รอยอธิษฐาน
10.0
เขียนโดย อาบตะวัน
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.01 น.
13 ตอน
17 วิจารณ์
16.64K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 07.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ แต่แรกที่ปาระมีเรียนจบกลับมา หล่อนวางแผนจะเปิดร้านกาแฟย่านหมู่บ้านแก้วกนกนี้ ด้วยหมู่บ้านเป็นเขตใกล้เมือง ชุมชนติดริมแม่น้ำปิงที่เป็นย่านเศรษฐกิจท่องเที่ยวชนิดราคาที่ดินสูงลิบลิ่ว ปาระมีอาศัยเป็นคนในพื้นที่ ติดต่อเช่าห้องแถวหรืออาคารไม้ของคนรู้จักในราคาสมน้ำสมเนื้อได้ไม่ยาก
แต่หลังจากเหตุการณ์ในวิหารหลวง ทำให้ปาระมีเบนความสนใจมาที่วัดแก้วกนกแทน
“ไม่เคยมีเด็กหรือใครมาตายในวิหารวัดหรอกลูก”
ถึงแม้จะได้รับคำยืนยันจากปากของผู้เป็นแม่ดังนั้นแล้ว แต่ปาระมีก็ยังปักใจเชื่อในสิ่งที่ตนเองมองเห็นมากกว่า
“แกตาฝาดหรือเปล่า”
เจนนิษาพลอยร้อน ๆ หนาว ๆ ไปกับหล่อนด้วย ปาระมีก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือเล่มหนาในหอสมุดหมู่บ้าน หนังสือ ‘รวมประวัติวัดเก่ากลางเวียง’ แผ่หราอยู่ตรงหน้าร่วมชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าหล่อนจะเจออะไรเป็นพิเศษ
“สร้างเมื่อปีพ.ศ.2149 สี่ร้อยกว่าปีแล้วมาแล้วนะ เมื่อปี 2459 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่”
ปาระมีพึมพำประโยคเดิมซ้ำ ๆ ราวกับว่าจะหาเรื่องใดน่าตื่นเต้นกว่านี้ไม่มีแล้ว
“ใครก็รู้นะแก เรื่องนี้…”
เจนนิษาเท้าคางมองเพื่อน ไล่มองหนังสือมากมายบนโต๊ะ
‘ประวัติวัดแก้วกนก’ ‘ตำนานวัดใหญ่ใจเมืองเชียงใหม่’ ‘เรื่องเล่าชาวล้านนา’ ...
“ปาน”
ที่สุดหล่อนก็พูดขึ้น
“แกจะอยากรู้เรื่องนี้ไปเพื่ออะไรวะ ทำไมแกไม่คิดล่ะว่า แกแค่ตาพร่า ตาฝาดไปเอง จะจริงจังอะไรกับเรื่องผีที่ไม่มีมูลแบบนี้”
ปาระมีเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ จ้องมองเพื่อนด้วยสายตาจริงจัง
“ที่จริง... ฉันเคยเห็นเด็กคนนั้นมาก่อน... ”
เจนนิษามือหลุดจากคาง
“หา จริงเหรอ ที่ไหน เมื่อไหร่”
“ไม่รู้สิ จำไม่ได้ แต่หน้าตาแบบนั้น ฉันเคยเห็นมาก่อนแน่ ๆ ฉันมั่นใจ ว่าตาไม่ได้ฝาด”
ร่างระหงพาผมแดงฟูฟ่องลุกขึ้นจากโต๊ะยาวไปยังชั้นหนังสือ ปรายตาเบื่อหน่ายมายังเพื่อนสาว
“ฉันว่าเราเอาเวลาไปคิดเรื่องทำงานกันดีกว่า เสียเวลาเปล่า ๆ”
ปาระมียักไหล่ เจนนิษาไม่รู้อะไร ตลอดเวลาที่เรียนหนังสือ ปาระมีเคยเล่าเรื่องความฝันที่เกี่ยวกับวัดแก้วกนกให้เพื่อนฟังบ้าง แต่หล่อนไม่ได้เล่ารายละเอียดทั้งหมด ในความฝันหล่อนเห็นวิหารหลวงที่สวยงาม หลวงพ่อแก้วกนกที่ทรงบารมี แต่บางครั้งหล่อนฝันเห็นไฟไหม้วิหาร ไฟลุกท่วมไปถึงยอดหลังคา ไหม้ลามร้อนระอุ ไอร้อน ควันไฟที่หล่อนรู้สึกทุกข์ทรมานราวหล่อนอยูในวิหารนั้นด้วยจริง ๆ หล่อนรู้สึกกระทั่งตนเองถูกไฟลวก และสำลักควันไฟไปด้วย ทั้งที่เป็นเพียงแค่ความฝัน ดังนั้นแล้วเมื่อเจอผีเด็กเข้าจัง ๆ ในวิหารอย่างนี้ ปาระมีจึงไม่อาจปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปโดยไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างได้เลย
อาจมีใครบางคน รอคอยความช่วยเหลือจากหล่อนอยู่
หญิงสาวยังคงหยิบหนังสือแต่ละเล่มมาพลิกไปพลิกมา เนื้อหาในหนังสือที่เกี่ยวข้องกับวัดแก้วกนกก็เขียนคล้าย ๆ กัน แต่ละเล่มระบุปีพ.ศ.ที่สร้าง วันเดือนปีที่วัดไฟไหม้ กับระบุนามของผู้สร้างวิหารหลวงให้ใหม่ ซึ่งก็คือ เจ้าคำสิงห์ วังพิทักษ์ เจ้าของคุ้มหลวงหลังงามที่ปัจจุบันเก่าร้างรกเรื้อจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“ตอนไฟไหม้วิหาร แกว่าจะมีใครตายบ้างไหม”
ปาระมียังคงพูดพึมพัม
“แล้วทำไมคุ้มวังพิทักษ์ถึงได้ร้างไปได้นะ”
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ปาระมีก็พูดออกมา หญิงสาวสะดุ้ง คาดไม่ถึงว่าตนเองจะพูดถึงคุ้มโดยไม่ได้ตั้งใจ
“แกลองหาหนังสือเกี่ยวกับตระกูลของเจ้าหลวงคุ้มวังพิทักษ์ดูซิ มีไหม”
เจนนิษาไม่อยากจะใส่ใจเรื่องไร้สาระแบบที่ปาระมีกำลังสนใจอยู่ แต่มือเจ้ากรรมก็กลับหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาโดยที่หล่อนไม่ทันได้สังเกตด้วยซ้ำไปว่า ว่ามันคือหนังสือ
เจ้านายฝ่ายเหนือ : คุ้มวังพิทักษ์
“หาผีในวัด แล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับเรื่องคุ้มหลังวัดล่ะเนี่ย”
หล่อนยื่นหนังสือปกหนาเล่มหนักให้เพื่อน ปาระมีรับมาเปิด หนังสือไม่ได้เก่าอะไรนัก เพียงแต่รูปประกอบทั้งหลายล้วนแต่เป็นของเก่า เจ้าคำสิงห์สมัยหนุ่มที่ทรงงานบนหลังช้างล่องแถบน้ำปิง หญิงที่เคียงข้างขณะถ่ายรูปที่ลานหน้าคุ้ม เป็นคนเดียวกับภาพที่แขนอยู่ในวิหารหลวง ดวงหน้าอ่อนหวาน นัยน์ตาโศก ... เจ้าดาวเรืองนั่นเอง
ข้างใต้ภาพเขียนระบุว่า เข้าคำสิงห์ วังพิทักษ์ ขณะทรงงานสร้างสะพานข้ามแม่น้ำปิง ปาระมีเปิดไล่ดูหน้าต่อ ๆ ไป ก็สะดุดเข้ากับข้อความหนึ่ง
เจ้าดาวเรือง วังพิทักษ์ ถึงพิราลัยเมื่อปีพ.ศ. 2480 รวมสิริอายุ 43 ชันษา
“อายุยังน้อยอยู่เลย”
หญิงสาวรำพึง ไล่อ่านหาสาเหตุที่เจ้านางเสียชีวิตก็ไม่ปรากฏไว้ในประวัติ นอกจากข้อความสั้น ๆ ว่า ทรงประชวรเป็นเวลาหลายปี...
“อยากรู้เรื่องวัด ก็ต้องเข้าวัดสิ จึงจะได้เรื่อง”
เสียงแหบพร่าดังขึ้นด้านหลัง สองสาวหันไปมองพร้อมกัน เจ้าของเสียงเป็นชายชรารูปร่างผอมเล็กแกร็นสวมเสื้อม่อฮ่อม เก่า ๆ ใบหน้ากร้านแดด ยิ้มน้อย ๆ
ปาระมีจำได้ทันทีว่าเป็นอดีตปู่จารย์วัดที่ปัจจุบันยังคงอยู่รับใช้หลวงตาในวัดแก้วกนกในฐานะของขโยมวัด
“อ้าว! ตา... ตาถา...นั่นเอง มาอ่านหนังสือเหมือนกันเหรอคะ”
“เอ้อ แวะมาดูอะไรนิดหน่อย ได้ยินหลาน ๆพูดถึงประวัติวัดกัน ถ้าอยากรู้ก็เข้าไปที่วัดสิ เดี๋ยวตาจะหาหนังสือให้”
ชายชราว่าร่างผอมเดินโขยกเขยกนำหน้าไป ปาระมีจำตาถาคนนี้ได้ดี เมื่อตอนเยาว์วัยหล่อนมาวัดกับพ่อแม่ เห็นตาคนนี้บ่อยนัก แรก ๆ หล่อนไม่ใคร่ชอบหน้าแกเท่าไหร่นัก ด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลหม่น คอยจ้องเขม่นมองหล่อนบ่อย ๆ ดูน่ากลัวพิกล แต่ในเวลานี้ ตามัคทายกวัดแก่คนนี้ อายุมากแล้ว วัยกว่า 90 ปี ที่ยังเดินเหินได้ ทำงานในวัดได้ ก็นับว่าแกเป็นคนแก่ที่แข็งแรงมากทีเดียว ปาระมีจึงไม่คิดตะขิดตะขวงใจอันใดกับตาเรียวขวางอันเหี่ยวย่นของแกอีก
บรรยากาศในวิหารวัดแก้วกนกยังเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน พัดลมยังคงหมุนขวับ ๆ ส่งเสียงทำลายความเงียบเหมือนเดิม สองสาวเดินย่องเบียดชิดกันมานั่งหน้าพระประธานตรงตำแหน่งเดิม ปาระมีพยายามเบี่ยงสายตาให้พ้นจากกระจกเงาสีชาที่บานประตูแกะสลักนั้นให้มากที่สุด
“เดี๋ยวตาจะไปหยิบหนังสือมาให้นะ นั่งคุยกันรอไปก่อน”
ชายชรายิ้มเดินออกจากวิหารไป ปล่อยให้สองสาวคล้องแขนกันแน่น ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“โธ่ ตานะตา จะให้รอข้างล่างให้ก็ไม่ยอม”
“กราบพระกันก่อนดีไหม ไหน ๆ ก็นั่งรอในนี้กันแล้วนี่”
ปาระมีพยายามทำใจให้สบาย กระนั้นการกราบพระก็เป็นไปอย่างทุลักทุเลเมื่อไม่มีใครยอมปล่อยแขนออกจากกัน
เมื่อปาระมีก้มลงกราบพระ แขนพ่วงก็พลอยดึงเจนนิษาให้น้อมลงกราบพระด้วย ปาระมีขนลุกซู่เมื่อเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น มันเกิดซ้ำอีกครั้ง เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กผู้หญิงคนเดิมดังขึ้นข้างตัว เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่คราวนี้หล่อนไม่กล้าหยุดหันไปมองอีก ในใจที่เต้นรัวก็คอยพร่ำพูดให้ตนเองสบายใจซ้ำ ๆ ว่า หูแว่ว หูแว่ว หล่อนแค่หูแว่วไปเองก็เท่านั้น
ปาระมีรู้สึกโล่งใจนัก เมื่อจรดหน้าผากแตะพื้นพรมเป็นครั้งที่สาม แล้วเสียงทั้งหมดก็เงียบหายไป หล่อนระบายลมหายใจออกช้า ๆ อำนาจบารมีหลวงพ่อวัดแก้วกนกช่างสูงส่งแท้.... หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองพระประธานตรงหน้า ยิ้มกว้างให้องค์พระอย่างรู้สึกเต็มตื้น อุ่นใจ
“ได้กราบหลวงพ่อแล้วนี่... ดีจริง ๆ นะ ดูสิ ฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลยล่ะ”
เจนนิษาไม่ได้มองกลับมายังหล่อน เพื่อนสาวจ้องมองบนเพดาน อ้าปากค้าง ใบหน้าซีดเผือด ปาระมีมองที่ทีนั้นอย่างแปลกใจ
“ทำไมเหรอเจนนี่”
หล่อนลากสายตามองตามตาสีน้ำตาลอมเทาคู่นั้นไป จึงได้เข้าใจกระจ่างแจ้ง และพบว่าตัวเองก็ตกอยู่ในอาการไม่ต่างกัน เมื่อมองเห็นว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นใด
หญิงสาวรู้สึกเหมือนท้องเบาโหวง เมื่อพบว่าวิหารที่ยังอยู่ดีเมื่อครู่นั้น บัดนี้ปรากฏให้เห็นเป็นซากเสาไม้ที่คุกรุ่นไปด้วยร่องรอยของกองเพลิง หลังคาที่ทาโครงไม้ด้วยสีแดงชาด กระเบื้องดินขอมุงหลังคาทั้งผืน โล่งหายไปทั้งหมด เห็นแต่ท้องฟ้าสีฟ้ากระจ่างไร้ก้อนเมฆ ผนังทุกด้านพังทลายเป็นเศษอิฐไหม้ไฟ เหลือเพียงเสากุดเป็นตอ ๆ ที่ยังเห็นควันกรุ่นและกลิ่นไหม้ที่อบอวล
“นี่ นี่มัน อะไรกันเนี่ย!!!!”
แต่หลังจากเหตุการณ์ในวิหารหลวง ทำให้ปาระมีเบนความสนใจมาที่วัดแก้วกนกแทน
“ไม่เคยมีเด็กหรือใครมาตายในวิหารวัดหรอกลูก”
ถึงแม้จะได้รับคำยืนยันจากปากของผู้เป็นแม่ดังนั้นแล้ว แต่ปาระมีก็ยังปักใจเชื่อในสิ่งที่ตนเองมองเห็นมากกว่า
“แกตาฝาดหรือเปล่า”
เจนนิษาพลอยร้อน ๆ หนาว ๆ ไปกับหล่อนด้วย ปาระมีก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือเล่มหนาในหอสมุดหมู่บ้าน หนังสือ ‘รวมประวัติวัดเก่ากลางเวียง’ แผ่หราอยู่ตรงหน้าร่วมชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าหล่อนจะเจออะไรเป็นพิเศษ
“สร้างเมื่อปีพ.ศ.2149 สี่ร้อยกว่าปีแล้วมาแล้วนะ เมื่อปี 2459 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่”
ปาระมีพึมพำประโยคเดิมซ้ำ ๆ ราวกับว่าจะหาเรื่องใดน่าตื่นเต้นกว่านี้ไม่มีแล้ว
“ใครก็รู้นะแก เรื่องนี้…”
เจนนิษาเท้าคางมองเพื่อน ไล่มองหนังสือมากมายบนโต๊ะ
‘ประวัติวัดแก้วกนก’ ‘ตำนานวัดใหญ่ใจเมืองเชียงใหม่’ ‘เรื่องเล่าชาวล้านนา’ ...
“ปาน”
ที่สุดหล่อนก็พูดขึ้น
“แกจะอยากรู้เรื่องนี้ไปเพื่ออะไรวะ ทำไมแกไม่คิดล่ะว่า แกแค่ตาพร่า ตาฝาดไปเอง จะจริงจังอะไรกับเรื่องผีที่ไม่มีมูลแบบนี้”
ปาระมีเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ จ้องมองเพื่อนด้วยสายตาจริงจัง
“ที่จริง... ฉันเคยเห็นเด็กคนนั้นมาก่อน... ”
เจนนิษามือหลุดจากคาง
“หา จริงเหรอ ที่ไหน เมื่อไหร่”
“ไม่รู้สิ จำไม่ได้ แต่หน้าตาแบบนั้น ฉันเคยเห็นมาก่อนแน่ ๆ ฉันมั่นใจ ว่าตาไม่ได้ฝาด”
ร่างระหงพาผมแดงฟูฟ่องลุกขึ้นจากโต๊ะยาวไปยังชั้นหนังสือ ปรายตาเบื่อหน่ายมายังเพื่อนสาว
“ฉันว่าเราเอาเวลาไปคิดเรื่องทำงานกันดีกว่า เสียเวลาเปล่า ๆ”
ปาระมียักไหล่ เจนนิษาไม่รู้อะไร ตลอดเวลาที่เรียนหนังสือ ปาระมีเคยเล่าเรื่องความฝันที่เกี่ยวกับวัดแก้วกนกให้เพื่อนฟังบ้าง แต่หล่อนไม่ได้เล่ารายละเอียดทั้งหมด ในความฝันหล่อนเห็นวิหารหลวงที่สวยงาม หลวงพ่อแก้วกนกที่ทรงบารมี แต่บางครั้งหล่อนฝันเห็นไฟไหม้วิหาร ไฟลุกท่วมไปถึงยอดหลังคา ไหม้ลามร้อนระอุ ไอร้อน ควันไฟที่หล่อนรู้สึกทุกข์ทรมานราวหล่อนอยูในวิหารนั้นด้วยจริง ๆ หล่อนรู้สึกกระทั่งตนเองถูกไฟลวก และสำลักควันไฟไปด้วย ทั้งที่เป็นเพียงแค่ความฝัน ดังนั้นแล้วเมื่อเจอผีเด็กเข้าจัง ๆ ในวิหารอย่างนี้ ปาระมีจึงไม่อาจปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปโดยไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างได้เลย
อาจมีใครบางคน รอคอยความช่วยเหลือจากหล่อนอยู่
หญิงสาวยังคงหยิบหนังสือแต่ละเล่มมาพลิกไปพลิกมา เนื้อหาในหนังสือที่เกี่ยวข้องกับวัดแก้วกนกก็เขียนคล้าย ๆ กัน แต่ละเล่มระบุปีพ.ศ.ที่สร้าง วันเดือนปีที่วัดไฟไหม้ กับระบุนามของผู้สร้างวิหารหลวงให้ใหม่ ซึ่งก็คือ เจ้าคำสิงห์ วังพิทักษ์ เจ้าของคุ้มหลวงหลังงามที่ปัจจุบันเก่าร้างรกเรื้อจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“ตอนไฟไหม้วิหาร แกว่าจะมีใครตายบ้างไหม”
ปาระมียังคงพูดพึมพัม
“แล้วทำไมคุ้มวังพิทักษ์ถึงได้ร้างไปได้นะ”
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ปาระมีก็พูดออกมา หญิงสาวสะดุ้ง คาดไม่ถึงว่าตนเองจะพูดถึงคุ้มโดยไม่ได้ตั้งใจ
“แกลองหาหนังสือเกี่ยวกับตระกูลของเจ้าหลวงคุ้มวังพิทักษ์ดูซิ มีไหม”
เจนนิษาไม่อยากจะใส่ใจเรื่องไร้สาระแบบที่ปาระมีกำลังสนใจอยู่ แต่มือเจ้ากรรมก็กลับหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาโดยที่หล่อนไม่ทันได้สังเกตด้วยซ้ำไปว่า ว่ามันคือหนังสือ
เจ้านายฝ่ายเหนือ : คุ้มวังพิทักษ์
“หาผีในวัด แล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับเรื่องคุ้มหลังวัดล่ะเนี่ย”
หล่อนยื่นหนังสือปกหนาเล่มหนักให้เพื่อน ปาระมีรับมาเปิด หนังสือไม่ได้เก่าอะไรนัก เพียงแต่รูปประกอบทั้งหลายล้วนแต่เป็นของเก่า เจ้าคำสิงห์สมัยหนุ่มที่ทรงงานบนหลังช้างล่องแถบน้ำปิง หญิงที่เคียงข้างขณะถ่ายรูปที่ลานหน้าคุ้ม เป็นคนเดียวกับภาพที่แขนอยู่ในวิหารหลวง ดวงหน้าอ่อนหวาน นัยน์ตาโศก ... เจ้าดาวเรืองนั่นเอง
ข้างใต้ภาพเขียนระบุว่า เข้าคำสิงห์ วังพิทักษ์ ขณะทรงงานสร้างสะพานข้ามแม่น้ำปิง ปาระมีเปิดไล่ดูหน้าต่อ ๆ ไป ก็สะดุดเข้ากับข้อความหนึ่ง
เจ้าดาวเรือง วังพิทักษ์ ถึงพิราลัยเมื่อปีพ.ศ. 2480 รวมสิริอายุ 43 ชันษา
“อายุยังน้อยอยู่เลย”
หญิงสาวรำพึง ไล่อ่านหาสาเหตุที่เจ้านางเสียชีวิตก็ไม่ปรากฏไว้ในประวัติ นอกจากข้อความสั้น ๆ ว่า ทรงประชวรเป็นเวลาหลายปี...
“อยากรู้เรื่องวัด ก็ต้องเข้าวัดสิ จึงจะได้เรื่อง”
เสียงแหบพร่าดังขึ้นด้านหลัง สองสาวหันไปมองพร้อมกัน เจ้าของเสียงเป็นชายชรารูปร่างผอมเล็กแกร็นสวมเสื้อม่อฮ่อม เก่า ๆ ใบหน้ากร้านแดด ยิ้มน้อย ๆ
ปาระมีจำได้ทันทีว่าเป็นอดีตปู่จารย์วัดที่ปัจจุบันยังคงอยู่รับใช้หลวงตาในวัดแก้วกนกในฐานะของขโยมวัด
“อ้าว! ตา... ตาถา...นั่นเอง มาอ่านหนังสือเหมือนกันเหรอคะ”
“เอ้อ แวะมาดูอะไรนิดหน่อย ได้ยินหลาน ๆพูดถึงประวัติวัดกัน ถ้าอยากรู้ก็เข้าไปที่วัดสิ เดี๋ยวตาจะหาหนังสือให้”
ชายชราว่าร่างผอมเดินโขยกเขยกนำหน้าไป ปาระมีจำตาถาคนนี้ได้ดี เมื่อตอนเยาว์วัยหล่อนมาวัดกับพ่อแม่ เห็นตาคนนี้บ่อยนัก แรก ๆ หล่อนไม่ใคร่ชอบหน้าแกเท่าไหร่นัก ด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลหม่น คอยจ้องเขม่นมองหล่อนบ่อย ๆ ดูน่ากลัวพิกล แต่ในเวลานี้ ตามัคทายกวัดแก่คนนี้ อายุมากแล้ว วัยกว่า 90 ปี ที่ยังเดินเหินได้ ทำงานในวัดได้ ก็นับว่าแกเป็นคนแก่ที่แข็งแรงมากทีเดียว ปาระมีจึงไม่คิดตะขิดตะขวงใจอันใดกับตาเรียวขวางอันเหี่ยวย่นของแกอีก
บรรยากาศในวิหารวัดแก้วกนกยังเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน พัดลมยังคงหมุนขวับ ๆ ส่งเสียงทำลายความเงียบเหมือนเดิม สองสาวเดินย่องเบียดชิดกันมานั่งหน้าพระประธานตรงตำแหน่งเดิม ปาระมีพยายามเบี่ยงสายตาให้พ้นจากกระจกเงาสีชาที่บานประตูแกะสลักนั้นให้มากที่สุด
“เดี๋ยวตาจะไปหยิบหนังสือมาให้นะ นั่งคุยกันรอไปก่อน”
ชายชรายิ้มเดินออกจากวิหารไป ปล่อยให้สองสาวคล้องแขนกันแน่น ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“โธ่ ตานะตา จะให้รอข้างล่างให้ก็ไม่ยอม”
“กราบพระกันก่อนดีไหม ไหน ๆ ก็นั่งรอในนี้กันแล้วนี่”
ปาระมีพยายามทำใจให้สบาย กระนั้นการกราบพระก็เป็นไปอย่างทุลักทุเลเมื่อไม่มีใครยอมปล่อยแขนออกจากกัน
เมื่อปาระมีก้มลงกราบพระ แขนพ่วงก็พลอยดึงเจนนิษาให้น้อมลงกราบพระด้วย ปาระมีขนลุกซู่เมื่อเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น มันเกิดซ้ำอีกครั้ง เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กผู้หญิงคนเดิมดังขึ้นข้างตัว เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่คราวนี้หล่อนไม่กล้าหยุดหันไปมองอีก ในใจที่เต้นรัวก็คอยพร่ำพูดให้ตนเองสบายใจซ้ำ ๆ ว่า หูแว่ว หูแว่ว หล่อนแค่หูแว่วไปเองก็เท่านั้น
ปาระมีรู้สึกโล่งใจนัก เมื่อจรดหน้าผากแตะพื้นพรมเป็นครั้งที่สาม แล้วเสียงทั้งหมดก็เงียบหายไป หล่อนระบายลมหายใจออกช้า ๆ อำนาจบารมีหลวงพ่อวัดแก้วกนกช่างสูงส่งแท้.... หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองพระประธานตรงหน้า ยิ้มกว้างให้องค์พระอย่างรู้สึกเต็มตื้น อุ่นใจ
“ได้กราบหลวงพ่อแล้วนี่... ดีจริง ๆ นะ ดูสิ ฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลยล่ะ”
เจนนิษาไม่ได้มองกลับมายังหล่อน เพื่อนสาวจ้องมองบนเพดาน อ้าปากค้าง ใบหน้าซีดเผือด ปาระมีมองที่ทีนั้นอย่างแปลกใจ
“ทำไมเหรอเจนนี่”
หล่อนลากสายตามองตามตาสีน้ำตาลอมเทาคู่นั้นไป จึงได้เข้าใจกระจ่างแจ้ง และพบว่าตัวเองก็ตกอยู่ในอาการไม่ต่างกัน เมื่อมองเห็นว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นใด
หญิงสาวรู้สึกเหมือนท้องเบาโหวง เมื่อพบว่าวิหารที่ยังอยู่ดีเมื่อครู่นั้น บัดนี้ปรากฏให้เห็นเป็นซากเสาไม้ที่คุกรุ่นไปด้วยร่องรอยของกองเพลิง หลังคาที่ทาโครงไม้ด้วยสีแดงชาด กระเบื้องดินขอมุงหลังคาทั้งผืน โล่งหายไปทั้งหมด เห็นแต่ท้องฟ้าสีฟ้ากระจ่างไร้ก้อนเมฆ ผนังทุกด้านพังทลายเป็นเศษอิฐไหม้ไฟ เหลือเพียงเสากุดเป็นตอ ๆ ที่ยังเห็นควันกรุ่นและกลิ่นไหม้ที่อบอวล
“นี่ นี่มัน อะไรกันเนี่ย!!!!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ