สะดุดรักป่วนหัวใจนายซุปเปอร์สตาร์

-

เขียนโดย yuei

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 11.52 น.

  6 ตอน
  3 วิจารณ์
  8,568 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559 11.32 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) เพื่อนใหม่นายตัวปัญหา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

พอฉันถึงหอพักฉันรีบย่องเขาห้องไปแล้วเข้าห้องทันทีวันนี้รอดไปอีกหนึ่งวัน เจ็ดโมงเช้าพี่สาวมาเรียกให้ฉันตื่นตามปกติ
“ค่ะตื่นแล้ว”ฉันอาบน้ำแต่งตัวไปมหาวิทยาลัยตามปกติ พอพักทานข้าว ฉันจึงรีบไปหาเขาเพราะวันนี้โชคดีตอนบ่ายไม่มีเรียน
พอฉันไปถึง เขานั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย ใส่ชุดที่ฉันซื้อให้...นึกว่าจะแน่...
“ฉันบอกนายแล้วไง ว่าเหมาะกับนายดีออก” แล้วฉันก็ยิ้มให้เขา
“ฮึ...รู้สึกแปลกๆ เหมือนฉันจะไม่เคยใส่เสื้อผ้าสีอื่นนอกจากสีดำกับสีน้ำเงิน” เขาดูสภาพร่างกายตัวเองแล้วรับไม่ได้  แต่ฉันว่าน่ารักดีออก ไม่เหมือนกับตอนแรกที่ดูหมาดเข้ม แต่ก็หล่อดีหรอกนะ หล่อคนละแบบกับตอนนี้ดูแล้วเหมือนไม่ใช่คน คนเดียวกัน
“นี่นาย ตอนนี้นายคือ เฮ ไม่ใช่ผู้ชายคนเดิมแล้วอย่าเอาความรู้สึกเคยชินของนายเมื่อก่อนมาตัดสิน ควรใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ฉันจะเป็นคนเปลี่ยนนายเอง” เรานี่ก็พูดหลักการก็เป็นเหมือนกันแฮะ (^+^) (-0-)
“เธอนี่พูดอะไรไม่รู้เรื่อง” แต่ฉันเหมือนเห็นเขาแอบยิ้ม ฮึ! คิดไปเอง มั้งไปถามพยาบาลดีกว่า
“คุณพยาบาลค่ะคนไข้เตียงนี้กลับได้หรือยังค่ะ”
“ไปรับยาแล้วกลับได้เลยค่ะ” พยาบาลยิ้มให้ฉัน
“แล้วค่าใช้จ่าย” ฉันถามต่อ
“ไปจ่ายที่ห้องรับยาเลยค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“เรากลับกันได้แล้ว” พอฉันจ่ายเงินและรับยาเสร็จฉันก็มาหาเขาพาไปที่หอพัก เป็นหอพักเล็กๆ มีเตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง ถือว่าดูดีพออยู่ได้
“นายอยู่ที่นี่ไปก่อนนะเมื่อนายจำได้เมื่อไรค่อยย้ายออกไป” ฉันถอนหายใจยาว เขาคงรู้ว่าฉันกำลังเครียดเรื่องอะไร
“เธอ...ฉันว่าตอนที่ฉันความจำไม่เสื่อมฉันน่าจะมีเงินนะ ถ้าฉันจำได้แล้วว่าฉันเป็นใครฉันจะให้เธอเป็นสองเท่า หายเครียดหรือยัง” ฉันหันหน้ามามองเขา
“จริงนะ นายสัญญาแล้วนะ” ฉันยิ้มให้เขา (เจ้าเล่ห์นิด...นิด)
“เธอ....ชื่อไร” จริงสิฉันไม่ได้บอกชื่อเขาเลย ลืมได้ยังไง
“ฉันชื่อน้ำรินเรียกรินเฉยๆ ก็ได้”
“น้ำริน ชื่อเพราะดีนะ”เขาทวนคำ   แล้วเขาก็ดูที่มือของเขา เขาจ้องอยู่ที่แหวนที่นิ้วมือของเขาแล้วถอดมันออกมายื่นให้กับฉัน
“มันคงมีราคาพอที่จะเป็นค่าใช้จ่ายตอนที่ฉันอยู่ที่นี่”ฉันมองแหวนในมือเขา แล้วฉันก็ผลักมือเขาออกไป
“ไม่ละ นี้มันอาจจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนายมากก็ได้นะ”
“คิดว่าไม่ ฉันไม่เห็นจะผูกพันกับมันเลย” เขายิ้มแล้วก็ยืนแหวนให้ฉันอยู่
“ไม่ละ...มันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้นายรู้ว่านายเป็นใคร ขอบใจนะที่ให้ฉันแต่ฉันว่านายเก็บไว้ดีกว่า” ฉันเป็นคนดีไปหรือเปล่านะ มันน่าจะขายได้ตั้งเยอะคิดใหม่ดีไหม (งกไม่เลิก) (฿o ฿)
“น้ำรินฉันหิวแล้วพาฉันไปกินข้าวหน่อยสิ” รู้สึกแปลก ๆ แฮะเขาเรียกชื่อฉัน
“ได้สิ ฉันจะจดไว้ทุกบาททุกสตางค์เลย” เขายิ้มให้ฉัน
“เอาสิเธอจะได้สบายใจ” ฉันไม่กล้าสบตาเขา สายตาของเขาอ่อนโยนมาก ยิ่งเวลาที่เขามองมาที่ฉัน มันทำให้ฉันเกือบลืมหายใจ    รีบออกไปดีกว่าเดี๋ยวเขาจะรู้ทัน
“เธอไม่สบายหรือเปล่า หน้าแดงๆ นะ” ฉันหลบหน้าเขา
“ไม่นิคง...คงจะโดนแดดเมื่อกี้ไง” ฉันแก้ตัวไม่ได้เรื่องเลยคิดได้ไงโดนแดดแล้วหน้าแดง
“ออ” เขาทำท่าจะเข้าใจ แต่ก็แอบยิ้มอย่างรู้ทัน (ตาบ้ารู้แล้วยังถามอีก) ฉันพาเขาไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางเขาคงไม่เคยละสิ   แต่เหมือนเขามีความสุขมากคงเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา
พอทานเสร็จเราก็เข้าไปในตลาดไปซื้อของเข้าห้อง เขาคอยที่จะแกล้งฉันตลอดทาง แต่ฉันไม่โกรธเขาหรอกนะแต่กับรู้สึกดีอีกต่างหาก
ระหว่างทางที่ฉันและเขากำลังเดินดูของใช้เขาห้อง     เราเดินผ่านร้านขายโคมไฟ  เขาหยุดแล้วเดินเข้าไป  เขาจ้องมองอยู่พักหนึ่งเหมือนจะมีน้ำตาคลอ
ฉันก้มลงมาดูหน้าเขา
“นายเป็นอะไร นายร้องให้เหรอ” เขาได้สติรีบกระพริบตาเพื่อกลืนกินน้ำตาไม่ให้ไหล
“น้ำรินเธอซื้อโคมลอยให้ฉันหน่อยได้ไหม” เขาทำหน้าเศร้าอีกแล้ว
“ได้สิ...มีอะไรหรือเปล่า” ฉันเริ่มเศร้าไปกับเขาด้วย
“ไม่นิ...แค่อยากจะปล่อยมันขึ้นฟ้าคงสวยดี ที่หอพักปล่อยได้ไหม”
เขาถาม
“ไม่รู้สิ ดูก่อนว่ามีชั้นบนหรือเปล่า” ฉันซื้อโคมลอยแล้วยื่นให้เขาถือ แล้วเดินออกมาจากร้าน
“นายคิดอะไรอยู่หรือเปล่า ดูนายเครียด ๆ นะ”       ฉันจำเป็นต้องถามเพราะ..........ไม่รู้สิ
“ไม่รู้สิ ฉันเหมือนเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง บอกให้เด็กผู้ชายคนนั้นอธิฐานแล้วเอากระดาษที่เขาเป็นคนเขียนหมัดไปกับลวดใต้โคมลอยแล้วปล่อยขึ้นไป เด็กคนนั้นรู้สึกมีความสุขมาก แต่ผู้หญิงคนนั้นแอบร้องให้     ฉันคิดว่า…ผู้หญิงคนนั้นคือ แม่ของฉัน และ เด็กคนนั้นคือ ฉัน”
เขาเอามือกุมขมับแล้วเซมาที่ฉัน
“นายเป็นอะไร” ฉันรีบพยุงเขาไว้
“ฉันปวดหัว” เขาหน้าซีด
“งั้นกลับห้องนะ” ฉันกำลังจะพาเขากลับ
“ไม่เป็นไร....ฉันยังไหว เดินซื้อต่อเถอะแต่เธอต้องช่วยพยุงฉันหน่อยนะ”
เขาจับมือฉัน เขามองมาแล้วยิ้ม     ลอยยิ้มของเขาทำให้ฉันหัวใจฉันเต้นเหมือนจะหลุดลอยออกมา
พอซื้อของครบ เขาคงอาการดีขึ้นแล้วฉันจึงพาเขากลับ      โดยไม่ต้องพยุง
“นายหิวไหม” ฉันถามทั้งที่ฉันเองแหละเป็นคนหิวเสียเอง
“นิดหน่อยแล้วเธอละ”
“หิวมากที่สุดเลย” ฉันเอามือลูบท้อง
“วันนี้ฉันจะทำเมนูพิเศษให้นายทาน” ฉันส่งสายตา หวิ่ง ๆ      ให้เขา
“ฉันกำลังออกจากโรงพยาบาลมาวันนี้นะ” เขาทำท่าไม่ไว้ใจในฝีมือของฉัน ฉันทำหน้าหมุ่ย
“คอยดูนะพอทำเสร็จฉันจะให้นายกินนิดเดียว...หึ...”
ฉันบ่นเบา  ๆ ไม่ให้เขาได้ยินแล้วเดินหนี
“หึ...หึ...”
เขาหัวเหราะอยู่ข้างหลังฉัน
“รอด้วยสิ เดี๋ยวฉันหลง” เขารีบเดินตามฉัน
“ดีสิฉันจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบนายอีก นายเฮซอง”
ฉันส่งยิ้มให้เขาแล้วโบกมือลา แล้วฉันก็หันหลังวิ่งทันที    เขาวิ่งตามฉันทันแล้วคว้ามือฉันไว้ เขาจับมือฉันไว้แน่น
“คิดจะหนีเหรอไม่มีทาง ฉันจะจับมือเธอไว้อย่างนี้แหละ ดูสิว่าเธอจะหนียังไง” เขาจับมือฉันไว้แน่นแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย
“หึ...หึ...ก็ได้” ฉันหัวเราะ เขาน่ารักอย่างนี้            เดี๋ยวก็รักซะเลยนิ
“อย่าให้หนีได้นะ” ฉันท้า
“ลองดูสิ” เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วทำหน้าเจ้าเล่ห์    ท่าทางจะไม่ดีแฮะรีบเปลี่ยนเรื่องดีกว่า
“เฮ นายเอาอะไรอีกไหม” ฉันถาม
“ไม่ละ” แล้วฉันกับเขาก็เดินกลับ พอถึงหน้าหอพัก
“เอ้อ!  ฉันลืมซื้อเมนูเด็ด นายขึ้นห้องไปก่อนนะ อะ กุญแจ “ฉันยื่นข้าวของที่ซื้อมาและกุญแจให้กับเขา
“เธอยังคิดจะทำอาหารอยู่อีกเหรอ ฉันว่าซื้ออาหารสำเร็จดีกว่านะ ฉันกลัวว่าฉันต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ” เขามองหน้าฉันด้วยสายตาที่วิงวอน
“ฝันไปเถอะนายต้องกินอาหารฝีมือฉัน   นายเป็นคนแรกเลยนะที่ได้ชิมฝีมือฉัน” ฉันกอดอกและเงยหน้าขึ้นอย่ามั่นใจ
“อะไรนะ เป็นคนแรกเหรอ เธอจะฆ่าฉันหรือไง    ฉันไม่ยอมกินฝีมือเธอเด็ดขาด” เขาทำหน้าเหมือนดูหนังสยองขวัญ (O; O)
“ถ้านายไม่กิน    วันนี้นายอด” อิ....อิ...       โดนฉันบังคับ 
(น้อง...น้องนางมารร้าย)
“นายจงยอมรับ ชะตากรรมของนาย โดยการเป็นหนูทดลองให้ฉันเสียดี ๆ”
ฉันกลายร่างเป็นแม่มดกำลังปรุงอาหาร (จิตนาการของเขา)(_ _*)!!
“โอเค ฉันยอมอดข้าวตายดีกว่า” เขาปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย
“นี่นายกิน กินไปเฮอะนา มันไม่ทำให้นายถึงตายหรอก” ฉันเริ่มอารมณ์เสีย เขาหันหลังกลับขึ้นห้องไปทันที
“ไม่รู้ละฉันจะทำให้นายกิน”ฉันตะโกน
 
พอซื้อของมาครบฉันก็ขึ้นไปที่ห้อง เขานอนหลับอยู่บนเตียง คงเหนื่อยละสิออกจากโรงพยาบาลยังไม่ได้พักเลย 
ฉันเริ่มทำอาหาร เมนูที่ฉันทำคือ ต้มข่าไก่ อาหารไทยที่ฉันชอบทั้งรสชาติกลิ่นของสมุนไพรน่ากลิ่นที่สุด(ตอนที่ซื้อมานะ) ฉันใส่น้ำลงไปในกระทะไฟฟ้าที่ซื้อมา ตามด้วยใบมะกรูดและไก่หันเป็นท่อนๆ โชคดีที่แม่ค้าขายไก่หันให้เรียบร้อยแล้ว ฉันเทไก่ลงกระทะและที่ลืมไม่ได้คือ ข่าอ่อน    พอน้ำเดือดฉันก็ปรุงด้วยซีอิ้วขาวและซุปไก่ก้อน เขาเหมือนจะได้กลิ่นความหอมน่ากินของอาหารที่ฉันทำแต่เขาก็พลิกตัวหลับต่อ ฉันใส่กะทิลงไปครึ่งหนึ่งกลัวเขาจะไม่ชอบ  ใส่หอมจีนหันแล้วรอให้เดือด พอเดือดแล้วก็ใส่มะเขือเทศและน้ำมะนาว (ขออภัยใครที่ทำต้มข่าไก่แล้วอร่อยคงขัดหูขัดตาชอบกล(_ _) (-/ \ -) น้ำรินทำได้แค่นี้ละค่ะคุณผู้อ่าน ได้โปรดจิตนาการว่าทำอร่อย)
เขาตื่นแล้ว เหมือนรู้ว่าฉันทำอาหารเสร็จและอร่อยด้วย(จิตนาการเอานะค่ะว่าอร่อย) เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วมานั่งดูฉันทำอาหาร
“กลิ่นพอใช้ได้ ไหนขอชิมดูหน่อยสิ ฉันจะตายไหมนี่”
เขาชิมดูแล้วทำปาก ขมุบ ขมิบ  ฉันมองเขาอย่างรอคำตอบ
“กะทิเหลืออีกไหม” ฉันยื่นให้เขา เขาเทมันลงไปทั้งกล่องฉันจะห้ามแต่ไม่ทัน
“นี่นาย นี่มันน้ำกะทินะไม่ใช่น้ำเปล่า ฉันอุตส่าห์ทำอร่อยแล้วเชียว”
หงุดหงิดฉันเริ่มทำหน้างอ
“ต้มข่าไก่ใครเขาทำกันอย่างนี้ละไสยังกับน้ำเปล่า”ฉันมองเขาด้วยความแปลกใจ
“นายเคยทำเหรอ” เขาจำอะไรได้แล้วเหรอ
“ไม่เคย...เคยแต่กิน” เขาขนกระทะไปมา
“แค่นี้ก็รอมันเดือด” แล้วเขาก็ยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ
“นี่นาย...แสดงว่าฉันทำอร่อยใช่ไหม” เขาเงียบ
 ฉันได้ยินเสียงน้ำจากฟักบัว นี่มัน ( ‘ . ‘x) (O,O!)เขาอาบน้ำ กรี๊ด! (อาการหื่นกำเริบ)ก็คนมันไม่เคยนิ เคยอยู่แต่กับพี่สาว ไม่เคยอยู่กับผู้ชาย นายนี่ขยันทำให้ฉันใจเต้นแรงเหมือนกับมีวงร๊อกกำลังแสดงสดทุกครั้งที่อยู่กับนายเลยนะ  ขอร้องละช่วยอย่าทำให้ฉันหวั่นไหวได้ไหม    ถ้าหากฉันรักนายขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่านายเป็นใคร มาจากไหนและที่สำคัญนายมีคนรักอยู่แล้วหรือเปล่า  ฉันไม่อยากเสี่ยงให้หัวใจอันบอบบางของฉันต้องแตกสลายต้องเจ็บปวด แต่นายก็นะทั้งเท่ห์  หล่อ อ่อนโยน มาดเข้มทุกอย่างอยู่ในตัวของเขาแล้วฉันจะทำอย่างไรดี     แง้!
ระหว่างฉันกำลังเอามือปิดหน้าค่ำครวญอยู่นั้น ฉันได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ       ฉันรีบเอามือออกจากหน้าและทำตัวเฉยๆ (แค่คิดนะแต่ความจริงแล้ว)ฉันอ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า (OO) (*O*)  ร่างกายที่สวยงามของเขา หยดน้ำที่ไหลลงจากผมไหลลงมาที่ไหร่อันกว้างและแข็งแรง    ต้นแขนไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไปกำยำไร้ที่ติ     หน้าท้องมีก้ามเป็นมัดน่าจับต้อง (++)    ถ้าหากอยู่ในอ้อมกอดจะมีความรู้สึกอย่างไรนะ       ใบหน้าของเขาที่มีหยดน้ำดูเซ็กชี้     ทั้งดวงตาสีน้ำตาลจมูกที่โด่งเป็นสันริมฝีปากสีชมพู    ทำไมมันใกล้แค่เอื้อม ใบหน้าเขา...อึก!....ฉันรีบกลืนน้ำลายลงคอแล้วเรียบหันหน้ามาอีกทาง (ฯ,ฯ)      เขาก้มตัวลงมาตั้งแต่เมื่อไรน่าขายหน้าจริงๆ
“เช็ดน้ำลายซะ แล้วตักข้าวไว้รอฉันเลย”
อายยกกำลังสองเขาพูดล้อเลียนฉัน  เขาเขินนะจะบอกให้ (_ _!)  แต่ดูเขาสิไม่มีความรู้สึกที่จะเขินหรืออะไรเลยเขาคงเคยอยู่กับผู้หญิงมากหน้าหลายตาเขาคงเป็นคาสโนวาแน่ๆ เลย          เราต้องระวังตัวหน่อยแล้ว
“น้ำริน”ฉันเงยหน้าขึ้นมอง     เขาก้มตัวลงมาหน้าของเขาเกือบจะใกล้ใบหน้าฉัน ฉันใจเต้นตุบตับ เขาทำหน้าซึ้งดวงตาอันหวานท่อประกาย   ฉันหยุดนิ่งไม่สามารถขยับร่างกายได้ (- -) (- +) แล้วเขาก็...เอื้อมมือมา...ขว้าวจานข้าวยื่นให้กับฉัน (ฉัน...คิดอะไรอยู่)
“นี่เธอฉันบอกว่าตักข้าวไว้รอฉันมัวทำบื่ออะไรอยู่”ลมเสีย
“อยากกินก็ตักเองสิฉันไม่ใช่คนรับใช้ของนายสักหน่อย”
หลอกให้ฉันเคลิ้มแล้วจากไป หงุดหงิด
“ฉันแต่งตัวยังไม่เสร็จเห็นมั้ย เธอว่างอยู่ไม่ใช่เหรอจะให้ถึงกับขุกเข่าขอร้องไหมเนี้ย”เขาพูดประชด
“ชิ...”ฉันยอมตักข้าวให้เขาแบบไม่เต็มใจ
เมื่อเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเขาลงมานั่งข้างๆ ฉัน ฉันยื่นจานข้าวให้กับเขา เขาเริ่มทาน เขาตักข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ  มันก็หน้าภูมิใจหรอกนะที่ฉันทำอาหารอร่อย(* ^*) อิอิ แต่ว่าเขาไม่น่าจะทานโคตะละมุมมามอย่างนี้ หรือว่าผู้ชายเกาหลีเขากินกันแบบนี้ทุกคน   อุ่ย! ไก่ยังมีชีวิตบินออกจากถ้วยต้ม (_ _ ;)    อะ! ยังหยิบกินอีก (คนไทยรับไม่ได้) ฉันได้แต่มองเห็นอย่างนี้รับประทานไม่ลงค่ะ
“เธอไม่กินเหรอ” ข้าวเต็มปากยังมาถามอีก การกินของเขาไม่รับกับใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเลย ตอนที่กินกันข้างนอกไม่เห็นเป็นอย่างนี้ หรือนี่คือท่าแท้ของเขา      กินอิ่มแล้วยังเลอ....เอิก! เสียงดังมาก(คนไทยรับไม่ได้)
“กิน...กินเลยฉันอิ่มแล้ว”เขาเชื้อเชิญให้ทาน ฉันตักคนดู
“วิญญาณไก่...แล้วฉันจะกินอะไร” เริ่มหงุดหงิด กล่องข้าวน้อยฆ่าเฮซอง
“เธอทำอาหารอร่อยนิ…กินเลยอร่อยมาก” ยังมีหน้ามาพูดอีก แล้วฉันจะกินยังไงมีแต่น้ำกับตะไคร้ส่วนอื่นเขากินหมด
“ฉันไม่หิว”พูดเสียงอาคาดแค้น เขาทำท่าไม่สนใจนอนเอียนตัวอยู่บนเตียงดูทีวีทำหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหันมามองฉันแวบ นึงแล้วก็หันกลับไปอีกทาง เหมือนเขาจะกั้นหัวเราะไม่อยู่ เขาแกล้งฉัน...อีตาบ้า ฉันทน...ทนหิวไม่ไหวแล้ว
“ฉันขอตัวออกไปข้างนอกก่อนนะ” แค้น...แค้นไปกินข้างนอกก็ได้ พอฉันทานข้าวเสร็จ (อิ่มมาก) แล้วฉันก็เดินกลับห้องไปหาเขา กะว่าจะบอกลาแล้วจะกลับไปนอนกับพี่สาวที่ห้อง แต่ว่า...
“น้ำรินเราไปปล่อยโคมลอยกันนะ”เขาถือโคมลอยไว้ในมือ
“ก็ได้” ทานข้าวอารมณ์ดีมานิดนึง เขายื่นปากกาและกระดาษให้กับฉัน
“เอากระดาษกับปากกามาให้ฉันทำไม”เฮซองนายนี่นะ...จะทำอะไรอีก
“เขียนสิ่งที่เธออยากจะบอก...บอกใครสักคนที่เธอรักหรือสิ่งที่เธออยากให้เป็นความลับตลอดไป ไม่ก็สิ่งที่เธออยากจะขอจากฟ้าอะไรประมาณนี้ ส่วนฉันเขียนแล้ว”เขาชูให้ฉันดู
“ขอดูหน่อย”ฉันเอามือไปขว้าวกระดาษแต่เขาหลบ
“ไม่ได้...เป็นความลับ”เขายิ้ม
“งั้นของฉันก็ห้ามดู”ฉันนั่งลงที่เตียงเขียนข้อความ
“อะ...เสร็จแล้ว”เขารับแล้วม้วนกระดาษกับลวด แล้วเอาลวดผูกติดอีกรอบ
“เรียบร้อย...ไปกันได้แล้ว”เขาถือโคมลอยแล้วยืนขึ้น
“เดี๋ยวก่อนล้างจานก่อน นายไปช่วยฉันล้างด้วย”เขาทำตาโตชี้ที่ตัวเขา
“ไม่”เขาพูดคำเดียว
“ถ้านายไม่ช่วยฉัน ฉันจะไม่ทำอาหารให้นายกินอีก”เขาเอาโคมลอยวางไว้ที่เตียง
“ก็ได้...เห็นว่าทำอาหารอร่อยหลอกนะ”เราช่วยกันล้างจานจนเสร็จแล้วจึงขึ้นไปดาดฟ้าชั้นห้าดีนะที่ห้องเราอยู่ชั้นสองเลยได้เดินขึ้นแค่สามชั้น
แต่ก็ได้เหงื่อมากทีเดียว บรรยากาศที่นี่ดีมากเห็นดอยสุเทพด้วยลมเย็นๆ พัดผ่านรอบกายแสงไฟของตึกราบ้านช่องสวยมากเหมือนเราอยู่อีกโลกหนึ่ง โลกที่ปาสจากความวุ่นวายสับสน โลกที่ไม่มีการแกล่งแย่งชิงดีโลกที่มีแต่ฉันกับ......
“น้ำรินมัวแต่ชมวิวอยู่นั้นแหละมาช่วยกันหน่อยซิ”   กับ...บุคคลทำลายบรรยากาศ
“รู้แล้วนะ...ชิ คนกำลังมีความสุข” เราช่วยกันเกะโคมลอยออกจากถุงแล้วก็เคลียกระดาษออกให้มันพองลม แล้วฉันจับหัวโคมลอยไว้ เฮซองเอาไฟแซ็คมาจุดตรงเทียนขี้ผึ้งที่เตรียมไว้ครบชุด ไฟลุกท่วมขี้ผึ้ง ฉันกับเขาถือไว้ไม่ให้มันลอย รอจนกว่าอากาศเต็มแล้วค่อยปล่อย
“อธิฐานสิ”ฉันพูด
“อธิฐานว่าอะไรดีละ”เขาถามต่อ
“เอาเป็นว่าฉันอธิฐานให้แล้วกัน ขอให้ความจำของนายกับมาเร็วๆ จะได้เอาเงินที่ยืมไปมาคืนฉันซะที” เขาเมินหน้าหนี้
“ชิ...ยายจอมงกโรแมนติกบ้างนะเป็นไหม”เขาทำหน้าหมุ่ย
“ก็ได้...ก็ได้ เอาเป็นว่าขอให้เฮหายจากโรคความจำเสื่อม แล้วกับไปยังโลกของนายและนายจะไม่...ไม่ลืมฉัน”ฉันก้มหน้าลงไม่กล้าที่จะสบตาเขาแต่เหมือนมีบางอย่างที่ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา เขาจ้องลึกเขาไปในดวงตาของฉันแล้วยิ้ม
“ได้...ฉันจะไม่มีวันลืมเธอน้ำริน”เขาพูดให้คำสัญญา
“ฉันไม่ได้ขอคำสัญญาจากนาย ฉันขอพรจากฟ้าต่างหาก”ฉันเฉไฉยไปเรื่องอื่น
ตอนนี้โคมลอยมีแรงดันจากอากาศภายในพอที่จะลอยได้แล้ว
“แล้วนายละอยากจะขออะไรหรือเปล่า” เขาทำท่าคิด
“ไม่ละฉันเขียนลงไปในกระดาษแล้ว” ไม่รู้ว่าเขาเขียนอธิฐานอะไรนะ
“ปล่อยละนะ” ฉันกับเขาปล่อยพร้อมกัน โคมลอยขึ้นไปตามกระแสลมสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ฉันกับเขาเงยหน้าขึ้นมองจนโคมลอยลับสายตา เขาเอือมมือมาจับมือฉันไว้ แล้วเราก็เดินไปที่ระเบียง ฉันมองลงไปข้างล่างเห็นความวุ่นวาย การแกล่งแย่งชิงดี การกระเสือกกระสนในการทำมาหากิน
“อยู่ข้างบนนี้สบายใจจังเลย อากาศก็สดชื่น”ฉันสูดลมหายใจเข้าช้าๆเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้กับร่างกาย แล้วหันมามองเขา
“นายเขียนคำอธิฐานอะไรลงไปในกระดาษ” ฉันถาม
“อยากรู้เหรอ...ก็ได้” แล้วเขาก็จับมือฉันยกขึ้นแล้วก็ตะโกน
“ฟ้าครับ...เธอคนนี้เป็นผู้หญิงของผมครับ ช่วยทำให้ผมได้อยู่กับเธออย่างนี้นานๆและตลอดไปด้วยนะครับ” (ฯ ,ฯ) ฉันรีบดึงมือออกจากมือเขา
“ตะโกนทำไมอายเขา” ฉันรีบเดินลงไปทันที
 เขายิ้มแล้วก็เดินตามฉันลงมา เพราะอะไรนะ ความอายเหรอหรือว่าเพราะว่าฉันกลัวใจตัวเองทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น
 
++++++ผู้หญิงของผม++++++ (-.-?)นายคิดทำอะไรของนาย แต่หัวใจฉันพองโต(ชอบพูดอีกสิ...อิอิ...แค่คิด) พอฉันถึงห้องฉันรีบถือกระเป๋า
“ฉันกลับละนะ” เขาจับมือฉันไว้
“เธอโกรธฉันใช่ไหม”
....ไม่ได้โกรธแต่ฉันเขินนะเข้าใจไหม......ประโยคที่ฉันอยากจะพูด
“ไม่นิ ฉันต้องกับบ้านตอนนี้เกือบสี่ทุ่มแล้ว” เขาก้มหน้าลง
“นึกว่าเธอจะค้างที่นี่เสียอีก”ฉันรีบดึงมือฉันกลับมา
“จะบ้าเหรอ...กลับละ”ฉันหันหลังกำลังจะเปิดประตูเขาขว้าวมือฉันไว้แล้วผลักฉันไปแปะกับประตู เขาเอามือกั้นฉันไว้ทั้งสองข้าง เขาก้มใบหน้ามา ฉันไม่รู้จะทำยังไงดีมันเหมือนมีมนต์สะกดฉันขยับตัวไม่ได้ เขาก้มลงมาเรื่อยๆ เฉียดลงมาข้างหูฉัน
“ลูกนกอยู่ในกำมือจะปล่อยให้บินไปเฉยๆ คงยากหน่อยนะ” (O<O)
จมูกโด่งของเขาแตะเบาๆที่ต้นคอของฉัน (- .-)(O.O) แล้วไหลเรื่อยไปจนถึงปลายคางฉันตัวสั่นเป็นลูกนก (ขาดความอบอุ่น) ลมหายใจของเขาเปลี่ยนจากที่เคยอุ่นกลายเป็นร้อนผ่าว เขายกจมูกออกแล้วเงยหน้าขึ้น
“เธอค้างที่นี่กับฉัน....นะ”น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา ฉันพยายามกลืนน้ำลายลงคอให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาก้มลงมาอีกครั้งมือของเขาประคองที่ลำคอของฉัน เขาก้มลงมาอย่างช้าๆ บางสิ่งทำให้ฉันหลับตาลง ฉันจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไปเหรอ เขาเป็นใครฉันยังไม่รู้ เป็นคนที่ฉันไม่เคยจะรู้จัก ******หยุดเขาเดี๋ยวนี้นะน้ำริน*******
ฉันขว้าวได้ไม้กวาดที่วางไว้ข้างประตู
“ตุบ...ตุบ...โอ๊ย! น้ำรินหยุดก่อนฉันล้อเล่นนิดเดียวเองหยุด...หยุดก่อน” ฉันตีเขาอย่างแรง (หญิงโหดแห่งปี) เขาล้มไปกองอยู่กับพื้น ฉันหยุดตีปาดเหงื่อที่ไหลลงมายังใบหน้า (หัวหน้ายากุซ่าหญิงมีไม้กวาดเป็นอาวุธคู่กาย)
“ทีหลังจะทำอีกไหม“เขารีบวิ่งขึ้นเตียงสำรวจดูลอยแดงตามเนื้อตัว รับรองได้ว่าพรุ่งนี้เขียวแน่ๆ
“ไม่ ทำอีกแล้ว ไม่กล้าแล้ว” ฉันทำท่าจะตีอีกทีแต่เปลี่ยนใจ เควี่ยงลงพื้นแทน
“ทีหลังถ้านายทำอีก ฉันฆ่านายแน่” รู้จักน้ำรินน้อยไปฉันนะน้องสาวนางมารร้ายและเป็นลูกสาวคนสุดท้องของนางพญาผมขาวเชียวนะ   อิอิ...ฉันเปิดประตูแล้วเดินออกจากห้อง 
...เขาทำหน้าง้อเชียวน่าสงสารแต่ก็ดีจะได้ไม่ทำอีก...
ฉันได้ยินเสียงเขาออกมาจากห้อง
“โธ่เอ้ย...เราทำอะไรลงไปเนี้ยรู้เงี้ยไม่ทำเสียก็ดี เธอจะโกรธเรามั้ย ไม่สิต้องโกรธเราแน่ๆ น้ำรินรู้หรือเปล่าเธอกำลังทำให้ฉันเป็นบ้า”
พร้อมกับเสียงเตียงที่ดังโครม...โครม เขาคงดิ้นเป็นบ้าเป็นหลังอยู่บนเตียง
ฉันเดินลงมาแล้วคิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ 
“อีกนิดเดียว...ดีนะที่เรายังตั้งสติได้ รีบกลับบ้านดีกว่าเรา”
ฉันแวะกลางทางซื้อขนมไปปิดปากนางมารร้ายเพราะช่วงนี้กลับบ้านดึกบ่อยๆ พี่สาวฉันต้องสงสัยและรอที่จะฟังคำตอบจากฉันอยู่แน่ๆ  เอาขนมไปปิดปากเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว   ฉันไม่อยากจะตอบคำถามหรือพูดอะไรมากมายปัญหานี้พูดน้อยๆ น่าจะดีกว่า ฉันไม่รู้ว่าปัญหานี้จะจบยังไงเขาจะจำได้เมื่อไหร่ แต่เงินที่ฉันมีอยู่ใกล้จะหมดแล้ว  ฉันจำเป็นต้องหางานทำพอจะเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่เขายังไม่หายจากโรคความจำเสื่อม จะให้เขาไปทำงานก็ไม่ได้เพราะว่าไม่มีเอกสารอ้างอิงว่าเป็นคนประเทศไหน
...เราต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ทำไมต้องทำเพื่อเขาถึงขนาดนี้ด้วย...
“เฮ้ย! เหนื่อยใจ”
พอกลับถึงห้องฉันเปิดประตูเข้าไป
...เอ๊ะ! ไฟไม่ได้เปิดพี่สาวคงจะหลบแล้วมั้ง รอดตัว...
พอก้าวเข้ามาในห้อง
“ฮึ่ม...พักนี้กลับบ้านดึกทุกวันเลยนะริน” เสียงจาก สวรรค์ *นรกมากกว่า*
“คือ...พี่มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ มืดก็มืดไฟก็ไม่เปิด”
ฉันเฉไชยไปเรื่องอื่น
“รอเธอไง ตอบมาสิที่ถามไปเมื่อกี้” จะหนี้คงไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้วละสิ
“ก็ไปดูหนังห้องเพื่อนมา ขอโทษที่กลับช้า”
ฉันนี่เป็นคนไม่ดีขึ้นทุกวัน เพราะอีตาบ้าเฮซองนั่นแหละ ลมเสีย
“แล้วไป...งั้นพี่ไปนอนละ” พี่สาวกำลังจะเดินเข้าห้อง
“ซื้อขนมมาฝาก” พี่สาวฉันยิ้มให้ฉัน
“ขอบใจ” ฉันไม่เคยทำอะไรนอกลู่นอกทางพี่สาวไว้ใจฉันมาก ชักจะรู้สึกอึดอัดแล้วสิที่จะต้องโกหกพี่สาว ฉันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว 
ฉันเข้าห้องเปิดอินเตอร์เน็ตดูประกาศคนหายหรือว่าประกาศจับอะไรประมาณนั้น หาทุกข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาทั้งประเทศไทยและต่างประเทศแต่ก็ไม่เจอ
“อยากจะบ้าตาย...นายนี่ไม่มีความสำคัญอะไรกับใครเลยหรือไง...ถึงไม่มีใครตามหานายเลยสักคน”
...ต้องรู้ให้ได้ว่านายเป็นใคร...ฉันปิดคอมพิวเตอร์กะว่าจะเอนหลังสักพักแล้วก็จะเข้าไปอาบน้ำนอน ที่ไหนได้ฉันนั่งหลับไปทั้งอย่างนั้นแหละ
 
ฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้าปวดเหมื่อยไปหมดทั้งตัว
“อ้าว! เมื่อคืนฉันนอนที่นี่ทั้งคืนเหรอ โอ๊ย! ปวดไปทั้งตัวจังเลย” ฉันมองดูนาฬิกาตีห้าครึ่ง ฉันลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว วันนี้ฉันตื่นเช้ากว่าปกติเพราะว่าเมื่อวาลฉันไม่ได้เอาเงินให้เขาติดตัวเลยสักบาท ก็คนมันตกใจนิเขาเล่นทำกับฉันอย่างนั้น ฉันก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องทำเพื่อนายขนาดนั้น ฉันกลัวจังเลย......
 
ฉันออกจากบ้านแล้วขับมอเตอร์ไซด์ไปที่หอพักของเขา ไปถึงก็ หกโมงเช้า ฉันรีบขึ้นไปเคาะประตูแต่เขาไม่ลุกขึ้นมาเปิดคงหลับอยู่ละสิ ขี้เซาชะมัดนายคนนี้ฉันเปิดเบาๆ แล้วเดินเขาไปเขายังหลับสนิทไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมา
“ถ้าฉันเป็นขโมย ห้องนี้คงไม่เหลืออะไรแล้วมังเนี่ย” ฉันบ่นเบาๆ
พร้อมฉีกกระดาษแล้วเขียนข้อความวางให้เขากับเงินจำนวนหนึ่ง แล้วฉันก็หันหลังกลับ  
“น้ำริน...” เขาลุกขึ้นจากเตียง แล้วยิบเงินคืนให้ฉัน
“ขอบใจนะ...ตอนนี้ฉันได้งานทำแล้ว “ฉันหันมามองเขา
“ฉันได้ทิปจากคนต่างชาติมาพอสมควร และฉันมีก็แบ่งให้เธอด้วย”เขาลวงเงินในกระเป๋าแล้วยื่นเงินให้กับฉัน
“นายทำงานที่ไหน” ฉันถามด้วยความสงสัย
“โรงแรมควีนดากอล” เขาตอบ
“ควีนดากอล โรงแรมห้าดาว” สงสัยยกกำลังสอง
“นายทำตำแหน่งอะไร นายไม่มีบัตรประชาชนแล้วเขารับนายได้ยังไงโรงแรมนี้รับแต่คนที่มีความสามารถเกรดเอ ผู้บริหารตั้งเกณฑ์การรับสมัครไว้สูงมาก และต้องพูดภาษาอังกฤษเหมือนเจ้าของภาษา นายผ่านได้ยังไง” งง??ฉันรัวคำถามเป็นชุด
“ฉันเป็นนักดนตรี เป็นแค่ พลาทไทม์ ไม่ต้องพูดภาษาอังกฤษและที่สำคัญฉันมีความสามารถพอ วันหลังฉันจะพาเธอไปด้วย” เขาตอบคำถาม
“แล้วนายเล่นดนตรีอะไร”ฉันถามอีก
“เล่นทุกประเภทที่เขามี แค่เล่นเสริมเวลาที่มีใครขาด ลา มาสาย รับเงินสดจากนักดนตรีเป็นรายวัน”เขาตอบ
“นายนี้ก็เก่งเหมือนกันนิ หรือว่าตอนที่นายความจำไม่เสื่อมนายเป็นนักดนตรี”ฉันประมวลเหตุการณ์
“คงงั้นมั้ง ไม่รู้สิ”เขาสนับสนุน
“แล้วเย็นนี้นายไปทำงานมั้ย”
“ไปสิ สามทุ่มเลิกเที่ยงคืน”
“งั้นเย็นนี้ฉันไปส่งและจะไปรับตอนเที่ยงคืน จะได้ไม่ต้องเสียค่าเดินทาง เอาเป็นว่าตามนี้ฉันต้องไปเรียนก่อนนะ”ฉันจะเดินออกจากห้อง 
“น้ำรินเธอแค่ไปส่งฉันตอนเย็นพอแล้ว ตอนเลิกงานฉันหาทางกลับเอง ฉันไม่อยากให้เธอไปรอเพราะว่า...เป็นห่วง” เขาน่ารักอีกแล้ว (^-^)
“งั้นก็ได้...แต่ตอนเย็นนายต้องเลี้ยงข้าวฉันด้วย อือ...ลืมไปไหนละเงินฉัน ส่วนเงินนายเก็บไว้เฮอะ” เขายื่นเงินให้ฉัน
“ไปละบาย”ฉันเดินออกจากห้อง
“นายนี่ก็เป็นคนดี เอาการเอางานเหมือนกันนิ ใช้ได้”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา