รอยอธิษฐาน
10.0
เขียนโดย อาบตะวัน
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.01 น.
13 ตอน
17 วิจารณ์
16.65K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 07.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) คุ้มวังพิทักษ์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเสียงเอะอะโวยวายที่บันไดบ้าน ปลุกปาระมีให้ตื่น หญิงสาวยังรู้สึกมึนศีรษะและหนักเปลือกตาที่บวมเล็กน้อยจากการร้องไห้เมื่อคืน หล่อนเดินเมาขี้ตาออกมาดูที่หน้าบ้านว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็พบเข้ากับเด็กสาวผิวคล้ำนัยน์ตากลมโตสวย ริมฝีปากค่อนข้างหนา ยืนจ้องหน้าหนึ่งในน้องชายแฝดคนใดคนหนึ่งของหล่อนอย่างเอาเรื่อง ถ้าปาระมีจำไม่ผิด เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนสาวของป้องคุณ
“ว่าไงล่ะ โทรหาก็ไม่ยอมรับ คิดว่าลูกหมีจะทำอะไรไม่ได้ใช่มั้ย”
เด็กสาวว่าเสียงแผดแหลม ป้องคุณเกาหัว
“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ได้ยิน โทรศัพท์มันเสีย ไม่เชื่อก็ดูสิอ่ะ”
เด็กหนุ่มยื่นโทรศัพท์มือถือให้ เด็กสาวปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี
“ไม่ดู แล้วก็ไม่เชื่อด้วย ป้องไม่ต้องมาโกหกลูกหมี บอกมาเลยนะ ว่ายัยนั่นมันเป็นใคร”
“ยัยไหน...ไม่มี้... ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ไปไหนกับใครเลย ก็ไม่เชื่อ”
“ไม่ต้องมาพูด สารภาพมาเลยนะ หมูหวานบอกว่าเห็นป้องกับผู้หญิงเดินจับมือกันที่หน้าโรงหนัง”
“หน้าโรงหนัง...”
ป้องคุณทำท่าคิด ลูกหมีตรงเข้าหยิกและตี
“บอกมาเลยนะว่าใคร นี่แน่ะๆๆๆ คนเจ้าชู้นิสัยไม่ดี”
“โอ๊ย! ๆๆ เดี๋ยวสิ ถ้าที่โรงหนังป้องไปกับปกและก็พี่ปานน่ะ ผู้หญิงที่เห็นน่ะ พี่สาวป้องนะ”
ลูกหมีหยุดตีเด็กหนุ่ม จ้องมองหน้าง้ำ
“พี่สาว…”
หล่อนทวนคำ
“ป้องมีพี่สาวด้วยเหรอ โกหก! หมูหวานบอกว่าหน้าไม่เหมือนกันเลยซักนิด”
เด็กสาวมองตาขวางท่าทางดื้อดึง ป้องคุณพยายามอธิบายอย่างใจเย็น ปกบุญ พ่อกับ แม่แอบดูอยู่ที่ประตูห้องครัว ทั้งสามมองหน้ากันแล้วพากันส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ปาระมียืนกอดอกฟังอยู่เชิงบันได
“ผู้หญิงขาว ๆ ผอม ๆ ผมยาว ๆ สีน้ำตาล ใช่มั้ย สวย ๆน่ะ”
ป้องบรรยายลักษณะพี่สาวพร้อมทำมือประกอบ ลูกหมีสะบัดหน้าพรืด
“ยังจะมาย้ำอีกว่าสวย ป้องมีพี่สาวด้วยเหรอ ลูกหมีไม่เห็นเคยเห็นเลย แล้วตัวเองหน้าเป็นแขกแบบนี้จะมีพี่สาวขาว ๆ หมวย ๆ ได้ไง”
“งั้นก็ไปพาเพื่อนเธอที่เห็นมาดูสิว่าใช่คนนี้รึเปล่า”
ปาระมีก้าวออกมาที่กอดอกพิงมองเด็กสาวที่ประตูหน้านิ่ง เด็กสาวอ้าปากค้าง มองหน้าปาระมีสลับไปมากับแฝดหนุ่ม
“ไม่จริงอ่ะ นี่...พี่สาวอย่างงั้นเหรอ ไม่มีเค้าหน้ากันเลยสักนิด”
หล่อนมองหน้าป้องคุณด้วยสายตาตัดพ้อ ปาระมีเดินมาใกล้คนทั้งคู่ มือข้างหนึ่งโอบไหล่น้องชายไว้
“จริง ๆ พี่ก็ไม่ได้เป็นพี่น้องจริง ๆ กันหรอกนะ เป็นญาติ ห่างๆ ห๊างห่าง พี่ก็ชอบ ๆ ป้องเค้าอยู่เหมือนกันแหละ”
หญิงสาวโกหกหน้าตาย ป้องคุณทำหน้าเลิ่กลั่ก ในขณะที่ลูกหมีหน้าแดงก่ำ
“อะไรกันน่ะ ป้อง บอกมาซิว่านี่หมายความว่ายังไง”
เด็กสาวเริ่มตั้งท่าจะร้องไห้ ป้องคุณอึกอัก มองหน้าพี่สาวสลับกับแฟนสาวอย่างสับสน ปาระมีลอยหน้า
“กลับไปเถอะน้อง ไม่รู้สึกอายบ้างรีไงมาเอะอะโวยวายบ้านผู้ชายเค้าแต่เช้าเนี่ย เป็นสาวเป็นนางแท้ ๆ”
หล่อนว่า มือที่โอบไหล่น้องชายบีบแน่น ราวกับกลัวว่าป้องคุณจะวิ่งถลาเข้าไปหาเด็กสาว ลูกหมีจ้องมองหญิงสาวตาแดงก่ำก่อนที่ดวงตาจะค่อย ๆรื้นไปด้วยน้ำตา
“ว่าแต่คนอื่นนะ ทีตัวล่ะ มานอนบ้านผู้ชายหน้าตาเฉยเลย ไม่อายบ้างรึไง แถมยังคิดจะแย่งแฟนคนอื่นด้วย คิดว่าสวยแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ ผู้หญิงสมัยนี้หน้าด้านหน้าทนจริง ๆ”
ลูกหมีว่าเสียงดังทั้งน้ำตาอาบแก้มก่อนจะคว้ามอเตอร์ไซค์พุ่งออกจากบ้านไป ทิ้งปาระมีมองตามหน้าเหรอ พูดไม่ออก
“ไงล่ะเจ๊ เงิบเลย”
ปกบุญหัวเราะออกมาจากห้องครัว มีพ่อกับแม่ยิ้มขัน ๆตามออกมาด้วย
“แบบนี้เค้าเรียกว่าโดนข้าศึกสวนด้วยหอก”
พ่อว่า ก่อนจะหันไปตบไหล่ลูกชายคนเล็กที่ดูเซื่องซึมไปถนัดตา
“เฮ่ย ไอ้ลูกชายไม่ต้องคิดมากหรอกแค่ผู้หญิงคนเดียว ลูกพ่อหล่อจะตายหาใหม่ได้อีกเยอะ”
“ทำไมพ่อไม่ทำพวกผมกับพี่ปานให้หน้าคล้าย ๆกันหน่อยล่ะครับ ไปที่ไหนไม่เคยมีใครรู้เลยว่าพวกเราเป็นพี่น้องกัน”
ป้องคุณพูดเศร้า ๆ พ่อเงียบทันที ปาระมีเห็นพ่อสบตากับแม่ที่รีบเสกลับเข้าไปทำครัวอย่างไม่รู้ไม่ชี้ พ่อก็ทำกระแอมกระไอ
“เอ้อ... พวกแก มันเหมือนพ่อ พี่เค้าเหมือนแม่ หน้ามันก็เลยไปคนละทาง แต่ความจริงสังเกตดี ๆ พ่อว่าก็คล้าย ๆกันอยู่นา... จริงไหมลูก ปาน...”
ปาระมีนั่งตาลอย คำพูดของน้องชายคนเล็กกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงคิด หลายปีมานี้มีคนทักกันถี่มากเรื่องหน้าตาของสามพี่น้อง ซึ่งยิ่งโตก็ยิ่งทวีความแตกต่างกันมากขึ้น นี่หล่อนกำลังคิดอะไรอยู่นะ หรือเรื่องลูกแฝดของเจ้าคำสิงห์จะอยู่ในความคิดของหล่อนมากจนเกินไป หญิงสาวรู้สึกตัวอีกทีเมื่อถูกบิดาสะกิด จึงแก้เก้อด้วยการขอตัวไปอาบน้ำ
กานต์มารับหญิงสาวตอนสาย ๆ เขาหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังมาเป็นของฝากพ่อแม่และน้องชาย พร้อมกับกระซิบกระซาบแม่ละมุนขออนุญาตพาปาระมีกลับบ้านเย็นซักนิด
“ผมขอพาน้องไปทานข้าวเย็นกับเพื่อน ๆ ในตัวเมืองนี้ ซักทุ่มก็กลับแล้วครับ”
เขายิ้มอ้อน แม่อมยิ้มพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ปาระมีลงมาในชุดเสื้อเชิ้ตขาวแขนยาวเข้ารูปกับกางเกงยีนส์ขายาว
ผมยาวสลวยรวบเป็นหางม้าดูทะมัดทะแมง ผู้เป็นแม่มองอย่างไม่ชอบใจ
“จะเลยไปทานข้าวกับเพื่อนพี่เขาด้วยไม่ใช่เหรอลูก ทำไมไม่นุ่งชุดกระโปรงน่ารัก ๆ ล่ะ จะได้น่ามองหน่อย”
“โธ่ แม่ พี่ปานไม่ใช่ตุ๊กตานะ แค่นี้ก็สวยพอแล้ว”
ปกบุญท้วงแม่หน้าหงิก เขาชอบกานต์ก็จริงอยู่แต่ไม่เห็นด้วยที่เขาจะเอาพี่สาวไปอวดคนนั้นคนนี้ว่าเป็นแฟนทำเหมือนเป็น
ของโชว์
“พูดถูกใจ เจ้าปก เดี๋ยวซื้อขนมมาฝาก”
ปาระมีว่า ยักคิ้วให้น้องชายก่อนจะเดินนำหน้าชายหนุ่มขึ้นรถไป
กานต์ชะลอรถที่หน้าประตูวัดแก้วกนก มองที่หน้าประตูวัดสลับกับรั้วไม้ผุ ๆ ที่อยู่ถัดไป อาณาเขตรกเรื้อที่ด้านหลังวัด คุ้มไม้สักโบราณซุกตัวอยู่ในนั้น
“เราจะไปที่คุ้มหรือไปหาปู่จารย์วัดก่อนดีคะ น้องปาน”
กานต์ถาม สีหน้าครุ่นคิดลังเล แต่ปาระมีคิดถึงวัด หล่อนกำลังคิดถึงการเดินทางกลับไปยังโลกอดีตด้วยการกราบพระ หากหล่อนไปครั้งนี้ หล่อนยังจะได้ย้อนเวลากลับไปอีกหรือไม่
“เราไปวัดก่อนดีมั้ยคะ พี่กานต์ยังไม่เคยไปไหว้หลวงพ่อที่วัดแก้วกนกเลย
หล่อนพูดอ่อนหวาน ชายหนุ่มจึงรีบโอนอ่อนผ่อนตาม เขาเลี้ยวรถเข้าไปจอดในลานวัด ซึ่งวันนี้ก็เป็นเหมือนอย่างปกติทุกวัน คือมีผู้คนเดินกันประปราย บ้างกำลังจุดธูปไหว้องค์พระเจดีย์ มีสองสามคนกำลังเสี่ยงเซียมซีอยู่ที่ศาลาเล็กใกล้หอสมุดหลังเก่า บางคนก็ขึ้นไปไหว้พระบนวิหาร ปาระมีเห็นร่างผอมเดินไหว ๆ ออกมาจากด้านหลังต้นโพธิ์ร่างเล็กผอมแกร็นของชายชราในชุดหม้อห้อมสีมอ ตาถานั่นเอง ดูเหมือนแกจะเพิ่งแยกกับหลวงตาจากกุฏิหลังใหญ่ กำลังเดินมาที่ลานหน้าวิหาร ปาระมีรีบสะกิดกานต์ให้รีบเข้าไปหา หล่อนกระซิบกระซาบบอกชายหนุ่มว่า นี่แหละ ตาถา ปู่จารย์วัดที่เรากำลังจะมาหาเขา
“สวัสดีครับคุณตาผมชื่อกานต์ครับ”
กานต์ไม่รอช้าพอลงจากรถได้ก็รีบยกมือไหว้ทักทาย ตาถามองหน้าชายหนุ่มนิดหนึ่งก่อนจะเหลือบมองปาระมี
“แฟนอีหน้อยหรือ”
ปาระมีรีบส่ายหน้า
“ไม่ใช่ค่ะ พี่กานต์เขาสนใจจะถามเรื่องคุ้มเก่าหลังวัดนี้ แม่เลยแนะนำให้มาถามตาดูน่ะค่ะ”
ชายชรามองหน้าชายหนุ่มเขม็ง แววตาของแกไม่บ่งบอกถึงความเป็นมิตร กานต์มองท่าทีนั้นอย่างขยาด เขาหันมาสบตาปาระมีซึ่งก็ยังพยักเพยิดให้เขาเป็นคนคุยเอง
“ครับ คือ ผมอยากรู้ว่าใครเป็นเจ้าของตอนนี้ ผมอยากจะเข้าไปดูสักหน่อย จะได้ไปบอกคนที่เขาอยากจะซื้อต่อได้ครับว่ามันดูเป็นยังไงบ้าง”
“ซื้อหรือ...ไอ้หนุ่มจะซื้อคุ้มวังสิงห์คำนี้อย่างนั้นหรือ”
เสียงแกค่อนข้างดัง จะด้วยสีหน้าท่าทางหรือความไม่มั่นใจของชายหนุ่มก็ตามแต่ กานต์รีบส่ายหัว
“เปล่าครับ เปล่า ๆ ”
“อย่างนั้นจะดูทำไม”
ตาถายังคงจ้องตากานต์นิ่งเหมือนจะขุดเอาคำตอบจากหน้าตาเหรอหรานั่น ปาระมีจึงรีบออกหน้า อธิบายให้แทน
“พี่กานต์อยากจะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของคุ้มคนปัจจุบันน่ะค่ะ เจ้านายเขาเป็นฝรั่ง สนใจอยากจะได้ที่นี่”
ปาระมีรู้สึกทันทีว่าตัวเองควรจะหยุดพุดเมื่อเห็นสีหน้าของปู้จานย์เฒ่าที่เขม้นมองสายตาไม่เป็นมิตรมายังหล่อนด้วย หน้าตาเหี่ยวย่นดูโกรธเคืองเมื่อได้ยินคำว่า ‘ฝรั่ง’ ปาระมีมั่นใจเช่นนั้นเพิ่มมากขึ้นอีกเมื่อเขาขบกรามทวนคำพูดหล่อน
“ฝรั่ง”
“ค่ะ... ”
สายตาชายชราเหม่อมองออกไปยังคุ้มด้านหลัง ปาระมีหันมองตาม ผ่านสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในวัด หล่อนมองเห็นแต่เพียงหลังคาของอาคารไม้ที่เก่าผุพังของคุ้มวังพิทักษ์ แผ่นกระเบื้องดินขอที่แตกหักเป็นแห่ง ๆ ตะไค่น้ำจับเขียวบางแห่งดำจนเป็นปื้น ๆ จะว่าสวยก็สวยจะว่าน่ากลัวก็ไม่อาจจะปฏิเสธความรู้สึกเยือกเย็นนี้ไปได้ ตาถามีแววตาหม่นลงเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปที่ด้านหลังกุฏิเจ้าอาวาส แกเดินฉับ ๆ โดยไม่ได้พูดคำลากับแขกผู้มาเยือนทั้งสอง
“อ้าว คุณตาครับผมยังไม่ได้ถามเลย คุณตาครับ รอก่อนครับ”
เสียงร้องเรียกของกานต์ทำให้ชายชราหยุดเดิน แล้วหันกลับมามองด้วยสายตาเรียบเฉย
“เอ่อ...ผมจะขอเข้าไปดูเองได้ไหมครับ”
ปาระมีนึกทึ่งในความกล้าอย่างไม่น่าเชื่อของชายหนุ่ม เพราะถ้าเป็นหล่อน สายตาแบบของตาถาแบบนี้ หล่อนคงไม่กล้าแม้แต่จะมองสบเลยด้วยซ้ำไป
“อยากจะไปก็ไปสิ เจ้าของเขาไม่ว่าหรอก คุ้มเก่ามันก็แค่บ้านร้าง ถ้าไม่กลัวงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ก็ไปเถอะ”
ชายชราตอบเสียงห้วนแล้วเดินต่อไป กานต์โคลงศีรษะ
“ตาคนนี้พิลึกนะ”
“เราขึ้นไปกราบพระก่อนดีมั้ยคะ”
ปาระมีชวน แต่กานต์ส่ายหน้า
“เรารีบไปดูคุ้มก่อนเลยดีกว่าค่ะ พี่อยากจะรีบดูให้เสร็จ ๆ ไป ไม่งั้นจะไปตามนัดเลทอีก”
ชายหนุ่มถอนหายใจ ท้องฟ้าในเวลานี้แดดยังจัดแจ้งแม้เป็นเวลาเริ่มบ่ายคล้อย เขาพยักเพยิดกับปาระมีให้เดินเลาะไปยังประตูหลังโบสถ์ซึ่งเป็นประตูไม้เล็ก ๆ เจาะช่องระหว่างกำแพงปูนของวัดแก้วกนก ทะลุเข้าไปหาบริเวณคุ้มวังพิทักษ์ เส้นทางจากประตูไปถึงตัวคุ้มแม้จะมีหญ้ารกเรื้อ บางแห่งเป็นป่าไมยราพ แต่ถ้าเข้าไปใกล้ ๆ ก็จะเห็นได้ว่า จากประตูไปถึงด้านในมีทางเดินเล็กเล็ก ๆ เป็นร่องเหมือนกับมีคนเข้าออกบ่อย ๆ ให้เดินเข้าได้อย่างสะดวก
“เฮ้อ ใครเป็นเจ้าของก็ไม่รู้ เกิดบอส ถูกใจ แล้วพี่จะไปถามซื้อกับใครล่ะ”
กานต์เดินนำหญิงสาวช้า ๆ คอยปัดกิ่งไม้รก ๆ ข้างทางให้หญิงสาวเดินได้สะดวก ปาระมีรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเข้ามาในบริเวณรั้ว หล่อนจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ หล่อนเคยเข้ามาวิ่งเล่นที่นี่กับเพื่อนบ้านหลาย ๆ คน เมื่อสมัยคุ้มวังพิทักษ์ยังไม่สภาพทรุดโทรมเท่าที่เห็น ตอนนั้นก็เป็นคุ้มไร้ผู้คนเช่นนี้ แต่ด้วยความที่เป็นเขตติดวัดในเมือง จึงยังพอมีผู้คนเดินเข้าออกบ้าง ต่อมาภายหลังก็เริ่มมีคนพูดถึงความอันตรายของคุ้มมากขึ้น คงจะเพราะไม่มีใครมาดูแล อาคารที่เก่าโทรมจึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะทรุดพังลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ ปาระมีมองลอดแนวไม้ใหญ่ขึ้นไป มองเห็นเชิงชายหลังคาคุ้มเป็นไม้ฉลุลวดลายประดับสวยงาม ต่อเมื่อเดินพ้นแนวป่า จึงได้เห็นคุ้มวังพิทักษ์เต็มสองตา ความหนาวเย็นถาโถมเข้ามาทั้งที่แดดยังเปรี้ยง ปาระมีรู้สึกหายใจไม่เต็มท้องขึ้นมาเสียเฉย ๆ หล่อนกุมมือเย็นเฉียบของตัวเองไว้แน่น ตาจ้องมองอาคารครึ่งปูครึ่งไม้หลังใหญ่ ที่ผสานความเป็นล้านนาและยุโรปเข้าด้วยกันนั้น ด้วยความรู้สึกเต็มตื้นราวกับคนที่ได้กลับมายังบ้านที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของตัวเองอีกต่อไป
“สวยจังนะคะ แต่เก่าได้ใจจริง ๆน้องปานเดินระวังหนามหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะเจ็บนะ”
กานต์อุทานออกมาก่อน เขาจับจ้องแนวโครงไม้ที่รอบตัวอาคารอย่างสนใจ เสาทำจากไม้สักเนื้อหนา ลำต้นกลมเกลี้ยงงามสม่ำเสมอ มันจะมีราคาสักเท่าไหร่กัน ไม้ที่สวยและเก่าแก่ขนาดนี้ เขาหยิบกล้องถ่ายภาพออกจากกระเป๋าสะพาย เริ่มถ่ายภาพเสาไม้สักต้นใหญ่ หน้าต่างบานพับของตัวเรือนชั้นล่างที่ทำจากไม้ตีเป็นเกล็ดแบบสถาปัตยกรรมที่นิยมในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อเงยหน้าขึ้นมองยังชั้นบนก็เห็นว่า ตัวเรือนชั้นบนทำจากไม้ทั้งสิ้น เนื้อไม้ดูหนาเป็นสีดำสวย บางแห่งเก่าผุ โดยเฉพาะระเบียงที่ยื่นไปทางลานหน้าคุ้ม ที่ผุเก่าจนแผ่นไม้ห้อยร่องแร่งลงมาน่าหวาดเสียว ปาระมีมองเห็นบันไดทางขึ้นชั้นบน มีทั้งด้านหน้าซึ่งเป็นบันไดหน้ากว้างมีกระถางดอกไม้ฉลุลวดลายขนาดใหญ่ตั้งประดับอยู่ กับบันไดด้านข้างที่เป็นบันไดเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่ที่ซอกเสา ปาระมีมองเห็นประตูชั้นล่างหลุดพังไปแล้ว อาคารชั้นล่างจึงเปิดกว้างมองเห็นด้านในอย่างชัดเจน
“เราเข้าไปดูข้างในกันดีมั้ยคะ”
ปาระมีเป็นฝ่ายชวนเอง กลิ่นอายบางอย่างลอยมาสัมผัสกับจมูก มันไม่ค่อยให้ความรู้สึกที่เป็นมิตรนักหรอก แต่ในใจของหญิงสาวมันกลับเรียกร้องให้เข้าไปด้านใน ทุกสิ่งอย่างมันดูน่าสนใจสำหรับหล่อนไปเสียหมด
“ดีค่ะ น้องปานตามพี่มานะ”
กานต์ดูกระตือรือร้น เขาขยับกล้องในมือไว้มั่น เดินนำหน้าหญิงสาวไปอย่างทะมัดทะแมง
ภายในคุ้มมีเศษขยะเต็มไปหมด ทั้งฝุ่นและหยากไย่ มันเป็นเพียงคุ้มเปล่า ๆ โล่ง ๆที่ไม่มีเครื่องเรือนอะไรเลย
ลมพัดมาวูบใหญ่ตีฝุ่นบนพื้นห้องให้ฟุ้งกระจาย เศษขยะปลิวว่อน กระดาษเก่า ๆ ใบหนึ่งปลิวมาที่มือของหญิงสาว ปาระมีรับมันไว้อย่างไม่รู้ตัว
เมื่อลมประหลาดนั้นสงบลง ปาระมีจึงก้มลงมอง มันเป็นเพียงกระดาษสีเหลืองกรอบที่มีรูปวาดสาวสวยอยู่ข้างใน หญิงสาวคงจะปล่อยมันทิ้งไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากไม่เห็นว่ารูปวาดของหญิงสาวในกระดาษแผ่นนั้นเป็นใบหน้าของเธอเอง!
“อินทร 27/7/2480”
หญิงสาวอ่านลายเซ็นใต้ภาพนั้น ภาพนี้เขียนขึ้นเมื่อกว่า 70 มาแล้ว หล่อนยกภาพนั้นขึ้นมาพินิจโดยละเอียด ภาพวาดด้วยดินสอที่ดูรางเลือนซีดเก่า แต่ทั้งใบหน้า ทรงผม ก็เหมือนตัวเธอเองจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพของหญิงสาวในรูปที่สวมชุดล้านนาโบราณแต่กลับสวมกำไลเงินเส้นบางสองอันที่ข้อมือ มันเหมือนของตัวหล่อนเองทั้งคู่ ก่อนที่เธอจะมอบให้กับเด็กในอดีตภพไปอันหนึ่ง เมื่อวานนี้...
“ว่าไงล่ะ โทรหาก็ไม่ยอมรับ คิดว่าลูกหมีจะทำอะไรไม่ได้ใช่มั้ย”
เด็กสาวว่าเสียงแผดแหลม ป้องคุณเกาหัว
“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ได้ยิน โทรศัพท์มันเสีย ไม่เชื่อก็ดูสิอ่ะ”
เด็กหนุ่มยื่นโทรศัพท์มือถือให้ เด็กสาวปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี
“ไม่ดู แล้วก็ไม่เชื่อด้วย ป้องไม่ต้องมาโกหกลูกหมี บอกมาเลยนะ ว่ายัยนั่นมันเป็นใคร”
“ยัยไหน...ไม่มี้... ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ไปไหนกับใครเลย ก็ไม่เชื่อ”
“ไม่ต้องมาพูด สารภาพมาเลยนะ หมูหวานบอกว่าเห็นป้องกับผู้หญิงเดินจับมือกันที่หน้าโรงหนัง”
“หน้าโรงหนัง...”
ป้องคุณทำท่าคิด ลูกหมีตรงเข้าหยิกและตี
“บอกมาเลยนะว่าใคร นี่แน่ะๆๆๆ คนเจ้าชู้นิสัยไม่ดี”
“โอ๊ย! ๆๆ เดี๋ยวสิ ถ้าที่โรงหนังป้องไปกับปกและก็พี่ปานน่ะ ผู้หญิงที่เห็นน่ะ พี่สาวป้องนะ”
ลูกหมีหยุดตีเด็กหนุ่ม จ้องมองหน้าง้ำ
“พี่สาว…”
หล่อนทวนคำ
“ป้องมีพี่สาวด้วยเหรอ โกหก! หมูหวานบอกว่าหน้าไม่เหมือนกันเลยซักนิด”
เด็กสาวมองตาขวางท่าทางดื้อดึง ป้องคุณพยายามอธิบายอย่างใจเย็น ปกบุญ พ่อกับ แม่แอบดูอยู่ที่ประตูห้องครัว ทั้งสามมองหน้ากันแล้วพากันส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ปาระมียืนกอดอกฟังอยู่เชิงบันได
“ผู้หญิงขาว ๆ ผอม ๆ ผมยาว ๆ สีน้ำตาล ใช่มั้ย สวย ๆน่ะ”
ป้องบรรยายลักษณะพี่สาวพร้อมทำมือประกอบ ลูกหมีสะบัดหน้าพรืด
“ยังจะมาย้ำอีกว่าสวย ป้องมีพี่สาวด้วยเหรอ ลูกหมีไม่เห็นเคยเห็นเลย แล้วตัวเองหน้าเป็นแขกแบบนี้จะมีพี่สาวขาว ๆ หมวย ๆ ได้ไง”
“งั้นก็ไปพาเพื่อนเธอที่เห็นมาดูสิว่าใช่คนนี้รึเปล่า”
ปาระมีก้าวออกมาที่กอดอกพิงมองเด็กสาวที่ประตูหน้านิ่ง เด็กสาวอ้าปากค้าง มองหน้าปาระมีสลับไปมากับแฝดหนุ่ม
“ไม่จริงอ่ะ นี่...พี่สาวอย่างงั้นเหรอ ไม่มีเค้าหน้ากันเลยสักนิด”
หล่อนมองหน้าป้องคุณด้วยสายตาตัดพ้อ ปาระมีเดินมาใกล้คนทั้งคู่ มือข้างหนึ่งโอบไหล่น้องชายไว้
“จริง ๆ พี่ก็ไม่ได้เป็นพี่น้องจริง ๆ กันหรอกนะ เป็นญาติ ห่างๆ ห๊างห่าง พี่ก็ชอบ ๆ ป้องเค้าอยู่เหมือนกันแหละ”
หญิงสาวโกหกหน้าตาย ป้องคุณทำหน้าเลิ่กลั่ก ในขณะที่ลูกหมีหน้าแดงก่ำ
“อะไรกันน่ะ ป้อง บอกมาซิว่านี่หมายความว่ายังไง”
เด็กสาวเริ่มตั้งท่าจะร้องไห้ ป้องคุณอึกอัก มองหน้าพี่สาวสลับกับแฟนสาวอย่างสับสน ปาระมีลอยหน้า
“กลับไปเถอะน้อง ไม่รู้สึกอายบ้างรีไงมาเอะอะโวยวายบ้านผู้ชายเค้าแต่เช้าเนี่ย เป็นสาวเป็นนางแท้ ๆ”
หล่อนว่า มือที่โอบไหล่น้องชายบีบแน่น ราวกับกลัวว่าป้องคุณจะวิ่งถลาเข้าไปหาเด็กสาว ลูกหมีจ้องมองหญิงสาวตาแดงก่ำก่อนที่ดวงตาจะค่อย ๆรื้นไปด้วยน้ำตา
“ว่าแต่คนอื่นนะ ทีตัวล่ะ มานอนบ้านผู้ชายหน้าตาเฉยเลย ไม่อายบ้างรึไง แถมยังคิดจะแย่งแฟนคนอื่นด้วย คิดว่าสวยแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ ผู้หญิงสมัยนี้หน้าด้านหน้าทนจริง ๆ”
ลูกหมีว่าเสียงดังทั้งน้ำตาอาบแก้มก่อนจะคว้ามอเตอร์ไซค์พุ่งออกจากบ้านไป ทิ้งปาระมีมองตามหน้าเหรอ พูดไม่ออก
“ไงล่ะเจ๊ เงิบเลย”
ปกบุญหัวเราะออกมาจากห้องครัว มีพ่อกับแม่ยิ้มขัน ๆตามออกมาด้วย
“แบบนี้เค้าเรียกว่าโดนข้าศึกสวนด้วยหอก”
พ่อว่า ก่อนจะหันไปตบไหล่ลูกชายคนเล็กที่ดูเซื่องซึมไปถนัดตา
“เฮ่ย ไอ้ลูกชายไม่ต้องคิดมากหรอกแค่ผู้หญิงคนเดียว ลูกพ่อหล่อจะตายหาใหม่ได้อีกเยอะ”
“ทำไมพ่อไม่ทำพวกผมกับพี่ปานให้หน้าคล้าย ๆกันหน่อยล่ะครับ ไปที่ไหนไม่เคยมีใครรู้เลยว่าพวกเราเป็นพี่น้องกัน”
ป้องคุณพูดเศร้า ๆ พ่อเงียบทันที ปาระมีเห็นพ่อสบตากับแม่ที่รีบเสกลับเข้าไปทำครัวอย่างไม่รู้ไม่ชี้ พ่อก็ทำกระแอมกระไอ
“เอ้อ... พวกแก มันเหมือนพ่อ พี่เค้าเหมือนแม่ หน้ามันก็เลยไปคนละทาง แต่ความจริงสังเกตดี ๆ พ่อว่าก็คล้าย ๆกันอยู่นา... จริงไหมลูก ปาน...”
ปาระมีนั่งตาลอย คำพูดของน้องชายคนเล็กกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงคิด หลายปีมานี้มีคนทักกันถี่มากเรื่องหน้าตาของสามพี่น้อง ซึ่งยิ่งโตก็ยิ่งทวีความแตกต่างกันมากขึ้น นี่หล่อนกำลังคิดอะไรอยู่นะ หรือเรื่องลูกแฝดของเจ้าคำสิงห์จะอยู่ในความคิดของหล่อนมากจนเกินไป หญิงสาวรู้สึกตัวอีกทีเมื่อถูกบิดาสะกิด จึงแก้เก้อด้วยการขอตัวไปอาบน้ำ
กานต์มารับหญิงสาวตอนสาย ๆ เขาหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังมาเป็นของฝากพ่อแม่และน้องชาย พร้อมกับกระซิบกระซาบแม่ละมุนขออนุญาตพาปาระมีกลับบ้านเย็นซักนิด
“ผมขอพาน้องไปทานข้าวเย็นกับเพื่อน ๆ ในตัวเมืองนี้ ซักทุ่มก็กลับแล้วครับ”
เขายิ้มอ้อน แม่อมยิ้มพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ปาระมีลงมาในชุดเสื้อเชิ้ตขาวแขนยาวเข้ารูปกับกางเกงยีนส์ขายาว
ผมยาวสลวยรวบเป็นหางม้าดูทะมัดทะแมง ผู้เป็นแม่มองอย่างไม่ชอบใจ
“จะเลยไปทานข้าวกับเพื่อนพี่เขาด้วยไม่ใช่เหรอลูก ทำไมไม่นุ่งชุดกระโปรงน่ารัก ๆ ล่ะ จะได้น่ามองหน่อย”
“โธ่ แม่ พี่ปานไม่ใช่ตุ๊กตานะ แค่นี้ก็สวยพอแล้ว”
ปกบุญท้วงแม่หน้าหงิก เขาชอบกานต์ก็จริงอยู่แต่ไม่เห็นด้วยที่เขาจะเอาพี่สาวไปอวดคนนั้นคนนี้ว่าเป็นแฟนทำเหมือนเป็น
ของโชว์
“พูดถูกใจ เจ้าปก เดี๋ยวซื้อขนมมาฝาก”
ปาระมีว่า ยักคิ้วให้น้องชายก่อนจะเดินนำหน้าชายหนุ่มขึ้นรถไป
กานต์ชะลอรถที่หน้าประตูวัดแก้วกนก มองที่หน้าประตูวัดสลับกับรั้วไม้ผุ ๆ ที่อยู่ถัดไป อาณาเขตรกเรื้อที่ด้านหลังวัด คุ้มไม้สักโบราณซุกตัวอยู่ในนั้น
“เราจะไปที่คุ้มหรือไปหาปู่จารย์วัดก่อนดีคะ น้องปาน”
กานต์ถาม สีหน้าครุ่นคิดลังเล แต่ปาระมีคิดถึงวัด หล่อนกำลังคิดถึงการเดินทางกลับไปยังโลกอดีตด้วยการกราบพระ หากหล่อนไปครั้งนี้ หล่อนยังจะได้ย้อนเวลากลับไปอีกหรือไม่
“เราไปวัดก่อนดีมั้ยคะ พี่กานต์ยังไม่เคยไปไหว้หลวงพ่อที่วัดแก้วกนกเลย
หล่อนพูดอ่อนหวาน ชายหนุ่มจึงรีบโอนอ่อนผ่อนตาม เขาเลี้ยวรถเข้าไปจอดในลานวัด ซึ่งวันนี้ก็เป็นเหมือนอย่างปกติทุกวัน คือมีผู้คนเดินกันประปราย บ้างกำลังจุดธูปไหว้องค์พระเจดีย์ มีสองสามคนกำลังเสี่ยงเซียมซีอยู่ที่ศาลาเล็กใกล้หอสมุดหลังเก่า บางคนก็ขึ้นไปไหว้พระบนวิหาร ปาระมีเห็นร่างผอมเดินไหว ๆ ออกมาจากด้านหลังต้นโพธิ์ร่างเล็กผอมแกร็นของชายชราในชุดหม้อห้อมสีมอ ตาถานั่นเอง ดูเหมือนแกจะเพิ่งแยกกับหลวงตาจากกุฏิหลังใหญ่ กำลังเดินมาที่ลานหน้าวิหาร ปาระมีรีบสะกิดกานต์ให้รีบเข้าไปหา หล่อนกระซิบกระซาบบอกชายหนุ่มว่า นี่แหละ ตาถา ปู่จารย์วัดที่เรากำลังจะมาหาเขา
“สวัสดีครับคุณตาผมชื่อกานต์ครับ”
กานต์ไม่รอช้าพอลงจากรถได้ก็รีบยกมือไหว้ทักทาย ตาถามองหน้าชายหนุ่มนิดหนึ่งก่อนจะเหลือบมองปาระมี
“แฟนอีหน้อยหรือ”
ปาระมีรีบส่ายหน้า
“ไม่ใช่ค่ะ พี่กานต์เขาสนใจจะถามเรื่องคุ้มเก่าหลังวัดนี้ แม่เลยแนะนำให้มาถามตาดูน่ะค่ะ”
ชายชรามองหน้าชายหนุ่มเขม็ง แววตาของแกไม่บ่งบอกถึงความเป็นมิตร กานต์มองท่าทีนั้นอย่างขยาด เขาหันมาสบตาปาระมีซึ่งก็ยังพยักเพยิดให้เขาเป็นคนคุยเอง
“ครับ คือ ผมอยากรู้ว่าใครเป็นเจ้าของตอนนี้ ผมอยากจะเข้าไปดูสักหน่อย จะได้ไปบอกคนที่เขาอยากจะซื้อต่อได้ครับว่ามันดูเป็นยังไงบ้าง”
“ซื้อหรือ...ไอ้หนุ่มจะซื้อคุ้มวังสิงห์คำนี้อย่างนั้นหรือ”
เสียงแกค่อนข้างดัง จะด้วยสีหน้าท่าทางหรือความไม่มั่นใจของชายหนุ่มก็ตามแต่ กานต์รีบส่ายหัว
“เปล่าครับ เปล่า ๆ ”
“อย่างนั้นจะดูทำไม”
ตาถายังคงจ้องตากานต์นิ่งเหมือนจะขุดเอาคำตอบจากหน้าตาเหรอหรานั่น ปาระมีจึงรีบออกหน้า อธิบายให้แทน
“พี่กานต์อยากจะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของคุ้มคนปัจจุบันน่ะค่ะ เจ้านายเขาเป็นฝรั่ง สนใจอยากจะได้ที่นี่”
ปาระมีรู้สึกทันทีว่าตัวเองควรจะหยุดพุดเมื่อเห็นสีหน้าของปู้จานย์เฒ่าที่เขม้นมองสายตาไม่เป็นมิตรมายังหล่อนด้วย หน้าตาเหี่ยวย่นดูโกรธเคืองเมื่อได้ยินคำว่า ‘ฝรั่ง’ ปาระมีมั่นใจเช่นนั้นเพิ่มมากขึ้นอีกเมื่อเขาขบกรามทวนคำพูดหล่อน
“ฝรั่ง”
“ค่ะ... ”
สายตาชายชราเหม่อมองออกไปยังคุ้มด้านหลัง ปาระมีหันมองตาม ผ่านสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในวัด หล่อนมองเห็นแต่เพียงหลังคาของอาคารไม้ที่เก่าผุพังของคุ้มวังพิทักษ์ แผ่นกระเบื้องดินขอที่แตกหักเป็นแห่ง ๆ ตะไค่น้ำจับเขียวบางแห่งดำจนเป็นปื้น ๆ จะว่าสวยก็สวยจะว่าน่ากลัวก็ไม่อาจจะปฏิเสธความรู้สึกเยือกเย็นนี้ไปได้ ตาถามีแววตาหม่นลงเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปที่ด้านหลังกุฏิเจ้าอาวาส แกเดินฉับ ๆ โดยไม่ได้พูดคำลากับแขกผู้มาเยือนทั้งสอง
“อ้าว คุณตาครับผมยังไม่ได้ถามเลย คุณตาครับ รอก่อนครับ”
เสียงร้องเรียกของกานต์ทำให้ชายชราหยุดเดิน แล้วหันกลับมามองด้วยสายตาเรียบเฉย
“เอ่อ...ผมจะขอเข้าไปดูเองได้ไหมครับ”
ปาระมีนึกทึ่งในความกล้าอย่างไม่น่าเชื่อของชายหนุ่ม เพราะถ้าเป็นหล่อน สายตาแบบของตาถาแบบนี้ หล่อนคงไม่กล้าแม้แต่จะมองสบเลยด้วยซ้ำไป
“อยากจะไปก็ไปสิ เจ้าของเขาไม่ว่าหรอก คุ้มเก่ามันก็แค่บ้านร้าง ถ้าไม่กลัวงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ก็ไปเถอะ”
ชายชราตอบเสียงห้วนแล้วเดินต่อไป กานต์โคลงศีรษะ
“ตาคนนี้พิลึกนะ”
“เราขึ้นไปกราบพระก่อนดีมั้ยคะ”
ปาระมีชวน แต่กานต์ส่ายหน้า
“เรารีบไปดูคุ้มก่อนเลยดีกว่าค่ะ พี่อยากจะรีบดูให้เสร็จ ๆ ไป ไม่งั้นจะไปตามนัดเลทอีก”
ชายหนุ่มถอนหายใจ ท้องฟ้าในเวลานี้แดดยังจัดแจ้งแม้เป็นเวลาเริ่มบ่ายคล้อย เขาพยักเพยิดกับปาระมีให้เดินเลาะไปยังประตูหลังโบสถ์ซึ่งเป็นประตูไม้เล็ก ๆ เจาะช่องระหว่างกำแพงปูนของวัดแก้วกนก ทะลุเข้าไปหาบริเวณคุ้มวังพิทักษ์ เส้นทางจากประตูไปถึงตัวคุ้มแม้จะมีหญ้ารกเรื้อ บางแห่งเป็นป่าไมยราพ แต่ถ้าเข้าไปใกล้ ๆ ก็จะเห็นได้ว่า จากประตูไปถึงด้านในมีทางเดินเล็กเล็ก ๆ เป็นร่องเหมือนกับมีคนเข้าออกบ่อย ๆ ให้เดินเข้าได้อย่างสะดวก
“เฮ้อ ใครเป็นเจ้าของก็ไม่รู้ เกิดบอส ถูกใจ แล้วพี่จะไปถามซื้อกับใครล่ะ”
กานต์เดินนำหญิงสาวช้า ๆ คอยปัดกิ่งไม้รก ๆ ข้างทางให้หญิงสาวเดินได้สะดวก ปาระมีรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเข้ามาในบริเวณรั้ว หล่อนจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ หล่อนเคยเข้ามาวิ่งเล่นที่นี่กับเพื่อนบ้านหลาย ๆ คน เมื่อสมัยคุ้มวังพิทักษ์ยังไม่สภาพทรุดโทรมเท่าที่เห็น ตอนนั้นก็เป็นคุ้มไร้ผู้คนเช่นนี้ แต่ด้วยความที่เป็นเขตติดวัดในเมือง จึงยังพอมีผู้คนเดินเข้าออกบ้าง ต่อมาภายหลังก็เริ่มมีคนพูดถึงความอันตรายของคุ้มมากขึ้น คงจะเพราะไม่มีใครมาดูแล อาคารที่เก่าโทรมจึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะทรุดพังลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ ปาระมีมองลอดแนวไม้ใหญ่ขึ้นไป มองเห็นเชิงชายหลังคาคุ้มเป็นไม้ฉลุลวดลายประดับสวยงาม ต่อเมื่อเดินพ้นแนวป่า จึงได้เห็นคุ้มวังพิทักษ์เต็มสองตา ความหนาวเย็นถาโถมเข้ามาทั้งที่แดดยังเปรี้ยง ปาระมีรู้สึกหายใจไม่เต็มท้องขึ้นมาเสียเฉย ๆ หล่อนกุมมือเย็นเฉียบของตัวเองไว้แน่น ตาจ้องมองอาคารครึ่งปูครึ่งไม้หลังใหญ่ ที่ผสานความเป็นล้านนาและยุโรปเข้าด้วยกันนั้น ด้วยความรู้สึกเต็มตื้นราวกับคนที่ได้กลับมายังบ้านที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของตัวเองอีกต่อไป
“สวยจังนะคะ แต่เก่าได้ใจจริง ๆน้องปานเดินระวังหนามหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะเจ็บนะ”
กานต์อุทานออกมาก่อน เขาจับจ้องแนวโครงไม้ที่รอบตัวอาคารอย่างสนใจ เสาทำจากไม้สักเนื้อหนา ลำต้นกลมเกลี้ยงงามสม่ำเสมอ มันจะมีราคาสักเท่าไหร่กัน ไม้ที่สวยและเก่าแก่ขนาดนี้ เขาหยิบกล้องถ่ายภาพออกจากกระเป๋าสะพาย เริ่มถ่ายภาพเสาไม้สักต้นใหญ่ หน้าต่างบานพับของตัวเรือนชั้นล่างที่ทำจากไม้ตีเป็นเกล็ดแบบสถาปัตยกรรมที่นิยมในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อเงยหน้าขึ้นมองยังชั้นบนก็เห็นว่า ตัวเรือนชั้นบนทำจากไม้ทั้งสิ้น เนื้อไม้ดูหนาเป็นสีดำสวย บางแห่งเก่าผุ โดยเฉพาะระเบียงที่ยื่นไปทางลานหน้าคุ้ม ที่ผุเก่าจนแผ่นไม้ห้อยร่องแร่งลงมาน่าหวาดเสียว ปาระมีมองเห็นบันไดทางขึ้นชั้นบน มีทั้งด้านหน้าซึ่งเป็นบันไดหน้ากว้างมีกระถางดอกไม้ฉลุลวดลายขนาดใหญ่ตั้งประดับอยู่ กับบันไดด้านข้างที่เป็นบันไดเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่ที่ซอกเสา ปาระมีมองเห็นประตูชั้นล่างหลุดพังไปแล้ว อาคารชั้นล่างจึงเปิดกว้างมองเห็นด้านในอย่างชัดเจน
“เราเข้าไปดูข้างในกันดีมั้ยคะ”
ปาระมีเป็นฝ่ายชวนเอง กลิ่นอายบางอย่างลอยมาสัมผัสกับจมูก มันไม่ค่อยให้ความรู้สึกที่เป็นมิตรนักหรอก แต่ในใจของหญิงสาวมันกลับเรียกร้องให้เข้าไปด้านใน ทุกสิ่งอย่างมันดูน่าสนใจสำหรับหล่อนไปเสียหมด
“ดีค่ะ น้องปานตามพี่มานะ”
กานต์ดูกระตือรือร้น เขาขยับกล้องในมือไว้มั่น เดินนำหน้าหญิงสาวไปอย่างทะมัดทะแมง
ภายในคุ้มมีเศษขยะเต็มไปหมด ทั้งฝุ่นและหยากไย่ มันเป็นเพียงคุ้มเปล่า ๆ โล่ง ๆที่ไม่มีเครื่องเรือนอะไรเลย
ลมพัดมาวูบใหญ่ตีฝุ่นบนพื้นห้องให้ฟุ้งกระจาย เศษขยะปลิวว่อน กระดาษเก่า ๆ ใบหนึ่งปลิวมาที่มือของหญิงสาว ปาระมีรับมันไว้อย่างไม่รู้ตัว
เมื่อลมประหลาดนั้นสงบลง ปาระมีจึงก้มลงมอง มันเป็นเพียงกระดาษสีเหลืองกรอบที่มีรูปวาดสาวสวยอยู่ข้างใน หญิงสาวคงจะปล่อยมันทิ้งไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากไม่เห็นว่ารูปวาดของหญิงสาวในกระดาษแผ่นนั้นเป็นใบหน้าของเธอเอง!
“อินทร 27/7/2480”
หญิงสาวอ่านลายเซ็นใต้ภาพนั้น ภาพนี้เขียนขึ้นเมื่อกว่า 70 มาแล้ว หล่อนยกภาพนั้นขึ้นมาพินิจโดยละเอียด ภาพวาดด้วยดินสอที่ดูรางเลือนซีดเก่า แต่ทั้งใบหน้า ทรงผม ก็เหมือนตัวเธอเองจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพของหญิงสาวในรูปที่สวมชุดล้านนาโบราณแต่กลับสวมกำไลเงินเส้นบางสองอันที่ข้อมือ มันเหมือนของตัวหล่อนเองทั้งคู่ ก่อนที่เธอจะมอบให้กับเด็กในอดีตภพไปอันหนึ่ง เมื่อวานนี้...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ