รอยอธิษฐาน
เขียนโดย อาบตะวัน
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.01 น.
แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 07.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) คุ้มวังพิทักษ์2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
“ดูอะไรอยู่คะ น้องปาน”
กานต์เดินย้อนกลับมาทัก เขาก้มลงมองกระดาษเก่าที่มือหญิงสาว ปาระมีกำลังจะยื่นให้เขาดูก็ปรากฏว่าเกิดลมตีปัดกระดาษปลิวหลุดจากมือไปเสีย
“อ้าว! ปลิวไปซะแล้ว เดี๋ยวนะคะน้องปาน”
กานต์รีบวิ่งตามตะครุบกระดาษทว่าลมประหลาดกลับดูค่อย ๆ โหมแรงขึ้นอย่างน่าตระหนกตกใจ ปาระมีกำลังมองหาที่มาของทิศทางลมก็สะดุ้งสุดตัว เมื่อจู่ ๆ ก็ได้ยินกรีดร้องของหญิงสาวแผดดังก้องทั่วใต้ห้องโถงของคุ้ม
“กรี๊ด...!!!!”
“เสียงใครกันคะพี่กานต์”
หญิงสาวรีบหันมาชายหนุ่มรวดเร็ว เขาได้ยินเหมือนหล่อนใช่ไหม เสียงกรีดร้องโหยหวนนั่น หล่อนได้ยินมันชัดเจนราวกับเจ้าของเสียงอยู่ ณ ซอกใดศอกหนึ่งของคุ้มนี้เอง
“ลมอะไรก็ไม่รู้ค่ะ น้องปาน เราไปกันเถอะ”
กานต์ร้องเสียงดังแข่งกับลมที่ตีขึ้นหวูดหวู เขายกแขนขึ้นบังฝุ่นที่ถูกลมตีจนฟุ้งมาปะทะใบหน้า ลมดูเหมือนมีกำลังแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ปาระมียังคงคาดคั้นเขาถึงเสียงกรีดร้องที่ดังไม่หยุด
“พี่กานต์ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไหมคะ เราเข้าไปดูกันข้างในไหมคะ มีใครอยู่ข้างในก็ไม่รู้”
“น้องปาน จะทำอะไรคะ อย่าเข้าไปนะ เรากลับกันเถอะ”
กานต์ร้องห้าม ยึดข้อมือหญิงสาวไว้ ปาระมีสะบัดออกอย่างดื้อดึง
“แป๊บเดียวค่ะ ใครร้องอยู่ข้างในก็ไม่รู้”
“ไม่ใช่ใครหรอก แต่เป็นอะไรก็ไม่รู้ เรารีบไปกันเถอะ”
ชายหนุ่มร้องตะโกน ปาระมีไม่ฟัง หล่อนรีบสาวเท้าเข้าไปในห้องโถงใหญ่ มันเป็นเพียงห้องโล่งกว้างที่ด้านในมีประตูเหล็กทรงโค้งแบบประตูฝรั่งกั้นอาณาเขตส่วนในของคุ้มหลวงเอาไว้ ปาระมีเดินลัดเลาะกองขยะภายในคุ้ม เข้าไปถึงประตูโค้งแบบฝรั่งนั้น แต่เพียงก้าวเดียวที่ปลายเท้าแตะเข้าสู่เขตห้องโถงใหญ่ หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนถูกก้อนอากาศแข็ง ๆ กระแทกเข้าที่หน้าผากอย่างแรง หล่อนหงายหลังล้มลงทันที
“โอ๊ะ!! น้องปาน! น้องปาน!”
กานต์ร้องตะโกนก้อง ถลาเข้ารับตัวหญิงสาวที่ล้มเซไม่เป็นท่า เขาตกตะลึงเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้าเกิดสิ่งประหลาดขึ้น เมื่อจู่ ๆ อากาศใต้ถุนคุ้มก็เกิดเป็นลมม้วนตัวขึ้นบริเวณหน้าประตูทรงโค้งบานใหญ่ ตีฝุ่นฟุ้งขึ้นจนขาวมัวเศษใบไม้แห้ง ๆ บนพื้นก็ตลบขึ้นจนเห็นเป็นก้อนฝุ่นลูกใหญ่ ปาระมีปรือตาขึ้นมอง ในหัวยังอื้ออึงมึนงง หล่อนมองผ่านประตูโค้งทรงฝรั่งนั้นเข้าไปด้านใน มองเห็นภาพเด็กหญิงผมจุกคนที่เคยเห็นที่วัดแก้วกนก กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ภาพตรงหน้ามองเห็นผ่านฝุ่นก้อนหนาจึงดูมัวซัวไม่ชัดเจน เสียงลมพายุกระแทกดังตึงตัง ราวกับฟ้าภายนอกกำลังเกิดพายุฝนลูกใหญ่ ปาระมีได้ยินกรีดร้อง ทะเลาะยื้อยุดกัน ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนคนเสียสติ หล่อนสวมเสื้อสีขาวที่สกปรกเลอะเทอะ นุ่งผ้าซิ่นเก่าขาด ผมยาวดูกระเซอะกระเซิงรุงรัง นัยน์ตาฉายแววเคียดแค้น หล่อนทั้งกรีดร้องและทำร้ายเด็กหญิงที่คอยห้ามปรามนั้น อยู่ตลอดเวลา
ปาระมีกำลังขยับตัวลุกขึ้น หล่อนอยากจะมองให้เห็นชัดแก่ตาว่าภาพตรงหน้าไม่ได้เป็นความฝันหรือภาพลวงตา แต่กานต์กลับรั้งหล่อนไว้ ดึงตัวหล่อนกึ่งลากถูลู่ถูกังย้อนเส้นทางเดิมกลับมาที่รถ ด้านหลังกำแพงวัด บรรยากาศเงียบสงบเหมือนเคย เงียบและวังเวงด้วยเป็นเวลาใกล้ค่ำ ปาระมียังคงเจ็บแน่นที่ศีรษะ หล่อนมองเห็นเจดีย์สีทองของวัดแก้วกนก เมื่อปรายตาไปยังวิหารหลวง หลวงพ่อแก้วกนกก็ยังคงตระหง่านงามอยู่ที่นั่น ตาหล่อนพร่าเลือน ไม่แน่ใจว่าเป็นความจริงหรือความฝัน แต่ชายชราร่างผอมที่ยืนอยู่ใหล้บันไดเล็กข้างวิหารนั้น กำลังมองมาที่หล่อน
มอง...และยิ้มอย่างพึงพอใจ
ปาระมีจับไข้อยู่หลายวัน หลังจากที่พ่อและแม่กุลีกุจอพาหล่อนไปส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่าหล่อนถูกของแข็งฟาดอย่างแรงบริเวณศีรษะ ท่ามกลางความสงสัยของเหล่าญาติรวมทั้งกานต์ชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นห่วงเป็นกังวลไม่กัน เพราะเขาเห็นเป็นเพียงแค่ลมเท่านั้นที่ผลักจนหญิงสาวล้มลง ดูเหมือนหล่อนแค่เสียจังหวะการทรงตัว ไม่น่าจะมีอะไรมากไปกว่านั้น อย่างไรก็ตาม ปาระมีปลอดภัยแล้ว แต่หล่อนยังเพ้อถึงผู้คนมากมายที่คนในครอบครัวไม่รู้จัก และมีอาการหนาวไข้ที่เป็น ๆ หาย ๆ อยู่ร่วมสัปดาห์
“น้องปานดีขึ้นบ้างมั้ยครับ”
กานต์เทียวเช้าเทียวเย็นบ้านหญิงสาวอยู่ไม่ขาด เขารู้สึกผิดไม่น้อยที่พาหญิงสาวไปประสบเหตุเช่นนี้ ผู้เป็นบิดาเข้าใจชายหนุ่มดี ไม่มีใครรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ทุกคนก็เชื่อมั่นว่า กานต์ไม่มีวันคิดร้ายกับปาระมีอย่างแน่นอน
“ดีขึ้นมาก ไข้ไม่ค่อยมีแล้ว ไม่ต้องคิดมากหรอกหลานเอ๊ย เจ้าของเขาคงหวงที่ รู้อย่างนี้คราวหน้าเราก็จะไม่ต้องเข้าไปอีก”
พ่อว่า กานต์นิ่งเงียบ เขารู้สึกเสียดายคุ้มนั้นอยู่ไม่น้อย คุ้มไม้ที่สร้างสไตล์ยุโรป หาได้ไม่ง่ายเลย แต่ความน่ากลัวของมันก็น่าคิดไม่นิ่งหย่อนไปกว่ากัน
“ปานดีขึ้นบ้างรึยังคะ”
สาวผมแดงคลานขึ้นเรือนมาพร้อมกับผลไม้ของเยี่ยม หล่อนเหลือบมองชายหนุ่มแวบหนึ่งก่อนจะยกมือไหว้ผู้ใหญ่แล้วเข้าไปดูเพื่อนสาวใกล้ ๆ
“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ขอบใจนะ”
ปาระมีตอบเองเบา ๆ เจนนิษาจับมืออุ่น ๆนั้นไว้
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ เฮ้อ! ไม่รู้อะไรนักหนานะว่ามั้ย หายป่วยแล้วไปเราไปคิดเรื่องงานของเรากันดีกว่านะ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องบ้าบอพวกนั้นแล้ว ดูซิ ผีหลอกเข้าให้เลย”
“พรุ่งนี้แม่ขอยายคำปันมาทำพิธีเรียกขวัญให้ปาน ตอนสาย ๆ เจนนี่ก็มาด้วยกันสิ”
แม่ละมุนว่า พิธีเรียกขวัญก็เหมือนกับการรับขวัญเป็นพิธีกรรมที่เหมือนกับการปลอบโยน เรียกขวัญที่หนีดีฝ่อให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว เพื่อให้หายป่วยหายไข้และกลับมามีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเหมือนเดิม
“เรียกขวัญแล้ว ขวัญจะมาอยู่กับเนื้อกับตัว แล้วก็ไม่ต้องไปไหนแล้วอยู่บ้านเรานี่แหละลูกนะ”
แม่ละมุนว่า ซับน้ำตาตัวเองพลางทอดสายตามองลูกสาวอย่างห่วงใย
ค่ำแล้ว ปาระมีนอนนิ่งอยู่บนเตียง คิดถึงความฝันทับซ้อนสลับไปมาเมื่อตอนที่นอนอยู่โรงพยาบาล หล่อนฝันเห็นผู้คนมากมายในคุ้มนั้น เห็นทั้งเจ้าคำสิงห์ ที่ยังดูแข็งแรง สง่างาม เจ้าดาวเรืองผู้ซูบผอม มีหญิงรับใช้หน้าตาละอ่อนคอยป้อนข้าวป้อนน้ำไม่ขาด หล่อนเห็นบริเวณคุ้มมีเด็ก ๆวิ่งเล่นอยู่มากมาย ท่ามกลางบริเวณคุ้มที่กว้างขวาง มีต้นไม้ใหญ่น้อยให้ความร่มรื่น ผู้คนในคุ้มดูมีความสุขกันดี แม้แต่เจ้าดาวเรืองยังมีรอยยิ้มระบายบาง ๆบนใบหน้า
“เจ้าต้องกลับไปนะ กลับไปช่วยเจ้าแม่”
เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างเตียง หญิงสาวตกใจหันไปมอง หล่อนพบกับเด็กหญิงผมจุกยืนอยู่ที่ข้างเตียง ใบหน้าซูบซีดนั้นฉายแววกังวล
“เธอ...มาได้ยังไงน่ะ”
ปาระมีถามน้ำเสียงประหม่า เมื่อแน่ใจว่าสิ่งที่ยืนอยู่ใกล้ ๆพูดคุยกับเธอขณะนี้ไม่ใช่มนุษย์
“เราอยู่กับเจ้า... เรามาเตือนเจ้าว่าอย่าละทิ้งเจ้าแม่ เจ้าแม่ต้องการเจ้า”
เด็กหญิงพูดชัดถ้อยชัดคำ ปาระมีจ้องมองเธอราวกับต้องมนต์สะกด เด็กหญิงมีน้ำตาไหลริน
“เราช่วยเจ้าบ่ได้ในภพนี้ เราเสียใจ แต่เราขอให้เจ้ากลับไปที่คุ้ม ไปช่วยเจ้าแม่ทีเถิด”
“แต่...แต่ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ฉันกลับไปไม่ได้อีกแล้ว”
ปาระมีว่าเสียงแหบพร่า เด็กหญิงยกมือไหว้ หญิงสาวมองร่างน้อย ๆนั้นด้วยสายตาพร่าเลือน หรือจะเป็นเพราะเด็กหญิงกำลังค่อย ๆมลายหายไปกันแน่ เมื่อทุกอย่างในห้องนอนแจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง ปกบุญกับป้องคุณก็มายืนอยู่ตรงหน้า สองฝาแฝดมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“พี่ปาน...โฮ่...ตื่นซะทีพวกเราเรียกตั้งนาน”
ปกบุญว่า ป้องคุณลูบอกตัวเอง
“ใจหายหมดเลย”
ปาระมีมองหน้าน้องชายงง ๆ
“ทำไม ...พี่หลับอยู่...งั้นเหรอ”
ก็หล่อนเพิ่งคุยอยู่กับเด็กหญิงเมื่อครู่นี้เอง แล้วน้องชายทั้งสองเข้ามาในห้องของเธอตั้งแต่ตอนไหน
“ก็หลับน่ะสิ พี่เป็นอะไรมากรึเปล่า ไปหาหมออีกทีมั้ย เดี๋ยวป้องไปบอกพ่อ”
ป้องคุณทำท่าจะออกไปจากห้อง ปาระมีรีบผุดลุกขึ้นนั่ง
“ไม่เป็นไร ป้อง ไม่เป็นไร พี่โอเค แค่ฝันนิดหน่อย”
“พี่ปานคงจะนอนมากเกินไป ออกไปเดินเล่นบ้างดีมั้ย พ่อกับแม่อยู่ที่ชานแน่ะ”
ปกบุญนั่งลงบนเตียงทำท่าจะประคองพี่สาวออกไป ปาระมียิ้มน้อย ๆ
“ไม่เอาล่ะ พี่อยากนอน”
หญิงสาวโบกมือไล่น้องชาย ทำท่าว่าอยากจะอยู่ตามลำพังจริง ๆ ฝาแฝดจำใจเดินออกจากห้องไป ปากก็ยังบ่นพึมพำ
“ผีคุ้มเก่านี่มันดุจริงจริ๊ง”
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่นี่สวยชวนมองเสมอ ปาระมีไม่หลับ หล่อนเอนหลังพิงหมอนดูดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างผ่อนคลาย เสียงไวโอลินดังมาจากที่ไหนซักแห่ง เพลงบรรเลงอ่อนหวานชวนเคลิบเคลิ้ม อย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ปาระมีรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อหล่อนกำลังยืนอยู่บนสนามหญ้าหน้าคุ้มวังพิทักษ์ จ้องมองชายหนุ่มรูปงามที่กำลังสีไวโอลินอยู่อย่างเป็นสุข
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นจากห้วงภวังค์ของดนตรี เขาสบตากับหญิงสาวร่างบางเบื้องหน้าอย่างตื่นเต้นดีใจ
“กลับมาแล้วหรือ เป็นใดจึงปล่อยให้คอยนานนัก”
เขาวางไวโอลินลง ก้าวเข้าใกล้และกุมมือหญิงสาวเบา ๆ ปาระมีเอียงคอมองชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างพินิจ เขามีใบหน้าคม ผิวขาว รูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อบางเบาสีขาวคอกลม กับกางเกงแพร แววตาคู่นั้นสบกับเธอนิ่งนานเป็นดวงตาที่อบอุ่นยิ่งนัก หญิงสาวรู้สึกสุขใจอย่างประหลาด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ