The Eight Towers ผู้พิทักษ์แห่ง 8 หอคอย
10.0
เขียนโดย ชลันธรี
วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.47 น.
9 chapter
0 วิจารณ์
11.44K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 มกราคม พ.ศ. 2559 10.37 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) หีบปริศนาจากแดนไกล
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ห่างไกลออกไปจากอาณาจักรราเรียมผ่านทุ่งข้าวสาลีที่ทอแสงสีทองทอดยาวสุดลุกหูลุกตา สู่อาณาจักรคริสเทนมอ เมืองปราการด่านแรกผู้ปกป้องอธิปไตยของมวลมนุษย์ เสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งหนึ่งตะโกนร้องเรียกเพื่อนรักของเขาที่กำลังนอนหลบแดดอยู่ใต้ต้นแอปเปิลใหญ่
“เบลลลลลลลลล”
มารอนเด็กหนุ่มผู้มีดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล และร่างกายกำยำตามแบบฉบับของคนในตระกูลเอียร่า ผมสีดำหยักศกเล็กน้อยของเขาดูกลืนกับชุดรัดรูปกะทัดรัดสีน้ำเงินเข้มสัญลักษณ์ประจำกองกำลังพิทักษ์ประตูนาโบลอส มารอนตะโกนเรียกชื่อเพื่อนรักก่อนจะหยุดเท้าอย่างกะทันหันใต้ต้นแอปเปิลใหญ่ที่เพื่อนของเขานอนเอาหมวกปิดหน้าอยู่อย่างเบื่อหน่าย
“มารอนเหรอ?”
เสียงของเบล เด็กหนุ่มผมสีทองร่างเล็กวัยรุ่นราวคราวเดียวกันกับมารอนผู้เฝ้าฝันจะเป็นหนึ่งในกองกำลังผู้พิทักษ์ประตูนาโบลอสเอ่ยถามถึงผู้มาเยือนอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมองเจ้าของเสียงซึ่งเขาจำได้แม่นว่าคือเพื่อนรักหนึ่งเดียวของเขา
“เร็วเบล เร็วเข้าตามข้ามาเถิดไม่งั้นชีวิต 16 ปีของเจ้าจะต้องเสียใจที่เกิดมา รีบตามข้าไปที่ลานกว้างกลางเมืองเร็วเข้า” มารอนกล่าวพร้อมกับฉุดลากจนแทบจะแบกเบลขึ้นบ่าเพื่อไปดูอะไรบางอย่าง
“เบาหน่อยสิ มารอนตัวเจ้าใหญ่เป็นยักษ์ขนาดนี้เดี๋ยวกระดูกของข้าก็หักกันหมดพอดี”
เบลตัดพ้อแต่ก็โยนตัวลุกขึ้นตามแรงฉุดลากของมารอน พวกเขาออกวิ่งอย่างเหนื่อยหอบเข้าสู่ลานกว้างใจกลางเมืองคริสเทนมอซึ่งผู้คนมากมายต่างมุงดูบางสิ่งบางอย่างอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
“ขึ้นมาบนนี้สิเพื่อน” เสียงมารอนร้องเรียกเพื่อนรักของเขาให้ปีนขึ้นระเบียงต่ำๆของป้อมที่เป็นจุดกวดขันของทหารแต่ก็สูงพอจะมองข้ามศีรษะของฝูงชนไปได้ ดวงตาของเบลเบิกกว้างเป็นประกายขึ้นจนแทบจะถลนออกจากเบ้า หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อเห็นภาพตรงหน้าและได้ยินเสียงโห่ร้องของฝูงชนต้อนรับผู้ที่ค่อยๆขี้ม้าเข้ามาสู่ลานกว้าง
“เฟเรย์ เฟเรย์ เฟเรย์ ผู้กล้า”
“เฟเรย์ เฟเรย์ เฟเรย์ ผู้พิชิต”
“เฟเรย์ เฟเรย์ อัศวินอมตะแห่งฟีนิกซ์”!!!!
เฟเรย์ ค่อยๆควบม้าพร้อมประคองหีบสีดำที่บรรจุหน้ากากปริศนาอันเป็นต้นเหตุแห่งความไม่สบายใจจนต้องนำมันมาเพื่อขอคำปรึกษาจากลุงของเขาซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองแห่งนี้ เขาค่อยๆควบม้าผ่านฝูงชนผู้คลั่งไคล้ในวีรกรรมต่างๆที่เขาเคยสร้างเอาไว้ตรงผ่านลานกว้างจากกลางเมืองไปสู่ป้อมปราการผู้พิทักษ์อันเป็นที่อยู่ของผู้ที่เขาต้องการพบ
“เบลดูนั่นสิ เจ้าว่าในหีบที่อยู่ตรงหน้าของท่านอาเฟเรย์ มันใส่อะไรไว้ ข้าว่ามันจะต้องสำคัญมากแน่ๆ”
มารอนพูดพลางชี้มือไปที่หีบสีดำใบเขื่องที่อยู่บนหลังม้าตัวขาวสูงระหงของเฟเรย์ เบลเบี่ยงสายตาจากภาพรวมของอัศวินที่เป็นขวัญใจของเขาไปที่หีบตรงหน้าของเฟเรย์ตามที่มารอนบอก ทันใดนั้นเองเบลก็รู้สึกวิงเวียนเหมือนมีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นกับเขา นัยน์ตาดำของเขาลอยขึ้นสูงสะลึมสะลือเหมือนคนกำลังเมา
“ฉันเป็นอะไรไป ฉันเป็นอะไรไป!!” เบลพยายามจะเปล่งเสียงออกจากลำคอ แต่เหมือนเสียงนั้นจะดังอยู่ภายในความคิดของเขาเท่านั้น
“เบล...” เสียงชืดชาเสียงหนึ่งดังขึ้นในมโนสำนึกของเบล ตอนนี้เขาประหนึ่งว่าเกิดนิมิตประหลาดบางอย่างขึ้น เบลมองเห็นตัวเองอยู่ในความมืด ภาพความอึกทักต่างๆของลานกว้างตรงหน้าหายไปต่อหน้าต่อตาของเขากลายเป็นความมืดมิดรอบด้านเข้ามาแทนที่
“ใครกัน!! ที่นี่ที่ไหน!!!” เบลตระโกนถามอยู่ในนิมิตที่เขากำลังเผชิญอยู่
“ไม่มีทางหนี โชคชะตาจะรับเจ้าไว้ ใกล้เวลาแล้ว เบล...”
เสียงลากยาวแหบพร่าชืดชาฟังดูน่าขนลุกดังก้องขึ้นในมโนสำนึกของเขาอีกครั้ง เขายกมือขึ้นปิดหูตนเองรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าภายในความมืดของนิมิตนั่น ทันใดนั้นเองดวงตาคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา ดวงตาสีแดงฉานน่ากลัวแต่กลับแฝงความงดงามอย่างประหลาด
“ท่านเป็นใคร ท่านต้องการอะไร? และข้าอยู่ที่ไหน!!”
เบลตะโกนถามดวงตานั้นเสียงสั่นด้วยความกลัว เงามืดรอบข้างของเขาค่อยกลืนหายไปพร้อมกับดวงตาสีแดงคู่นั้น พวกมันรวมตัวกันกลายเป็นฟองอากาศสีดำนับไม่ถ้วนและลอยขึ้นสู่ด้านบน ก่อนจะค่อยๆรวมตัวกันเป็นร่างของสตรีนางหนึ่งความมืดภายในห้องหายไปกลายเป็นแสงสว่างจ้าจนเขาต้องใช้แขนป้องแสงที่กระทบดวงตาอย่างฉับพลัน ในนิมิตนั้นร่างของสตรีที่ประกอบขึ้นด้วยฟองอากาศสีดำยื่นแขนของนางมาเพื่อมอบของสิ่งหนึ่งมาให้เขา
“หน้ากาก หน้ากาก เหรอ หน้ากากอะไรกัน!!!”
เบลพึมพำพร้อมสำลักอากาศเฮือกใหญ่ก่อนที่จะลุกขึ้นนั่งอย่างฉับพลัน ดวงตาของเขาลืมขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงภาพตรงหน้าของเขาคือเพื่อนรักหนึ่งเดียวของเขามารอนนั่นเอง
“เป็นอะไรไปเบล เจ้าทำข้าตกใจแทบแย่ เจ้ายังเป็นอะไรอยู่ไหม” มารอนลุกลี้ลุกลนพูดพร้อมเขย่าตัวเบลเพื่อให้ได้สติเต็มที่
“หน้ากาก หน้ากาก มันคืออะไร หน้ากาก!!”
เบลพร่ำเพ้อถึงหน้ากากอย่างคนขาดสติ ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นผู้คนรอบๆที่ต่างตกใจและมองขึ้นมาบนระเบียงที่เขาทั้งคู่นั่งอยู่ เบลค่อยๆยืนขึ้นสายตารอบข้างของผู้คนทำให้เขาหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย เขากระโดดลงจากระเบียงต่ำของป้อมลาดตระเวนและออกวิ่งให้พ้นไปจากฝูงชน จนไปหยุดอยู่ที่กำแพงใกล้ประตูเมือง เขาใช้มือทาบกับกำแพงที่อยู่ตรงหน้าพร้อมหอบหายใจอย่างหนักเหมือนต้องการอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด
“เป็นอะไรไปเบล หายดีหรือยัง”
เสียงมารอนดังขึ้นไล่หลังตามมาอย่างกังวล เบลหันกลับมามองมารอนพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งหลังงองุ้มด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน
“ฉันเห็นอะไรแปลกๆ ฉันเห็นอะไรบางอย่างตอนมองหีบใบนั้น หีบที่นายชี้ให้ฉันดูน่ะ” เบลพูดด้วยสายตาที่เบิกกว้างขึ้นเหมือนยังจำภาพนิมิตนั้นได้ติดตา
“หน้ากาก มีผู้หญิงคนหนึ่งยื่นหน้ากากให้ฉัน ไม่สิมันไม่ใช่ผู้หญิงมันแค่ดูคล้าย มันคืออะไรฉันกลัวมากจริงๆ” เบลพูดต่อด้วยอาการหวาดกลัว
“ไม่เป็นไรแล้วเบล แต่ตอนที่เจ้าสลบไปข้าห่วงแทบแย่ ปากเจ้าพึมพำแต่คำว่า หน้ากาก หน้ากาก เจ้ารู้ไหมคนแห่กันมามุงดูทั้งบาง” มารอนพูดห้วนๆปลอบใจเพื่อนรัก แต่ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่ตอกย้ำสิ่งที่เบลอับอายอย่างไม่ตั้งใจ
“ไปกันเถอะเบล” มารอนพูดขึ้นพร้อมกับยื่นมือขึ้นพยุงแขนของเพื่อนอย่างบังคับ
“ไปไหนเหรอ จะให้ฉันไปที่ไหนอีก”
“ไปพบกับท่านอาแท้ๆของข้า เฟเรย์ เอียร่า อัศวินฟินิกซ์ผู้ยิ่งใหญ่ไง!!!”
เบลเหมือนหายจากอาการกลัวไปชั่วขณะเมื่อได้ยินว่าเพื่อนรักของเขากำลังจะพาเขาไปหาอัศวินผู้เป็นต้นแบบที่ทำให้เขาอยากจะเป็นทหารมาตลอดชีวิต และยินยอมเดินตามเพื่อนรักของเขาไปอย่างโดยดี
เฟเรย์ประคองหีบไม้สีดำที่เขาพกมาด้วยและกระโดดโจนลงจากม้าอย่างเร่งร้อนเมื่อม้าสีขาวของเขาฝ่าฝูงชนจากใจกลางเมืองมาได้ถึง “ปราการแห่งผู้พิทักษ์” สถานที่แห่งนี้คือจุดบัญชาการของเหล่ากองกำลังพิทักษ์ประตูแห่งนาโบลอส ลักษณะปราการนั้นสูงตระหง่านมั่นคงศิลปะไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับการปกป้องที่ดี เพราะฉะนั้นปราการแห่งนี้จึงทำด้วยหินภูเขาที่แข็งแกร่งดูเรียบๆไม่ได้มีการตกแต่งอะไรสวยหรู ทหารผู้เฝ้าประตูใหญ่สองนายค้อมศีรษะรับกับการมาถึงของเขาอย่างรู้หน้าที่
“ไปพักกับเขาก่อนนะรูน เจ้าเหนื่อยมากแล้ววันนี้” เฟเรย์กล่าวกับม้าสีขาวสูงระหงของตนพร้อมกับส่งบังเหียนให้กับเด็กรับใช้อัศวินเพื่อนำม้าของเขาไปยังคอกพักจากการเดินทางรอนแรมอันเหนื่อยหน่าย
เฟเรย์สาวเท้าเข้าสู่ตัวปราการอย่างเร่งรีบเหมือนมีภารกิจเร่งด่วนต้องปรึกษากับใครบางคน เขาเดินผ่านโถงทางเดินยาวที่แบ่งซอยเป็นห้องต่างๆภายในป้อมปราการแห่งนี้ แน่นอนการตกแต่งเป็นอะไรที่ขาดไปมากสำหรับป้อมปราการใหญ่โตแห่งนี้แต่ก็ให้ความรู้สึกตั้งมั่นถึงเป้าหมายของทหารได้เป็นอย่างดี เฟเรย์ย่ำฝีเท้าอย่างเร่งร้อนตรงไปยังบันไดทางขึ้นสู่ห้องที่อยู่ปลายสุดของโถงทางเดิน
“จะรีบไปไหนเฟเรย์ หลานรักของข้า ข้านึกไม่ออกเลยว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้เสียงย่ำฝีเท้าของเจ้าหนักหน่วงได้เช่นนี้” เสียงชายชราคนหนึ่งแม้แหบพร่าแต่ยังฟังดูมั่นคงดุจขุนเขาดังขึ้นจากด้านหลังของเขา ก่อนที่เขาจะเดินไปถึงประตูห้องสุดโถงทางเดินที่มีทหารยามเฝ้าอยู่ เฟเรย์หันขวับตามที่มาของเสียง ชายชราหนวดเคราสีขาวเฟิ้มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินออกมาจากประตูห้องสมุดเล็กๆที่อยู่ข้างโถงทางเดิน รอยยิ้มอันทรงภูมิของชายชราทำให้เฟเรย์รู้สึกอุ่นใจขึ้นอย่างประหลาด
“ท่านลุง ข้าต้องการพบท่านเป็นการเร่งด่วนอยู่พอดี” เฟเรย์พูดพร้อมถอดหมวกอัศวินออกให้เห็นผมสีดำขลับที่ยิ่งขับเน้นใบหน้าเหลี่ยมกับดวงตาสีฟ้าเข้มของเขา เขาใช้มือลูบผมที่เปียกชื้นกระเซอะกระเซิงด้วยเหงื่อก่อนที่จะชันเข่าลงกับพื้นเป็นการให้ความเคารพสูงสุดต่อชายชราที่อยู่ตรงหน้า พร้อมส่งสายตาเป็นสัญญาณบอกว่าต้องการความเป็นส่วนตัวในการสนทนาและมองไปที่หีบสีดำใบเขื่องในอ้อมแขน
“พวกเจ้าออกไปก่อนห้ามใครเข้ามาในห้องโถงนี้จนกว่าข้าจะสั่ง” ชายชราพยักหน้าอย่างรู้ที พร้อมกับออกคำสั่งกับทหารภายในป้อมปราการ เมื่อทหารทั้งหมดออกไปแล้วเขาทั้งคู่จึงเดินขึ้นบันไดไปสู่ห้องใหญ่ซึ่งเป็นห้องทำงานของโคเธียรและปิดประตูลงอย่างเงียบงัน
“ลอดเข้ามาไวๆสิเบล เจ้ามัวทำอะไรอยู่!!! ตัวเจ้าเล็กแค่นี้ยังลอดช่องพุ่มไม้ได้ไม่เร็วเท่าคนตัวใหญ่อย่างข้าเลย”
เสียงของมารอนตัดพ้อเพื่อนรักที่อยู่เบื้องหลัง พวกเขาคลานลอดพุ่มไม้เตี้ยๆที่อยู่โดยรอบป้อมปราการผู้พิทักษ์ มารอนใช้หลังพิงเข้ากับพุ่มไม้และสังเกตเห็นทหารยามที่หน้าป้อมปราการไขว้อาวุธในมือกันประตูเอาไว้ ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าต้องมีการสนทนาอย่างลับๆเกิดขึ้นภายในระหว่างเฟเรย์อาของเขากับท่านปู่โคเธียรแน่นอน เขาใช้นิ้วทาบที่ปากเป็นสัญญาณบอกให้เบลที่คลานลอดแนวพุ่มไม้ตามมาทีหลังว่าอย่าส่งเสียงดัง และต่อด้วยการทำท่ากวักมือให้ตามเขามาอย่างเงียบๆ
“เรากลับกันดีไหมมารอน ไหนว่าตระกูลเอียร่าของเจ้ายึดถือความสัจซื่อไง แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องดีที่เราควรทำเลยนะ” เบลพูดเสียงเบาขณะที่ใช้ศอกคลานลอดแนวพุ่มไม้จวนจะถึงตัวมารอน
“เงียบเถอะน่าเจ้าหนู ข้าเป็นคนตระกูลเอียร่า แอบฟังเรื่องของเอียร่าจะเป็นไรไป”
มารอนตอบกลับด้วยท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อย เบลคลานออกจากแนวพุ่มไม้ได้สำเร็จเมื่อสายตาของเขาเห็นทหารยามที่ยืนไขว้อาวุธอย่างขึงขังหน้าประตูของป้อมปราการเขาก็แทบจะหยุดหายใจ มารอนพยายามซ่อนร่างที่ใหญ่โตของเขาค่อยๆคลืบคลานไปตามแนวพุ่มไม้จนถึงหอสูงที่ใช้เก็บวัสดุจิปาถะแห่งหนึ่งเขารีบมุดตัวเองผ่านประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว และกวักมือเรียกเบลให้รีบตามเข้าไป เมื่อทั้งสองเข้าสู่หอสูงที่ใช้เก็บของนั่นแล้วมารอนจึงชี้นิ้วขึ้นไปด้านบน ภาพที่เห็นคือสะพานเชื่อมกันระหว่างหอแห่งนี้กับตัวของป้อมปราการหลักแต่บันไดที่ใช้ขึ้นดูเหมือนจะพังลงมานานแล้ว
“ไม่มีทางขึ้น เบลพูดเบาๆในคอ” มารอนทำหน้าหน่ายและชี้ไปที่ตระกล้าสานใบใหญ่ที่คว่ำอยู่บนกองฟางกระจัดกระจาย มารอนเดินเข้าไปเปิดมันขึ้นและคุ้ยกองฟางอยู่สักพักเขาก็พบกับเชือกที่ถูกมัดเป็นปมสลับๆกันเหมือนบันไดลิงที่ใช้ปีนป่าย มารอนหยิบเชือกที่ถูกผูกเป็นบันไดลิงโยนขึ้นเกี่ยวกับหมุดตัวหนึ่งที่อยู่ด้านบนทางเข้าสะพานเชื่อมที่ดูเหมือนจะถูกตอกขึ้นอย่างตั้งใจ เขากระตุกบันไดเชือกนั้นสองสามครั้งเพื่อดูว่ามันแข็งแรงดีแล้วก่อนที่จะสาวตัวเองขึ้นสู่ด้านบน และบอกให้เบลสาวตัวตามขึ้นไปด้วย เมื่อทั้งสองขึ้นสู่ทางเชื่อมเรียบร้อย ก็ก้มตัวลงต่ำและค่อยๆคลานไปสู่ป้อมปราการหลักอย่างเงียบๆ
ป้อมปราการแห่งนี้สร้างขึ้นอย่างแน่นหนาก็จริงแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ลูกหลานคนในตระกูลเอียร่าซึ่งเป็นตระกูลผู้ครอบครองเมืองอย่าง มารอน จะรู้ทางเข้าลับๆและระบบเวรยามของที่นี่อย่างดี พวกเขาเล็ดลอดทหารที่เดินลาดตระเวนรอบๆและแฝงตัวเข้าสู่ปราการหลักอย่างง่ายดาย มารอนนำทางเบลขึ้นไปจนกระทั่งทั้งสองไปหมอบอยู่ตรงระเบียงกว้างของห้องๆหนึ่งของปราการผู้พิทักษ์ ภายในห้องพวกเขาเห็นเฟเรย์ และโคเธียรเหมือนกำลังสนทนาบางอย่างกันอยู่
“หีบใบนั้นอีกแล้ว หีบใบนั้นอีกแล้ว” ใบหน้าของเบลผุดเหงื่อเม็ดโป้งขึ้นมาทันทีเมื่อสังเกตเห็นหีบไม้สีดำใบเดิมที่ทำให้เขาเห็นนิมิตประหลาดอันน่ากลัวใบนั้น
“เบลลลลลลลลล”
มารอนเด็กหนุ่มผู้มีดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล และร่างกายกำยำตามแบบฉบับของคนในตระกูลเอียร่า ผมสีดำหยักศกเล็กน้อยของเขาดูกลืนกับชุดรัดรูปกะทัดรัดสีน้ำเงินเข้มสัญลักษณ์ประจำกองกำลังพิทักษ์ประตูนาโบลอส มารอนตะโกนเรียกชื่อเพื่อนรักก่อนจะหยุดเท้าอย่างกะทันหันใต้ต้นแอปเปิลใหญ่ที่เพื่อนของเขานอนเอาหมวกปิดหน้าอยู่อย่างเบื่อหน่าย
“มารอนเหรอ?”
เสียงของเบล เด็กหนุ่มผมสีทองร่างเล็กวัยรุ่นราวคราวเดียวกันกับมารอนผู้เฝ้าฝันจะเป็นหนึ่งในกองกำลังผู้พิทักษ์ประตูนาโบลอสเอ่ยถามถึงผู้มาเยือนอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมองเจ้าของเสียงซึ่งเขาจำได้แม่นว่าคือเพื่อนรักหนึ่งเดียวของเขา
“เร็วเบล เร็วเข้าตามข้ามาเถิดไม่งั้นชีวิต 16 ปีของเจ้าจะต้องเสียใจที่เกิดมา รีบตามข้าไปที่ลานกว้างกลางเมืองเร็วเข้า” มารอนกล่าวพร้อมกับฉุดลากจนแทบจะแบกเบลขึ้นบ่าเพื่อไปดูอะไรบางอย่าง
“เบาหน่อยสิ มารอนตัวเจ้าใหญ่เป็นยักษ์ขนาดนี้เดี๋ยวกระดูกของข้าก็หักกันหมดพอดี”
เบลตัดพ้อแต่ก็โยนตัวลุกขึ้นตามแรงฉุดลากของมารอน พวกเขาออกวิ่งอย่างเหนื่อยหอบเข้าสู่ลานกว้างใจกลางเมืองคริสเทนมอซึ่งผู้คนมากมายต่างมุงดูบางสิ่งบางอย่างอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
“ขึ้นมาบนนี้สิเพื่อน” เสียงมารอนร้องเรียกเพื่อนรักของเขาให้ปีนขึ้นระเบียงต่ำๆของป้อมที่เป็นจุดกวดขันของทหารแต่ก็สูงพอจะมองข้ามศีรษะของฝูงชนไปได้ ดวงตาของเบลเบิกกว้างเป็นประกายขึ้นจนแทบจะถลนออกจากเบ้า หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อเห็นภาพตรงหน้าและได้ยินเสียงโห่ร้องของฝูงชนต้อนรับผู้ที่ค่อยๆขี้ม้าเข้ามาสู่ลานกว้าง
“เฟเรย์ เฟเรย์ เฟเรย์ ผู้กล้า”
“เฟเรย์ เฟเรย์ เฟเรย์ ผู้พิชิต”
“เฟเรย์ เฟเรย์ อัศวินอมตะแห่งฟีนิกซ์”!!!!
เฟเรย์ ค่อยๆควบม้าพร้อมประคองหีบสีดำที่บรรจุหน้ากากปริศนาอันเป็นต้นเหตุแห่งความไม่สบายใจจนต้องนำมันมาเพื่อขอคำปรึกษาจากลุงของเขาซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองแห่งนี้ เขาค่อยๆควบม้าผ่านฝูงชนผู้คลั่งไคล้ในวีรกรรมต่างๆที่เขาเคยสร้างเอาไว้ตรงผ่านลานกว้างจากกลางเมืองไปสู่ป้อมปราการผู้พิทักษ์อันเป็นที่อยู่ของผู้ที่เขาต้องการพบ
“เบลดูนั่นสิ เจ้าว่าในหีบที่อยู่ตรงหน้าของท่านอาเฟเรย์ มันใส่อะไรไว้ ข้าว่ามันจะต้องสำคัญมากแน่ๆ”
มารอนพูดพลางชี้มือไปที่หีบสีดำใบเขื่องที่อยู่บนหลังม้าตัวขาวสูงระหงของเฟเรย์ เบลเบี่ยงสายตาจากภาพรวมของอัศวินที่เป็นขวัญใจของเขาไปที่หีบตรงหน้าของเฟเรย์ตามที่มารอนบอก ทันใดนั้นเองเบลก็รู้สึกวิงเวียนเหมือนมีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นกับเขา นัยน์ตาดำของเขาลอยขึ้นสูงสะลึมสะลือเหมือนคนกำลังเมา
“ฉันเป็นอะไรไป ฉันเป็นอะไรไป!!” เบลพยายามจะเปล่งเสียงออกจากลำคอ แต่เหมือนเสียงนั้นจะดังอยู่ภายในความคิดของเขาเท่านั้น
“เบล...” เสียงชืดชาเสียงหนึ่งดังขึ้นในมโนสำนึกของเบล ตอนนี้เขาประหนึ่งว่าเกิดนิมิตประหลาดบางอย่างขึ้น เบลมองเห็นตัวเองอยู่ในความมืด ภาพความอึกทักต่างๆของลานกว้างตรงหน้าหายไปต่อหน้าต่อตาของเขากลายเป็นความมืดมิดรอบด้านเข้ามาแทนที่
“ใครกัน!! ที่นี่ที่ไหน!!!” เบลตระโกนถามอยู่ในนิมิตที่เขากำลังเผชิญอยู่
“ไม่มีทางหนี โชคชะตาจะรับเจ้าไว้ ใกล้เวลาแล้ว เบล...”
เสียงลากยาวแหบพร่าชืดชาฟังดูน่าขนลุกดังก้องขึ้นในมโนสำนึกของเขาอีกครั้ง เขายกมือขึ้นปิดหูตนเองรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าภายในความมืดของนิมิตนั่น ทันใดนั้นเองดวงตาคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา ดวงตาสีแดงฉานน่ากลัวแต่กลับแฝงความงดงามอย่างประหลาด
“ท่านเป็นใคร ท่านต้องการอะไร? และข้าอยู่ที่ไหน!!”
เบลตะโกนถามดวงตานั้นเสียงสั่นด้วยความกลัว เงามืดรอบข้างของเขาค่อยกลืนหายไปพร้อมกับดวงตาสีแดงคู่นั้น พวกมันรวมตัวกันกลายเป็นฟองอากาศสีดำนับไม่ถ้วนและลอยขึ้นสู่ด้านบน ก่อนจะค่อยๆรวมตัวกันเป็นร่างของสตรีนางหนึ่งความมืดภายในห้องหายไปกลายเป็นแสงสว่างจ้าจนเขาต้องใช้แขนป้องแสงที่กระทบดวงตาอย่างฉับพลัน ในนิมิตนั้นร่างของสตรีที่ประกอบขึ้นด้วยฟองอากาศสีดำยื่นแขนของนางมาเพื่อมอบของสิ่งหนึ่งมาให้เขา
“หน้ากาก หน้ากาก เหรอ หน้ากากอะไรกัน!!!”
เบลพึมพำพร้อมสำลักอากาศเฮือกใหญ่ก่อนที่จะลุกขึ้นนั่งอย่างฉับพลัน ดวงตาของเขาลืมขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงภาพตรงหน้าของเขาคือเพื่อนรักหนึ่งเดียวของเขามารอนนั่นเอง
“เป็นอะไรไปเบล เจ้าทำข้าตกใจแทบแย่ เจ้ายังเป็นอะไรอยู่ไหม” มารอนลุกลี้ลุกลนพูดพร้อมเขย่าตัวเบลเพื่อให้ได้สติเต็มที่
“หน้ากาก หน้ากาก มันคืออะไร หน้ากาก!!”
เบลพร่ำเพ้อถึงหน้ากากอย่างคนขาดสติ ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นผู้คนรอบๆที่ต่างตกใจและมองขึ้นมาบนระเบียงที่เขาทั้งคู่นั่งอยู่ เบลค่อยๆยืนขึ้นสายตารอบข้างของผู้คนทำให้เขาหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย เขากระโดดลงจากระเบียงต่ำของป้อมลาดตระเวนและออกวิ่งให้พ้นไปจากฝูงชน จนไปหยุดอยู่ที่กำแพงใกล้ประตูเมือง เขาใช้มือทาบกับกำแพงที่อยู่ตรงหน้าพร้อมหอบหายใจอย่างหนักเหมือนต้องการอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด
“เป็นอะไรไปเบล หายดีหรือยัง”
เสียงมารอนดังขึ้นไล่หลังตามมาอย่างกังวล เบลหันกลับมามองมารอนพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งหลังงองุ้มด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อน
“ฉันเห็นอะไรแปลกๆ ฉันเห็นอะไรบางอย่างตอนมองหีบใบนั้น หีบที่นายชี้ให้ฉันดูน่ะ” เบลพูดด้วยสายตาที่เบิกกว้างขึ้นเหมือนยังจำภาพนิมิตนั้นได้ติดตา
“หน้ากาก มีผู้หญิงคนหนึ่งยื่นหน้ากากให้ฉัน ไม่สิมันไม่ใช่ผู้หญิงมันแค่ดูคล้าย มันคืออะไรฉันกลัวมากจริงๆ” เบลพูดต่อด้วยอาการหวาดกลัว
“ไม่เป็นไรแล้วเบล แต่ตอนที่เจ้าสลบไปข้าห่วงแทบแย่ ปากเจ้าพึมพำแต่คำว่า หน้ากาก หน้ากาก เจ้ารู้ไหมคนแห่กันมามุงดูทั้งบาง” มารอนพูดห้วนๆปลอบใจเพื่อนรัก แต่ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่ตอกย้ำสิ่งที่เบลอับอายอย่างไม่ตั้งใจ
“ไปกันเถอะเบล” มารอนพูดขึ้นพร้อมกับยื่นมือขึ้นพยุงแขนของเพื่อนอย่างบังคับ
“ไปไหนเหรอ จะให้ฉันไปที่ไหนอีก”
“ไปพบกับท่านอาแท้ๆของข้า เฟเรย์ เอียร่า อัศวินฟินิกซ์ผู้ยิ่งใหญ่ไง!!!”
เบลเหมือนหายจากอาการกลัวไปชั่วขณะเมื่อได้ยินว่าเพื่อนรักของเขากำลังจะพาเขาไปหาอัศวินผู้เป็นต้นแบบที่ทำให้เขาอยากจะเป็นทหารมาตลอดชีวิต และยินยอมเดินตามเพื่อนรักของเขาไปอย่างโดยดี
เฟเรย์ประคองหีบไม้สีดำที่เขาพกมาด้วยและกระโดดโจนลงจากม้าอย่างเร่งร้อนเมื่อม้าสีขาวของเขาฝ่าฝูงชนจากใจกลางเมืองมาได้ถึง “ปราการแห่งผู้พิทักษ์” สถานที่แห่งนี้คือจุดบัญชาการของเหล่ากองกำลังพิทักษ์ประตูแห่งนาโบลอส ลักษณะปราการนั้นสูงตระหง่านมั่นคงศิลปะไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับการปกป้องที่ดี เพราะฉะนั้นปราการแห่งนี้จึงทำด้วยหินภูเขาที่แข็งแกร่งดูเรียบๆไม่ได้มีการตกแต่งอะไรสวยหรู ทหารผู้เฝ้าประตูใหญ่สองนายค้อมศีรษะรับกับการมาถึงของเขาอย่างรู้หน้าที่
“ไปพักกับเขาก่อนนะรูน เจ้าเหนื่อยมากแล้ววันนี้” เฟเรย์กล่าวกับม้าสีขาวสูงระหงของตนพร้อมกับส่งบังเหียนให้กับเด็กรับใช้อัศวินเพื่อนำม้าของเขาไปยังคอกพักจากการเดินทางรอนแรมอันเหนื่อยหน่าย
เฟเรย์สาวเท้าเข้าสู่ตัวปราการอย่างเร่งรีบเหมือนมีภารกิจเร่งด่วนต้องปรึกษากับใครบางคน เขาเดินผ่านโถงทางเดินยาวที่แบ่งซอยเป็นห้องต่างๆภายในป้อมปราการแห่งนี้ แน่นอนการตกแต่งเป็นอะไรที่ขาดไปมากสำหรับป้อมปราการใหญ่โตแห่งนี้แต่ก็ให้ความรู้สึกตั้งมั่นถึงเป้าหมายของทหารได้เป็นอย่างดี เฟเรย์ย่ำฝีเท้าอย่างเร่งร้อนตรงไปยังบันไดทางขึ้นสู่ห้องที่อยู่ปลายสุดของโถงทางเดิน
“จะรีบไปไหนเฟเรย์ หลานรักของข้า ข้านึกไม่ออกเลยว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้เสียงย่ำฝีเท้าของเจ้าหนักหน่วงได้เช่นนี้” เสียงชายชราคนหนึ่งแม้แหบพร่าแต่ยังฟังดูมั่นคงดุจขุนเขาดังขึ้นจากด้านหลังของเขา ก่อนที่เขาจะเดินไปถึงประตูห้องสุดโถงทางเดินที่มีทหารยามเฝ้าอยู่ เฟเรย์หันขวับตามที่มาของเสียง ชายชราหนวดเคราสีขาวเฟิ้มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินออกมาจากประตูห้องสมุดเล็กๆที่อยู่ข้างโถงทางเดิน รอยยิ้มอันทรงภูมิของชายชราทำให้เฟเรย์รู้สึกอุ่นใจขึ้นอย่างประหลาด
“ท่านลุง ข้าต้องการพบท่านเป็นการเร่งด่วนอยู่พอดี” เฟเรย์พูดพร้อมถอดหมวกอัศวินออกให้เห็นผมสีดำขลับที่ยิ่งขับเน้นใบหน้าเหลี่ยมกับดวงตาสีฟ้าเข้มของเขา เขาใช้มือลูบผมที่เปียกชื้นกระเซอะกระเซิงด้วยเหงื่อก่อนที่จะชันเข่าลงกับพื้นเป็นการให้ความเคารพสูงสุดต่อชายชราที่อยู่ตรงหน้า พร้อมส่งสายตาเป็นสัญญาณบอกว่าต้องการความเป็นส่วนตัวในการสนทนาและมองไปที่หีบสีดำใบเขื่องในอ้อมแขน
“พวกเจ้าออกไปก่อนห้ามใครเข้ามาในห้องโถงนี้จนกว่าข้าจะสั่ง” ชายชราพยักหน้าอย่างรู้ที พร้อมกับออกคำสั่งกับทหารภายในป้อมปราการ เมื่อทหารทั้งหมดออกไปแล้วเขาทั้งคู่จึงเดินขึ้นบันไดไปสู่ห้องใหญ่ซึ่งเป็นห้องทำงานของโคเธียรและปิดประตูลงอย่างเงียบงัน
“ลอดเข้ามาไวๆสิเบล เจ้ามัวทำอะไรอยู่!!! ตัวเจ้าเล็กแค่นี้ยังลอดช่องพุ่มไม้ได้ไม่เร็วเท่าคนตัวใหญ่อย่างข้าเลย”
เสียงของมารอนตัดพ้อเพื่อนรักที่อยู่เบื้องหลัง พวกเขาคลานลอดพุ่มไม้เตี้ยๆที่อยู่โดยรอบป้อมปราการผู้พิทักษ์ มารอนใช้หลังพิงเข้ากับพุ่มไม้และสังเกตเห็นทหารยามที่หน้าป้อมปราการไขว้อาวุธในมือกันประตูเอาไว้ ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าต้องมีการสนทนาอย่างลับๆเกิดขึ้นภายในระหว่างเฟเรย์อาของเขากับท่านปู่โคเธียรแน่นอน เขาใช้นิ้วทาบที่ปากเป็นสัญญาณบอกให้เบลที่คลานลอดแนวพุ่มไม้ตามมาทีหลังว่าอย่าส่งเสียงดัง และต่อด้วยการทำท่ากวักมือให้ตามเขามาอย่างเงียบๆ
“เรากลับกันดีไหมมารอน ไหนว่าตระกูลเอียร่าของเจ้ายึดถือความสัจซื่อไง แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องดีที่เราควรทำเลยนะ” เบลพูดเสียงเบาขณะที่ใช้ศอกคลานลอดแนวพุ่มไม้จวนจะถึงตัวมารอน
“เงียบเถอะน่าเจ้าหนู ข้าเป็นคนตระกูลเอียร่า แอบฟังเรื่องของเอียร่าจะเป็นไรไป”
มารอนตอบกลับด้วยท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อย เบลคลานออกจากแนวพุ่มไม้ได้สำเร็จเมื่อสายตาของเขาเห็นทหารยามที่ยืนไขว้อาวุธอย่างขึงขังหน้าประตูของป้อมปราการเขาก็แทบจะหยุดหายใจ มารอนพยายามซ่อนร่างที่ใหญ่โตของเขาค่อยๆคลืบคลานไปตามแนวพุ่มไม้จนถึงหอสูงที่ใช้เก็บวัสดุจิปาถะแห่งหนึ่งเขารีบมุดตัวเองผ่านประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว และกวักมือเรียกเบลให้รีบตามเข้าไป เมื่อทั้งสองเข้าสู่หอสูงที่ใช้เก็บของนั่นแล้วมารอนจึงชี้นิ้วขึ้นไปด้านบน ภาพที่เห็นคือสะพานเชื่อมกันระหว่างหอแห่งนี้กับตัวของป้อมปราการหลักแต่บันไดที่ใช้ขึ้นดูเหมือนจะพังลงมานานแล้ว
“ไม่มีทางขึ้น เบลพูดเบาๆในคอ” มารอนทำหน้าหน่ายและชี้ไปที่ตระกล้าสานใบใหญ่ที่คว่ำอยู่บนกองฟางกระจัดกระจาย มารอนเดินเข้าไปเปิดมันขึ้นและคุ้ยกองฟางอยู่สักพักเขาก็พบกับเชือกที่ถูกมัดเป็นปมสลับๆกันเหมือนบันไดลิงที่ใช้ปีนป่าย มารอนหยิบเชือกที่ถูกผูกเป็นบันไดลิงโยนขึ้นเกี่ยวกับหมุดตัวหนึ่งที่อยู่ด้านบนทางเข้าสะพานเชื่อมที่ดูเหมือนจะถูกตอกขึ้นอย่างตั้งใจ เขากระตุกบันไดเชือกนั้นสองสามครั้งเพื่อดูว่ามันแข็งแรงดีแล้วก่อนที่จะสาวตัวเองขึ้นสู่ด้านบน และบอกให้เบลสาวตัวตามขึ้นไปด้วย เมื่อทั้งสองขึ้นสู่ทางเชื่อมเรียบร้อย ก็ก้มตัวลงต่ำและค่อยๆคลานไปสู่ป้อมปราการหลักอย่างเงียบๆ
ป้อมปราการแห่งนี้สร้างขึ้นอย่างแน่นหนาก็จริงแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ลูกหลานคนในตระกูลเอียร่าซึ่งเป็นตระกูลผู้ครอบครองเมืองอย่าง มารอน จะรู้ทางเข้าลับๆและระบบเวรยามของที่นี่อย่างดี พวกเขาเล็ดลอดทหารที่เดินลาดตระเวนรอบๆและแฝงตัวเข้าสู่ปราการหลักอย่างง่ายดาย มารอนนำทางเบลขึ้นไปจนกระทั่งทั้งสองไปหมอบอยู่ตรงระเบียงกว้างของห้องๆหนึ่งของปราการผู้พิทักษ์ ภายในห้องพวกเขาเห็นเฟเรย์ และโคเธียรเหมือนกำลังสนทนาบางอย่างกันอยู่
“หีบใบนั้นอีกแล้ว หีบใบนั้นอีกแล้ว” ใบหน้าของเบลผุดเหงื่อเม็ดโป้งขึ้นมาทันทีเมื่อสังเกตเห็นหีบไม้สีดำใบเดิมที่ทำให้เขาเห็นนิมิตประหลาดอันน่ากลัวใบนั้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ