รอยอธิษฐาน

10.0

เขียนโดย อาบตะวัน

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.01 น.

  13 ตอน
  17 วิจารณ์
  16.64K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 07.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          แต่แรกที่ปาระมีเรียนจบกลับมา หล่อนวางแผนจะเปิดร้านกาแฟย่านหมู่บ้านแก้วกนกนี้ ด้วยหมู่บ้านเป็นเขตใกล้เมือง ชุมชนติดริมแม่น้ำปิงที่เป็นย่านเศรษฐกิจท่องเที่ยวชนิดราคาที่ดินสูงลิบลิ่ว ปาระมีอาศัยเป็นคนในพื้นที่ ติดต่อเช่าห้องแถวหรืออาคารไม้ของคนรู้จักในราคาสมน้ำสมเนื้อได้ไม่ยาก

          แต่หลังจากเหตุการณ์ในวิหารหลวง ทำให้ปาระมีเบนความสนใจมาที่วัดแก้วกนกแทน

                 

          “ไม่เคยมีเด็กหรือใครมาตายในวิหารวัดหรอกลูก”

                 

          ถึงแม้จะได้รับคำยืนยันจากปากของผู้เป็นแม่ดังนั้นแล้ว แต่ปาระมีก็ยังปักใจเชื่อในสิ่งที่ตนเองมองเห็นมากกว่า

                 

          “แกตาฝาดหรือเปล่า”

                 

          เจนนิษาพลอยร้อน ๆ หนาว ๆ ไปกับหล่อนด้วย ปาระมีก้มหน้าก้มตาอยู่กับหนังสือเล่มหนาในหอสมุดหมู่บ้าน หนังสือ ‘รวมประวัติวัดเก่ากลางเวียง’ แผ่หราอยู่ตรงหน้าร่วมชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าหล่อนจะเจออะไรเป็นพิเศษ

 

          “สร้างเมื่อปีพ.ศ.2149 สี่ร้อยกว่าปีแล้วมาแล้วนะ เมื่อปี 2459 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่”

 

          ปาระมีพึมพำประโยคเดิมซ้ำ ๆ ราวกับว่าจะหาเรื่องใดน่าตื่นเต้นกว่านี้ไม่มีแล้ว

 

          “ใครก็รู้นะแก เรื่องนี้…”

 

          เจนนิษาเท้าคางมองเพื่อน ไล่มองหนังสือมากมายบนโต๊ะ

 

          ‘ประวัติวัดแก้วกนก’ ‘ตำนานวัดใหญ่ใจเมืองเชียงใหม่’ ‘เรื่องเล่าชาวล้านนา’ ...

 

          “ปาน”

 

          ที่สุดหล่อนก็พูดขึ้น

 

          “แกจะอยากรู้เรื่องนี้ไปเพื่ออะไรวะ ทำไมแกไม่คิดล่ะว่า แกแค่ตาพร่า ตาฝาดไปเอง จะจริงจังอะไรกับเรื่องผีที่ไม่มีมูลแบบนี้”

 

          ปาระมีเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ จ้องมองเพื่อนด้วยสายตาจริงจัง

 

          “ที่จริง... ฉันเคยเห็นเด็กคนนั้นมาก่อน... ”

 

          เจนนิษามือหลุดจากคาง

 

          “หา จริงเหรอ ที่ไหน เมื่อไหร่”

 

          “ไม่รู้สิ จำไม่ได้ แต่หน้าตาแบบนั้น ฉันเคยเห็นมาก่อนแน่ ๆ ฉันมั่นใจ ว่าตาไม่ได้ฝาด”

ร่างระหงพาผมแดงฟูฟ่องลุกขึ้นจากโต๊ะยาวไปยังชั้นหนังสือ ปรายตาเบื่อหน่ายมายังเพื่อนสาว

 

          “ฉันว่าเราเอาเวลาไปคิดเรื่องทำงานกันดีกว่า เสียเวลาเปล่า ๆ”

 

          ปาระมียักไหล่ เจนนิษาไม่รู้อะไร ตลอดเวลาที่เรียนหนังสือ ปาระมีเคยเล่าเรื่องความฝันที่เกี่ยวกับวัดแก้วกนกให้เพื่อนฟังบ้าง แต่หล่อนไม่ได้เล่ารายละเอียดทั้งหมด ในความฝันหล่อนเห็นวิหารหลวงที่สวยงาม หลวงพ่อแก้วกนกที่ทรงบารมี แต่บางครั้งหล่อนฝันเห็นไฟไหม้วิหาร ไฟลุกท่วมไปถึงยอดหลังคา ไหม้ลามร้อนระอุ ไอร้อน ควันไฟที่หล่อนรู้สึกทุกข์ทรมานราวหล่อนอยูในวิหารนั้นด้วยจริง ๆ หล่อนรู้สึกกระทั่งตนเองถูกไฟลวก และสำลักควันไฟไปด้วย ทั้งที่เป็นเพียงแค่ความฝัน ดังนั้นแล้วเมื่อเจอผีเด็กเข้าจัง ๆ ในวิหารอย่างนี้ ปาระมีจึงไม่อาจปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปโดยไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างได้เลย

 

          อาจมีใครบางคน รอคอยความช่วยเหลือจากหล่อนอยู่

 

          หญิงสาวยังคงหยิบหนังสือแต่ละเล่มมาพลิกไปพลิกมา เนื้อหาในหนังสือที่เกี่ยวข้องกับวัดแก้วกนกก็เขียนคล้าย ๆ กัน แต่ละเล่มระบุปีพ.ศ.ที่สร้าง วันเดือนปีที่วัดไฟไหม้ กับระบุนามของผู้สร้างวิหารหลวงให้ใหม่ ซึ่งก็คือ เจ้าคำสิงห์ วังพิทักษ์ เจ้าของคุ้มหลวงหลังงามที่ปัจจุบันเก่าร้างรกเรื้อจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

 

          “ตอนไฟไหม้วิหาร แกว่าจะมีใครตายบ้างไหม”

 

          ปาระมียังคงพูดพึมพัม

 

          “แล้วทำไมคุ้มวังพิทักษ์ถึงได้ร้างไปได้นะ”

 

          ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ปาระมีก็พูดออกมา หญิงสาวสะดุ้ง คาดไม่ถึงว่าตนเองจะพูดถึงคุ้มโดยไม่ได้ตั้งใจ

          

          “แกลองหาหนังสือเกี่ยวกับตระกูลของเจ้าหลวงคุ้มวังพิทักษ์ดูซิ มีไหม”

เจนนิษาไม่อยากจะใส่ใจเรื่องไร้สาระแบบที่ปาระมีกำลังสนใจอยู่ แต่มือเจ้ากรรมก็กลับหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาโดยที่หล่อนไม่ทันได้สังเกตด้วยซ้ำไปว่า ว่ามันคือหนังสือ

 

          เจ้านายฝ่ายเหนือ : คุ้มวังพิทักษ์​

 

          “หาผีในวัด แล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับเรื่องคุ้มหลังวัดล่ะเนี่ย”

 

          หล่อนยื่นหนังสือปกหนาเล่มหนักให้เพื่อน ปาระมีรับมาเปิด หนังสือไม่ได้เก่าอะไรนัก เพียงแต่รูปประกอบทั้งหลายล้วนแต่เป็นของเก่า เจ้าคำสิงห์สมัยหนุ่มที่ทรงงานบนหลังช้างล่องแถบน้ำปิง หญิงที่เคียงข้างขณะถ่ายรูปที่ลานหน้าคุ้ม เป็นคนเดียวกับภาพที่แขนอยู่ในวิหารหลวง ดวงหน้าอ่อนหวาน นัยน์ตาโศก ... เจ้าดาวเรืองนั่นเอง

 

          ข้างใต้ภาพเขียนระบุว่า เข้าคำสิงห์ วังพิทักษ์ ขณะทรงงานสร้างสะพานข้ามแม่น้ำปิง ปาระมีเปิดไล่ดูหน้าต่อ ๆ ไป ก็สะดุดเข้ากับข้อความหนึ่ง

 

          เจ้าดาวเรือง วังพิทักษ์ ถึงพิราลัยเมื่อปีพ.ศ. 2480 รวมสิริอายุ 43 ชันษา

 

          “อายุยังน้อยอยู่เลย”

 

          หญิงสาวรำพึง ไล่อ่านหาสาเหตุที่เจ้านางเสียชีวิตก็ไม่ปรากฏไว้ในประวัติ นอกจากข้อความสั้น ๆ ว่า ทรงประชวรเป็นเวลาหลายปี...

 

          “อยากรู้เรื่องวัด ก็ต้องเข้าวัดสิ จึงจะได้เรื่อง”

 

          เสียงแหบพร่าดังขึ้นด้านหลัง สองสาวหันไปมองพร้อมกัน เจ้าของเสียงเป็นชายชรารูปร่างผอมเล็กแกร็นสวมเสื้อม่อฮ่อม เก่า ๆ ใบหน้ากร้านแดด ยิ้มน้อย ๆ

 

          ปาระมีจำได้ทันทีว่าเป็นอดีตปู่จารย์วัดที่ปัจจุบันยังคงอยู่รับใช้หลวงตาในวัดแก้วกนกในฐานะของขโยมวัด

 

          “อ้าว! ตา... ตาถา...นั่นเอง มาอ่านหนังสือเหมือนกันเหรอคะ”

 

          “เอ้อ แวะมาดูอะไรนิดหน่อย ได้ยินหลาน ๆพูดถึงประวัติวัดกัน ถ้าอยากรู้ก็เข้าไปที่วัดสิ เดี๋ยวตาจะหาหนังสือให้”

 

          ชายชราว่าร่างผอมเดินโขยกเขยกนำหน้าไป ปาระมีจำตาถาคนนี้ได้ดี เมื่อตอนเยาว์วัยหล่อนมาวัดกับพ่อแม่ เห็นตาคนนี้บ่อยนัก แรก ๆ หล่อนไม่ใคร่ชอบหน้าแกเท่าไหร่นัก ด้วยนัยน์ตาสีน้ำตาลหม่น คอยจ้องเขม่นมองหล่อนบ่อย ๆ ดูน่ากลัวพิกล แต่ในเวลานี้ ตามัคทายกวัดแก่คนนี้ อายุมากแล้ว วัยกว่า 90 ปี ที่ยังเดินเหินได้ ทำงานในวัดได้ ก็นับว่าแกเป็นคนแก่ที่แข็งแรงมากทีเดียว ปาระมีจึงไม่คิดตะขิดตะขวงใจอันใดกับตาเรียวขวางอันเหี่ยวย่นของแกอีก

 

          บรรยากาศในวิหารวัดแก้วกนกยังเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน พัดลมยังคงหมุนขวับ ๆ ส่งเสียงทำลายความเงียบเหมือนเดิม สองสาวเดินย่องเบียดชิดกันมานั่งหน้าพระประธานตรงตำแหน่งเดิม ปาระมีพยายามเบี่ยงสายตาให้พ้นจากกระจกเงาสีชาที่บานประตูแกะสลักนั้นให้มากที่สุด

 

          “เดี๋ยวตาจะไปหยิบหนังสือมาให้นะ นั่งคุยกันรอไปก่อน”

 

          ชายชรายิ้มเดินออกจากวิหารไป ปล่อยให้สองสาวคล้องแขนกันแน่น ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

 

          “โธ่ ตานะตา จะให้รอข้างล่างให้ก็ไม่ยอม”

 

          “กราบพระกันก่อนดีไหม ไหน ๆ ก็นั่งรอในนี้กันแล้วนี่”

 

          ปาระมีพยายามทำใจให้สบาย กระนั้นการกราบพระก็เป็นไปอย่างทุลักทุเลเมื่อไม่มีใครยอมปล่อยแขนออกจากกัน

 

          เมื่อปาระมีก้มลงกราบพระ แขนพ่วงก็พลอยดึงเจนนิษาให้น้อมลงกราบพระด้วย ปาระมีขนลุกซู่เมื่อเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น มันเกิดซ้ำอีกครั้ง เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กผู้หญิงคนเดิมดังขึ้นข้างตัว เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่คราวนี้หล่อนไม่กล้าหยุดหันไปมองอีก ในใจที่เต้นรัวก็คอยพร่ำพูดให้ตนเองสบายใจซ้ำ ๆ ว่า หูแว่ว หูแว่ว หล่อนแค่หูแว่วไปเองก็เท่านั้น

 

          ปาระมีรู้สึกโล่งใจนัก เมื่อจรดหน้าผากแตะพื้นพรมเป็นครั้งที่สาม แล้วเสียงทั้งหมดก็เงียบหายไป หล่อนระบายลมหายใจออกช้า ๆ อำนาจบารมีหลวงพ่อวัดแก้วกนกช่างสูงส่งแท้.... หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองพระประธานตรงหน้า ยิ้มกว้างให้องค์พระอย่างรู้สึกเต็มตื้น อุ่นใจ

 

          “ได้กราบหลวงพ่อแล้วนี่... ดีจริง ๆ นะ ดูสิ ฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลยล่ะ”

 

          เจนนิษาไม่ได้มองกลับมายังหล่อน เพื่อนสาวจ้องมองบนเพดาน อ้าปากค้าง ใบหน้าซีดเผือด ปาระมีมองที่ทีนั้นอย่างแปลกใจ

 

          “ทำไมเหรอเจนนี่”

 

          หล่อนลากสายตามองตามตาสีน้ำตาลอมเทาคู่นั้นไป จึงได้เข้าใจกระจ่างแจ้ง และพบว่าตัวเองก็ตกอยู่ในอาการไม่ต่างกัน เมื่อมองเห็นว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นใด

 

          หญิงสาวรู้สึกเหมือนท้องเบาโหวง เมื่อพบว่าวิหารที่ยังอยู่ดีเมื่อครู่นั้น บัดนี้ปรากฏให้เห็นเป็นซากเสาไม้ที่คุกรุ่นไปด้วยร่องรอยของกองเพลิง หลังคาที่ทาโครงไม้ด้วยสีแดงชาด กระเบื้องดินขอมุงหลังคาทั้งผืน โล่งหายไปทั้งหมด เห็นแต่ท้องฟ้าสีฟ้ากระจ่างไร้ก้อนเมฆ ผนังทุกด้านพังทลายเป็นเศษอิฐไหม้ไฟ เหลือเพียงเสากุดเป็นตอ ๆ ที่ยังเห็นควันกรุ่นและกลิ่นไหม้ที่อบอวล

 

          “นี่ นี่มัน อะไรกันเนี่ย!!!!”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา