รอยอธิษฐาน

10.0

เขียนโดย อาบตะวัน

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.01 น.

  13 ตอน
  17 วิจารณ์
  16.96K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 07.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) 6

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ปาระมีกลับมาถึงบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน หล่อนกอดแม่แน่นเสียจนผู้เป็นแม่แปลกใจ หล่อนไม่มี‘ลิ้นจี่’ ที่ป้าคำให้มาด้วย เพราะเหตุที่ตอนข้ามเวลามาหล่อนคว้ามากับเจนนิษา ไม่ทันเฉลียวใจว่าลิ้นจี่ยังอยู่ในมือหรือหลุดพลัดไป หรือบางที... หล่อนอาจจะไม่สามารถหยิบฉวยอะไรจากอดีตกาลกลับมาที่นี่ด้วย ก็เป็นได้

เวลาที่นี่เพิ่งเป็นเวลาบ่ายของวันเดียวกันกับที่หล่อนไปวัด อากาศยามบ่ายร้อนจัดจ้า ปาระมีนึกอยากจะเล่าเรื่องที่พบเจอมาในวันนี้ให้แม่ฟังเหมือนกัน แต่เมื่อคิดดูอีกที หล่อนคิดว่า หล่อนควรจะเก็บเรื่องนี้ไว้เฉพาะกับเจนนิษาดีกว่า

บ่ายวันนี้ แม่ของหล่อน ‘แม่ละมุน’กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดห้องแสดงภาพถ่าย บ้านของปาระมีเป็นแกลลอรี่แสดงภาพ ซึ่งผู้เป็นพ่อได้ดัดแปลงส่วนหนึ่งของบ้านให้เป็นพื้นที่จัดแสดงผลงานของเขากับเพื่อน ๆ แม่ของหล่อนจึงพลอยต้องช่วยดูแลไปด้วย เหมือนจะวุ่นวาย แต่แม่ก็ดูเพลิดเพลิน

บ้านของปาระมีเป็นบ้านเก่า ปลูกไว้ตั้งแต่รุ่นตายาย แม่ของหล่อนคนไทยเชื้อสายจีน คุณทวดล่องเรือมาจากเมืองจีนมาทำมาค้าขายที่ริมฝั่งน้ำปิงย่านนี้ตั้งแต่ชุมชนนี้ยังเป็นที่ห่างไกลความเจริญ จนเดี๋ยวนี้รถยนต์วิ่งกันพล่าน ถนนเส้นหน้าบ้านหล่อนใช้เวลาวิ่งแค่สิบนาทีก็ไปถึงใจกลางเมืองเชียงใหม่แล้ว เขตบ้านแก้วกนกเป็นเขตที่ชุมชนคึกคัก เขตเศรษฐกิจที่สามารถค้าของถูกให้เป็นของแพงได้อย่างง่ายดาย

พ่อของปาระมีเป็นคนไทยภาคกลาง แต่มาอยู่ที่เชียงใหม่ก็มากกว่าสามสิบปีแล้ว ทั้งเรียนแล้วก็แต่งงานอยู่กินเสียที่นี่ จึงไม่แปลกอะไรที่หน้าตาน้องชายฝาแฝดของหล่อน ปกบุญกับป้องคุณจะไม่เหมือนกับหล่อนเลย ทั้งคู่คงได้รูปร่างหน้าตาติดทางคนภาคกลางมาอย่างพ่อ พวกเขาจึงมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีแทนและหน้าคมเข้ม ต่างกันลิบกับผิวสีเหลืองนวลหน้าตากระเดียดมาทางคนจีนอย่างหล่อน

                  ปาระมีผลัดผ้าแล้วคิดว่าจะออกไปข้างนอกอีกสักรอบ ในใจหล่อนยังต้องการหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องเด็กน้อยผมจุกที่เห็นเป็นวิญญาณอยู่ในวิหาร มันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญหรืออื่นใดแน่ ๆ มีผี ก็ต้องแปลว่ามีคนตาย แล้วทำไมถึงไม่มีใครรู้ว่าเคยมีเด็กตายที่นี่ ...ที่ในวัดแห่งนี้

บางทีคนในวัดอย่างตาถา ... อาจจะรู้เรื่องนี้ก็ได้

เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มเข้ามาในเขตรั้วบ้าน ปาระมีชะโงกหน้าออกไปดู เห็นรถโฟร์วิลสีดำแล่นเข้าจอดดับเครื่องที่หน้าห้องแสดงภาพ เจ้าปกเจ้าป้องพากันกรูออกไปต้อนรับอย่างออกหน้า ชายหนุ่มผิวขาวรูปร่างสูงโปร่งก้าวลงมาจากรถ ใบหน้ายิ้มกริ่ม สาดสายตาเจ้าชู้ขึ้นมามองยังหน้าต่างห้องชั้นบนราวกับรู้ว่ามีคนแอบมองอยู่ ปาระมีรีบหลบเข้าไปด้านใน หล่อนรีบแต่งตัวให้เรียบร้อย ด้วยรู้ดีว่า เดี๋ยวเจ้าน้องชายคนใดคนหนึ่ง จะต้องเบนเป้าหมายขึ้นมาหาหล่อนเป็นลำดับต่อไปเป็นแน่

ชายหนุ่มคนที่ว่านี้ ชื่อ ‘กานต์’ เขาเป็นสถาปนิกหนุ่มไฟแรง กานต์เป็นรุ่นพี่ของปาระมี ตั้งแต่สมัยที่เรียนโรงเรียนมัธยมในตัวจังหวัด ชายหนุ่มเป็นคนอัธยาศัยดี เข้ากับคนได้ง่าย โดยเฉพาะกับพ่อแม่ของปาระมี ด้วยความที่เขามีหัวคิดก้าวหน้า และมองการณ์ไกลทำให้พ่อแม่ของหญิงสาวพอใจเขานัก ยิ่งน้องชายฝาแฝดของปาระมียิ่งปลื้มหนัก จนถึงขนาดที่ว่ายกให้เขาเป็น ‘ไอดอล’ในชีวิตเลยทีเดียว

                  เสียงเคาะประตูรัวเร็ว ก่อนที่ป้องคุณจะเปิดพรวดเข้ามา ปาระมีที่ยังมีแปรงค้างอยู่บนศีรษะ จ้องน้องชายตาเขียว

“จะรอให้พี่อนุญาตก่อน แล้วค่อยเข้ามาไม่ได้รึไง เสียมารยาทจริง ๆ”

ป้องคุณเกาหัวยิ้มแห้ง ๆ

“ขอโทษครับ ป้องแค่จะมาบอกว่า พี่กานต์มา...”

“พี่รู้แล้ว เดี๋ยวลงไป วันหลังไม่ต้องเว่อขนาดนี้ก็ได้ พวกเธอต้อนรับเขากันเองไม่ได้หรือไง”

หล่อนหันไปหวีผมหน้ากระจก ส่งสายตาขัดเคืองผ่านเงาในกระจกไปยังเด็กหนุ่มตัวโตที่หน้าประตูห้อง

“แหมพี่ปาน… รู้ ๆ อยู่ว่าปกกับป้องน่ะไม่ใช่เป้าหมาย พี่กานต์เขาตั้งใจมาหาพี่ พี่ก็ควรจะ…”

“เออ ๆ พี่รู้ละ แล้วนี่เขาจะมากินข้าวบ้านเราด้วยไหมเนี่ย”

“โอ๊ะ แน่นอนสิคร้าบ แม่สั่งให้ปกออกไปซื้อกับข้าวเพิ่มละ จะพลาดได้ไง”

ป้องคุณพูดเสียงใส ปาระมีเบ้ปาก

“ค้าาา...เอาอกเอาใจกันเหลือเกินนะ พ่อลูกชายคนโตมาเนี่ย”

“ใครบอกลูกชาย ลูกเขยต่างหาก”

ป้องคุณว่าเร็ว ๆ ก่อนจะรีบปิดประตูหนีแปรงบินได้จากมือพี่สาว ปาระมีมองค้อนตาม จริงอยู่ใคร ๆ ในบ้านนี้ต่างก็มองว่ากานต์เหมาะสมกับหล่อนแทบทุกคน เขาใจดี ช่างเอาอกเอาใจหญิงสาวทุกอย่าง แต่ในใจ หล่อนมองเขาเป็นเหมือนญาติคนหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยรู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับเขาเลย

                  ปาระมีถูกแม่บังคับให้ช่วยทำอาหารในครัว ที่ตั้งใจจะไปหาข้อมูลเรื่องผีต่อก็เป็นอันต้องยกเลิกไป ในระหว่างมื้ออาหาร กานต์คุยกับพ่อและแม่ของหล่อนอย่างออกรส เขาพูดถึงเจ้านายที่เป็นฝรั่งกำลังมองหาสนใจเรือนไม้เก่าอยู่ ยิ่งเก่ามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งให้ราคาสูงมากขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มโอ่ว่า หน้าที่ในการออกแบบปรับปรุงคฤหาสน์โบราณหลังนั้นมันจะต้องเป็นงานสำหรับแสดงฝีมือของเขาอย่างแน่นอน

“ผมเคยเห็นคุ้มเก่าหลังวัดนี้น่ะครับ สวยมากเลย ไม่เห็นมีใครเอาไปทำอะไร เจ้าของเขาจะขายหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ”

กานต์ถามถึงคุ้มไม้โบราณหลังใหญ่ที่อยู่ใกล้กับวัดแก้วกนก คุ้มร้างที่แต่เดิมเป็นของเจ้านายฝ่ายเหนือผู้มั่งคั่งท่านหนึ่งที่บริจาคเงินมหาศาล สร้างวิหารวัดแก้วกนกถึงสองครั้งสองครา แต่ตอนนี้มันกลับร้างไร้ผู้คน ไร้คนดูแล จนมันทั้งเก่าทั้งน่ากลัวจนดูเหมือนคุ้มผีสิง ที่ไม่ว่าใครก็ตามได้เดินผ่านก็เป็นอันรู้สึกหนาวเย็นไปเสียทุกคน

“คุ้มวังพิทักษ์น่ะเหรอ อืม...ไม่รู้ตอนนี้ใครเป็นเจ้าของนะ เห็นว่าเจ้าของคุ้มท่านสิ้นไป ไม่มีลูกหลานสืบต่อซักคน”

ผู้เป็นพ่อกล่าว

“เจ้าคำสิงห์น่ะเหรอคะ หนูเห็นรูปท่านที่วัด... ล้อหล่อ เจ้าดาวเรืองภรรยาท่านก็ซ้วยสวย”

ปาระมีแสดงความคิดเห็น

“เจ้าดาวเรืองท่านสิ้นไปตั้งแต่ยังสาว ๆอยู่เลยนะ ลูกเต้าก็ไม่มี เห็นว่าสิ้นตอนอายุสี่สิบกว่า ๆเอง”

แม่เล่าขณะตักอาหารใส่จานให้พ่อ กานต์ดูสนใจขึ้นมา

“อ้าว ท่านเป็นอะไรไปล่ะครับ”

เขาถาม

“เห็นว่าตรอมใจที่ลูกหาย อายุยังน้อยแท้ ๆเขาว่าท่านน่ะเจ็บออด ๆ แอด ๆ ไป ๆ ก็สิ้น”

“เหมือนเจ้าน้อยสุขเกษมเลยนะแม่ ที่ในเพลงบอกว่า เจ้าชายก่ตรอมใจต๋าย...ม่าเมียะเลยไปบวชชี... ตรอมใจปุ๊บตายเลย คนอะไร แค่ตรอมใจก็ตาย ฮ่า ๆ”

ปกบุญเสริม จึงต้องถูกสายตาพิฆาตจากแม่ไปอย่างไม่ต้องรอ

“ก่อนพูดคิดก่อนนะลูก นี่เรื่องของคนจริง ๆ เป็นเรื่องของเจ้าของนาย นินทาเจ้านายแม้ท่านจะสิ้นไปแล้วก็ไม่ควร วิญญาณข้าทาสบริวารเขาเยอะนัก เขาจะทำอันตรายเราได้”

เจ้าตัวแสบยิ้มแห้ง ๆ พูดกระซิบ ขอโทษค้าบ..เสียงแหบให้แม่หายโกรธ แม่ทำหน้าเอือม บ่นต่อ

“เป็นห่วงหรอกถึงรีบเตือน เรื่องแบบนี้เป็นของมองไม่เห็น จะพูดจะจาอะไร เราต้องระมัดระวังนะลูก”

ไม่รู้เป็นเพราะคิดไปเองหรือเพราะโดนกับตัวมาแล้วกันแน่ ที่จู่ ๆ ปาระมีก็รู้สึกเย็นหลังขึ้นมาเฉย ๆ หล่อนมองดูแขนตัวเองที่ขนลุกเกรียวขึ้นทั้งสองข้างอย่างไม่รู้สาเหตุ เสียงแม่เล่าต่ออีกว่า

“แต่ท่านก็ไม่ได้สิ้นเร็วอย่างที่ลูกคิดหรอกนะ คนสมัยก่อนมีลูกเร็ว ลุงถานั่นล่ะรู้เรื่องในคุ้มดีนัก แกเล่าว่าท่านสิ้นหลังจากที่ลูกท่านหายไปเป็น 20 ปีโน่นแหละ กว่าเจ้าดาวเรืองจะสิ้น ท่านคงทุกข์ใจอยู่นาน”

“ได้ยินว่าลูกของท่านเป็นลูกแฝดด้วยเหรอคะ”

ปาระมีรีบถาม ผู้เป็นแม่ชะงัก เลิกคิ้ว

“แม่ไม่เคยรู้นะ ว่าแต่หนูรู้ได้ยังไงจ๊ะ”

“เอ่อ...ตาถาน่ะจ้ะ ตาถาเล่าให้หนูฟัง”

ปาระมีโกหก หล่อนรีบหลบตาก้มหน้ากินข้าว จังหวะเดียวกับที่กานต์กระแอมขึ้นขัดเบา ๆ

“เอ่อ...คือผมจะไปถามเรื่องทาบทามซื้อคุ้มนี้ได้จากใครครับ”

ปาระมีเห็นพ่อกับแม่มองตากันครู่หนึ่ง ก็ส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ไม่รู้เหมือนกันจ้ะ”

กานต์มีสีหน้าครุ่นคิด เขาพยักหน้ากับตัวเองช้า ๆ เหมือนกำลังตัดสินใจอะไรได้

“งั้นพรุ่งนี้เช้าผมจะลองเข้าไปถามลุงมัคทายกดู เผื่อแกอาจจะรู้... ผมอยากจะลองเข้าไปดูในคุ้มด้วย จะได้ถ่ายรูปเอาไปให้เจ้านายดู น้องปานไปส่งพี่หน่อยได้มั้ยครับ”

หญิงสาวฟังดูแล้วออกจะไม่ชอบใจกับความคิดนี้นัก พ่อกับแม่ก็ไม่ได้มีท่าทีจะขัดแย้งอะไร ทั้งคู่พยักหน้าเออออ แล้วแม่ก็ลุกไปตักอาหารในครัวเพิ่ม ปาระมีคิดว่าการได้ไปคุยกับตาถาและเลยไปดูคุ้มก็ดูจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่เอาจริง ๆ หล่อนไม่ค่อยอยากไปไหนมาไหนกับกานต์ตามลำพังนักหรอก

“เราชวนเจนนี่ไปด้วยดีไหมคะ”

กานต์ทำหน้าเหม็นเบื่อขึ้นมาทันทีที่ได้ชื่อสาวลุกครึ่ง ความเป็นไม้เบื่อไม้เมาของคนทั้งคู่ ปาระมีรู้ดีและแน่นอนรวมถึงพ่อแม่ของหล่อนด้วย

“ก็ไปกับพี่เขาแป๊บเดียว จะมางอแงลากเพื่อนลากฝูงไปด้วยทำไม”

แม่ว่า พ่อกระแอมเบา ๆ

“ไปก็ไปแป๊บเดียว.... ใช่ไหมลูก รีบไปรีบกลับ ไปเช้า ๆ สิจะได้มีเวลา”

 ปาระมีอยากจะให้พ่อเสนอว่า ให้พ่อกับปกป้องไปด้วยไหม แบบนั้นจะน่าดีกว่าเยอะเลย

 

                  ตกค่ำ กานต์กลับไปแล้ว ปาระมีนั่งอยู่ในห้องนอน หล่อนยังคงคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าดาวเรือง เรื่องที่ลูกฝาแฝดของนางหายไป มันจะเกี่ยวกับเจ้าวิญญาณเด็กนั่นหรือไม่นะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แล้วเหตุใด เจ้าผีเด็กนั่นจึงมีแค่เพียงคนเดียว หรือหล่อนจะโยงเหตุการณ์ผิดที่ ... หญิงสาวหยิบหนังสือประวัติวัดเล่มใหญ่ที่ตาถาให้มา เปิดกางออกที่โต๊ะเครื่องแป้ง อาศัยแสงไฟที่ใช้ในการแต่งหน้า มาอ่านหนังสือ ในหนังสือมีรูปเจ้าทั้งสองอยู่จริง ๆ เป็นรูปเดียวกันกับที่ตั้งอยู่ในวัด พร้อมประวัติส่วนพระองค์ และประวัติที่เกี่ยวข้องกับวัดแก้วกนกด้วย หล่อนเปิดอ่านผ่านตาไปเรื่อย ๆ เสียง ร้องเพลงกล่อมเด็กดังมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่เมื่อปาระมีเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ เสียงนั้นก็เงียบไป รอบตัวเงียบสงัด มีแต่เสียงหริ่งเรไรที่บ่งบอกว่าเป็นเวลาที่ดึกเพียงไร

                  เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ปาระมีจึงอ่านต่อ หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความเศร้าสร้อยในข้อเขียนเหล่านั้น ทั้งที่เป็นเพียงชีวประวัติ ไม่ใช่งานเขียนเชิงวรรณศิลป์แต่หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา หล่อนรู้สึกสงสารเจ้าดาวเรืองอย่างจับใจ นางต้องสูญเสียลูกที่เพิ่งคลอดมาเพียงไม่กี่เดือนไป และต้องทนช้ำใจจนกระทั่งชีวิตหาไม่  ส่วนเจ้าคำสิงห์นั้น ไม่ว่าจะหาเหล่านางข้าไทมาเป็นเมียอีกสักกี่คนก็ไม่มีลูกให้พระองค์ไว้สืบสกุลอีกเลย   เสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นข้างหู ปาระมีได้ยินชัดเจน ไม่ใช่เสียงของหล่อนเป็นแน่ หญิงสาวเงยหน้า พบเงาของตัวเองบนกระจก หล่อนมีหยดน้ำตาเปื้อนอยู่ที่ร่องแก้ม ดวงตาดูพร่ามัวลงเมื่อจู่ ๆ ภาพของตัวเองในกระจกเปลี่ยนไป

หล่อนมองเห็นเจ้าดาวเรืองร้องไห้ในกระจก ดวงหน้าซีดเผือด รูปร่างของนางช่างเล็กและผอมบาง นางร้องไห้ปิ้มว่าจะขาดใจ ภาพในกระจกพร่ามัวลงอีกครั้ง ก่อนจะแจ่มชัดขึ้นเป็นเด็กหญิงผมจุกคนเดิม เด็กหญิงร้องไห้สะอึกสะอื้น เป็นเสียงเดียวกันกับที่ปาระมีได้ยินเมื่อครู่ เด็กหญิงร้องไห้ดวงตาแดงช้ำ สบตาหญิงสาวอย่างอ้อนวอน

“ช่วยเจ้าแม่ด้วย”

เด็กหญิงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาปนสะอื้น ก่อนจะยื่นมือที่ผ่านกระจกออกมา ปาระมีตกใจร้องลั่น

“กรี๊ด!!!!!”

 

                  หล่อนผวาลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความมืด ไร้สรรพเสียงใด ๆ รอบกาย หล่อนนอนอยู่บนเตียง หน้าผากผุดพราวด้วยเม็ดเหงื่อ เป็นความฝันที่เหมือนจริงเสียเหลือเกิน ที่แก้มของหล่อนยังเปรอะไปด้วยคราบน้ำตา นี่หล่อนกำลังร้องไห้อยู่จริง ๆ หญิงสาวรู้สึกกลัว หล่อนคลำเข้าไปในคอเสื้อหยิบสร้อยพระที่แขวนคออยู่มาพนมมือไหว้ ก่อนจะค่อย ๆ กระถดตัวเองลงไปซุกในผ้าห่ม พยายามข่มตาหลับให้พ้นค่ำคืนนี้ จนกว่าจะถึงเวลารุ่งสางของวันใหม่

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา