The Eight Towers ผู้พิทักษ์แห่ง 8 หอคอย
เขียนโดย ชลันธรี
วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.47 น.
แก้ไขเมื่อ 28 มกราคม พ.ศ. 2559 10.37 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) กับดัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความนูริลเร่งฝีเท้าเข้าสู่สวนหย่อมของปราสาท เขากวาดสายตามองหาวิเวียนราชินีผู้ทรงอำนาจแห่งอาณาจักรราเรียม ผู้ซึ่งในสายตาของใครหลายๆคนแล้วนางคือราชินีผู้เย่อหยิ่งและกระหายเลือด แต่สำหรับเขานางเป็นพี่สาวที่แสนดีและอ่อนโยนเสมอ ในใจของเขานั้นไม่เคยสลัดความรักและความทรงจำอันเจ็บปวดของเหตุการณ์เมื่อหลายสิบปีก่อนอันเป็นสาเหตุให้เขาไม่ได้ครองคู่กับพี่สาวอันเป็นที่รักของเขาได้เลย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงมีความหวังแม้จะริบหรี่อยู่ใต้ก้นบึ้งของจิตใจ
“ช่วยอำนวยพรให้แก่ธิดาของข้าทีเถิดพระองค์ท่าน ขอพรให้นางงดงามอย่างท่านด้วย”
“ได้สิ ไหนนำนางมาให้ข้าอุ้มหน่อย มาเลยเจ้าหนูน้อย ฮ่า ฮ่า ลูกของเจ้าน่ารักน่าชังดีแท้”
ภายในศาลาพักร้อนเล็กๆไม่ไกลนักเสียงนางกำนัลกลุ่มหนึ่งหัวเราะคิกคักพร้อมยื่นส่งเด็กทารกผู้เป็นลูกของพวกนางให้วิเวียนอวยพรให้ตามแบบธรรมเนียมของชนชั้นสูง วิเวียนได้ยินเสียงฝีเท้าหนึ่งใกล้เข้ามานางเงยหน้าขึ้นและเห็นว่านูริลกำลังมุ่งตรงมาทางนางเหมือนมีความคืบหน้าอะไรบางอย่างมารายงานให้นางทราบ
“ข้ามีธุระกับท่านเสนาธิการนิดหน่อย ยังไงพวกเจ้ากลับไปก่อน เอาไว้คราวหลังพาลูกของเจ้ามาเล่นกับข้าใหม่นะ”
วิเวียนกล่าวกับนางกำนัลเหล่านั้น พร้อมกับประคองเด็กส่งคืนให้พวกนางอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะเปลี่ยนอิริยาบถมานั่งตัวตรงอย่างราชินีและสลัดคราบหญิงสาวผู้อ่อนโยนทิ้งไปจนหมดสิ้น นูริลยืนรักษาระยะห่างรอจนนางกำนัลของวิเวียนเดินกลับเข้าสู่ตัวปราสาทไปสุดทางแล้วเขาจึงค่อยเดินหน้าอีกสองสามก้าวเพื่อเข้ามาใกล้วิเวียนให้มากขึ้น
“อัศวินฟินิกซ์ เริ่มมีความเคลื่อนไหวแล้วขอรับพี่หญิง”
“เฟเรย์ เขาออกมาด้วยหรือเปล่า ที่ข้าต้องการรู้คือตอนนี้เขาอยู่ที่ใด” วิเวียนเข้าสู่ประเด็นที่อยากรู้อย่างไม่รอช้า
“ล่าสุดสายลับของเรารายงานว่า เขาและกองกำลังเคลื่อนที่เร็วส่วนหนึ่งออกลาดตระเวนตรงมาที่หอคอยแห่งความปรารถนาใกล้กับเขตแดนของเราขอรับพี่หญิง”
“ขอบคุณเทพบิดร!! หนูเข้ามาติดกับที่เราวางเอาไว้อย่างง่ายๆ นี่นับว่าผู้สร้างไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
วิเวียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้า นางไม่รอช้ารีบบอกกับนูริลให้ไปรอนางที่ท้องพระโรง ก่อนที่นางจะเดินตรงไปที่ห้องส่วนตัวเพื่อนำเอาหีบของขวัญที่ส่งมาจากเอนเดอร่า
วิเวียนซอยเท้าเดินอย่างเร่งรีบเพื่อนำหีบสีดำที่บรรจุหน้ากากอันทรงอำนาจทั้งสามชิ้นตามนูริลเข้าไปสู่ท้องพระโรง ระหว่างทางนางกำนันและข้าราชบริภารที่พบพยายามทำความเคารพนางแต่เหมือนสายตาของนางจะไม่ได้ให้ความสนใจเลย ก่อนที่นางจะเข้าสู่ท้องพระโรงนางจึงกำชับผู้เฝ้าประตูเฝ้าว่าห้ามมิให้ใครเข้าพบในเวลานี้ นางตรงรี่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์พร้อมกับประคองหีบภารกิจนั้นไว้ที่หน้าตัก
“ทำไมต้องเฟเรย์ หรือขอรับพี่หญิง ทำไมเราจึงไม่ให้ผู้สร้างนำหีบนี่ส่งเข้าสู่คริสเทนมอ เพราะเขาก็ถือได้ว่ามีตำแหน่งสำคัญในหมู่ของพวกมนุษย์ จะได้ร่นระยะเวลาการทำภารกิจ” นูริลสาวเท้าเดินเข้าใกล้บัลลังก์ที่วิเวียนนั่งอยู่นิดหน่อยก่อนจะกล่าวถามสิ่งที่ตนคิด
“ผู้สร้าง เจ้าเล่ห์เกินไป อีกทั้งไม่ใช่คนของตระกูลเอียร่าโดยตรง เจ้าจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อนได้ไหมน้องพี่”
“ขอรับท่านพี่ ข้าจำได้แม่นยำในครั้งนั้นพวกอัศวินดำดาร์คพาลาดินก่อกบฏขึ้นที่คริสเทนมอ”
“เจ้าคงจำได้ว่าเฟเรย์ ได้ขึ้นเป็นผู้นำอัศวินฟีนิคเพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น และไม่มีใครอีกแล้วที่เป็นคนของตระกูลเอียร่าที่ครองตำแหน่งสำคัญแบบนี้ เพราะว่าโคเธียร ผู้ปกครองเมืองคริสเทนมอในปัจจุบันก็ควบตำแหน่งผู้นำของกองกำลังพิทักษ์ประตูนาโบลอสโดยตรงอีกด้วย เพราะฉะนั้นมีเพียงเฟเรย์ เท่านั้นที่เหมาะสมกับหน้าที่นี้ที่สุด”
“อย่างนี้นี่เอง ท่านพี่ช่างคิดได้รอบคอบนัก”
“อืม หากหีบนี้อยู่ในมือของเฟเรย์ ก็มีเพียงลุงของเขาโคเธียรเท่านั้นที่เขาจะต้องรีบวิ่งรี่ไปเพื่อขอคำปรึกษาเป็นคนแรก ภารกิจของเราก็จะสำเร็จตามพระประสงค์ของเทพบิดรโดยไม่ต้องออกแรงอะไรเลย อีกอย่างเฟเรย์เป็นทหาร ส่วนผู้สร้างเป็นพวกอัลเคมิส หากวัตถุทรงอำนาจนี้ตกอยู่ในมือของผู้สร้างข้าพนันได้เลยว่าไม่มีทางที่จะถูกส่งเข้าสู่คริสเทนมอแน่นอน แต่จะถูกส่งเข้าสู่ห้องทดลองของเขาแทน”
“ถ้าอย่างนั้นท่านพี่จะทำอย่างไรให้หีบนี้เข้าสู่มือของเฟเรย์ โดยที่เขาไม่สงสัยในภารกิจของเรา”
“ง่ายมาก.. ข้าจะมอบหีบนี้ให้แก่เจ้าน้องข้า เจ้าจะต้องกะเวลาเพื่อนำหีบใบนี้ไปใกล้กับหอคอยแห่งความปรารถนานอกเขตผนึก และแสร้งเข้าปะทะกับเฟเรย์ จากนั้นจงแกล้งแพ้และทิ้งหีบนี้ไว้ให้แก่เขา เมื่อเฟเรย์เห็นสิ่งของในหีบอันทรงอำนาจนี้เขาจะต้องคิดว่าเรานำมันไปทำลายหอคอยผนึกแน่นอน และด้วยความไม่รู้นี้เขาจะต้องรีบเข้าสู่คริสเทนมอเพราะมีลุงของเขาเป็นผู้ปกครองและญาติสนิทที่ไว้ใจได้คนเดียวที่พอจะให้คำตอบเขาได้"
“เยี่ยม!! จากนั้นภารกิจของเราก็จะจบลงตามพระประสงค์ของเทพบิดร”
“ยัง... หลังจากนั้นเราจะใช้ค้างคาวปีศาจจำนวนหนึ่งเข้าไปสืบข่าวที่คริสเทนมอ ข้ามั่นใจว่าเมื่อลุงของเขาเห็นสิ่งที่อยู่ในหีบนี้จะต้องไม่เสี่ยงทิ้งพวกมันไว้ในเมืองที่เป็นป้อมปราการอันสำคัญของพวกเขาแน่นอน และจะต้องนำมันส่งไปให้อาณาจักรอื่น หรือผู้อื่นที่รู้จักมันดีกว่าเขาตรวจสอบเพื่อหาทางทำลาย”
“อย่างนี้นี่เอง เมื่อหีบใบนั้นกลับออกมาพร้อมกับบุคคลที่พลังของหีบชักนำออกมาด้วย เราก็จัดการจับพวกมันทั้งหมดพร้อมหีบกลับมาสู่ราเรียม”
“ถูกต้องน้องข้า ด้วยข้อสงสัยที่ว่าหน้ากากเหล่านี้อาจจะถูกส่งไปทำลายหอคอยผนึก ข้าคิดว่าพวกเขาจะต้องออกเดินทางโดยไม่กระโตกกระตากแน่นอน ไม่เช่นนั้นอาจเกิดความวุ่นวายขึ้นในเมืองได้”
ทั้งวิเวียนและนูริลต่างดีดลูกคิดรางแก้วคาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นหากนำหีบใบนี้ส่งไปให้เฟเรย์ได้สำเร็จ และไม่นานนักการส่งมอบภารกิจตามแผนของวิเวียนก็จบลง นูริลกลับเข้าสู่ห้องส่วนตัวของเขาพร้อมหีบภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เขานั่งจ้องหีบใบสำคัญอย่างเงียบงัน ก่อนจะนำมันเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด จากนั้นทิ้งตัวลงบนเตียงนอนของตน และเฝ้าคิดว่าหากภารกิจนี้สำเร็จไปได้ด้วยดีอาจจะทำให้พี่สาวของเขามองว่าเขาคู่ควรกับนางมากขึ้น และบางทีอาจจะนำไปสู่การครองคู่ในอนาคตระหว่างเขาและนาง เขาอมยิ้มน้อยๆก่อนจะผลอยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน...
“ท่านเฟเรย์ๆ ท่านเฟเรย์อยู่ที่ใดข้ามีข่าวสำคัญมารายงาน”
“ข้าอยู่นี่เจ้ามีอะไรรึสหาย”
เสียงตอบรับของเฟเรย์ ทหารหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ากองกำลังฟินิกซ์ดังขึ้นรับเสียงเรียกหาจากทหารลาดตระเวนคนเก่าแก่ประจำกองทัพที่ลุกลี้ลุกลนเข้ามาขอพบเขาในระหว่างที่กองทหารกำลังเตรียมตั้งค่ายในช่วงเย็น
“พวกแวมไพด์ขอรับท่านเฟเรย์ พวกมันกำลังมุ่งหน้าไปที่หอคอยแห่งความปรารถนา”
“พวกมันมากันเท่าไหร่ และรู้ไหมว่าพวกมันกำลังจะไปทำอะไรที่นั่น”
“ดูเหมือนพวกมันจะมากันสิบกว่าคน แต่ที่สำคัญคือมีนูริลนำพวกมันมาด้วยตนเอง อ้อ เหมือนพวกมันจะนำหีบอะไรสักอย่างมาด้วยนูริลถือมันเอาไว้ด้วยตัวเอง”
“นูริลงั้นเหรอ! เจ้าแน่ใจนะว่าเห็นเขานำกองกำลังเล็กๆแบบนี้มาด้วยตนเอง?”
“ข้าแน่ใจขอรับท่านเฟเรย์ เรื่องนี้ไม่มีทางผิดพราด ข้าคาดว่าหีบในมือที่เขานำมาด้วยนั่นจะต้องสำคัญมาก นูริลจึงต้องนำมันมาด้วยตนเอง”
เฟเรย์อุทานขึ้นอย่างประหลาดใจ เมื่อรู้ว่าบุคคลสำคัญระดับผู้นำของศัตรูนำกองกำลังเล็กๆมาด้วยตนเอง เขาใช้มือลูบคางพรางครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ศัตรูเคลื่อนที่เข้าใกล้กับสถานที่สำคัญอย่างหอคอยผนึก
“นี่ไม่ปรกติแล้ว พวกเราจะต้องไปดูสักหน่อย ทุกคนตามข้ามา... เราจะไปดักรอพวกมันบนเส้นทางก่อนไปถึงหอคอยผนึก”
สิ้นคำสั่งของเฟเรย์ ทหารที่มากับพวกเขาด้วยประมาณยี่สิบคนต่างทิ้งสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่และรีบมารวมตัวกันอย่างเป็นระเบียบเพื่อติดตามผู้นำของพวกเขาในทันที
เฟเรย์และกองกำลังเคลื่อนที่เร็วของเขามุ่งตรงสู่สถานที่ๆ ทหารลาดตระเวนบอกอย่างรวดเร็วพวกเขาพบร่องรอยของทหารเดินเท้าและม้าตัวหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นของผู้นำอย่างนูริลเมื่อดูจากร่องรอยจนแน่ใจถึงสถานที่ๆพวกนั้นกำลังมุ่งหน้าไปว่าเป็นหอคอยผนึกแล้ว พวกเขาจึงใช้ทางลัดมุ่งตรงไปเพื่อดักรอศัตรูอย่างไม่รอช้า
“พวกมันมุ่งไปสู่หอคอยผนึกแน่นอน แต่ดูจากร่องรอยแล้วพวกมันเหมือนไม่เร่งรีบเลย เราควรจะระวังกันสักหน่อยนี่ก็ใกล้ค่ำแล้วแถมอยู่นอกเขตผนึกเสียด้วย ท่านว่านี่จะเป็นกับดักหรือเปล่า” เสียงทหารคนสนิทคนหนึ่งของเฟเรย์กล่าวขึ้นเป็นการตั้งข้อสังเกตุ
“ก็เป็นไปได้ แต่คนระดับอย่างนูริลมาเองอย่างไรซะเราก็คงจะต้องไปดูสักหน่อยว่าพวกมันมาทำอะไร”
เฟเรย์ตอบรับข้อสังเกตนั้นด้วยท่าทีหนักใจ แต่ไม่ทันที่พวกเขาจะตัดสินใจว่าจะไปต่อหรือว่าจะถอยกลับไปเพื่อรอดูท่าที รอบข้างก็เหมือนมีเงาสีดำหลายสายแฝงตัวตามหลังต้นไม้รอบๆ และโอบล้อมพวกเขาเข้ามา
“ไม่ได้พบกันเสียนานนะเฟเรย์ เจ้าดูโตขึ้นมากจากที่พบกันคราวก่อน”
เสียงทุ้มกังวานเสียงหนึ่งดั่งออกมาจากในป่า ทุกคนที่กำลังตั้งรับการโจมตีในขณะที่ตกอยู่ในวงล้อมมองไปสู่ต้นทางของเสียงนั้น
“นูริล เป็นเจ้าหรือ? เหตุใดเอาแต่แอบซ่อนออกมาพบกับสหายเก่าหน่อยเป็นไร”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าไม่คิดจะแอบซ่อนกับพวกคนตายอยู่แล้ว อ้อ ไม่สิเอาแค่พอน่วมๆ พวกเจ้าคงจะเป็นทาสเลือดได้ดีทีเดียว ข้ารับรองจะเลี้ยงพวกเจ้าอย่างดี”
นูริลตอบกลับด้วยเสียงมั่นใจอย่างผู้ที่เหนือกว่า เขาค่อยควบม้าเยื้องย่างมาอย่างไม่รีบร้อน ชุดหนังรัดรูปสีดำสนิทของเขาทำให้ร่างของเขาดูปราดเปรียวและเป็นสง่าอยู่บนหลังม้า
“เด็กๆ นำพวกมันกลับสู่ราเรียม!!!”
นูริลตะโกนสั่งเหล่าแวมไพด์ของตนเองให้เข้าสู้รบกับพวกของเฟเรย์ทั้งที่พวกตนเองมีจำนวนที่น้อยกว่า เพื่อดำเนินการตามแผนอย่างแนบเนียนตัวเขาเองนำหีบภารกิจรัดไว้ด้วยสายหนังข้างตัวของม้าตั้งใจให้เฟเรย์สังเกตเห็น ก่อนจะร่วมสู้รบด้วยอย่างไม่รีรอ เขาควงมีดคู่สีดำในมือเข้าโจมตีทหารของเฟเรย์อย่างแม่นยำทำให้พวกเขาลงไปนอนกองกับพื้นอย่างรวดเร็วถึงสามคนในเวลาชั่วอึดใจเดียว
“ไหนข้าขอดูฝีมือของเจ้าหน่อยซิเด็กน้อย ว่าเวลาผ่านมาหลายปีมานี้เจ้าพัฒนาอะไรขึ้นบ้าง”
นูริลกล่าวพร้อมเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเข้าโจมตีเฟเรย์ อาวุธในมือของเขาคือมีดคู่สั้นๆสีดำที่ว่องไวปราดเปรียวดุจอสรพิษ มันพลิ้วไหวเข้ากับการเคลื่อนที่ของเขาจนกลายเป็นเงาสีดำที่วูบไหวไปมาอยู่ในอากาศ
“เคร้งงงงง....ใช้ได้นี่หนูน้อย นับว่าเจ้าไวขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ยังจำเพื่อนรักของข้าทั้งสองนี่ได้ไหม ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เสียงปะทะของมีดทั้งคู่ในมือของนูริลกับดาบของเฟเรย์ที่เตรียมตั้งรับการโจมตีอยู่แล้วดังขึ้นพร้อมคำกล่าวเป็นเชิงท้าทายจากนูริล
“ข้าไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วนูริล ตั้งแต่ที่พบกันคราวก่อนข้ายังจำมีดคู่ทั้งสองของเจ้าที่ฝากรอยแผลเป็นบนตัวข้าได้ดี และวันนี้ข้าจะเอาคืนเจ้าแน่นอน”
เฟเรย์กล่าวพร้อมกับกระชับดาบที่กำลังต้านกำลังของมีดสั้นทั้งคู่ของนูริลให้แน่นขึ้น ทันใดนั้นดาบของเฟเรย์ก็เหมือนค่อยๆเปล่งแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ แสงนั้นเหมือนจะแผดเผามือทั้งสองของนูริลจนรู้สึกปวดแสบปวดร้อน นูริลกวาดสายตาดูสถานการณ์รอบข้างอย่างรวดเร็ว และเห็นว่าเหล่าแวมไพด์ของตนเองจับกุมทหารของเฟเรย์ได้บ้างส่วนหนึ่งแล้ว และอีกส่วนหนึ่งก็ตายกลางสนามรบอย่างอเนจอนาถ เขาคิดในใจว่าถึงเวลาที่ควรถอยตามแผนการแล้ว
“บัดซบจริงๆ นี่มันอะไรกัน...แสงนี่...”
นูริลสบถเล็กๆก่อนจะใช้ความว่องไวของเขาถอนตัวออกจากการปะทะกับเฟเรย์ และแม้ว่าเขาจะเจ็บปวดมือขึ้นเรื่อยๆแต่ก็ยังคงสติอยู่ได้สมกับเป็นคนในระดับผู้นำของราเรียม
“ฮ่า ฮ่า วันนี้ถือว่าทักทายกับเจ้าแล้วกันเด็กน้อย แล้วเราจะได้พบกันอีกแน่นอน คราวหน้าข้าจะเอาคืนเจ้าอย่างสาสมอย่างแน่นอน”
นูริลถอยออกมาอย่างรวดเร็วทิ้งหีบภารกิจและม้าของตนเอาไว้ตามแผนการที่ได้วางไว้ ทหารแวมไพด์ที่เหลืออยู่ลากร่างของทหารที่หมดสติห้าหกร่างถอยตามนูริลไปอย่างรวดเร็ว ฟ้ามืดลงจนเฟเรย์สังเกตเห็นเพียงแสงจากแววตาอันวูบวาบของเหล่าศัตรูถอยห่างไปในป่าฝั่งตรงข้ามเข้าสู่อาณาเขตของพวกมัน
“อย่าตาม!!! ฟ้ามืดแล้ว... พวกเราช่วยกันหามคนเจ็บกลับเข้าที่มั่นก่อน พวกเราจะถอยไปที่ประตูนาโบลอส”
เฟเรย์สั่งด้วยเสียงเฉียบขาดเพื่อลดความเสี่ยงและความสูญเสียที่อาจจะเกิดมากขึ้น พวกทหารแม้ว่าจะเป็นห่วงเพื่อนทหารที่ถูกจับกลับไปราเรียมแต่ก็เข้าใจในเหตุผลที่เฟเรย์จำต้องสั่งให้ถอย เมื่อพวกทหารช่วยกันแบกและพยุงคนเจ็บล่าถอยห่างไปได้สักระยะหนึ่งเขาก็ไม่ลืมที่จะเดินไปที่ม้าของนูริลที่ทิ้งไว้และแก้เชือกหนังที่ผูกติดอยู่กับตัวม้าเพื่อนำหีบสีดำต้องสงสัยใบนั้นออกมา
“หีบนี่มันอะไรกัน ถึงสำคัญขนาดนูริลต้องนำมาที่นี่ด้วยตนเอง”
เฟเรย์กล่าวพรางหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่าเพื่อนทหารของเขาได้ล่วงหน้าไปแล้ว และไม่มีศัตรูเหลืออยู่รอบๆ จากนั้นเขาจึงนั่งลงชันเข่ากับพื้นและเปิดสลักของหีบเจ้าปัญหานั่นดู
“ข้าแต่เทพบิดร นี่มันอะไรกัน!!!!”
ทันทีที่ฝาหีบถูกเปิดออก พลังจากวัตถุภายในก็สาดใส่เขาอย่างรุนแรง เฟเรย์กระโดดถอยห่างออกไปหลายก้าวด้วยสัญชาติญาณระวังภัยก่อนที่จะตั้งสติและเริ่มก้าวกลับมามองวัตถุในหีบนั้นทั้งที่พยายามควบคุมอาการสั่นของตัวเองอย่างเต็มที่
“หน้ากาก.. หน้ากากพวกนี้มันอะไรกัน ทำไมมันถึงมีพลังได้ถึงขนาดนี้..”
เขาค่อยๆประคองหีบใบนั้นขึ้นเมื่อรู้ว่าพลังที่สาดออกมานั้นแม้ว่ารุนแรงจนทำให้หัวใจเขาเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ แต่ไม่ได้มีอันตรายทางกายภาพโดยตรง เขารีบปิดหีบ ก่อนนำมันและม้าของนูริลตามกองทหารของเขาที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
“พวกมันต้องการอะไรกันแน่ พวกมันเอาหน้ากากที่ทรงพลังอย่างนี้มาจากไหน และเอาไปทำอะไรกันนะ...”
เฟเรย์เดินกลับไปกลับมาภายในกระโจมที่พัก พร้อมกับจ้องหีบต้องสงสัยใบนั้นอย่างไม่วางตา ในสมองของเขาเฝ้าแต่ครุ่นคิดว่าหีบใบนี้ถูกส่งมาใกล้กับหอคอยผนึกทำไม เขาพยายามปะติดปะต่อเหตุผลต่างๆ จากสถานการณ์ที่พบ และร้อนใจมากขึ้นทุกทีเมื่อเหตุผลต่างๆที่คิดได้นั้นต่างชี้ไปที่ประเด็นเดียวกันคือ นูริลจะต้องนำหน้ากากเหล่านี้ไปทำอะไรสักอย่างที่เป็นอันตรายต่อผนึกที่หอคอยแห่งความปรารถนาที่พวกมันมุ่งหน้าไปอย่างแน่นอน และก็เป็นไปตามที่วิเวียนคาดการณ์เอาไว้อย่างไม่ผิดพราด เมื่อวันรุ่งขึ้นเฟเรย์สั่งให้ทหารทั้งหมดกลับไปรักษาตัวอยู่กับกองกำลังพิทักษ์ประตูนาโบลอส ที่อยู่ในเขตแดนของคริสเทนมอ และตัวเขาเองก็นำหน้ากากทั้งสามชิ้นนั้นไปขอคำปรึกษากับญาติสนิทซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองคริสเทนมอนั่นเอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ