสได้ดี
“ไม่คิดมากแล้วทำไมต้องงอน?”
“ไม่ได้งอน!”
“น้องพลูนี่ปากแข็งที่หนึ่งเลย” เขาย้ายไปนั่งโซฟาตัวเดียวกันโดยเร็ว แทนดาวตกใจกระเถิบหนีแต่ถูกคว้าข้อมือไว้ได้ก่อน
“ปล่อยนะ! คนฉวยโอกาส” หล่อนตีมือที่ยุดตนอยู่ดังเพี๊ยะแต่เจ้าของมือไม่ยอมปล่อย
“พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่อยากให้น้องพลูฟังพี่ให้จบก่อน” แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น อาการดีดดิ้นเริ่มรุนแรงขึ้นจนเขาต้องออกแรงกดร่างเล็กนั้นไว้
“คนเห็นแก่ตัว! มีแฟนอยู่แล้วยังมาตีเนียนเกาะแกะคนอื่น”
“พี่กับปรางไม่ได้เป็นแฟนกันซะหน่อย”
“ไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วจะจูบกันได้ยังไง?” คนตัวเล็กยังไม่หยุดอาการสะบัดสะบิ้ง
“ฟังดีๆนะ...อย่าเพิ่งเถียง พี่กับปราง...พูดง่ายๆคือเราเคยเป็นแฟนกันมาก่อนแต่ว่านั่นก็นานเกือบจะสิบปีมาแล้ว จริงอยู่ว่าทำงานที่เดียวกันอาจจะมีบางจังหวะที่ต้องใกล้ชิดกัน แต่พี่รู้ตัวดีว่าความสัมพันธ์ของเราไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก เพราะว่าตอนนั้น...เราจากกันแบบ...ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่” ชลธีหยุดไปครู่หนึ่ง แทนดาวสังเกตเห็นความร้าวรานปรากฏชัดในดวงสีเหล็กคู่นั้น มันดูเจ็บปวดและทุกข์ทรมานจนคนมองยังใจหาย
“สิ่งที่เหลืออยู่ระหว่างเราตอนนี้คือคำว่าเพื่อน” เขาหยุดเล่าเมื่อรู้สึกถึงก้อนแข็งๆมาอยู่จุกที่คอ แทนดาวเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่าได้วางมือข้างหนึ่งลงบนแขนของเขาและบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ
“แล้ววันที่น้องพลูเห็น...เรา พี่เองก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอกแต่นั่นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่พี่ให้ปรางได้ ที่จริงแล้ว...หลังจากงานเลี้ยงคืนนั้นปรางก็รู้ว่าพี่จะไม่กลับไปหาเค้าอีกแล้ว” แทนดาวหน้าสลดลงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อฟังเรื่องราวจนจบ ยิ่งรู้สึกอยากจะล้วงลึกเข้าไปในตัวตนของคนข้างๆมากขึ้น ชลธีมีความลับซุกซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆของชีวิตมากมายเหลือเกิน
แทนดาวหวนนึกถึงคำสอนของพี่ชายที่ว่า ‘ความรักจะยั่งยืนเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับว่าคนสองคนว่าจะช่วยกันปลูกต้นรักนี้ให้มันเติบโตงอกงามได้ดีแค่ไหน’ มันคงเป็นเช่นนั้นแหละ...ชลธีกับเปรมยุตาไม่อาจดูแลต้นรักให้งอกงามยั่งยืนอย่างที่หวัง ชลธีถึงได้ดูเศร้าและเจ็บปวดกับความรักในอดีตได้ขนาดนี้ เมื่อทุกอย่างกระจ่างในใจก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องตั้งแง่กับเขาอีก
“อย่าไปพูดถึงมันเลยค่ะ ดิฉันก็จะไม่คิดถึงมันด้วย” แทนดาวยิ้มอย่างให้กำลังใจ มือนุ่มยังคงบีบเบาๆที่ท่อนแขนแข็งแรง ชลธียิ้มตอบ เป็นยิ้มปนเศร้าเพราะเรื่องในอดีตตามกลับมารบกวนหัวใจ
“ขอบคุณครับที่เข้าใจพี่ แล้วอีกอย่าง...ใครสอนให้พูดแทนตัวเองแบบนั้น ฟังดูไม่รื่นหูเลย พูดกับพี่อย่างเดิมซะดีๆ” เขาสั่งพลางมองมือเล็กที่ยังจับแขนตนเองอยู่อย่างพินิจพิเคราะห์ จิตใจของคนตรงหน้าช่างละเอียดอ่อน เห็นว่ายังเด็กอย่างนี้แต่กลับมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนอื่นได้ลึกซึ้ง
“จะดีหรือคะ? คุณแม่สอนว่าเวลาอยู่ทวีกิจต้องไม่เรียกชื่อเล่นเหมือนอยู่ที่บ้าน อยู่ที่ทำงานต้องเรียกตามตำแหน่งค่ะ เพื่อไม่ให้เสียการปกครอง” คนตัวเล็กอธิบายไปตามจริง เวลามาอยู่ที่นี่ก็เรียกพี่ชายต่อหน้าคนอื่นว่าคุณเทียมภพ พี่สาวก็เรียกว่าคุณปลายเดือน แม้แต่บิดาก็ต้องเรียกว่าท่านประธาน คนอื่นๆก็จะเรียกชื่อเต็มของหล่อนว่าแทนดาวเช่นกัน
“อ๋อ...แต่ว่าขอยกเว้นพี่สักคนได้มั้ย? พี่ไม่ถือยศถือตำแหน่งอะไรหรอก” เขาบอกด้วยเสียงนุ่มนวลเมื่อปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปรกติแล้ว
“พลูจะเรียกพี่ชลเมื่ออยู่กันสองคนก็แล้วกันนะคะ แต่ต่อหน้าคนอื่นขอเรียกแบบเดิม เดี๋ยวคุณแม่กับพี่ผึ้งได้ยินจะดุเอา”
“โอเค อ้อ...พลูอย่างเดียวก็ไม่เอา ต้องน้องพลูด้วย” เขาสั่งแต่ก็เข้าใจที่คนตัวเล็กบอก
“งั้นน้องพลูออกไปก่อนดีกว่าค่ะ อุ๊ย...ขอโทษค่ะ” แทนดาวเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ากอดแขนเขาเสียแน่นเชียวเลยรีบชักมือออก ชลธียิ้มอีกครั้งก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักแล้วเดินพร้อมกับสิ่งของบางอย่างในมือ
“ถ้าตอนนี้หายโกรธพี่แล้ว ก็กรุณารับมันไว้ด้วยนะครับ” แทนดาวมองลังเลนิดหนึ่งก่อนจะรับของสิ่งนั้นมาพิจารณา มันเป็นกำไลข้อมือรูปดอกลิลลี่ ออฟ เดอะวัลเล่ย์ ตัวกำไลเป็นทองคำดัดเป็นลวดลายรูปกิ่งและใบของดอกไม้ชนิดนี้ ส่วนดอกจิ๋วทรงระฆังคว่ำทำจากไข่มุกเม็ดเล็กเรียงร้อยกันสวยงาม พอมองสำรวจรายละเอียดจนพอใจแล้วก็ส่งสายตาเป็นเชิงถามไปที่คนให้
“พี่ไปสั่งทำไว้นานแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้มอบให้เสียที” แทนดาวจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งคืนให้เขา
“น้องพลูเกรงใจจังค่ะ มันคงแพงมากเลย คงจะรับไว้ไม่ได้” ด้วยความที่ถูกสั่งสอนมาว่าอย่ารับของกำนัลที่มีมูลค่าสูงทำให้ต้องตัดใจคืนไปทั้งๆที่ก็แอบเสียดาย
“รับไว้เถอะ มันไม่ได้แพงมหาศาลอะไรขนาดนั้นหรอก พี่แค่อยากซื้อของขวัญให้...ว่าที่คู่หมั้น” แทนดาวรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว มองกำไลในมือด้วยอารมณ์ทั้งอยากได้และไม่อยากได้ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังไม่คุ้นกับคำว่า ‘ว่าที่คู่หมั้น’
“พี่หมากต้องไม่ชอบแน่ๆเลย” คนตัวเล็กบ่นอุบอิบ
“คงงั้นมั้ง ก็แน่ล่ะ...ผู้ชายที่ไหนเค้าชอบเครื่องประดับของผู้หญิงกันล่ะ” แล้วเขาก็หัวเราะ แทนดาวหน้ามองเขาแล้วคิดในใจ “เล่นมุกเป็นด้วยนะเนี่ย”
“พี่หาโอกาสที่จะให้น้องพลูมานานแล้ว คิดว่าจะทำยังไงดีที่จะไม่ถูกตีกลับเหมือนดอกไม้พวกนั้น”
“ดอกไม้อะไรเหรอคะ?” แทนดาวทำหน้าเหรอหรา ชลธีอมยิ้มก่อนจะพูดต่อ
“ก็ตอนที่น้องพลูยังงอนพี่อยู่ไง พี่ติดต่อเราไม่ได้เลยส่งดอกไม้ไปให้ที่บ้านทุกวันเลย สงสัยจะมีคนหวังดีกลัวน้องพลูจะแพ้ละอองเกสรมั้ง เลยส่งกลับมาหมดจนบ้านพี่จะกลายเป็นสวนดอกไม้อยู่แล้ว” ชลธีเล่าอย่างไม่เดือดร้อนขณะที่แทนดาวนึกโมโหกรุ่นอยู่ในใจ “พี่หมากนะพี่หมาก ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก”
“เอามาสิ...พี่จะใส่ให้นะ” เขายื่นมือออกไปรอ คนตัวเล็กค่อยๆยื่นมือซ้ายให้
“เป็นไง...พอดีเลย” ชลธีสวมกำไลข้างนั้นที่ข้อมือบางอย่างทะนุถนอม เขายังคงเกาะกุมข้อมือนั้นอยู่ไม่ยอมปล่อย เสแสร้งว่ากำลังชื่นชมกำไล
“สวยจังค่ะ” แทนดาวอุทานเบาๆด้วยความประทับใจและค่อยๆดึงมือกลับเพื่อไหว้ขอบคุณ
“เอาล่ะ...พี่เคลียร์ตัวเองแล้ว ที่นี้ตาน้องพลูมั่ง...” คนตัวเล็กละสายตาจากเครื่องประดับชิ้นใหม่มามองเขาอย่างตั้งคำถาม
“เมื่อวันที่นายอชิตะไปส่งเรา คุยอะไรกันบ้าง?” เขาถามเสียงดุเมื่อเอ่ยถึงหมอแว่นคนนั้น
“ก็ไม่มีอะไรนี่คะ แทบจะไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำเพราะน้องพลูเอาแต่...หลับ” ตอนแรกตั้งใจจะบอกว่าเอาแต่คิดมากเรื่องที่บังเอิญไปเห็นฉากจูบแต่ก็ยับยั้งไว้เสียก่อน ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองเครียดกับเรื่องนั้นแค่ไหน
“แล้ว...เจ้าหมอนั่นล่วงเกินอะไรน้องพลูหรือเปล่า? อย่างเช่นว่า พูดจาก้อร่อก้อติก แอบจับมือ จับผม” คนหน้าดุถามพลางสำรวจดวงตาประกายสดใสนั้นอย่างค้นหา
“ไม่มีเลยค่ะ ใครจะไปมือไวเท่าพี่ชลเล่า เผลอเป็นลูบ” คนตัวเล็กว่าให้อย่างหมั่นไส้ ชลธียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะดึงคนตัวเล็กเข้ามาประชิดตัวอย่างอดใจไม่ไหว มือหนายึดข้อมือที่สวมกำไลไว้แน่นส่วนมืออีกข้างจับผมยาวนุ่มสลวยเล่นอยู่อย่างนั้น แทนดาวเริ่มไม่พอใจที่เขาชอบฉวยโอกาส
“ปล่อยค่ะ พี่ชลทำแบบนี้อีกแล้วนะ” คนตัวเล็กพยายามปลดพันธนาการที่เขาสร้างไว้แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าฝ่ายนั้นจะยอม
“พี่ปล่อยก็ได้แต่ต้องมีของแลกเปลี่ยน” เขาต่อรองพร้อมกับยิ้มตาพราว
“อะไรเหรอคะ?” หญิงสาวทำหน้ามีความหวัง ชลธียื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกก่อนจะพูดเหมือนกระซิบแต่ก็ดังชัดเจนจับใจคนรอคอยคำตอบ
“ต้องให้พี่หอมแก้มก่อน น้องพลูน่ารักมาก...รู้ตัวหรือเปล่า?” ข้อแลกเปลี่ยนที่เขาว่าทำเอาคนถูกขอหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันตาเห็น คนขอหัวเราะชอบใจ
“ไม่มีทาง! พี่ชลนี่ชอบแกล้งจริงๆเลย”
“นะคะคนสวย...ไม่งั้นก็จะจับตัวขังไว้ในห้องกันสองคนอย่างนี้แหละ แล้วถ้าโชคดีนะ...ก็อาจจะมีคนมาเห็น ทีนี้ล่ะ...ถูกจับแต่งงานทันทีไม่ต้องมีพิธีหมั้นเลย” แล้วคนช่างต่อก็ก้มลงจูบมือนุ่มนิ่มข้างนั้นเร็วๆ
“อื้อ...พี่ชลอ่ะ” คนตัวเล็กทำเสียงให้ดุเหมือนโกรธแต่จริงๆแล้วขัดเขินเสียจนไปไม่เป็น
“ถ้าน้องพลูโกรธก็ตบพี่ได้เลย พี่อนุญาต” เขาหัวเราะในลำคอแล้วค่อยๆเกลี่ยปอยผมที่ระเรี่ยบนแก้มทั้งสองข้าง ตอนนี้ใบหน้าเรียวงามออกชมพูเรื่ออยู่ห่างแค่นิดเดียวเอง
“แค่ครั้งเดียวนะคะ” คนตัวเล็กกระซิบบอกด้วยความเก้อกระดากอายจนมิอาจมองหน้าเขาได้ ในชีวิตนี้มีผู้ชายเพียงสองคนที่เคยให้หอมแก้มคือบิดากับพี่ชาย แต่ตอนนี้จมูกโด่งของบุรุษหน้าคมค่อยๆกดลงบนแก้มเนียนซับสีแดงเรื่อด้วยเลือดฝาดแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆราวกับจะเก็บกลิ่นหอมจางจากเนื้อเนียนเอาไว้ชื่นใจให้นานที่สุด
“พอใจแล้วใช่มั้ยคะ?” คนตัวเล็กก้มหน้างุดด้วยความอุธัจขัดเขินที่ถูกชายแปลกหน้าดอมดมแก้มนุ่ม
“ยัง...” คนที่เพิ่งจะได้ประทับรอยสัมผัสรีบตอบให้รู้ว่ายังไม่พอใจจริงๆ
“เอ๊ะ!...บอกแล้วไงคะว่าครั้งเดียวเท่านั้น อย่ามาขี้โกงนะ” คนตัวเล็กประท้วง
“ครั้งเดียวของพี่...หมายความว่าต้องได้ทั้งสองข้าง” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มอย่างผู้กำชัยชนะ ถ้าคิดจะเอาชนะแทนดาวก็ต้องเล่นกลกันหน่อย
ปลายนิ้วเรียวดุจสตรีบังคับให้ใบหน้าหวานให้หันแก้มอีกข้างมาให้แล้วกดจมูกลงไปอีกครั้ง สัมผัสความนุ่มและหอมของแก้มเนียนละมุนยาวนานกว่าครั้งแรก แต่แล้วก็บังเกิดความโลภขึ้นในจิตใจด้านมืดของตนเอง เมื่อถอนจมูกออกจากแก้มนิ่มแล้วก็คิดอยากจะสัมผัสริมฝีปากเคลือบสีชมพูอ่อนอีก นิ้วมือแข็งแรงยังคงบังคับให้ใบหน้างามสะคราญอยู่นิ่งๆ
“ครบแล้วนะคะ” คนตัวเล็กส่งเสียงลอดไรฟันเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ยอมปล่อย
“พี่อยากจะ...” เขาพยายามข่มใจอย่างที่สุดเพื่อหยุดความต้องการของตัวเอง นึกถึงคำมั่นที่ได้ให้ไว้กับบิดาของหล่อนตอนที่ไปขอ “ผมจะไม่ทำเกินเลยให้เธอเสื่อมเสีย”
ชลธีถอนหายใจลึกก่อนจะปล่อยให้คนตัวเล็กที่หน้าแดงราวลูกเชอรี่เป็นอิสระ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เขาจะไม่มีวันใช้ความชำนิชำนาญโอ้โลมให้หล่อนยอมโอนอ่อนจนยอมทำตามใจเขาทุกอย่าง หล่อนคือดอกไม้แห่งพฤษภาที่งดงามบริสุทธิ์จนควรที่จะหักห้ามใจไม่แตะต้องให้กลีบช้ำ
“ชื่นใจจังค่ะ อิจฉาพี่ชายเราจังที่ได้หอมแก้มน้องพลูทุกวัน” เขาทอดเสียงหวานแถมยังใช้คำพูดคะขาอ่อนโยนแบบเดียวกับพี่ชายจนคนฟังต้องเงยหน้ามองว่าใช่พี่ชลที่แสนจะเคร่งขรึมคนเดิมหรือเปล่า แต่มือปลาหมึกที่ยังลูบไล้เส้นผมเล่นไม่ยอมหยุดทำให้มั่นใจว่าเป็นตัวจริง
“ค้ากำไรเกินควรแบบนี้ไม่ดีนะคะ เอาเปรียบลูกค้าอย่างนี้ได้ไง”
“พี่เป็นพ่อค้านี่นา ทำอะไรก็ต้องบวกกำไรเป็นเท่าตัวไว้ก่อน นี่ถือว่าลดราคาให้แล้วนะ”
พอแทนดาวออกไปแล้วเขาก็กลับมาทำงานอย่างอารมณ์ดี ความรู้สึกชื่นอกชื่นใจที่เก็บตุนไว้เต็มปอดยังคงหอมกรุ่นไม่จืดจาง ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมที่ตอนนี้อาบไปด้วยรอยยิ้มกำลังนั่งปล่อยความคิดสบายๆต้องยิ้มกว้าง ในที่สุดเขาก็พบคำตอบที่คาใจมานานนับแต่เมื่อครั้งที่ได้พบกับแทนดาวครั้งแรก จำได้ว่าครั้งนั้นได้สบตาโตทรงอัลมอนด์คู่สวยแล้วรู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เขาจำได้แล้ว...หล่อนคือเด็กผู้หญิงตัวอ้วนกลมคนนั้น!
เมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อนเขาเคยไปนอนค้างบ้านของเทียมภพเพื่อนคู่หู วันนั้นจำได้ว่าเพื่อนรักอุ้มน้องสาววัยหนึ่งขวบมาอวดด้วยความเห่อ ตอนนั้นดวงตาโตคู่สวยยังมิได้เปล่งประกายงดงามมีเสน่ห์ดึงดูดเช่นในเวลานี้แต่ก็เป็นจุดโดดเด่นจนทำให้จดจำได้ เขายังได้อุ้มหนูน้อยหน้าตาน่ารักยังกับตุ๊กตาแต่แม่หนูจอมแสบกลับฉี่รดใส่เขา
“อ้าว...น้องพลูฝากรักมึงซะแล้ว ฮ่าๆ ยัยหนูเล่นตีตราจองซะขนาดนี้ จำไว้นะ...ว่ามึงต้องกลับมาขอเธอแต่งงานด้วย”
ชลธีเผลอหัวเราะออกมา ไม่คิดว่าเรื่องที่พูดเล่นหยอกล้อกันเมื่อยี่สิบปีก่อนมันจะกลายเป็นความจริงราวกับนิยาย
อีกพักใหญ่ต่อมาประตูห้องก็ถูกเปิดอีกครั้ง ตอนแรกคิดว่าแทนดาวอาจจะลืมอะไรเอาไว้ แต่คนที่เข้ามาใหม่กลับเป็นเปรมยุตา หล่อนเดินเข้ามาด้วยท่าทีเศร้าหมอง น้ำตาอาบเต็มสองตาก่อนจะโผเข้ากอดเขาแน่น
“ปรางขอโทษ...แต่ปรางทนไม่ได้ ปรางทนเห็นคุณทำแบบนั้นกับเธอไม่ได้จริงๆ!” ชลธียืนงงเป็นไก่ตาแตก เปรมยุตามาที่นี่ได้ยังไง? ที่สำคัญมาฟูมฟายกับเขาเรื่องอะไรกัน?
“ปราง! หยุดเถอะ ผมขอร้อง” เขาพยายามเรียกสติของคนที่กำลังกอดตนเองเสียแน่นหนา เสียงร้องไห้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
“ฆ่าปรางก่อนสิ! แล้วปรางจะเลิกรักคุณ”
ชลธีพยายามแกะมือทั้งสองข้างของเปรมยุตาออกจากรอบเอวแต่ดูเหมือนมันยิ่งรัดแน่นจนต้องตัดสินใจออกแรงกระชากและผลักจนกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว เปรมยุตาหน้าเสีย ดวงตาฉายแววไม่พอใจ ชลธีมองอีกฝ่ายอย่างรู้สึกผิด เขาไม่เคยใช้กำลังกับเพศตรงข้ามมาก่อนเลย
“ชลคะ...ปรางขอโทษค่ะ แต่...” น้ำตาไหลรินร่วงเผาะ ชลธีก้าวเข้ามาใกล้ คิดว่าตนคงทำรุนแรงกับหล่อนมากเกินไป เขาเอื้อมมือหมายจะปาดน้ำตาบนแก้มสีกุหลาบนั้นแต่แล้วต้องหยุดชะงัก ถ้าเขาไม่หักใจ...หล่อนก็จะยังคิดว่าเขายังมีเยื่อใยไม่เลิก
“พอเถอะปราง...ผมว่าคุณกลับไปโรงแรมดีกว่า อย่าเสียเวลามาตามผมเลย ผมมีงานต้องทำและที่นี่...ไม่ใช่ที่ของคุณหรือผม เราไม่ควรเอาเรื่องส่วนส่วนตัวมาพูดกัน” เขาซุกมือในกระเป๋ากางเกงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรที่ดีไปกว่านี้ได้เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันจบสิ้นไปตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อน เป็นแปดปีที่เขาไม่เคยตื่นจากฝันร้ายและจมอยู่กับความเสียใจแสนสาหัส!
“คุณบอกว่าอย่าเสียเวลามาตามคุณ แต่คุณ...เสียเวลาทำงานอันมีค่าของคุณเพื่อเธอ ที่นี่ไม่ใช่ของปรางหรือของคุณ แต่คุณเลือกที่จะมาอยู่ที่นี่...เพราะเธอ!” เปรมยุตาพรั่งพรูความรู้สึกออกมาจากใจพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก ชลธีหันหลังให้ด้วยกลัวว่าจะใจอ่อนกับน้ำตาที่กำลังไหลพรูอีก
“ปรางครับ...เราเป็นเพื่อนกันนะ อย่าลืมสิ และผมขอร้อง...อย่าดึงใบพลูเข้ามาเกี่ยว” เขาปรามเสียงดุเมื่อสาวน้อยกำลังถูกพาดพิง เปรมยุตาเสียดหูขึ้นมาอย่างแรงเมื่อได้ยินชื่อนั้น
“เพื่อน?” หล่อนแค่นเสียงคล้ายจะเยาะตัวเอง “ชลลืมไปแล้วเหรอว่าปรางเป็นเมียคุณ!” หล่อนตะเบ็งเสียงใส่คนที่ยืนหันหลังให้ ชลธีหันมามองโกรธๆ เปรมยุตาผู้อ่อนหวานของเขาไม่มีอีกต่อไปแล้ว ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้ามิใช่สาวน้อยแสนดีที่เคยมอบความรักให้หมดทั้งหัวใจ คนที่เคยเทิดทูนบูชาว่าเป็นหนึ่งเดียวที่จะมอบหัวใจไว้ให้ แต่นี่...ไอ้สิ่งที่ตะโกนย้ำกับเขาเมื่อกี้ หล่อนเองมิใช่หรือที่สละมันไปอย่างไม่ใยดี!
“แค่ ‘เคย’ นะปราง” เขาตอบเสียงแผ่วเบาหากแต่หนักแน่นเพื่อเน้นย้ำให้คนฟังเข้าถึงความหมาย
“แต่ชลคะ...เรื่องนั้นมันก็นานมาแล้ว ปรางยังรักคุณอยู่และพร้อมเสมอที่เริ่มต้นใหม่กับคุณ ปรางสัญญาว่าจะไม่ทำเลวร้ายแบบนั้นอีก จะไม่หนีไปไหนอีก” หล่อนอ้อนวอนทั้งน้ำตา แววตาส่อประกายความอาวรณ์
ชลธีถึงคราวลำบากอีกหน เขาทำร้ายหัวใจใครไม่เป็นแต่ก็ทำร้ายหัวใจตัวเองไม่ได้เช่นกัน เคยรักเปรมยุตาคนเก่าจนสุดหัวใจ แต่สิ่งที่หล่อนพรากเอาไปนั้นมันหนักหนาเสียจนหัวใจของเขาด้านชาไม่หลงเหลือความเอื้ออาทรใดๆให้อีกต่อไปแล้ว
“เอาลูกผมคืนมาสิ...แล้วผมจะกลับไปอยู่กับคุณ” ชลธีกัดฟันตอบเสียงกร้าว แววตากล้าขึ้นจนเปรมยุตาตัวสั่น
“ชล...” หล่อนได้แต่ครางเรียกชื่อเขา น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว ตอนนี้ตกใจมากกว่า ไม่คิดว่าอดีตคนรักจะยังฝังใจกับเรื่องนี้อยู่
“เค้าผิดอะไรปรางถึงได้ทำแบบนั้น? ปรางรู้มั้ยว่าผมไม่เคยมีความสุขเลยนับตั้งแต่ที่ชีวิตบริสุทธิ์ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของผมถูกทำลายโดยผู้หญิงที่ผมเคยรักมากที่สุด ชีวิตมีแต่ความรู้สึกผิดจนไม่อยากแม้แต่จะยิ้มหรือหัวเราะ” เขาหยุดกลืนก้อนแข็งๆลงคอ
“ผมโทษตัวเองมาตลอดว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณต้องตัดสินใจทำแบบนั้น เคยคิดว่าคุณเองก็รักผมมากเหมือนกับที่ผมรักคุณ แต่สิ่งที่คุณได้ทำลงไป...” เขาพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ตะโกนออกไป “มันก็พิสูจน์แล้วว่า...คุณรักเงินมากกว่าผม” เปรมยุตายืนนิ่ง สิ่งที่หลุดออกมาจากปากของคนเคยรักทำให้หล่อนตัวชา
“ชลคะ...ฟังปรางก่อน” หล่อนขอร้องทั้งน้ำตา แต่ชลธีกลับนิ่งไม่รู้สึกหวั่นไหวกับน้ำตาของหล่อนอีกต่อไปแล้ว
“ปรางรักคุณและที่ปรางต้องทำแบบนั้น...ก็เพื่อคุณนะคะ”
“เพื่อผม!?” เขาแค่นเสียงถาม ดวงตาฉายแววเจ็บปวดรวดร้าว “ฆ่าลูกเพื่อผมงั้นหรือ?”
“ปรางก็ไม่ได้อยากทำ...คุณคิดว่าปรางอยากจะฆ่าลูกงั้นหรือคะ?” หล่อนสะอื้น สองแก้มเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เจ็บปวดไม่แพ้กัน
“ตอนนั้น...เราสองคนก็ยังเรียนด้วยกันทั้งคู่ คุณเองก็ไม่พร้อม ถามหน่อยเถอะ...ถ้าปรางไม่ทำแบบนั้น คุณจะเอาอะไรมาเลี้ยงลูก!” หล่อนโพล่งอย่างเหลืออด ชลธีมองกลับมาด้วยสายตากึ่งเห็นใจกึ่งดูถูก
“คุณไม่เคยเชื่อใจผม... ผมพร้อมจะรับผิดชอบคุณเสมอและสามารถเลี้ยงคุณกับลูกได้สบายมากถ้าคุณรออีกนิด ผมเฝ้าบอกกับคุณอย่างนี้มาตั้งแต่เริ่มคบกัน คุณรู้มั้ย...ผมรักคุณมากแค่ไหน ยิ่งพอรู้ว่าคุณท้อง ผมก็รีบจัดการทุกอย่างให้มันเรียบร้อย....” เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวยที่ครั้งนึงเคยหลงใหลมากมาย
“แต่คุณไม่เชื่อใจผมเลย ไม่ยอมรอผม คุณฆ่าผมทั้งเป็นรู้มั้ยปราง!”
“คุณตามไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ แกกำลังช็อก...พูดอะไรไปก็คงไม่ยอมรับฟังหรอกค่ะ” เปรมยุตาจับแขนเขาแล้วลูบเบาๆ ชลธีปลดมือนั้นออกไม่คิดว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้
“โอย...จะบ้าตาย” เขายกมือกุมขมับทำท่าเหมือนจะตายไปเสียจริงๆ ในเมื่อแทนดาวเห็นภาพชัดเจนขนาดนี้แล้วเขาก็ไม่มีคำแก้ตัวใดๆอีก เปรมยุตามองภาพนั้นอย่างร้าวราน ชลธีแคร์เด็กคนนั้นมาก
แทนดาวหลบมายืนใช้ความคิดตรงมุมหน้าร้านที่ตอนนี้ลูกค้าบางส่วนเริ่มทยอยกลับ อชิตะยังคงนั่งรออยู่ด้านใน ฉากจุมพิตแสนหวานเหมือนที่บรรยายไว้ในนิยายที่ได้ไปเห็นเข้าโดยไม่ตั้งยังติดตา มีคำถามหลายข้อที่ต้องการคำตอบ ข้อแรกเลยทำไมชลธีถึงได้อยากหมั้นกับตนเองทั้งๆที่มีแฟนอยู่แล้ว ไอ้ที่อ้างว่าอยากรับผิดชอบต่อคำครหาที่เกิดขึ้นตอนไปตรังนั้นฟังดูไม่สมเหตุสมผลเสียแล้ว ทำแบบนี้มิถูกนินทาหนักกว่าเดิมหรือว่าหน้าไม่อายไปแย่งแฟนเขา!
“น้องพลู...พี่อธิบายได้นะครับ” ชลธีตามมาจนได้ หน้าตาและเสียงเคร่งเครียดมาก
“อธิบายอะไรล่ะคะ? น้องพลูไม่ได้ข้องใจอะไรนี่ เคยได้ยินมั้ยคะ? A picture is worth a thousand words หนึ่งภาพแทนล้านคำพูด” ประโยคเยือกเย็นและคำเปรียบเปรยที่คมกริบยิ่งกว่ามีดโกนจำให้คนฟังเจ็บกว่ายิ่งกว่าถูกตบหน้า
“มันไม่ใช่อย่างที่เห็นนะ โอเค...ตอนนี้น้องพลูยังโกรธอยู่ คงจะยังไม่อยากฟังพี่”
“โกรธ? เรื่องอะไรคะ?” คนตัวเล็กแค่นเสียงถามจนอีกฝ่ายเริ่มขัดกับกิริยาประชดประชัน
“มานี่!” เขาดึงคนตัวเล็กเดินออกไปที่เทอเรซด้านนอก
“เอ๊ะ! อะไรกันอีกล่ะค่ะ เวลาแบบนี้พี่ชลยังจะมีอารมณ์มาเจาะแจ๊ะกับผู้หญิงคนอื่นอีกหรือ? เดี๋ยวพี่ปรางมาเห็นเธอจะฉีกอกน้องพลูเอาโทษฐานที่ไปยุ่มย่ามกับคนรักของเธอ!” ตนตัวเล็กต่อว่าอย่างไม่เกรงกลัวหน้าท่าทางดุดันของคนที่ยืนยื้อยุดตนอยู่ขณะนี้
“ปรางไม่ใช่คนรักของพี่! เข้าใจเสียใหม่นะ” เขาย้ำหนักแน่น
“หรือคะ...สมัยนี้เนี่ย คนเป็นเพื่อนกันเค้าเฟรนซ์คิสกันดูดดื่มขนาดนั้นเชียวหรือ?” คนตัวเล็กแสร้งถามใสซื่อ ชลธีดึงแขนคู่นั้นให้เข้ามาประชิดตัวทันที
“รู้หรือว่าเฟรนซ์คิสเค้าทำกันยังไง?” คนตัวสูงพูดคล้ายกระซิบ ท่าทางแข็งกร้าวเมื่อคู่เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงทันทีเมื่อได้อยู่แนบชิดคนตัวเล็ก ตอนนี้คนในอ้อมแขนเกิดกลัวขึ้นมาดื้อๆ ไอ้เฟร้นซ์คงเฟร้นซ์คิสอะไรนั่นไม่รู้หรอกว่าจริงๆมันเป็นยังไง แค่จำมาจากนิยายเอาไว้ใช้เก๋ๆ
“ปล่อยเถอะค่ะ พี่ชลควรจะกลับไปหาพี่ปรางดีกว่า” ร่างเล็กผลักไสคนตัวสูงให้ออกห่าง“ไม่! ไม่มีเหตุผลอะไรที่พี่ต้องกลับไปหาเค้า ที่พี่ต้องการตอนนี้คืออธิบายสิ่งที่น้องพลูเห็น” เขายังดึงดันและเผลออกแรงบีบแขนคนตัวเล็กแรงขึ้น
“ปล่อยเธอ!” เสียงห้าวลึกมาจากอชิตะที่ก้าวเข้ามาเห็นเหตุการณ์
“เรื่องนี้...ผมขอคุยกับใบพลูเป็นการส่วนตัว คุณหมอช่วยรอสักครู่หรือจะกลับไปก่อนก็ได้ ผมจะไปส่งเธอเอง” ชลธีบอกเสียงห้าวแสดงความไม่พอใจชัดเจน
“คงไม่ได้ นั่นคุณกำลังทำให้เธอเจ็บนะ...ปล่อย!” หมอหนุ่มดึงตัวแทนดาวออกมาด้วยความฉุนเฉียวขัดกับนิสัยสุภาพในยามปรกติ ชลธีมองหญิงสาวที่ถูกแย่งตัวไปด้วยความเดือดดาล
“พี่อชิ...พาน้องพลูกลับบ้านนะคะ” คนตัวเล็กบอกด้วยเสียงสั่นเครือ ไม่เท่านั้นแขนเล็กทั้งสองข้างยังยกขึ้นมากอดแขนข้างหนึ่งของหมอหนุ่มแน่นคล้ายต้องการความปลอดภัย ชลธีมองภาพนั้นด้วยความโกรธจนระงับไม่ได้อีกต่อไป
“แทนดาว มานี่...เดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงเย็นเยียบแต่ทรงอำนาจทำให้คนถูกสั่งยิ่งตัวสั่น หล่อนไม่เคยเห็นชลธีอยู่ในโหมดโกรธเกรี้ยวเช่นนี้มาก่อน สายตา สุ้มเสียงรวมถึงสีหน้าฉาบไปด้วยความเย็นชาแต่มีแววอำมหิตน่ากลัวซ่อนอยู่
“คุณไม่มีสิทธิ์บังคับเธอ ไปกันเถอะน้องพลู” อชิตะโอบไหล่คนตัวเล็กไว้หลวมๆจะพาเดินกลับไปแต่ยังไม่ทันพ้นก้าวที่สามคนเลือดร้อนก็กระชากไหล่เขาจนเซ
“น้องพลูจะไปกับคุณไม่ได้ เธอเป็นคู่หมั้นของผม!” เขาฉุดมืออีกข้างของแทนดาวจนตอนนี้กลายเป็นบุรุษสองคนยื้อยุดแขนหล่อนคนละข้าง
“ผมจะไม่ปล่อยให้น้องพลูอยู่ตามลำพังกับคนที่กำลังหน้ามืดเด็ดขาด ปล่อย!” อชิตะออกแรงผลักอกคนกำลังโมโหจนเซถอยไปก่อนจะพาร่างน้อยที่เริ่มมีเสียงสะอื้นออกไปจากตรงนั้นโดยเร็ว ชลธีกัดฟันด้วยความโกรธ
“จะเล่นนอกบทมากเกินไปแล้ว ไอ้หมอ!”
“น้องพลู...โอเคหรือยัง?” อชิตะเอ่ยถามเมื่อเห็นแทนดาวยังคงนั่งซึมไม่พูดไม่จาผิดกับตอนมาที่ร่าเริงมาก
“น้องพลูรู้สึกเพลียค่ะ แล้วก็รู้สึกแย่ที่ทำให้พี่อชิต้องมาเจออะไรแบบนี้” แทนดาวหลับตาลง ภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่ทำให้เครียดและใช้ความคิดมากมายจนเพลียไปจริงๆนั่นแหละ
“พี่ไม่รู้ว่าน้องพลูกับเค้าผิดใจกันเรื่องอะไร แต่พี่ทนไม่ได้ที่เห็นเค้าใช้กำลังบังคับน้องพลูแบบนั้น” อชิตะเสียงเข้มนิดหนึ่งเมื่อนึกภาพชลธียืดยุดคนตัวเล็กทำราวกับจับตุ๊กตา
“ให้พี่เดินเข้าไปส่งนะ” อีกพักใหญ่รถยนต์ของหมออชิตะก็เทียบจอดอยู่หน้าบ้าน หมอหนุ่มทำท่าจะลงจากรถ
“ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่นี้ก็เกรงใจพี่อชิจะแย่ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะสำหรับวันนี้” หล่อนยกมือไหว้เขาแล้วเดินเข้าบ้านด้วยอาการหงอยๆ สาวน้อยรีบขึ้นห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมานั่งคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดกับตัวเองวันนี้ เออหนอ...ตอนเย็นยังมีความสุขอยู่แท้ๆแต่ค่ำก็เกิดเรื่องไม่น่าอภิรมย์ ชีวิตคนเรานี่มันไม่แน่นอนจริงๆ
อชิตะกระทืบเบรกดังเอี๊ยดเมื่อถูกปาดหน้ากระชั้นชิดจนแทบจะหัวคะมำ ยังดีที่เข็มขัดนิรภัยทำงานได้อย่างว่องไว รถยนต์สัญชาติอิตาลีสีเทาเข้มจนเกือบดำที่ขับปาดก็หยุดกะทันหันจนเกิดรอยล้อบดถนนเป็นเส้นยาวเช่นกัน เจ้าของรถตรากระทิงเปลี่ยวจอดพาหนะขวางไว้อย่างนั้นแล้วก้าวลงมาด้วยอาการร้อนรน
“ผมมีเรื่องจะตกลงกับหมอ” ชลธีกระชากประตูฝั่งคนขับของคู่กรณีออกอย่างเร็วแล้วรีบแจ้งจุดประสงค์ อชิตะพ่นลมหายใจเพื่อระงับความโกรธที่อีกฝ่ายเล่นแรงขนาดนี้
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ผมคิดว่าทุกอย่างมันชัดเจนอยู่แล้วนะ” หนุ่มแว่นบอกด้วยเสียงที่บังคับให้นิ่งที่สุด
“ชัดเจนรึ? ใช่มั้ง...ก็ความสนิทสนมของหมอกับใบพลูมันชัดเจนขนาดนั้นไงล่ะ ผมเลยต้องตามมานี่ ผมว่าหมอควรจะเอาใจใส่คนไข้ของตัวเองอย่างเดียวก็พอ ใบพลูไม่ได้ป่วย ไม่ต้องดูแลเอาใจใส่เธอขนาดนั้นก็ได้” ชลธีบอกเสียงกระด้างพลางจ้องหน้าหมอหนุ่มอย่างเอาเรื่อง
“ผมบอกแล้วว่าทำไปตามหน้าที่ ผมเป็นคนพาเธอไปก็มีหน้าที่ต้องดูแลให้ดี แล้วผมถามหน่อย...คุณเป็นคู่หมั้นประสาอะไรถึงกล้าทำให้เธอเสียใจได้ขนาดนั้น?” ชลธีเงียบกริบ โทสะที่ข่มไว้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นที่โดนอีกฝ่ายต่อว่า
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน และผมกำลังพยายามจะอธิบายให้เธอเข้าใจ แต่คุณไม่ควรเข้ามายุ่ง! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราทะเลาะกัน ผมรู้หรอกว่าควรจะปฏิบัติกับเธอยังไง” เขาเถียงคอเป็นเอ็น
“งั้นหรือ? แต่ถ้าเป็นผม...จะไม่ฉุดกระชากแล้วก็เสียงดังใส่ว่าที่คู่หมั้นในที่สาธารณะ” อชิตะหยุดนิดหนึ่งเพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้คิด
“ถึงจะหึงจะหวงมากแค่ไหนก็จะเก็บอารมณ์ไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนั้นแน่!” อชิตะตอกกลับอย่างเหลืออดทำให้เขื่อนเก็บโทสะของคนฟังแตกทันที เขาผลักอกหมอหนุ่มจะเซไปปะทะรถยนต์ที่จอดอยู่ อชิตะปัดมือข้างนั้นออกอย่างแรงเหมือนกัน
“ผมร้างเรื่องชกต่อยมานานแล้ว แต่ถ้าถึงเวลาจำเป็นก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ” อชิตะบอกอย่างโกรธเกรี้ยว ชลธีขบกรามแน่น
“ถ้ามีครั้งที่สอง ผมจะไม่ทน!” เขาพูดทิ้งท้ายอย่างเหี้ยมเกรียมเช่นกันก่อนจะขับเคลื่อนเจ้ากระทิงดุคู่ใจพุ่งทะยานหายไปในความมืด
เทียมภพขึ้นมาดูน้องสาวที่ยังไม่ลงไปทานอาหารเช้าด้วยกัน ตอนแรกให้แป๋มไปตามก็พบว่ายังหลับอยู่แต่นี่ก็เกือบเก้าโมงแล้วซึ่งผิดวิสัยคนนอนตื่นเช้า คนตัวเล็กนั้นล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยนั่งเล่นแท็บเล็ตอยู่บนเตียงเงียบๆ ในอ้อมแขนกอดเจ้าเปื่อยส่วนเจ้าหมีโคอาล่ากับจิงโจ้นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นคนละทิศละทาง ดวงตาทรงอัลมอนด์ทอดประกายอ่อนล้าขณะอ่านทวนข้อความในไลน์ที่คุยสั้นๆกับชลธีเมื่อคืน
Chon: I’m Sorry
BaiPlu: For what?
Chon: Everything
BaiPlu: Nothing! A picture is worth than a thousand word
“อ้าว...พี่นึกว่าเรายังไม่ตื่น ทำไมไม่ลงไปกินข้าวล่ะคะ วันนี้มีข้าวต้มกุ้งของโปรดของหนูด้วยนะ?” แทนดาวรีบปิดจอแท็บเล็ตเมื่อพี่ชายเข้ามาในห้อง เทียมภพยื่นหน้าไปจุ๊บหน้าผากเนียน พลางสังเกตว่าหน้าตาของน้องสาวดูซีดเซียวกว่าเดิม
“ยังไม่ค่อยหิวเลยค่ะ สงสัยเมื่อวานซัดไปเต็มเหนี่ยว นี่ยังตื้ออยู่เลยค่ะ” น้องสาวตอบเลี่ยงไปอย่างนั้นเอง ที่ไม่อยากกินอะไรเพราะยังติดใจเรื่องเมื่อคืนมากกว่า
“ว่าแล้วเชียว เออ...เป็นไงมั่งล่ะ? งานเมื่อวานสนุกมั้ยคะ?”
“ก็สนุกดีค่ะ อาหารอร่อยมาก...รสชาติเหมือนไปนั่งกินที่ญี่ปุ่นเลย” น้องสาวพยายามทำเสียงให้ร่าเริง
“พี่หมากขา...” แทนดาวโผกอดคอพี่ชายด้วยอยากถ่ายทอดความอัดอั้นตันใจที่มี เทียมภพสัมผัสได้ถึงอาการหงอยเหงาของน้องสาวก็แปลกใจ
“วันนี้เป็นอะไรหืม? ทำไมน้องสาวแสนซนของพี่หมากดูซึมๆจังคะ?”
“รู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆยังไงก็ไม่รู้ค่ะ สงสัยจะเครียดเรื่องทำปริญญานิพนธ์มากไป” คนตัวเล็กยังบ่ายเบี่ยงที่จะพูดความจริง ตัดสินใจแล้วว่าเรื่องนี้ต้องไม่รู้ถึงหูพี่หมากเด็ดขาด ไม่ใช่เพราะกลัวว่าพี่ชายจะตามไปยำคนที่ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจอยู่อย่างนี้แต่เพราะหล่อนไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโกรธเขา การที่ชลธีจะมีคนรักมันก็ไม่แปลกแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเอ่ยปากขอหมั้นทั้งๆที่ตัวก็ไม่โสด
“โธ่เอ๊ย...นึกว่าเป็นอะไร เอาน่า...ทนอีกเดียวนะคะคนเก่ง เอางี้...เดี๋ยวอาทิตย์หน้าพี่จะลางานซักสองวันแล้วเราไปเที่ยวประเทศใกล้ๆดีมั้ยคะ? อยากไปไหนล่ะ...สิงคโปร์ เวียดนามหรือบาหลีกันอีกสักรอบดีมั้ย?” แทนดาวได้ฟังก็น้ำตารื้น พี่หมากทำเพื่อหล่อนได้ทุกอย่างแต่ตัวเองกลับตอบแทนความรักอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยการทำท่าซังกะตายมัววิตกกังวลเรื่องของคนอื่นงั้นหรือ
“ช่วงนี้ยังไม่อยากไปไหนไกลเลยค่ะ ห่วงเรียน...”
“โอเค...งั้นลงไปกินข้าวซะหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะได้ไปเยี่ยมลูกชายคนล่าสุดของเฮียเบิ้มกัน” เทียมภพดันตัวน้องสาวออกนิดหนึ่งก่อนจะบอกข่าวดีที่แทนดาวต้องร้องออกมาด้วยความดีใจ
“ซ้อใหญ่คลอดแล้วหรือคะ? ว้าว! ได้ลูกชายเพิ่มอีกคนแล้วสิเฮียเบิ้ม คราวนี้บ้านไม่พังก็ให้มันรู้ไป” เทียมภพขยี้ผมน้องสาวด้วยความเอ็นดู คนที่เซื่องซึมอยู่เมื่อกี้เปลี่ยนท่าทีเป็นลิงโลดจนตามไม่ทัน
ชลธีอ่านข้อความที่โต้ตอบกันในไลน์ด้วยความรู้สึกหดหู่ไม่ต่างกัน แม้จะพยายามเตือนตัวเองว่าให้ใจเย็นๆแต่ก็ต้านความร้อนรุมอยากจะพูดคุยแบบซึ่งหน้ากับแทนดาวไม่ไหว เรื่องวันนั้นเขาไม่ผิดสักนิดเดียว อยู่ดีๆเปรมยุตาก็เข้ามาหาและจู่โจมชนิดที่ไม่ทันตั้งหลัก แต่คงเป็นจังหวะที่แสนเลวร้ายที่เผอิญแทนดาวมาเห็นเข้าเสียก่อนแล้วรีบหนีไปโดยไม่อยู่ฟังคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น พอจะตามไปคุยให้รู้เรื่องก็ต้องเจอกับอชิตะที่ตั้งปราการขัดขวางเต็มที่ทั้งๆที่ธุระไม่ใช่ เขาตัดสินใจลองโทรศัพท์หาคนเข้าใจผิด ครั้งแรกไม่รับ สองก็ยังไม่รับ จนครั้งที่สาม
“มีอะไรคะพี่ชล?” เสียงที่กรอกมาตามสายนั้นฟังดูเยือกเย็นชอบกล
“ขอบคุณครับที่รับโทรศัพท์ ถ้าวันนี้พี่ไม่ได้คุยกับน้องพลูล่ะก็คงนอนไม่หลับ”
“น้องพลูว่าน่าจะตรงกันข้ามนะคะ หลับฝันดีล่ะไม่ว่า” หญิงสาวประชดซึ่งคนฟังรู้ตัวดี
“จะไม่ให้พี่อธิบายอะไรเลยเหรอ?” เขาทอดเสียงออดอ้อนพลางคิดในใจว่าสาวน้อยที่กำลังสนทนาด้วยนี้นอกจากอารมณ์ร้ายเหมือนพี่ชายแล้วยังดื้อเหมือนกันอีกสิน่า
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นน้องพลูก็จะบอกว่าไม่ต้องเสียเวลาอธิบายหรอกค่ะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่ชล...น้องพลูไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่าย!” แม้จะคนพูดจะพยายามทำเสียงให้ดูห้วนแต่ก็ไม่อาจกลบเกลื่อนความสั่นของนำเสียงนั้นได้
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ...พี่ก็จะบอกอยู่นี่ไง มันไม่ได้มีอะไรมากเกินไปกว่าที่น้องพลูเห็นเลยนะครับ”
“น้องพลูไม่สนใจหรอกว่าพี่ชลมีอะไรตื้นลึกหนาบางยังไง...กับใคร...”
“ไม่สนแล้วทำไมต้องหนีออกมาด้วย”
“ก็...น้องพลูแค่ตกใจนี่คะ พี่ชลก็ลองคิดดูสิ...อยู่ดีๆก็เดินไปเจอฉากจูบโรแมนติกในที่รโหฐานแบบนั้น บอกตรงๆค่ะว่าน้องพลูอายแทน!” แทนดาวกระแทกเสียงตอบ คนต้นสายถึงกับอึ้งกับคำบริภาษนั้น
“พี่ไม่ได้ตั้งใจให้ทันเกิดขึ้นนะครับ จะพูดยังไงให้เราเข้าใจดีนะ” ชลธีจะบอกว่าเปรมยุตาเป็นฝ่ายกระทำทั้งหมดก็ไม่ได้เพราะไม่ใช่วิสัยลูกผู้ชายอย่างเขาที่จะโยนความผิดให้ผู้หญิงเสียหายแต่ถึงจะพูดความจริงไปแทนดาวก็คงยังไม่เชื่ออยู่ดี ก็หล่อนย้ำนักย้ำหนาว่าหนึ่งภาพแทนล้านคำพูด
“พอเถอะค่ะ น้องพลูไม่อยากฟังเรื่องเพื่อนรักเพื่อนพิศวาสนี่แล้ว เรื่องแบบนี้ไปหาดูในละครหลังข่าวก็ได้ ส่วนเรื่องหมั้นของเรา...ยกเลิกเถอะค่ะ น้องพลูยังไม่รู้จักพี่ชลเลยสักนิดเดียว อย่าทำให้น้องพลูต้องรู้สึกเหมือนถูกผูกมัด ยิ่งพี่ชลมีแฟนอยู่แล้วก็ไม่ควรสร้างกระแสรักสามเศร้าอีก ในละครมันสนุกแต่ในชีวิตจริงมันไม่สนุกนะคะ” เสียงของชลธียังคงดังแผ่วๆมา หญิงสาวกดวางสายพลางถอนใจยาว
“ทำไมพี่ชลถึงมีความลับซ่อนเอาไว้มากมายอย่างนี้นะ ถ้าขืนดันทุรังหมั้นหมายกันแล้วจะไปรอดหรือ?”
หลังจากวันนั้นชลธีก็ติดต่อแทนดาวไม่ได้อีก ไม่ยอมรับสาย ไม่ตอบไลน์ ส่งดอกไม้ไปให้ก็ถูกส่งกลับมาทุกที เขาจึงรู้ความเคลื่อนไหวของคนแสนงอนจากปากน้องสาวกับเชคสเตตัสในแต่ละวันบนเฟสบุ๊คของหล่อน จนความอดทนของเขาสิ้นสุดลงเมื่อยังติดต่อคนตัวเล็กไม่ได้เป็นวันที่สาม จึงตัดสินใจบุกไปที่บ้านเสียเลย
“มาแล้วเหรอชล ไปนั่งคุยกับลุงที่ห้องเถอะ” คุณเที่ยงธรรมเดินออกมาทักทายชายหนุ่ม ที่เมื่อวานได้โทรบอกท่านว่าจะมาเยี่ยมเยียน
“ไม่แน่ใจว่าลุงแท้บอกหรือยังว่าเราชนะประมูลส่งเฟอร์นิเจอร์หวายให้โรงแรมเจ็ดดาวที่ดูไบ ล้มคู่แข่งจากสิงคโปร์ได้สวยๆ” เขาแจ้งข่าวดีกับคุณเที่ยงธรรมที่ยิ้มแย้มออกมาด้วยความดีใจ
“เค้าบอกลุงตั้งแต่เมื่อวานซืน โทรรายงานสดมาจากดูไบเลย ขอบใจคุณชลจริงๆ นี่ก็คงจะกลับมาถึงคืนนี้”
“เรื่องนี้ผมทำคนเดียวไม่ได้หรอกครับ หมากเองก็มีส่วนสำคัญ” เขาให้เครดิตศัตรูอย่างไม่ตะขิดตะขวง จริงอยู่ว่าการยื่นซองประมูลที่ดูไบคราวนี้ต้องฟันฝ่าอุปสรรคหลายอย่าง เขาเองก็ต้องใช้ทั้งเครดิต เงินและอาศัยเส้นสายบ้างกว่าจะเข้าถึงงานนี้ได้ ส่วนคู่ปรับอย่างเทียมภพก็เป็นคนติดต่องานทุกอย่างเอง บินไปบินมาในช่วงเวลานั้น
“หมากเค้าเป็นคนเอาจริงเอาจังเวลาทำงาน เรื่องลุยต้องยกให้เค้า” คุณเที่ยงธรรมพูดถึงบุตรชายคนโตด้วยความภาคภูมิใจ ตอนแรกท่านคิดว่าจะฝากฝังทวีกิจไว้กับลูกคนนี้ไม่ได้เสียแล้ว เพราะตอนเป็นวัยรุ่นนั้นทั้งเกเร ไม่สนใจเรียน ไม่เอางานเอาการอะไรสักอย่าง ได้แต่ใช้เงินไปกับการเที่ยวเตร่และซื้อของฟุ่มเฟือย กว่าจะพัฒนามาเป็นเทียมภพที่เอาการเอางานก็เมื่อจบมหาวิทยาลัยแล้ว
“อ้าวแก...มาทำไม?” คำทักทายแสนจะเป็นมิตรมาพร้อมกับร่างสูงของเทียมภพผู้แสนสุภาพ เขาเห็นรถยนต์คุ้นตาแวบๆก็จำได้เลยต้องรีบมาต้อนรับ
“ชลโทรมาบอกพ่อแล้วว่าจะมา กำลังคุยเรื่องยื่นซองประมูลที่สกายแอร์พอดี อ้อ...น้องสาวเราไปไหนล่ะ รู้หรือเปล่าว่าคุณชลเค้ามา?” เทียมภพหูผึ่ง คิ้วขมวดตาขวางขึ้นมาทันที
“ยัยพลูทำรายงานอยู่บนห้อง ผมไม่ต้องการให้ใครไปรบกวน!” เทียมภพโวยวายลั่น แม่บ้านที่อยู่แถวนั้นเลยค่อยๆย่องเข้ามาดูเหตุการณ์ใกล้ๆว่าเกิดอะไรขึ้น
“ลงมาทักทายแป๊บเดียวจะเป็นไรไป” คุณเที่ยงธรรมพยายามกล่อมบุตรชาย
“ไม่ได้ครับ! ผมไม่ให้พบ” บุตรชายยังยืนกรานเสียงแข็ง คุณเที่ยงธรรมหันมามองชายหนุ่มอีกคนอย่างอ่อนใจ
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าเธอยุ่งผมก็ไม่อยากกวน” ชลธีปรายตามองมาทางคนหาเรื่องนิดหนึ่ง อย่างระอาในความไร้เหตุผล
“หมาก...มันจะเป็นไรไป เค้าเป็นคู่หมั้นกันนะลูก” คุณเที่ยงธรรมพยายามไกล่เกลี่ย
“แค่ ‘ว่าที่’ เท่านั้นครับพ่อ ตอนนี้ยัยพลูยังอยู่ในความปกครองของผมเพราะงั้นผมมีสิทธิ์ที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ใครพบเธอก็ได้”
“พี่ชลมีอะไรกับพลูหรือคะ?” ทั้งคู่หยุดการวิวาทย่อยๆในทันทีเมื่อคนที่ถูกพาดพิงเดินเข้ามา สีหน้าราบเรียบของหล่อนทำให้ชลธีถึงกับใจหาย
“น้องพลูลงทำไมเนี่ย? ทำไมไม่ทำการบ้านต่อ”
“ใครจะไปมีสมาธิล่ะคะ เสียงโหวกเหวกดังไปถึงข้างบน” หญิงสาวบ่น
“เพราะแกคนเดียว” เทียมภพรีบโยนความผิดให้ผู้มาเยือนทันที
“ไม่ต้องไปโทษคนอื่นเลยนะ น้องพลูได้ยินแต่เสียงพี่หมากตะโกนอยู่คนเดียวนั่นแหละ” เท่านั้นเทียมภพจึงเงียบกริบแต่ยังไม่วายแอบบ่นเบาๆ “ก็มันหาเรื่องก่อน”
“พี่เค้ามาเยี่ยมพ่อน่ะลูก แล้ววันจะไปไหนหรือเปล่า?”
“ผมว่าจะพาน้องพลูไปกินข้าวข้างนอก เชิญคุณพ่อกับเอ่อ...คุณชลธีเถอะครับ” เทียมภพรีบตอบให้ น้องสาวมองหน้าพี่ชายตาดุ
“วันนี้น้องพลูไม่อยากออกไปไหนค่ะพี่หมาก ว่าจะไปช่วยคุณย่าทำขนมปั้นสิบ” พูดจบก็เดินออกไป ทิ้งให้ชลธีมองตามอย่างอาวรณ์แล้วอย่างนี้จะไปอธิบายอะไรได้
“เห็นแล้วใช่มั้ยว่ายัยพลูไม่ว่าง ดีใจด้วยนะ” พอได้โอกาสก็รีบผสมโรงตอกย้ำความผิดหวังของเพื่อนรัก แล้วคนตัวโตก็เดินผิวปากจากไปอย่างอารมณ์ดี
“ไม่เป็นไรครับ งั้นผมลากลับก่อนก็แล้วกัน” เขายกมือไหว้คุณเที่ยงธรรมก่อนจะเดินกลับไปที่รถด้วยความผิดหวัง แทนดาวคงโกรธเขามากถึงไม่ยอมแม้แต่จะมองหน้า หลายวันที่ผ่านมาได้แต่จมอยู่กับความมัวหมองในหัวใจ ไม่คิดว่าแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งจะมีอิทธิพลมากมายขนาดนี้ สาบานเถอะ...ทั้งชีวิตนี่เอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้เสมอ แต่ทำไมถึงเอาชนะใจคนตัวเล็กแสนงอนนี่ไม่ได้เสียที
วันนี้แทนดาวมารอพี่ชายที่ทวีกิจเพราะมีนัดว่าจะไปรับประทานมื้อค่ำด้วยกัน หญิงสาวใช้เวลาระหว่างรอเดินสำรวจอะไรไปเรื่อยเปื่อยเพราะตั้งแต่บิดาประกาศรีไทร์ตัวเองและเปลี่ยนผังองค์กรใหม่ก็ไม่ได้เข้ามาที่นี่อีกเลย ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม จะมีก็แต่ห้องๆหนึ่งที่เหมือนเพิ่งต่อเติมใหม่ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจจนต้องหยุดอยู่กับที่เห็นจะเป็นป้ายหน้าห้องที่เขียนว่า ‘ชลธี ธาราพิศุทธิ์’ รู้มาว่าเขาจะมาที่นี่แค่สัปดาห์ละครั้งเพื่อประชุมบอร์ดบริหาร วันอื่นๆก็นั่งประจำที่โรงแรม ความอยากรู้อยากเห็นที่อยู่เหนือคำว่ามารยาททั้งปวงทำให้ถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป
แทนดาวลอบยิ้มกับตัวเองเมื่อทั้งห้องว่างเปล่า ม่านหน้าต่างรูดปิด ไฟก็ปิด มั่นใจได้ว่าวันนี้เจ้าของห้องไม่อยู่แน่ ภายในห้องดูใหม่สะอาดตาและเป็นระเบียบดูดีมีสไตล์ แม้จะไม่ใหญ่โตโอ่โถงเท่าห้องของบิดาหรือตอนนี้เป็นของพี่ชายไป ไม่รกเรื้อเหมือนรังตุ่นอย่างของเทียมภพ ซึ่งฝ่ายนั้นพอใจที่สุมเอกสารทุกอย่างไปทั่ว พอจะหาทีก็ต้องเกณฑ์ผู้ช่วยมารื้อค้น
บนโต๊ะทำงานมีกรอบรูปไม้สักตั้งอยู่ ในรูปเป็นครอบครัวของเขาทั้งหมด ชลธียังดูเป็นวัยรุ่นส่วนรมณ์นลินก็เหมือนยังอยู่ในวัยมัธยม แทนดาวอมยิ้มเมื่อเพ่งดูใบหน้าอันนิ่งเฉยอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชลธี
“คนอะไร? ร้อยอารมณ์ในหน้าเดียว” คนตัวเล็กใช้นิ้วจิ้มที่ใบหน้านั้นแล้ววางกรอบรูปลงอย่างเดิม
“เอ...อย่างนี้จะเรียกว่าขโมยได้หรือเปล่าน้า...” แทนดาวสะดุ้งจนเกือบปัดกรอบรูปตกแตกเมื่อเจ้าของห้องตัวจริงมาแอบยืนเงียบกริบอยู่กลางห้อง
“อุ๊ย!...คุณชลอยู่ที่นี่ด้วยหรือคะ?” น้ำเสียงตกใจและสรรพนามที่ใช้เรียกฟังดูแปร่งๆแต่เจ้าของห้องยังคงยืนนิ่งหน้าตาไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
“อ้าว...ก็นี่ห้องพี่” เขาตอบเรียบๆ
“แต่วันนี้ไม่มีประชุมบอร์ดนี่คะ” คนตัวเล็กรีบเดินออกมาให้ห่างโต๊ะทำงานแสดงให้รู้ว่าไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับข้าวของเขานะ
“เค้าเลื่อนมาเป็นวันนี้” คนร่างสูงสาวเท้าเข้ามาใกล้ๆ แทนดาวยังคงตกใจเลยไม่ได้ถอยหนี
“อ้อ...แต่จะว่าไปตอนนี้คุณชลธีก็เป็นเจ้าของที่นี่ด้วย จะมาหรือไม่มาวันไหนก็ไม่ใช่สาระสำคัญ” หล่อนประชด ชลธีถอนหายใจด้วยความระอา
“ทำไมชอบพูดแบบนี้ ที่นี่เป็นของน้องพลู...ไม่ใช่ของพี่” เขาขยับใกล้เข้ามาอีกนิด แทนดาวถอยหลังไปจนติดผนังอีกด้านพยายามบีบตัวให้เล็กที่สุด คนชอบแกล้งกลั้นหัวเราะกับกิริยาท่าทางนั้นก่อนจะเปลี่ยนใจไปนั่งตรงโซฟา
“มานั่งนี่มา” เขาเชื้อเชิญให้มานั่งด้วยกันแต่กลับโดนคนถูกเชิญเชิดใส่
“ไม่ค่ะ! ดิฉันจะออกไปแล้ว” คนตัวเล็กตอบห้วนๆพลางสะบัดหน้าไปทางอื่น
“ไม่นั่งก็ไม่นั่ง” แล้วเขาก็ต้องเป็นฝ่ายลุกเดินไปหาอีกครั้ง พอใกล้จะถึงตัว คนที่บอกอยู่เมื่อกี้ว่าไม่นั่งกลับวิ่งแผล็วมานั่งที่โซฟา ทำให้คนที่มองอยู่เริ่มหมั่นเขี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย
“น้องพลูครับ...พี่หาโอกาสที่จะพบน้องพลูได้ยากมาก ได้โปรดเถอะ...เลิกกวนพี่สักสามนาทีได้มั้ย?” คำขอร้องแกมอ้อนวอนทำให้คนตัวเล็กหยุดอาการรั้นที่กำลังทำอยู่
“ก็ดิฉันกำลังจะออกไปอยู่นี่ไง จะได้ไม่มีคนกวน” คำตอบยังห้วนเหมือนเดิม ไม่ได้สำนึกเลยสักนิดว่าตนเองแอบบุรุกเข้ามาในนี้ ชลธีนั่งลงตรงโซฟาใกล้ๆกันและกวาดตาดูให้แน่ใจว่าไม่มีของแข็งใดๆอยู่ใกล้มือพอให้หล่อนหยิบฉวยมาเขวี้ยงใส่ให้หัวแตกอีกรอบ
“พี่อยากขอโทษเรื่องวันนั้น และอยากอธิบายให้น้องพลูเข้าใจ”
“ดิฉันไม่ติดใจแล้วค่ะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณชล” แม้จะบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนลงแต่สีหน้าก็ยังคงหน้าบึ้งตึง
“ฟังพี่อธิบายสักนิดนะครับ...คนดี” เขาทอดเสียงออดอ้อนขอความเห็นใจจนคนถูกอ้อนต้องนิ่งฟังโดยดี พร้อมที่จะบันทึกทุกถ้อยคำลงในหน่วยความจำ
“พี่จะไม่แก้ตัวและขอยอมรับว่าวันนั้นพี่จูบกับปรางเค้าจริงๆ อย่างที่เห็นนั่นแหละ” ชลธียอมรับเต็มปาก แทนดาวกัดปากตัวเองแน่น รู้สึกชาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ค่ะ...เห็นชัดเจนเป็นภาพสี่มิติขนาดนั้นถ้าคุณชลยังบอกว่าเป็นภาพลวงตาอีก เห็นทีดิฉันต้องไปตัดแว่นมาใส่” แม้ในใจจะร้อนรุมสักแค่ไหนแต่ก็ยังคงพยายามบังคับเสียงให้เย็นชามากที่สุด
“ใช่...เราจูบกัน แต่น้องพลูครับ...มันไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปกว่านี้”
“ก็ไม่รู้สิคะ...คุณชลจะแค่จูบหรือเกินเลยไปอีกนิดหน่อยมันจะเป็นไรไป คนเป็นแฟนกันนี่นะ ดิฉันไม่เก็บเอามาคิดมากหรอกค่ะ” คนตัวเล็กยังคงรักษามาดหยิ่งยโสได้ดี
“ไม่คิดมากแล้วทำไมต้องงอน?”
“ไม่ได้งอน!”
“น้องพลูนี่ปากแข็งที่หนึ่งเลย” เขาย้ายไปนั่งโซฟาตัวเดียวกันโดยเร็ว แทนดาวตกใจกระเถิบหนีแต่ถูกคว้าข้อมือไว้ได้ก่อน
“ปล่อยนะ! คนฉวยโอกาส” หล่อนตีมือที่ยุดตนอยู่ดังเพี๊ยะแต่เจ้าของมือไม่ยอมปล่อย
“พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่อยากให้น้องพลูฟังพี่ให้จบก่อน” แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น อาการดีดดิ้นเริ่มรุนแรงขึ้นจนเขาต้องออกแรงกดร่างเล็กนั้นไว้
“คนเห็นแก่ตัว! มีแฟนอยู่แล้วยังมาตีเนียนเกาะแกะคนอื่น”
“พี่กับปรางไม่ได้เป็นแฟนกันซะหน่อย”
“ไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วจะจูบกันได้ยังไง?” คนตัวเล็กยังไม่หยุดอาการสะบัดสะบิ้ง
“ฟังดีๆนะ...อย่าเพิ่งเถียง พี่กับปราง...พูดง่ายๆคือเราเคยเป็นแฟนกันมาก่อนแต่ว่านั่นก็นานเกือบจะสิบปีมาแล้ว จริงอยู่ว่าทำงานที่เดียวกันอาจจะมีบางจังหวะที่ต้องใกล้ชิดกัน แต่พี่รู้ตัวดีว่าความสัมพันธ์ของเราไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก เพราะว่าตอนนั้น...เราจากกันแบบ...ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่” ชลธีหยุดไปครู่หนึ่ง แทนดาวสังเกตเห็นความร้าวรานปรากฏชัดในดวงสีเหล็กคู่นั้น มันดูเจ็บปวดและทุกข์ทรมานจนคนมองยังใจหาย
“สิ่งที่เหลืออยู่ระหว่างเราตอนนี้คือคำว่าเพื่อน” เขาหยุดเล่าเมื่อรู้สึกถึงก้อนแข็งๆมาอยู่จุกที่คอ แทนดาวเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่าได้วางมือข้างหนึ่งลงบนแขนของเขาและบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ
“แล้ววันที่น้องพลูเห็น...เรา พี่เองก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอกแต่นั่นจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่พี่ให้ปรางได้ ที่จริงแล้ว...หลังจากงานเลี้ยงคืนนั้นปรางก็รู้ว่าพี่จะไม่กลับไปหาเค้าอีกแล้ว” แทนดาวหน้าสลดลงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อฟังเรื่องราวจนจบ ยิ่งรู้สึกอยากจะล้วงลึกเข้าไปในตัวตนของคนข้างๆมากขึ้น ชลธีมีความลับซุกซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆของชีวิตมากมายเหลือเกิน
แทนดาวหวนนึกถึงคำสอนของพี่ชายที่ว่า ‘ความรักจะยั่งยืนเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับว่าคนสองคนว่าจะช่วยกันปลูกต้นรักนี้ให้มันเติบโตงอกงามได้ดีแค่ไหน’ มันคงเป็นเช่นนั้นแหละ...ชลธีกับเปรมยุตาไม่อาจดูแลต้นรักให้งอกงามยั่งยืนอย่างที่หวัง ชลธีถึงได้ดูเศร้าและเจ็บปวดกับความรักในอดีตได้ขนาดนี้ เมื่อทุกอย่างกระจ่างในใจก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องตั้งแง่กับเขาอีก
“อย่าไปพูดถึงมันเลยค่ะ ดิฉันก็จะไม่คิดถึงมันด้วย” แทนดาวยิ้มอย่างให้กำลังใจ มือนุ่มยังคงบีบเบาๆที่ท่อนแขนแข็งแรง ชลธียิ้มตอบ เป็นยิ้มปนเศร้าเพราะเรื่องในอดีตตามกลับมารบกวนหัวใจ
“ขอบคุณครับที่เข้าใจพี่ แล้วอีกอย่าง...ใครสอนให้พูดแทนตัวเองแบบนั้น ฟังดูไม่รื่นหูเลย พูดกับพี่อย่างเดิมซะดีๆ” เขาสั่งพลางมองมือเล็กที่ยังจับแขนตนเองอยู่อย่างพินิจพิเคราะห์ จิตใจของคนตรงหน้าช่างละเอียดอ่อน เห็นว่ายังเด็กอย่างนี้แต่กลับมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนอื่นได้ลึกซึ้ง
“จะดีหรือคะ? คุณแม่สอนว่าเวลาอยู่ทวีกิจต้องไม่เรียกชื่อเล่นเหมือนอยู่ที่บ้าน อยู่ที่ทำงานต้องเรียกตามตำแหน่งค่ะ เพื่อไม่ให้เสียการปกครอง” คนตัวเล็กอธิบายไปตามจริง เวลามาอยู่ที่นี่ก็เรียกพี่ชายต่อหน้าคนอื่นว่าคุณเทียมภพ พี่สาวก็เรียกว่าคุณปลายเดือน แม้แต่บิดาก็ต้องเรียกว่าท่านประธาน คนอื่นๆก็จะเรียกชื่อเต็มของหล่อนว่าแทนดาวเช่นกัน
“อ๋อ...แต่ว่าขอยกเว้นพี่สักคนได้มั้ย? พี่ไม่ถือยศถือตำแหน่งอะไรหรอก” เขาบอกด้วยเสียงนุ่มนวลเมื่อปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปรกติแล้ว
“พลูจะเรียกพี่ชลเมื่ออยู่กันสองคนก็แล้วกันนะคะ แต่ต่อหน้าคนอื่นขอเรียกแบบเดิม เดี๋ยวคุณแม่กับพี่ผึ้งได้ยินจะดุเอา”
“โอเค อ้อ...พลูอย่างเดียวก็ไม่เอา ต้องน้องพลูด้วย” เขาสั่งแต่ก็เข้าใจที่คนตัวเล็กบอก
“งั้นน้องพลูออกไปก่อนดีกว่าค่ะ อุ๊ย...ขอโทษค่ะ” แทนดาวเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ากอดแขนเขาเสียแน่นเชียวเลยรีบชักมือออก ชลธียิ้มอีกครั้งก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักแล้วเดินพร้อมกับสิ่งของบางอย่างในมือ
“ถ้าตอนนี้หายโกรธพี่แล้ว ก็กรุณารับมันไว้ด้วยนะครับ” แทนดาวมองลังเลนิดหนึ่งก่อนจะรับของสิ่งนั้นมาพิจารณา มันเป็นกำไลข้อมือรูปดอกลิลลี่ ออฟ เดอะวัลเล่ย์ ตัวกำไลเป็นทองคำดัดเป็นลวดลายรูปกิ่งและใบของดอกไม้ชนิดนี้ ส่วนดอกจิ๋วทรงระฆังคว่ำทำจากไข่มุกเม็ดเล็กเรียงร้อยกันสวยงาม พอมองสำรวจรายละเอียดจนพอใจแล้วก็ส่งสายตาเป็นเชิงถามไปที่คนให้
“พี่ไปสั่งทำไว้นานแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้มอบให้เสียที” แทนดาวจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งคืนให้เขา
“น้องพลูเกรงใจจังค่ะ มันคงแพงมากเลย คงจะรับไว้ไม่ได้” ด้วยความที่ถูกสั่งสอนมาว่าอย่ารับของกำนัลที่มีมูลค่าสูงทำให้ต้องตัดใจคืนไปทั้งๆที่ก็แอบเสียดาย
“รับไว้เถอะ มันไม่ได้แพงมหาศาลอะไรขนาดนั้นหรอก พี่แค่อยากซื้อของขวัญให้...ว่าที่คู่หมั้น” แทนดาวรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าว มองกำไลในมือด้วยอารมณ์ทั้งอยากได้และไม่อยากได้ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังไม่คุ้นกับคำว่า ‘ว่าที่คู่หมั้น’
“พี่หมากต้องไม่ชอบแน่ๆเลย” คนตัวเล็กบ่นอุบอิบ
“คงงั้นมั้ง ก็แน่ล่ะ...ผู้ชายที่ไหนเค้าชอบเครื่องประดับของผู้หญิงกันล่ะ” แล้วเขาก็หัวเราะ แทนดาวหน้ามองเขาแล้วคิดในใจ “เล่นมุกเป็นด้วยนะเนี่ย”
“พี่หาโอกาสที่จะให้น้องพลูมานานแล้ว คิดว่าจะทำยังไงดีที่จะไม่ถูกตีกลับเหมือนดอกไม้พวกนั้น”
“ดอกไม้อะไรเหรอคะ?” แทนดาวทำหน้าเหรอหรา ชลธีอมยิ้มก่อนจะพูดต่อ
“ก็ตอนที่น้องพลูยังงอนพี่อยู่ไง พี่ติดต่อเราไม่ได้เลยส่งดอกไม้ไปให้ที่บ้านทุกวันเลย สงสัยจะมีคนหวังดีกลัวน้องพลูจะแพ้ละอองเกสรมั้ง เลยส่งกลับมาหมดจนบ้านพี่จะกลายเป็นสวนดอกไม้อยู่แล้ว” ชลธีเล่าอย่างไม่เดือดร้อนขณะที่แทนดาวนึกโมโหกรุ่นอยู่ในใจ “พี่หมากนะพี่หมาก ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก”
“เอามาสิ...พี่จะใส่ให้นะ” เขายื่นมือออกไปรอ คนตัวเล็กค่อยๆยื่นมือซ้ายให้
“เป็นไง...พอดีเลย” ชลธีสวมกำไลข้างนั้นที่ข้อมือบางอย่างทะนุถนอม เขายังคงเกาะกุมข้อมือนั้นอยู่ไม่ยอมปล่อย เสแสร้งว่ากำลังชื่นชมกำไล
“สวยจังค่ะ” แทนดาวอุทานเบาๆด้วยความประทับใจและค่อยๆดึงมือกลับเพื่อไหว้ขอบคุณ
“เอาล่ะ...พี่เคลียร์ตัวเองแล้ว ที่นี้ตาน้องพลูมั่ง...” คนตัวเล็กละสายตาจากเครื่องประดับชิ้นใหม่มามองเขาอย่างตั้งคำถาม
“เมื่อวันที่นายอชิตะไปส่งเรา คุยอะไรกันบ้าง?” เขาถามเสียงดุเมื่อเอ่ยถึงหมอแว่นคนนั้น
“ก็ไม่มีอะไรนี่คะ แทบจะไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำเพราะน้องพลูเอาแต่...หลับ” ตอนแรกตั้งใจจะบอกว่าเอาแต่คิดมากเรื่องที่บังเอิญไปเห็นฉากจูบแต่ก็ยับยั้งไว้เสียก่อน ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองเครียดกับเรื่องนั้นแค่ไหน
“แล้ว...เจ้าหมอนั่นล่วงเกินอะไรน้องพลูหรือเปล่า? อย่างเช่นว่า พูดจาก้อร่อก้อติก แอบจับมือ จับผม” คนหน้าดุถามพลางสำรวจดวงตาประกายสดใสนั้นอย่างค้นหา
“ไม่มีเลยค่ะ ใครจะไปมือไวเท่าพี่ชลเล่า เผลอเป็นลูบ” คนตัวเล็กว่าให้อย่างหมั่นไส้ ชลธียิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะดึงคนตัวเล็กเข้ามาประชิดตัวอย่างอดใจไม่ไหว มือหนายึดข้อมือที่สวมกำไลไว้แน่นส่วนมืออีกข้างจับผมยาวนุ่มสลวยเล่นอยู่อย่างนั้น แทนดาวเริ่มไม่พอใจที่เขาชอบฉวยโอกาส
“ปล่อยค่ะ พี่ชลทำแบบนี้อีกแล้วนะ” คนตัวเล็กพยายามปลดพันธนาการที่เขาสร้างไว้แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าฝ่ายนั้นจะยอม
“พี่ปล่อยก็ได้แต่ต้องมีของแลกเปลี่ยน” เขาต่อรองพร้อมกับยิ้มตาพราว
“อะไรเหรอคะ?” หญิงสาวทำหน้ามีความหวัง ชลธียื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกก่อนจะพูดเหมือนกระซิบแต่ก็ดังชัดเจนจับใจคนรอคอยคำตอบ
“ต้องให้พี่หอมแก้มก่อน น้องพลูน่ารักมาก...รู้ตัวหรือเปล่า?” ข้อแลกเปลี่ยนที่เขาว่าทำเอาคนถูกขอหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันตาเห็น คนขอหัวเราะชอบใจ
“ไม่มีทาง! พี่ชลนี่ชอบแกล้งจริงๆเลย”
“นะคะคนสวย...ไม่งั้นก็จะจับตัวขังไว้ในห้องกันสองคนอย่างนี้แหละ แล้วถ้าโชคดีนะ...ก็อาจจะมีคนมาเห็น ทีนี้ล่ะ...ถูกจับแต่งงานทันทีไม่ต้องมีพิธีหมั้นเลย” แล้วคนช่างต่อก็ก้มลงจูบมือนุ่มนิ่มข้างนั้นเร็วๆ
“อื้อ...พี่ชลอ่ะ” คนตัวเล็กทำเสียงให้ดุเหมือนโกรธแต่จริงๆแล้วขัดเขินเสียจนไปไม่เป็น
“ถ้าน้องพลูโกรธก็ตบพี่ได้เลย พี่อนุญาต” เขาหัวเราะในลำคอแล้วค่อยๆเกลี่ยปอยผมที่ระเรี่ยบนแก้มทั้งสองข้าง ตอนนี้ใบหน้าเรียวงามออกชมพูเรื่ออยู่ห่างแค่นิดเดียวเอง
“แค่ครั้งเดียวนะคะ” คนตัวเล็กกระซิบบอกด้วยความเก้อกระดากอายจนมิอาจมองหน้าเขาได้ ในชีวิตนี้มีผู้ชายเพียงสองคนที่เคยให้หอมแก้มคือบิดากับพี่ชาย แต่ตอนนี้จมูกโด่งของบุรุษหน้าคมค่อยๆกดลงบนแก้มเนียนซับสีแดงเรื่อด้วยเลือดฝาดแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆราวกับจะเก็บกลิ่นหอมจางจากเนื้อเนียนเอาไว้ชื่นใจให้นานที่สุด
“พอใจแล้วใช่มั้ยคะ?” คนตัวเล็กก้มหน้างุดด้วยความอุธัจขัดเขินที่ถูกชายแปลกหน้าดอมดมแก้มนุ่ม
“ยัง...” คนที่เพิ่งจะได้ประทับรอยสัมผัสรีบตอบให้รู้ว่ายังไม่พอใจจริงๆ
“เอ๊ะ!...บอกแล้วไงคะว่าครั้งเดียวเท่านั้น อย่ามาขี้โกงนะ” คนตัวเล็กประท้วง
“ครั้งเดียวของพี่...หมายความว่าต้องได้ทั้งสองข้าง” คนเจ้าเล่ห์ยิ้มอย่างผู้กำชัยชนะ ถ้าคิดจะเอาชนะแทนดาวก็ต้องเล่นกลกันหน่อย
ปลายนิ้วเรียวดุจสตรีบังคับให้ใบหน้าหวานให้หันแก้มอีกข้างมาให้แล้วกดจมูกลงไปอีกครั้ง สัมผัสความนุ่มและหอมของแก้มเนียนละมุนยาวนานกว่าครั้งแรก แต่แล้วก็บังเกิดความโลภขึ้นในจิตใจด้านมืดของตนเอง เมื่อถอนจมูกออกจากแก้มนิ่มแล้วก็คิดอยากจะสัมผัสริมฝีปากเคลือบสีชมพูอ่อนอีก นิ้วมือแข็งแรงยังคงบังคับให้ใบหน้างามสะคราญอยู่นิ่งๆ
“ครบแล้วนะคะ” คนตัวเล็กส่งเสียงลอดไรฟันเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ยอมปล่อย
“พี่อยากจะ...” เขาพยายามข่มใจอย่างที่สุดเพื่อหยุดความต้องการของตัวเอง นึกถึงคำมั่นที่ได้ให้ไว้กับบิดาของหล่อนตอนที่ไปขอ “ผมจะไม่ทำเกินเลยให้เธอเสื่อมเสีย”
ชลธีถอนหายใจลึกก่อนจะปล่อยให้คนตัวเล็กที่หน้าแดงราวลูกเชอรี่เป็นอิสระ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เขาจะไม่มีวันใช้ความชำนิชำนาญโอ้โลมให้หล่อนยอมโอนอ่อนจนยอมทำตามใจเขาทุกอย่าง หล่อนคือดอกไม้แห่งพฤษภาที่งดงามบริสุทธิ์จนควรที่จะหักห้ามใจไม่แตะต้องให้กลีบช้ำ
“ชื่นใจจังค่ะ อิจฉาพี่ชายเราจังที่ได้หอมแก้มน้องพลูทุกวัน” เขาทอดเสียงหวานแถมยังใช้คำพูดคะขาอ่อนโยนแบบเดียวกับพี่ชายจนคนฟังต้องเงยหน้ามองว่าใช่พี่ชลที่แสนจะเคร่งขรึมคนเดิมหรือเปล่า แต่มือปลาหมึกที่ยังลูบไล้เส้นผมเล่นไม่ยอมหยุดทำให้มั่นใจว่าเป็นตัวจริง
“ค้ากำไรเกินควรแบบนี้ไม่ดีนะคะ เอาเปรียบลูกค้าอย่างนี้ได้ไง”
“พี่เป็นพ่อค้านี่นา ทำอะไรก็ต้องบวกกำไรเป็นเท่าตัวไว้ก่อน นี่ถือว่าลดราคาให้แล้วนะ”
พอแทนดาวออกไปแล้วเขาก็กลับมาทำงานอย่างอารมณ์ดี ความรู้สึกชื่นอกชื่นใจที่เก็บตุนไว้เต็มปอดยังคงหอมกรุ่นไม่จืดจาง ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมที่ตอนนี้อาบไปด้วยรอยยิ้มกำลังนั่งปล่อยความคิดสบายๆต้องยิ้มกว้าง ในที่สุดเขาก็พบคำตอบที่คาใจมานานนับแต่เมื่อครั้งที่ได้พบกับแทนดาวครั้งแรก จำได้ว่าครั้งนั้นได้สบตาโตทรงอัลมอนด์คู่สวยแล้วรู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เขาจำได้แล้ว...หล่อนคือเด็กผู้หญิงตัวอ้วนกลมคนนั้น!
เมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อนเขาเคยไปนอนค้างบ้านของเทียมภพเพื่อนคู่หู วันนั้นจำได้ว่าเพื่อนรักอุ้มน้องสาววัยหนึ่งขวบมาอวดด้วยความเห่อ ตอนนั้นดวงตาโตคู่สวยยังมิได้เปล่งประกายงดงามมีเสน่ห์ดึงดูดเช่นในเวลานี้แต่ก็เป็นจุดโดดเด่นจนทำให้จดจำได้ เขายังได้อุ้มหนูน้อยหน้าตาน่ารักยังกับตุ๊กตาแต่แม่หนูจอมแสบกลับฉี่รดใส่เขา
“อ้าว...น้องพลูฝากรักมึงซะแล้ว ฮ่าๆ ยัยหนูเล่นตีตราจองซะขนาดนี้ จำไว้นะ...ว่ามึงต้องกลับมาขอเธอแต่งงานด้วย”
ชลธีเผลอหัวเราะออกมา ไม่คิดว่าเรื่องที่พูดเล่นหยอกล้อกันเมื่อยี่สิบปีก่อนมันจะกลายเป็นความจริงราวกับนิยาย
อีกพักใหญ่ต่อมาประตูห้องก็ถูกเปิดอีกครั้ง ตอนแรกคิดว่าแทนดาวอาจจะลืมอะไรเอาไว้ แต่คนที่เข้ามาใหม่กลับเป็นเปรมยุตา หล่อนเดินเข้ามาด้วยท่าทีเศร้าหมอง น้ำตาอาบเต็มสองตาก่อนจะโผเข้ากอดเขาแน่น
“ปรางขอโทษ...แต่ปรางทนไม่ได้ ปรางทนเห็นคุณทำแบบนั้นกับเธอไม่ได้จริงๆ!” ชลธียืนงงเป็นไก่ตาแตก เปรมยุตามาที่นี่ได้ยังไง? ที่สำคัญมาฟูมฟายกับเขาเรื่องอะไรกัน?
“ปราง! หยุดเถอะ ผมขอร้อง” เขาพยายามเรียกสติของคนที่กำลังกอดตนเองเสียแน่นหนา เสียงร้องไห้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
“ฆ่าปรางก่อนสิ! แล้วปรางจะเลิกรักคุณ”
ชลธีพยายามแกะมือทั้งสองข้างของเปรมยุตาออกจากรอบเอวแต่ดูเหมือนมันยิ่งรัดแน่นจนต้องตัดสินใจออกแรงกระชากและผลักจนกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว เปรมยุตาหน้าเสีย ดวงตาฉายแววไม่พอใจ ชลธีมองอีกฝ่ายอย่างรู้สึกผิด เขาไม่เคยใช้กำลังกับเพศตรงข้ามมาก่อนเลย
“ชลคะ...ปรางขอโทษค่ะ แต่...” น้ำตาไหลรินร่วงเผาะ ชลธีก้าวเข้ามาใกล้ คิดว่าตนคงทำรุนแรงกับหล่อนมากเกินไป เขาเอื้อมมือหมายจะปาดน้ำตาบนแก้มสีกุหลาบนั้นแต่แล้วต้องหยุดชะงัก ถ้าเขาไม่หักใจ...หล่อนก็จะยังคิดว่าเขายังมีเยื่อใยไม่เลิก
“พอเถอะปราง...ผมว่าคุณกลับไปโรงแรมดีกว่า อย่าเสียเวลามาตามผมเลย ผมมีงานต้องทำและที่นี่...ไม่ใช่ที่ของคุณหรือผม เราไม่ควรเอาเรื่องส่วนส่วนตัวมาพูดกัน” เขาซุกมือในกระเป๋ากางเกงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรที่ดีไปกว่านี้ได้เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันจบสิ้นไปตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อน เป็นแปดปีที่เขาไม่เคยตื่นจากฝันร้ายและจมอยู่กับความเสียใจแสนสาหัส!
“คุณบอกว่าอย่าเสียเวลามาตามคุณ แต่คุณ...เสียเวลาทำงานอันมีค่าของคุณเพื่อเธอ ที่นี่ไม่ใช่ของปรางหรือของคุณ แต่คุณเลือกที่จะมาอยู่ที่นี่...เพราะเธอ!” เปรมยุตาพรั่งพรูความรู้สึกออกมาจากใจพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก ชลธีหันหลังให้ด้วยกลัวว่าจะใจอ่อนกับน้ำตาที่กำลังไหลพรูอีก
“ปรางครับ...เราเป็นเพื่อนกันนะ อย่าลืมสิ และผมขอร้อง...อย่าดึงใบพลูเข้ามาเกี่ยว” เขาปรามเสียงดุเมื่อสาวน้อยกำลังถูกพาดพิง เปรมยุตาเสียดหูขึ้นมาอย่างแรงเมื่อได้ยินชื่อนั้น
“เพื่อน?” หล่อนแค่นเสียงคล้ายจะเยาะตัวเอง “ชลลืมไปแล้วเหรอว่าปรางเป็นเมียคุณ!” หล่อนตะเบ็งเสียงใส่คนที่ยืนหันหลังให้ ชลธีหันมามองโกรธๆ เปรมยุตาผู้อ่อนหวานของเขาไม่มีอีกต่อไปแล้ว ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้ามิใช่สาวน้อยแสนดีที่เคยมอบความรักให้หมดทั้งหัวใจ คนที่เคยเทิดทูนบูชาว่าเป็นหนึ่งเดียวที่จะมอบหัวใจไว้ให้ แต่นี่...ไอ้สิ่งที่ตะโกนย้ำกับเขาเมื่อกี้ หล่อนเองมิใช่หรือที่สละมันไปอย่างไม่ใยดี!
“แค่ ‘เคย’ นะปราง” เขาตอบเสียงแผ่วเบาหากแต่หนักแน่นเพื่อเน้นย้ำให้คนฟังเข้าถึงความหมาย
“แต่ชลคะ...เรื่องนั้นมันก็นานมาแล้ว ปรางยังรักคุณอยู่และพร้อมเสมอที่เริ่มต้นใหม่กับคุณ ปรางสัญญาว่าจะไม่ทำเลวร้ายแบบนั้นอีก จะไม่หนีไปไหนอีก” หล่อนอ้อนวอนทั้งน้ำตา แววตาส่อประกายความอาวรณ์
ชลธีถึงคราวลำบากอีกหน เขาทำร้ายหัวใจใครไม่เป็นแต่ก็ทำร้ายหัวใจตัวเองไม่ได้เช่นกัน เคยรักเปรมยุตาคนเก่าจนสุดหัวใจ แต่สิ่งที่หล่อนพรากเอาไปนั้นมันหนักหนาเสียจนหัวใจของเขาด้านชาไม่หลงเหลือความเอื้ออาทรใดๆให้อีกต่อไปแล้ว
“เอาลูกผมคืนมาสิ...แล้วผมจะกลับไปอยู่กับคุณ” ชลธีกัดฟันตอบเสียงกร้าว แววตากล้าขึ้นจนเปรมยุตาตัวสั่น
“ชล...” หล่อนได้แต่ครางเรียกชื่อเขา น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว ตอนนี้ตกใจมากกว่า ไม่คิดว่าอดีตคนรักจะยังฝังใจกับเรื่องนี้อยู่
“เค้าผิดอะไรปรางถึงได้ทำแบบนั้น? ปรางรู้มั้ยว่าผมไม่เคยมีความสุขเลยนับตั้งแต่ที่ชีวิตบริสุทธิ์ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของผมถูกทำลายโดยผู้หญิงที่ผมเคยรักมากที่สุด ชีวิตมีแต่ความรู้สึกผิดจนไม่อยากแม้แต่จะยิ้มหรือหัวเราะ” เขาหยุดกลืนก้อนแข็งๆลงคอ
“ผมโทษตัวเองมาตลอดว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณต้องตัดสินใจทำแบบนั้น เคยคิดว่าคุณเองก็รักผมมากเหมือนกับที่ผมรักคุณ แต่สิ่งที่คุณได้ทำลงไป...” เขาพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ตะโกนออกไป “มันก็พิสูจน์แล้วว่า...คุณรักเงินมากกว่าผม” เปรมยุตายืนนิ่ง สิ่งที่หลุดออกมาจากปากของคนเคยรักทำให้หล่อนตัวชา
“ชลคะ...ฟังปรางก่อน” หล่อนขอร้องทั้งน้ำตา แต่ชลธีกลับนิ่งไม่รู้สึกหวั่นไหวกับน้ำตาของหล่อนอีกต่อไปแล้ว
“ปรางรักคุณและที่ปรางต้องทำแบบนั้น...ก็เพื่อคุณนะคะ”
“เพื่อผม!?” เขาแค่นเสียงถาม ดวงตาฉายแววเจ็บปวดรวดร้าว “ฆ่าลูกเพื่อผมงั้นหรือ?”
“ปรางก็ไม่ได้อยากทำ...คุณคิดว่าปรางอยากจะฆ่าลูกงั้นหรือคะ?” หล่อนสะอื้น สองแก้มเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เจ็บปวดไม่แพ้กัน
“ตอนนั้น...เราสองคนก็ยังเรียนด้วยกันทั้งคู่ คุณเองก็ไม่พร้อม ถามหน่อยเถอะ...ถ้าปรางไม่ทำแบบนั้น คุณจะเอาอะไรมาเลี้ยงลูก!” หล่อนโพล่งอย่างเหลืออด ชลธีมองกลับมาด้วยสายตากึ่งเห็นใจกึ่งดูถูก
“คุณไม่เคยเชื่อใจผม... ผมพร้อมจะรับผิดชอบคุณเสมอและสามารถเลี้ยงคุณกับลูกได้สบายมากถ้าคุณรออีกนิด ผมเฝ้าบอกกับคุณอย่างนี้มาตั้งแต่เริ่มคบกัน คุณรู้มั้ย...ผมรักคุณมากแค่ไหน ยิ่งพอรู้ว่าคุณท้อง ผมก็รีบจัดการทุกอย่างให้มันเรียบร้อย....” เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวยที่ครั้งนึงเคยหลงใหลมากมาย
“แต่คุณไม่เชื่อใจผมเลย ไม่ยอมรอผม คุณฆ่าผมทั้งเป็นรู้มั้ยปราง!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ