รอยอธิษฐาน

10.0

เขียนโดย อาบตะวัน

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 13.01 น.

  13 ตอน
  17 วิจารณ์
  16.63K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 07.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

คำอธิษฐานผูกรั้ง                                       รอรัก

รอยเก่ากรรมสลัก                                      พลัดเจ้า

เสน่หาบ่จางจาก                                        คอยรัก น้องเฮย

พี่คร่ำครวญคอยเฝ้า                                    รอเจ้ากลับคืน

 

                  ตะวันสูง…แดดสายทอแสงจัดจ้า ลานวัดที่เมื่อเช้าคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ก็กลับบางตาลง งานบุญวันออกพรรษาวายแล้ว ยังคงเหลือชาวบ้านสองสามคน กำลังช่วยกันเก็บกวาดข้าวของ ส่งเสียงเสียงจอแจอยู่ในครัวท้ายวัด หมาวัดสองสามตัวกำลังวิ่งตาม ‘ตาถา’ ขโยมวัด[1] วัยชรา เพื่อขอปันเศษอาหาร ‘หลวงปู่บุญ’ เจ้าอาวาส กำลังย่างเหยาะขึ้นรถสองแถวสีแดง เพื่อไปรับกิจนิมนต์ มี ‘ปู่จ๋าน[2]’ ถือขันดอกเดินนำ ลูกศิษย์สองสามคนช่วยพยุงและเป็นธุระขับรถรับส่งให้ วัดใหญ่กลางเมืองแม้จะมีเจ้าศรัทธามากมาย แต่ชุมชนเมืองที่ผู้คนพลุกพล่าน ก็ล้วนแต่มีภารกิจที่มากมายด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อเสร็จกิจบุญ ก็ต่างพากันหันไปหาการงานของตนเองกันหมด

 

วัด ‘แก้วกนก’ ในยามสายเช่นนี้... จึงเงียบเหงาไปถนัดตา

 

ใต้ร่มไทรใบหนากลางลานวัด ปรากฏร่างหญิงสาวสองคน ทั้งคู่เพิ่งลงจากรถจักรยานยนต์สีแดง คนหนึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อสีเหลืองสดกับกางเกงยีนส์รัดรูปสีฟ้าซีด เรือนผมสีแดงเพลิง ดัดเป็นลอนฟูฟ่อง ใบหน้าสวยเฉี่ยวมีเค้าของชาวตะวันตกให้เห็นผ่านสันจมูกโด่งและแก้มตกกระจาง ๆ อีกนางหนึ่งเป็นหญิงสาววัยเดียวกัน รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเรียวรูปไข่ ผิวขาวเหลือง ผมยาวประบ่าสีน้ำตาลอ่อนดูรับกันดีกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกาย หล่อนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว กับกางเกงยีนส์เข้ารูปสีซีดถลอกไม่ต่างกันกับเพื่อนฝรั่ง

 

“ไงล่ะ มาวัดตอนสาย คนน้อยดี พระก็พลอยน้อยตามไปด้วย แล้วแกจะไปนิมนต์ใครมารับสังฆทานล่ะทีนี้”

 

                 ‘ปาระมี’ หรือ ‘ปาน’ ถอนใจ อากาศร้อนจัดจนแก้มนวลเป็นสีชมพูระเรื่อ หญิงสาวยกมือขึ้นป้องแดดกวาดตามองไปรอบ ๆ เวลาเกือบเพลแล้วแต่เพื่อนของหล่อนเพิ่งจะมาวัด

 

                  “เอาน่าปาน... มาทำบุญ จะอะไรมากมาย หงุดหงิดโมโหไป เดี๋ยวก็ไม่ได้บุญหรอก”

 

                  เจนนิษา หรือ เจนนี่ สาวลูกครึ่งอเมริกันพูดเบา ๆ เห็นร่างผอมไหวไหล่อย่างหงุดหงิด

 

“เงียบเกินไปไหมล่ะ นี่ถ้าไม่มีพระมารับนิมนต์ล่ะก็ ฉันจะกลับก่อนล่ะนะ”

 

เจนนิษายักไหล่ หล่อนเหลือบมองตัวเองผ่านกระจกจักรยานยนต์ จัดทรงผม บรรจงเกลี่ยสีดำที่หางตาให้สวยเฉี่ยวคม และกระทั่งยิงฟันขาว เพื่อตรวจเช็คอุปกรณ์ความงามที่หมอฟันเพิ่ง‘ติด’ ให้หล่อนมาได้ไม่กี่วัน

 

ปาระมีหิ้วถังสังฆทานออกมาเดินใกล้วิหารหลวง ได้ยินเสียงลมตีใบโพธิ์ใหญ่ ดังซู่ซ่าไปทั่วลานวัด ลมพัดเย็นรื่น เป็นความสงบร่มเย็นของวัดที่สัมผัสได้ แตกต่างจากความจอแจเมื่อตอนหัวรุ่งที่หล่อนได้เจอ เมื่อตอนมาตักบาตรกับครอบครัว

 

“โอ้...เกือบลืม แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะ”

 

เจนนิษาแตะไหล่เพื่อนเบา ๆ ปาระมียิ้มให้

 

“ขอบใจนะ”

 

“ว้าว! นั่นของขวัญวันเกิดเหรอ”

 

แสงวิบวับสะท้อนจากซอกคอปกเสื้อของปาระมี เผยให้เห็นสร้อยคอทองคำเหลืองอร่าม

 

“ฮื่อ… ”

 

ปาระมีดึงสร้อยคอออกมาอวด

 

“แม่ให้มาเมื่อเช้า เจ้าปกกับเจ้าป้องอิจฉากันน่าดู”

 

หล่อนหัวเราะเมื่อนึกถึงหน้าน้องชายฝาแฝด ‘ปกบุญ’ กับ ‘ป้องคุณ’ แฝดเหมือนวัย 17 ปี เจนนิษาจ้องมองสร้อยเส้นใหม่ของหล่อนอย่างชื่นชม ทองใหม่ดูไม่สนใจเท่ากับจี้เก่า จี้พระกรอบทองฉลุลายโบราณที่แขวนคู่กันบนอกเสื้อ ดูแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กรอบพระเก่าคร่าจนกระจกเป็นฝ้ามัว มองเห็นด้านในไม่ถนัด

 

“นั่น … พระอะไรน่ะ”

 

เจนนิษาหยิบจี้ขึ้นเพ่งดู มองเห็นเป็นพระทองคำรูปทรงบุบบี้อยู่ด้านใน

 

“ไม่รู้สิ แม่ว่าคงเป็นหลวงพ่อแก้วกนกนี่แหละ”

 

“อ้าว… แล้วเอามาจากไหนล่ะ”

 

สาวผมแดงสงสัย เจ้าของสร้อยเม้มปาก

 

“แม่ไม่ได้บอก”

 

เจนนิษาโคลงหัว ปล่อยจี้ห้อยคืนที่คอปาระมีตามเดิม ไม่ใส่ใจจะซักไซ้อะไรอีก

 

“สวยแปลกดี”

 

หญิงสาวออกความเห็น ละความสนใจจากจี้พระ แล้วชวนกันขึ้นบนวิหารหลวงแทน

 

“เราขึ้นไปไหว้พระบนวิหารกันดีกว่า”

 

ปาระมีประตูวิหารหลวงยังเปิดกว้างเหมือนอย่างที่หล่อนเห็นเมื่อเช้า บานประตูเป็นไม้เนื้อหนา แกะสลักเป็นรูปเทวดาพนมมืออยู่บานละองค์ ทั้งสองบานลงรักปิดทองแวววาวสวยงามราวกับเป็นของใหม่ ปาระมีก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะยกขาก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป ความเชื่อเรื่องเทวดาเฝ้าประตู ที่แม่เคยสอนไว้แต่ยังเล็ก ยังคงติดแน่นในความทรงจำ

 

“ที่ประตูวิหาร จะมีเทวดาคอยเฝ้าอารักข์อยู่ เวลาเราจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป อย่าลืมก้มคำนับ ทำความเคารพเทวดาผู้รักษาประตูด้วย”

 

คำพูดของแม่ ปาระมียังจำได้และก็ปฏิบัติเช่นนี้มาโดยตลอดทุกครั้ง ไม่ว่าจะเหยียบย่างเข้าไปในวิหารหลวงวัดใดก็ตาม

 

ภายในวิหารหลวง บรรยากาศแตกต่างจากตอนช่วงเช้าอย่างสิ้นเชิง ผู้คนที่จอแจแน่นวิหาร… บัดนี้ เหลือเพียงแค่หญิงสาวสองคนเท่านั้น ปาระมียอบนั่งลงตรงหน้าพระประธาน ‘หลวงพ่อแก้วกนก’ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ซึ่งทอดสายตาลงมองต่ำ ราวกับกำลังมองผู้ที่มากราบไหว้เคารพท่านอยู่ด้วยความปราณี สว่างพราววาวเรืองด้วยแสงเทียนหลายสิบเล่มที่แท่นวางหน้าองค์พระ ปาระมีมองภาพเบื้องหน้าด้วยใจปลื้มปีติ

 

“ผ่านไปกี่ปี ๆ วัดบ้านเราก็ยังเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย”

 

ปาระมีรำพึง กว่าสิบปี ที่หล่อนจากบ้านเกิดไป การไปเรียนหนังสือที่ ‘สิงคโปร์’

ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก หากไม่นับว่า การฝันซ้ำ ๆ ถึงวัดแห่งนี้บ่อย ๆ จะทำให้ในใจหล่อนร่ำร้องอยากกลับบ้านตลอดมา... สิบปีผ่านไปแล้ว เมื่อหล่อนได้กลับมานั่งตรงหน้าพระประธานทุกครั้ง ใจหล่อนก็รู้สึกอิ่มเต็ม เหมือนกับได้กลับมาบ้านอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการได้กลับไปที่บ้านของหล่อนเองเท่านั้น แต่หล่อนรู้สึกพึงใจเมื่อได้มานั่งตรงหน้าพระประธานมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด

กว่าสี่ร้อยปีมาแล้ว ที่วิหารหลวงแห่งวัดแก้วกนก เป็นที่ประดิษฐานของ ‘หลวงพ่อแก้วกนก’ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่บรรจุอัฐิของ “หลวงพ่อแก้ว” พระภิกษุชื่อดังแห่งล้านนา เจ้านายฝ่ายเหนือท่านหนึ่งได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่นี่เมื่อครั้งสร้างวัดแก้วกนกขึ้น พระความงดงามขององค์พระพุทธรูปทองคำ ไม่เพียงแต่ทรงพลังที่ความเก่าขรึมขลังเท่านั้น แต่ทว่าเวลาผ่านไปกว่าสี่ร้อยปีแล้ว องค์พระพุทธรูปยังคงดูสวยสมบูรณ์และคงความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่องลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้ฟังประวัติของวัดแก้วกนกที่ว่า เมื่อร้อยปีที่แล้วเกิดไฟไหม้ขึ้นที่วิหารหลวงแห่งนี้ ทุกอย่างมอดไหม้หมดไป เหลือเพียงแต่องค์พระประธาน ที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่เช่นเดิม ไม่มีรอยระคายของเปลวไฟ เลยแม้แต่น้อย

 

“สวยไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ ”

 

เจนนิษาคุกเข่าลงนั่งข้างหล่อน หล่อนกวาดตามองไปรอบวิหาร ชื่นชมความงดงามอันเป็นความทรงจำในวัยเยาว์ของทั้งคู่ด้วยดวงตาอิ่มเอม เจนนิษาจากบ้านไปเรียนที่เดียวกับปาระมี ทั้งคู่สนิทสนมกันตั้งแต่ยังเล็ก เป็นทั้งเพื่อนบ้าน เพื่อนเล่น เพื่อนเรียน และสุดท้ายก็เรียนจบมาจากที่เดียวกัน กลับมาพร้อมกัน เป็นบัณฑิตที่รองาน เหมือน ๆ กัน

 

พัดลมแบบกังหันที่กลางวิหารยังคงหมุนขวับ ๆ ส่งเสียงหึ่ง ๆ ปาระมีสะดุดตาเข้ากับรูปภาพของบุรุษสตรีคู่หนึ่ง ตั้งอยู่ใกล้กับประตูทางออกทางทิศเหนือ เป็นภาพขาวดำ สลักใต้ภาพไว้ว่า เจ้าคำสิงห์ เจ้าดาวเรือง วังพิทักษ์

 

หญิงสาวหยุดจ้องมองอย่างสนใจ

 

“นามสกุลเหมือนชื่อคุ้มเก่าหลังวัดนี้เลย”

 

ปาระมีพูดขึ้นเบา ๆ หล่อนหมายถึงคุ้มเจ้านายฝ่ายเหนือที่อยู่ด้านหลังวัดแก้วกนกนี้ ปัจจุบันเป็นคุ้มร้าง อาณาบริเวณคุ้มถูกปกคลุมด้วยหนามรก แม้ประตูรั้วจะชำรุดผุพังขาดการซ่อมแซม ก็ยากที่จะมีใครกล้ำกรายไปที่นั่น ด้วยเลื่องลือกันว่าผีที่คุ้มเก่านั้น ดุนัก

 

“เจ้าดาวเรืองนี่สวยจังเลยนะ นี่คงเป็นรูปตอนยังสาว ดูเหมือนแกยังไงก็ไม่รู้”

 

เจนนิษาว่า จ้องมองรูปเจ้าทั้งสองอย่างพินิจพิเคราะห์ ปาระมีทำตาดุ

 

“นี่! พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ เรื่องเจ้าเรื่องนาย มาทำตลกได้ไง”

 

หญิงสาวละสายตาจากรูปภาพ กวาดมองไปเบื้องหน้า ทางด้านทิศเหนือของวิหารเป็นบันไดขึ้นลง เดาว่าเป็นทางของพระภิกษุที่ใช้ขึ้นลงวิหารเมื่อประกอบกิจพิธี ช่องประตูมีบานไม้แกะสลักขนาดใหญ่ถูกหุ้มด้วยกรอบไม้สีดำ ปิดทับด้วยกระจกสีชาเนื้อหนา คงแต่ยังมองเห็นภายในได้เด่นชัด บานประตูแกะสลักด้วยลวดลายแลดูวิจิตรงามตา ทว่าแลดูเก่าคร่า แลเห็นเนื้อไม้บางส่วนมีรอยปริแตก และบางส่วนมีรอยดำไหม้เป็นปื้น

 

อากาศภายในวิหารเย็นขึ้นมาดื้อ ๆ พัดลมบนเพดานยังคงหมุนเรื่อย ๆ ไม่มีท่าทีว่าจะแรงขึ้นหรือเบาลง ปาระมีปรายตาออกไปนอกหน้าต่าง แดดข้างนอกยังร้อนระอุจนเห็นเปลวไอร้อนที่ลานปูนหน้าพระเจดีย์

 

“ออกไปเลยไหม”

 

เจนนิษาชวน ปาระมีจึงชันตัวขึ้นนั่งคุกเข่า สายตาสอดประสานเข้ากับรูปถ่ายของเจ้าทั้งสองโดยบังเอิญ ความเหน็บหนาวราวกับจะพุ่งเข้าโจมตีโดยฉับพลัน ปาระมีรีบก้มหน้า ซ่อนสายตาไว้ในเส้นผมสีน้ำตาลที่ปล่อยสยายลงมาประข้างแก้ม

 

คุ้มเก่าหลังวัด... เจ้าเมืองเหนือ... แม้แต่ในรูปภาพ

สายตาก็ยังดูมีพลังอำนาจลึกลับชวนให้ขนลุก ปาระมีนั่งตัวเกร็ง ตาจ้องมองที่พระพุทธรูปตรงหน้าอย่างตั้งใจ จะกลัวอะไร ที่นี่ในวิหารหลวงแท้ ๆ

 

หญิงสาวประนมมือนิ่ง ก่อนจะค่อยก้มลงกราบพระอย่างตั้งใจ เสียงตีระฆังดังแว่วมาจากด้านนอก พระคงจะกลับมาสักรูปแล้ว...ใกล้เวลาเพลแล้วอย่างนั้นหรือ

 

หญิงสาวค่อยน้อมตัวลงกราบ ... จู่ ๆ หล่อนก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กผู้หญิงดังขึ้นข้าง ๆ ตัว

 

ครั้นรีบเงยหน้าขึ้น หันขวับไปมองที่ต้นเสียง ก็พบเพียงเงาจาง ๆ ของตัวเองที่สะท้อนมาจากกระจกสีชาที่ปิดอยู่ตรงบานประตูแกะสลักของวิหารเท่านั้น

 

ปาระมีหรี่ตามองให้มั่นใจ ก่อนจะเหลือบมองไปยังเจนนิษา เพื่อนสาวยังคงนั่งพนมมือไหว้พระด้วยใบหน้าเรียบเฉย

 

ปาระมีหันกลับมายังองค์พระ ค่อยก้มลงกราบพระลงอีกเป็นครั้งที่ 2 ทว่าเสียงกุกกักข้างตัวฉุดสมาธิลงให้วูบหายไปอีกครั้ง หญิงสาวหันไปมองยังต้นเสียงเช่นเดิม มองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกสีชา ทว่าเพียงชั่วดึงสายตากลับ เงาภาพตัวเองในกระจกกลับลดขนาดลงจนสังเกตได้ ปาระมีกระตุกสายตากลับมาโดยอัตโนมัติ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเพียงเสี้ยวนาที เงาร่างของหญิงสาวแปรเปลี่ยนเป็นเด็กหญิงผมจุกวัยไม่น่าจะเกิน 5 ขวบ นั่งพนมมือท่าเดียวกับหล่อน เงานั้นกำลังหันมามองหญิงสาวอยู่ ป้องปากมองหล่อน แล้วหัวเราะคิกคักชอบใจ

 

ปาระมีตาเหลือก

 

“กรี๊ด”

 

สติสัมปชัญญะขาดผึง ปาระมีลนลานควานคว้ากุญแจรถข้างตัว รีบโกยอ้าวลงจากวิหารอย่างเร่งร้อน ไม่สนใจฟังเสียงร้องเรียกอย่างตกใจของเพื่อนสาวบนวิหาร

 

“ปาน เกิดอะไรขึ้น”

 

“ผี เจนนี่!! ผี!!”

 

ร่างผอมสตาร์ทรถแทบไม่รอสาวผมแดงที่วิ่งตัวปลิวลงจากวิหาร หล่อนกระโดดขึ้นคร่อมซ้อนท้ายเพื่อนสาวทันในเสี้ยววินาทีที่หล่อนกระชากตัวพุ่งออกจากวัดแก้วกนกไปชนิดไม่เหลียวหลัง

 

 

 

 

 

 

 

[1] เด็กวัด ผู้ติดตามรับใช้พระสงฆ์

[2] ปู่จารย์ บุคคลที่มีความรู้ทางด้านพุทธศาสนาและพุทธศาสนพิธีเป็นผู้นำในการไหว้พระรับศีลเวนทานหรือการประกอบพิธีต่างๆมักใช้ผู้ที่เคยบวชเป็นพระมาก่อน

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา