7Swords
9.6
เขียนโดย จิ้งจอกมายา
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 23.29 น.
31 chapter
3 วิจารณ์
28.74K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 23.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) Fairy tales
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 13 Fairy tales
เรคัสนั่งลง เขาส่งสายตาไม่ไว้วางใจไปที่จิ้งจอกหนุ่ม เขายังคงกินอาหารอย่างสบายอารมณ์ เช่นเดียวกับบิมโบผู้ซึ่งดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ บิมโบ?” เรคัสแกล้งถามทั้งๆที่เขาก็พอจะรู้เลาๆอยู่แล้ว
“ไม่เอาน่าเพื่อน” บิมโบขมวดคิ้ว “นายเพิ่งจะจับเชลยได้ตั้งเกือบสองพันไม่ใช่เหรอ? แล้วพ็อตเทอร์รี่แห่งนี้มันก็เป็นเมืองแห่งการค้า ว่ามั้ย?”
“พนันว่าท่านกำลังดีใจที่พวกโจรสลัดปิดอ่าวไว้จนท่านออกเรือไม่ได้?” เอเคลเซธพูดโดยไม่เงยหน้าจากจานอาหารของเขา
“ใช่..... แล้วข้าก็ดีใจยิ่งกว่าที่ได้รู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของทาสใหม่พวกนี้ด้วย” บิมโบเอ่ยและรินเหล้าใส่แก้วส่งให้เอเคลเซธอย่างเอาใจ
“ใครบอกว่า เราจะขายเชลยพวกนั้นเป็นทาส?” เรคัสเอ่ยเสียงขุ่น มือที่จับรอบแก้วนั้นแน่นจนเห็นเนื้อขาว
“ไม่เอาน่า..... เรคัส นายก็รู้ว่าฉันจ่ายหนักกว่าใคร -- ”
“คุณจะจ่ายแค่ครึ่งราคา” เอเคลเซธเงยหน้าจากจานของเขา มองบิมโบที่มีสีหน้าไม่เชื่อหู “ถ้าคุณจำข่าวนี้ไปขายใครต่อใครว่า ฝีมือทั้งหมดในการบัญชาการรบเป็นของเซอร์โรแลนด์ เรคัส -- พวกจากไวท์ฟอร์ทไร้น้ำยาทำอะไรไม่ได้เลย”
เรคัสมีสีหน้างุนงงพอๆกับบิมโบผู้ซึ่งจ้องมองเอเคลเซธอย่างไม่วางตา
“แต่ทำไม.... -- ” บิมโบกำลังจะเริ่ม
“วางเงินของท่านไว้แล้วรับทาสไป -- หรือไม่ก็เชิญออกจากห้องนี้ เราจะได้เชิญลูกค้าอื่นมาคุย” เอเคลเซธตัดบท
บิมโบรีบเอาหนังสือสัญญาซื้อขายมาลงลายมือชื่อของเขา แล้วส่งให้เอเคลเซธที่เขียนชื่อลงอย่างง่ายดาย ก่อนจะส่งหนังสือสัญญามาให้กับเรคัส
“เอเคลเซธ......” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอดทนอดกลั้นที่ใกล้จะสิ้นสุด -- เรคัสเกลียดการซื้อขายทาส
“ท่านเรคัส..... เพราะโจรสลัดนั่น ท่านถึงต้องเสียเรือ และทหารทั้งแม่ทัพไปเปล่าๆถึงสองพัน ท่านจะเสียดายอะไรกับพวกนั้น?” เอเคลเซธเอ่ยด้วยน้ำเสียงทั้งตักเตือนและเบื่อหน่าย เรคัสแม้ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ก็ยอมลงนามและส่งให้กับบิมโบ
“ไหนดูซิคนละห้าโกลด์ -- สินะ.....” บิมโบทำท่าจะเขียนจำนวนเงินลงไปในนั้น
“เดี๋ยวก่อนนะ.... ข้าคงต้องขอ โจรสลัดที่ชื่อ แวน เดอ มูชเชอร์ไว้คนหนึ่งล่ะ..... -- ” เอเคลเซธเอ่ยพร้อมส่งสายตาเจ้าเล่ห์ไปหาบิมโบที่ชะงักเล็กน้อย “คิดว่าข้าไม่รู้ล่ะสิว่าเขามีค่าหัวเฉพาะ?”
“โอ้..... จริงหรือ” บิมโบหัวเราะอย่างไม่แนบเนียนที่สุดก่อนจะตวัดเขียนตัวเลขลงไปในเอกสารนั้นและส่งให้กับเอเคลเซธ “แบบนี้เรียบร้อยดีนะขอรับ เซอร์คาร์ลดีเซน”
เอเคลเซธตรวจดูเอกสารนั้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “ก็ดูเรียบร้อยดี” เขาหยิบกระดิ่งมาสั่น สักครู่ แม่ทัพโคล์ดี้ก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเด็กสาวที่ชื่อลิลลี่ที่เอาเหล้าเข้ามาเสิร์ฟ เธอจ้องมองคนในห้องทีละคนๆราวกับสนใจใคร่รู้ เรคัสทิปให้เธอเพื่อให้เธอรีบออกไปเสียที “อย่าหาว่างั้นงี้เลยนะ บิมโบ” เอเคลเซธเอ่ยพลางส่งเอกสารให้กับโคล์ดี้ “ข้าน่ะไม่ค่อยชอบเดินถือตั๋วเงินไปไหนมาไหนเลย เลยว่าเดี๋ยวจะขอให้ท่านช่วยนำทางแม่ทัพโคล์ดี้เอาตั๋วไปขึ้นเงินที่เรือของท่าน แล้วถ้าไม่ทำหนังสือระบุจำนวนเงินไว้ก่อนก็กลัววกท่านจะลืมจำนวนน่ะนะ” เอเคลเซธปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะที่ดูเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าเดิม
“แหม ดีแล้วล่ะครับที่รอบคอบ เราจะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย......” บิมโบแสยะยิ้มโดยลืมปรับสีหน้าที่บึ้งตึงนั้น ก่อนจะลุกขึ้นและโค้งให้กับคนทั้งสองและกล่าวลา ก่อนจะเดินนำโคล์ดี้ลงไปจากชั้นสอง
“เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่?” เรคัสเอ่ยขึ้นหลังจากตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ข้างนอกแล้ว เขาหันมาเล่นงานเอเคลเซธที่ไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน “ทำไมถึงขายพวกโจรสลัดเป็นทาสไปโดยพละการแบบนั้น?”
“เพราะ......” เอเคลเซธเงียบไปราวกับกำลังไตร่ตรองคำพูดให้ดีทุกๆคำ “ข้าไม่ไว้ใจท่าน...... -- ”
“อ้อ......” เรคัสเอ่ยพลางหรี่ตาลง “เข้าใจล่ะ......”
“อย่าใส่ใจเลย” เอเคลเซธพูดต่อ “เราไม่ไว้ใจใครง่ายๆทั้งนั้นแหละ แต่ถ้ามีผลประโยชน์ร่วมกันเราก็อยู่ร่วมกันได้” เขาพูดพลางจัดการอาหารต่อ
“นั่นไม่ได้อธิบายว่า ทำไมถึงขายเชลยไปแบบนั้น......” เรคัสขบกรามแน่น เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรจะยอมรับในตัวชายคนนี้ดีหรือไม่ในเมื่อเขาเปิดเผยมาว่า ตัวเขาเอกก็ไม่ได้เชื่อใจเขาเลย
“ข้ามีทฤษฎีอยู่” เอเคลเซธหยุดกินก่อนจะเช็ดปากและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก่อนจะออกจากไวท์ฟอร์ทมา พวกข้านั้นตงิดใจมากเรื่องที่พ็อตเทอร์รี่ไม่ยอมออกต่อสู้กับพวกโจรสลัด แล้วอยู่ดีๆ ลอร์ดคราเวน เจ้านายของท่านก็ส่งเรเวนมาให้เรา บอกว่าต้องการความช่วยเหลือ..... และระหว่างที่เรามา.... เราก็พบกับกองกำลังไม่ทราบฝ่ายซุ่มรอโจมตีอยู่”
เรคัสผงะ เขาลืมโกรธไปชั่วขณะ “อะไรนะ?”
“พวกทัพซุ่มไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหามันมาต่อจากนั้น” เอเคลเซธพูดพลางเบ้ปาก “เราจับเชลยได้เกือบๆสองพันคนแบบนี้แหละ แล้วอยู่ๆเชลยทั้งหมดนั่นก็โดนปิดปาก”
“อย่างไรล่ะ?” เรคัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อขึ้นไปอีก เพราะทหารจากไวท์ฟอร์ทแค่สองร้อยคนไม่น่าจะรอดจากการซุ่มโจมตี
“โดยสิ่งที่เราแน่ใจว่า เป็นหนึ่งใน เซเวนซอร์ดส์ --”
ใช้เวลานานพอสมควรกว่าเรคัสจะเลิกคิ้วและแสดงดีหน้าไม่เชื่ออย่างเต็มที่ แต่ที่เขาพูดก็คือ “อ้อ.... งั้นรึ?”
“ข้าไม่ขอให้ท่านเชื่อหรอก..... จะว่าไป พวกเราก็ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกันแหละ จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าลงมา แล้วอัศวินเกราะดำที่ไม่เห็นหน้าก็ใช้ดาบสายฟ้านั่นฆ่าเชลยจนหมด..... ก่อนจะหายไปพร้อมกับสายฟ้าที่พุ่งขึ้นฟ้าไป -- ” เอเคลเซธพูดพลางกระดกไวน์จนหมดแก้ว *“Like a daytime ghost.”
เรคัสนิ่งและกำลังแน่ใจว่า จิ้งจอกหนุ่มกำลังจะปั่นหัวเขาเพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง เขาทำเป็นเงียบและฟัง ชายหนุ่มพูดพล่ามต่อไป ในหัวของเขาปฏิเสธเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้โดยสิ้นเชิง
“ที่เชื่อมโยงกันก็คือ เราสงสัยลอร์ดคราเวน.....” เอเคลเซธพูดต่อไป “และคาดคะเนไว้ว่า ถ้าเขาลอบโจมตีเราไม่สำเร็จ สิ่งที่เขาจะทำเพื่อฆ่าเราอย่างแนบเนียนซึ่งก็คือการขอให้เราออกไปสู้กับพวกโจรสลัดทันทีที่เรามาถึง.... ซึ่งก็จริงตามที่เราคาดไว้เสียด้วย” เอเคลเซธส่งสายตาเฉียบแหลมมายังเรคัสผู้ซึ่งเบิกตากว้างอย่างนึกไม่ถึง “จริงๆเราก็มีแผนอื่นที่เตรียมไว้สำหรับจัดการกับโจรสลัดนั่น แต่ท่านก็โผล่มาเสียก่อน -- และการที่ท่านสั่งระดมพลนั่นแหละ ทำให้ข้ารู้ดีเลยว่า..... ท่านคงไม่อยู่ในส่วนหนึ่งของแผนฆ่าเราแน่ๆ”
เรคัสนิ่งหน้าผากยับเนื่องจากกำลังใช้ความคิด ถ้างั้นเรคอมป์ก็...... –
“ข้าค่อนข้างแน่ใจว่า ลูกชายของท่านก็คงล่วงรู้หรือมีส่วนไม่มากก็น้อยกับลอร์ดคราเวน.... ข้าจึงขอให้ท่านมาที่นี่โดยทำทีว่าจะมาดื่ม เพื่อหารือกับท่านไงล่ะ” เอเคลเซธเอ่ย เขายังคงจ้องเรคัสไม่วางตา
“แต่พวกเจ้าก็ไม่ตายนี่......” เรคัสโพล่งออกมา เขารู้สึกอึดอัดเมื่อเอเคลเซธพูดถึงทฤษฎีเจ้านายของเขาวางแผนฆ่าพวกไวท์ฟอร์ทได้หน้าตาเฉยต่อหน้า ข้ารับใช้อย่างเขา
“ที่จริงเราต้องยกเครดิตนั่นให้กับท่านเลย” เอเคลเซธพลางยกแก้วไวน์ชูให้เรคัส “ถ้าท่านไม่ให้แม่ทัพเจมสันออกไปก่อน เราก็คงไม่รู้ว่า พวกโจรสลัดนั่นเตรียมการรบมาดีแค่ไหน โดยปกติถ้าทำตามแผนที่เราวางไว้ ก็อาจจะชนะแต่ก็คงเสียกำลังทหารไปเยอะพอสมควร -- ” เอเคลเซธชูไวน์ขึ้นและเอ่ยว่า “แด่เจมสัน..... ผู้ชี้ทางชนะให้แก่เรา” แล้วเขาก็ดื่มไวน์นั้น
เรคัสทำตาม ในหัวหนักอึ้งไปด้วยทฤษฎีของเอเคลเซธ
“ข้าเดาว่าท่านคงไม่ได้อะไรมากจากการสอบสวน?” เอเคลเซธเอ่ยต่อเมื่อเรคัสดื่มเสร็จแล้ว
“ก็ใช่......” เรคัสพูดอย่างระวัง “ที่พวกมันบอกก็คือ..... มีคนบอกให้มาปิดอ่าวไว้เฉยๆ บอกว่าพวกเขาจะทำเงินได้อย่างไร และสอนยุทธวิธีการรบให้ด้วย... แค่นั้นแหละ......”
“ตัวคนบอกล่ะ?”
“ข้าเฝ้าถามคำถามนี้กับพวกมันทั้งวัน” เรคัสเอ่ยอย่างหงุดหงิดพอสมควร “พวกมันก็บอกแค่ว่า ไม่รู้......”
“ท่านรู้มั้ย? ตอนที่เราจะสอบปากคำพวกมัน ฟ้าก็ผ่าลงมาและฆ่าปิดปากพวกมันทั้งหมดเลย.....” เอเคลเซธวกมาเรื่องเดิม “ซึ่งข้าอนุมานว่า ถ้าลอร์ดคราเวนมีส่วนเกี่ยวข้องกับอัศวินนั่น ในพ็อตเทอร์รี่นี้ คงไม่มีการโจมตีเกิดขึ้น..... แต่การปิดปากคนทำงานพลาดคงจะเริ่มหลังจากที่พวกเขาออกนอกพ็อตเทอร์รี่ไปแล้ว.....”
แล้วจู่ๆ เอเคลเซธก็ลุกขึ้นและเดินไปที่หน้าต่าง เขาเปิดมันออก และลมเย็นก็พัดเข้ามา เรคัสรีบเดินตามมาเพื่อไปยืนข้างหน้าต่าง
ไกลออกไปบริเวณชายหาดที่อ่าวจอดเรือ เรือลำหนึ่งก็กำลังกางใบเรือเพื่อกินลมเลื่อนไปตามชายฝั่งก่อนจะเฉียงออกสู่มหาสมุทร เรือลำนั้นค่อนข้างใหญ่และดูเหมือนจะบรรทุกของเยอะเพราะดูไม่ค่อยจะโคลงเคลงเลย
บนเรือมีธงสมาพันธ์การค้าติดอยู่ แล้วเรือลำนั้นก็ค่อยๆเพิ่มความเร็วขณะแล่นตามชายฝั่งไปเรื่อยๆ
ทั้งสองคนมองดูเรือนั้นเงียบๆ เรคัสมองท้องฟ้าที่ค่อยๆมืดลงเรื่อยๆ
ไม่รู้ทำไมใจของเรคัสเต้นผิดจังหวะหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เขารู้สึกไม่ดีอย่างไรแปลกๆ เมื่อเห็นเรือลำนั้นค่อยๆแล่นออกไป “เอเคลเซธบอกข้าทีซิ..... ว่าเรื่องเซเวนซอร์ดส์อะไรนั่นเจ้าพูดล้อเล่น.....”
“ท่าทางข้า เหมือนคนชอบพูดตลกหรือ?” เขาตอบโดยที่มองเรือของบิมโบไม่วางตา
จนแล้วจนรอดเรือลำนั้นก็ไม่มีอาการบ่งบอกว่าจะเจออะไรร้ายกาจ จนในที่สุดเรือก็แล่นออกจากอ่าวไปเหลือเพียงเสากระโดงที่เห็นอยู่ลิบๆซึ่งอีกไม่นานนักคงกลืนหายไปกับความมืด....
เรคัสเดินผละจากหน้าต่างปล่อยให้เอเคลเซธยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาพยายามไม่ถอนหายใจ เพราะคิดว่ามันคงไม่เป็นการสุภาพหากจะแสดงท่าทีไม่เชื่อสิ่งที่เอเคลเซธพูด
และมันก็เกิดขึ้นในพริบตา
แสงสีขาวที่วาบสว่างเพียงวูบเดียวแต่ทำให้ท้องทะเลสว่างไปทั่วก่อนความมืดจะกลบเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นๆ!!” เรคัสรีบกลับไปที่หน้าต่าง พร้อมกับเสียงครืนของฟ้าผ่าที่ตามมาดังสนั่นที่พวกเขารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้ เมื่อเขามองผ่านความมืดออกไป ก็เห็นสีแดงส้มลิบๆใจกลางทะเล
สีของเพลิงที่ทาทับขอบฟ้าและผืนน้ำทะเลจากสุดสายตา
เรคัสยืนแข็งอยู่รู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นอย่างรุนแรงราวกับจะกระแทกกระทั้นออกมาจากอกให้ได้เสียตอนนี้ เขาเบิกตากว้างโดยไม่สนใจสายลมเย็นที่พัดโกรกใส่ดวงตาของเขาเลย
เอเคลเซธปิดหน้าต่างเพื่อกันลมหนาวไม่ให้เข้ามา เขาปล่อยให้เรคัสยังคงยืนค้างอยู่และจ้องมองผ่านหน้าต่างกระจกถึงจุดสีแดงเพลิงเล็กๆท่ามกลางความมืดที่โอบล้อมอยู่
ก่อนจะกลับมาและยัดเหล้าที่มีฟองฟอดสีทองเต็มแก้วใส่มือเขา
“ท่านยังคิดว่า..... เซเวนซอร์ดส์ -- เป็นนิทานอยู่หรือเปล่า?”
*“Like a daytime ghost.” Akelzeth’s Quote: “อย่างกับเจอผีหลอกกลางวัน”
เรคัสนั่งลง เขาส่งสายตาไม่ไว้วางใจไปที่จิ้งจอกหนุ่ม เขายังคงกินอาหารอย่างสบายอารมณ์ เช่นเดียวกับบิมโบผู้ซึ่งดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ บิมโบ?” เรคัสแกล้งถามทั้งๆที่เขาก็พอจะรู้เลาๆอยู่แล้ว
“ไม่เอาน่าเพื่อน” บิมโบขมวดคิ้ว “นายเพิ่งจะจับเชลยได้ตั้งเกือบสองพันไม่ใช่เหรอ? แล้วพ็อตเทอร์รี่แห่งนี้มันก็เป็นเมืองแห่งการค้า ว่ามั้ย?”
“พนันว่าท่านกำลังดีใจที่พวกโจรสลัดปิดอ่าวไว้จนท่านออกเรือไม่ได้?” เอเคลเซธพูดโดยไม่เงยหน้าจากจานอาหารของเขา
“ใช่..... แล้วข้าก็ดีใจยิ่งกว่าที่ได้รู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของทาสใหม่พวกนี้ด้วย” บิมโบเอ่ยและรินเหล้าใส่แก้วส่งให้เอเคลเซธอย่างเอาใจ
“ใครบอกว่า เราจะขายเชลยพวกนั้นเป็นทาส?” เรคัสเอ่ยเสียงขุ่น มือที่จับรอบแก้วนั้นแน่นจนเห็นเนื้อขาว
“ไม่เอาน่า..... เรคัส นายก็รู้ว่าฉันจ่ายหนักกว่าใคร -- ”
“คุณจะจ่ายแค่ครึ่งราคา” เอเคลเซธเงยหน้าจากจานของเขา มองบิมโบที่มีสีหน้าไม่เชื่อหู “ถ้าคุณจำข่าวนี้ไปขายใครต่อใครว่า ฝีมือทั้งหมดในการบัญชาการรบเป็นของเซอร์โรแลนด์ เรคัส -- พวกจากไวท์ฟอร์ทไร้น้ำยาทำอะไรไม่ได้เลย”
เรคัสมีสีหน้างุนงงพอๆกับบิมโบผู้ซึ่งจ้องมองเอเคลเซธอย่างไม่วางตา
“แต่ทำไม.... -- ” บิมโบกำลังจะเริ่ม
“วางเงินของท่านไว้แล้วรับทาสไป -- หรือไม่ก็เชิญออกจากห้องนี้ เราจะได้เชิญลูกค้าอื่นมาคุย” เอเคลเซธตัดบท
บิมโบรีบเอาหนังสือสัญญาซื้อขายมาลงลายมือชื่อของเขา แล้วส่งให้เอเคลเซธที่เขียนชื่อลงอย่างง่ายดาย ก่อนจะส่งหนังสือสัญญามาให้กับเรคัส
“เอเคลเซธ......” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอดทนอดกลั้นที่ใกล้จะสิ้นสุด -- เรคัสเกลียดการซื้อขายทาส
“ท่านเรคัส..... เพราะโจรสลัดนั่น ท่านถึงต้องเสียเรือ และทหารทั้งแม่ทัพไปเปล่าๆถึงสองพัน ท่านจะเสียดายอะไรกับพวกนั้น?” เอเคลเซธเอ่ยด้วยน้ำเสียงทั้งตักเตือนและเบื่อหน่าย เรคัสแม้ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ก็ยอมลงนามและส่งให้กับบิมโบ
“ไหนดูซิคนละห้าโกลด์ -- สินะ.....” บิมโบทำท่าจะเขียนจำนวนเงินลงไปในนั้น
“เดี๋ยวก่อนนะ.... ข้าคงต้องขอ โจรสลัดที่ชื่อ แวน เดอ มูชเชอร์ไว้คนหนึ่งล่ะ..... -- ” เอเคลเซธเอ่ยพร้อมส่งสายตาเจ้าเล่ห์ไปหาบิมโบที่ชะงักเล็กน้อย “คิดว่าข้าไม่รู้ล่ะสิว่าเขามีค่าหัวเฉพาะ?”
“โอ้..... จริงหรือ” บิมโบหัวเราะอย่างไม่แนบเนียนที่สุดก่อนจะตวัดเขียนตัวเลขลงไปในเอกสารนั้นและส่งให้กับเอเคลเซธ “แบบนี้เรียบร้อยดีนะขอรับ เซอร์คาร์ลดีเซน”
เอเคลเซธตรวจดูเอกสารนั้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “ก็ดูเรียบร้อยดี” เขาหยิบกระดิ่งมาสั่น สักครู่ แม่ทัพโคล์ดี้ก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเด็กสาวที่ชื่อลิลลี่ที่เอาเหล้าเข้ามาเสิร์ฟ เธอจ้องมองคนในห้องทีละคนๆราวกับสนใจใคร่รู้ เรคัสทิปให้เธอเพื่อให้เธอรีบออกไปเสียที “อย่าหาว่างั้นงี้เลยนะ บิมโบ” เอเคลเซธเอ่ยพลางส่งเอกสารให้กับโคล์ดี้ “ข้าน่ะไม่ค่อยชอบเดินถือตั๋วเงินไปไหนมาไหนเลย เลยว่าเดี๋ยวจะขอให้ท่านช่วยนำทางแม่ทัพโคล์ดี้เอาตั๋วไปขึ้นเงินที่เรือของท่าน แล้วถ้าไม่ทำหนังสือระบุจำนวนเงินไว้ก่อนก็กลัววกท่านจะลืมจำนวนน่ะนะ” เอเคลเซธปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะที่ดูเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าเดิม
“แหม ดีแล้วล่ะครับที่รอบคอบ เราจะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย......” บิมโบแสยะยิ้มโดยลืมปรับสีหน้าที่บึ้งตึงนั้น ก่อนจะลุกขึ้นและโค้งให้กับคนทั้งสองและกล่าวลา ก่อนจะเดินนำโคล์ดี้ลงไปจากชั้นสอง
“เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่?” เรคัสเอ่ยขึ้นหลังจากตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ข้างนอกแล้ว เขาหันมาเล่นงานเอเคลเซธที่ไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน “ทำไมถึงขายพวกโจรสลัดเป็นทาสไปโดยพละการแบบนั้น?”
“เพราะ......” เอเคลเซธเงียบไปราวกับกำลังไตร่ตรองคำพูดให้ดีทุกๆคำ “ข้าไม่ไว้ใจท่าน...... -- ”
“อ้อ......” เรคัสเอ่ยพลางหรี่ตาลง “เข้าใจล่ะ......”
“อย่าใส่ใจเลย” เอเคลเซธพูดต่อ “เราไม่ไว้ใจใครง่ายๆทั้งนั้นแหละ แต่ถ้ามีผลประโยชน์ร่วมกันเราก็อยู่ร่วมกันได้” เขาพูดพลางจัดการอาหารต่อ
“นั่นไม่ได้อธิบายว่า ทำไมถึงขายเชลยไปแบบนั้น......” เรคัสขบกรามแน่น เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรจะยอมรับในตัวชายคนนี้ดีหรือไม่ในเมื่อเขาเปิดเผยมาว่า ตัวเขาเอกก็ไม่ได้เชื่อใจเขาเลย
“ข้ามีทฤษฎีอยู่” เอเคลเซธหยุดกินก่อนจะเช็ดปากและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก่อนจะออกจากไวท์ฟอร์ทมา พวกข้านั้นตงิดใจมากเรื่องที่พ็อตเทอร์รี่ไม่ยอมออกต่อสู้กับพวกโจรสลัด แล้วอยู่ดีๆ ลอร์ดคราเวน เจ้านายของท่านก็ส่งเรเวนมาให้เรา บอกว่าต้องการความช่วยเหลือ..... และระหว่างที่เรามา.... เราก็พบกับกองกำลังไม่ทราบฝ่ายซุ่มรอโจมตีอยู่”
เรคัสผงะ เขาลืมโกรธไปชั่วขณะ “อะไรนะ?”
“พวกทัพซุ่มไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหามันมาต่อจากนั้น” เอเคลเซธพูดพลางเบ้ปาก “เราจับเชลยได้เกือบๆสองพันคนแบบนี้แหละ แล้วอยู่ๆเชลยทั้งหมดนั่นก็โดนปิดปาก”
“อย่างไรล่ะ?” เรคัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อขึ้นไปอีก เพราะทหารจากไวท์ฟอร์ทแค่สองร้อยคนไม่น่าจะรอดจากการซุ่มโจมตี
“โดยสิ่งที่เราแน่ใจว่า เป็นหนึ่งใน เซเวนซอร์ดส์ --”
ใช้เวลานานพอสมควรกว่าเรคัสจะเลิกคิ้วและแสดงดีหน้าไม่เชื่ออย่างเต็มที่ แต่ที่เขาพูดก็คือ “อ้อ.... งั้นรึ?”
“ข้าไม่ขอให้ท่านเชื่อหรอก..... จะว่าไป พวกเราก็ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกันแหละ จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าลงมา แล้วอัศวินเกราะดำที่ไม่เห็นหน้าก็ใช้ดาบสายฟ้านั่นฆ่าเชลยจนหมด..... ก่อนจะหายไปพร้อมกับสายฟ้าที่พุ่งขึ้นฟ้าไป -- ” เอเคลเซธพูดพลางกระดกไวน์จนหมดแก้ว *“Like a daytime ghost.”
เรคัสนิ่งและกำลังแน่ใจว่า จิ้งจอกหนุ่มกำลังจะปั่นหัวเขาเพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง เขาทำเป็นเงียบและฟัง ชายหนุ่มพูดพล่ามต่อไป ในหัวของเขาปฏิเสธเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้โดยสิ้นเชิง
“ที่เชื่อมโยงกันก็คือ เราสงสัยลอร์ดคราเวน.....” เอเคลเซธพูดต่อไป “และคาดคะเนไว้ว่า ถ้าเขาลอบโจมตีเราไม่สำเร็จ สิ่งที่เขาจะทำเพื่อฆ่าเราอย่างแนบเนียนซึ่งก็คือการขอให้เราออกไปสู้กับพวกโจรสลัดทันทีที่เรามาถึง.... ซึ่งก็จริงตามที่เราคาดไว้เสียด้วย” เอเคลเซธส่งสายตาเฉียบแหลมมายังเรคัสผู้ซึ่งเบิกตากว้างอย่างนึกไม่ถึง “จริงๆเราก็มีแผนอื่นที่เตรียมไว้สำหรับจัดการกับโจรสลัดนั่น แต่ท่านก็โผล่มาเสียก่อน -- และการที่ท่านสั่งระดมพลนั่นแหละ ทำให้ข้ารู้ดีเลยว่า..... ท่านคงไม่อยู่ในส่วนหนึ่งของแผนฆ่าเราแน่ๆ”
เรคัสนิ่งหน้าผากยับเนื่องจากกำลังใช้ความคิด ถ้างั้นเรคอมป์ก็...... –
“ข้าค่อนข้างแน่ใจว่า ลูกชายของท่านก็คงล่วงรู้หรือมีส่วนไม่มากก็น้อยกับลอร์ดคราเวน.... ข้าจึงขอให้ท่านมาที่นี่โดยทำทีว่าจะมาดื่ม เพื่อหารือกับท่านไงล่ะ” เอเคลเซธเอ่ย เขายังคงจ้องเรคัสไม่วางตา
“แต่พวกเจ้าก็ไม่ตายนี่......” เรคัสโพล่งออกมา เขารู้สึกอึดอัดเมื่อเอเคลเซธพูดถึงทฤษฎีเจ้านายของเขาวางแผนฆ่าพวกไวท์ฟอร์ทได้หน้าตาเฉยต่อหน้า ข้ารับใช้อย่างเขา
“ที่จริงเราต้องยกเครดิตนั่นให้กับท่านเลย” เอเคลเซธพลางยกแก้วไวน์ชูให้เรคัส “ถ้าท่านไม่ให้แม่ทัพเจมสันออกไปก่อน เราก็คงไม่รู้ว่า พวกโจรสลัดนั่นเตรียมการรบมาดีแค่ไหน โดยปกติถ้าทำตามแผนที่เราวางไว้ ก็อาจจะชนะแต่ก็คงเสียกำลังทหารไปเยอะพอสมควร -- ” เอเคลเซธชูไวน์ขึ้นและเอ่ยว่า “แด่เจมสัน..... ผู้ชี้ทางชนะให้แก่เรา” แล้วเขาก็ดื่มไวน์นั้น
เรคัสทำตาม ในหัวหนักอึ้งไปด้วยทฤษฎีของเอเคลเซธ
“ข้าเดาว่าท่านคงไม่ได้อะไรมากจากการสอบสวน?” เอเคลเซธเอ่ยต่อเมื่อเรคัสดื่มเสร็จแล้ว
“ก็ใช่......” เรคัสพูดอย่างระวัง “ที่พวกมันบอกก็คือ..... มีคนบอกให้มาปิดอ่าวไว้เฉยๆ บอกว่าพวกเขาจะทำเงินได้อย่างไร และสอนยุทธวิธีการรบให้ด้วย... แค่นั้นแหละ......”
“ตัวคนบอกล่ะ?”
“ข้าเฝ้าถามคำถามนี้กับพวกมันทั้งวัน” เรคัสเอ่ยอย่างหงุดหงิดพอสมควร “พวกมันก็บอกแค่ว่า ไม่รู้......”
“ท่านรู้มั้ย? ตอนที่เราจะสอบปากคำพวกมัน ฟ้าก็ผ่าลงมาและฆ่าปิดปากพวกมันทั้งหมดเลย.....” เอเคลเซธวกมาเรื่องเดิม “ซึ่งข้าอนุมานว่า ถ้าลอร์ดคราเวนมีส่วนเกี่ยวข้องกับอัศวินนั่น ในพ็อตเทอร์รี่นี้ คงไม่มีการโจมตีเกิดขึ้น..... แต่การปิดปากคนทำงานพลาดคงจะเริ่มหลังจากที่พวกเขาออกนอกพ็อตเทอร์รี่ไปแล้ว.....”
แล้วจู่ๆ เอเคลเซธก็ลุกขึ้นและเดินไปที่หน้าต่าง เขาเปิดมันออก และลมเย็นก็พัดเข้ามา เรคัสรีบเดินตามมาเพื่อไปยืนข้างหน้าต่าง
ไกลออกไปบริเวณชายหาดที่อ่าวจอดเรือ เรือลำหนึ่งก็กำลังกางใบเรือเพื่อกินลมเลื่อนไปตามชายฝั่งก่อนจะเฉียงออกสู่มหาสมุทร เรือลำนั้นค่อนข้างใหญ่และดูเหมือนจะบรรทุกของเยอะเพราะดูไม่ค่อยจะโคลงเคลงเลย
บนเรือมีธงสมาพันธ์การค้าติดอยู่ แล้วเรือลำนั้นก็ค่อยๆเพิ่มความเร็วขณะแล่นตามชายฝั่งไปเรื่อยๆ
ทั้งสองคนมองดูเรือนั้นเงียบๆ เรคัสมองท้องฟ้าที่ค่อยๆมืดลงเรื่อยๆ
ไม่รู้ทำไมใจของเรคัสเต้นผิดจังหวะหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เขารู้สึกไม่ดีอย่างไรแปลกๆ เมื่อเห็นเรือลำนั้นค่อยๆแล่นออกไป “เอเคลเซธบอกข้าทีซิ..... ว่าเรื่องเซเวนซอร์ดส์อะไรนั่นเจ้าพูดล้อเล่น.....”
“ท่าทางข้า เหมือนคนชอบพูดตลกหรือ?” เขาตอบโดยที่มองเรือของบิมโบไม่วางตา
จนแล้วจนรอดเรือลำนั้นก็ไม่มีอาการบ่งบอกว่าจะเจออะไรร้ายกาจ จนในที่สุดเรือก็แล่นออกจากอ่าวไปเหลือเพียงเสากระโดงที่เห็นอยู่ลิบๆซึ่งอีกไม่นานนักคงกลืนหายไปกับความมืด....
เรคัสเดินผละจากหน้าต่างปล่อยให้เอเคลเซธยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เขาพยายามไม่ถอนหายใจ เพราะคิดว่ามันคงไม่เป็นการสุภาพหากจะแสดงท่าทีไม่เชื่อสิ่งที่เอเคลเซธพูด
และมันก็เกิดขึ้นในพริบตา
แสงสีขาวที่วาบสว่างเพียงวูบเดียวแต่ทำให้ท้องทะเลสว่างไปทั่วก่อนความมืดจะกลบเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นๆ!!” เรคัสรีบกลับไปที่หน้าต่าง พร้อมกับเสียงครืนของฟ้าผ่าที่ตามมาดังสนั่นที่พวกเขารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้ เมื่อเขามองผ่านความมืดออกไป ก็เห็นสีแดงส้มลิบๆใจกลางทะเล
สีของเพลิงที่ทาทับขอบฟ้าและผืนน้ำทะเลจากสุดสายตา
เรคัสยืนแข็งอยู่รู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นอย่างรุนแรงราวกับจะกระแทกกระทั้นออกมาจากอกให้ได้เสียตอนนี้ เขาเบิกตากว้างโดยไม่สนใจสายลมเย็นที่พัดโกรกใส่ดวงตาของเขาเลย
เอเคลเซธปิดหน้าต่างเพื่อกันลมหนาวไม่ให้เข้ามา เขาปล่อยให้เรคัสยังคงยืนค้างอยู่และจ้องมองผ่านหน้าต่างกระจกถึงจุดสีแดงเพลิงเล็กๆท่ามกลางความมืดที่โอบล้อมอยู่
ก่อนจะกลับมาและยัดเหล้าที่มีฟองฟอดสีทองเต็มแก้วใส่มือเขา
“ท่านยังคิดว่า..... เซเวนซอร์ดส์ -- เป็นนิทานอยู่หรือเปล่า?”
*“Like a daytime ghost.” Akelzeth’s Quote: “อย่างกับเจอผีหลอกกลางวัน”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ