The Eight Towers ผู้พิทักษ์แห่ง 8 หอคอย

10.0

เขียนโดย ชลันธรี

วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 20.47 น.

  9 chapter
  0 วิจารณ์
  11.43K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มกราคม พ.ศ. 2559 10.37 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) เริ่มต้นการเดินทางอันยาวไกล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เฟเรย์วางหีบไม้สีดำนั้นลงบนโต๊ะทำงานในห้องของโคเธียร ซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองคริสเทนมอ ใบหน้าของเฟเรย์บ่งบอกความอึดอัดออกมาอย่างชัดเจนก่อนที่โคเธียรจะทำลายความเงียบนั้นด้วยการกล่าวถามผู้เป็นหลานอย่างตรงไปตรงมาถึงสิ่งที่บรรจุอยู่ในหีบ และปัญหาอันหนักใจของเขาอย่างไม่รีรอ

“ในหีบนั่นมันมีอะไรหรือหลานข้า อะไรที่ทำให้เจ้าหนักใจได้ถึงเพียงนี้”

ยังไม่ทันที่เฟเรย์จะเอ่ยปากตอบออกไปเบลซึ่งแอบเฝ้าดูการสนทนานี้ของทั้งคู่อยู่ก็พรั้งปากพูดออกมาเหมือนคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“หน้ากาก มันคือหน้ากาก หน้ากาก”

เสียงของเบลพร่ำบ่นเหมือนคนเลื่อนลอยกึ่งหลับกึ่งตื่นก่อนที่จะเอามือป้องปากของตนเหมือนเพิ่งได้สติและทำหน้าแหยๆเป็นเชิงขอโทษมารอนที่ทำเสียงดังไปโดยไม่รู้ตัว

“ออกมาได้แล้วมารอน ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ตรงนั้น”

โคเธียรทำหน้าหน่ายเนื่องด้วยรู้ว่าต้องเป็นมารอนที่เข้ามาแอบฟังอยู่ตรงระเบียงเป็นแน่ เขากระแอมเบาๆก่อนเรียกเด็กทั้งสองที่อยู่ตรงระเบียงให้ปีนข้ามเข้ามาในห้อง และยิ้มหน่ายๆเหมือนจะรู้ถึงทางลับและความซุกซนของหลานคนนี้เป็นอย่างดี

“เด็กน้อยเมื่อกี้เจ้าว่าในหีบนี้คืออะไรนะ” เฟเรย์เอ่ยถามเบลขึ้นอย่างไม่เชื่อหู

“เขาชื่อเบลครับท่านอาเฟเรย์เป็นเพื่อนรักของข้าเอง ตั้งแต่เขาเห็นเจ้าหีบนั่นที่ลานกลางเมืองตอนท่านอากำลังตรงมาที่นี่เขาก็พร่ำบ่นแต่คำว่า หน้ากาก หน้ากาก มาตลอด แถมยังเป็นลมไปอีกด้วย”

สีหน้าของเฟเรย์ตกใจอย่างเห็นได้ชัดจากคำพูดของมารอน เพราะตั้งแต่เขาเปิดหีบใบนั้นครั้งแรกและตกตะลึงในอำนาจของสิ่งของที่อยู่ในนั้นหลังจากนั้นจวบจนเดินทางเข้ามาถึงห้องนี้เขาก็ไม่เคยเปิดมันขึ้นอีกเลย จะเป็นไปได้อย่างไรที่เด็กชาวบ้านคนนี้จะรู้ได้ว่าของในหีบนี้มันคือหน้ากากที่กำลังทำให้เขากังวลหนักอยู่ในขณะนี้ แต่เฟเรย์ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ถึงความเร่งด่วนของเรื่องราวนี้ เขาหันกลับไปมองหน้าโคเธียรก่อนจะเปิดหีบนั้นขึ้นเพื่อให้ผู้เป็นลุงดูสิ่งของที่อยู่ข้างใน

“โอ” เสียงอุทานของโคเธียรดังขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อได้เห็นสิ่งของในหีบ มันคือหน้ากากที่ตีขึ้นด้วยความสวยงามประณีตทั้งสามชิ้นใบหน้าของหน้ากากแต่ละชิ้นมีทั้งยิ้มอย่างร่าเริง โศกเศร้า และหวาดกลัว แต่สิ่งทีทำให้โคเธียรแปลกใจคือพลังอำนาจของมันที่สาดออกมาจากหน้ากากทั้งสาม แม้ว่าจะไม่ทรงพลังเหมือนครั้งที่วิเวียนและเฟเรย์เปิดมันนอกอาณาเขตผนึก แต่ก็มากพอที่จะทำให้ผู้มากประสบการณ์อย่างโคเธียรรู้สึกได้

“นี่ไม่ธรรมดาเลยเฟเรย์หลานข้า ไม่ธรรมดา เจ้าเคยเห็นมันมาแล้วก่อนหน้านี้ใช่ไหม และเจ้าเด็กน้อยเพื่อนมารอนคนนี้ก็บังเอิญทายถูกว่ามันคือหน้ากาก”

“ใช่ครับท่านลุง ข้าเคยเปิดมันก่อนหน้านี้ที่นอกเขตผนึกตอนที่ได้มันมาครั้งแรกจากมือของนูริล แต่ตอนนั้นมันทรงพลังกว่านี้มาก นี่ดูเหมือนพลังของมันอ่อนลงอย่างมากภายใต้อาณาเขตของผนึก”

“นูริล? นูริล ฟาลาโม? หนึ่งในเสนาธิการทหารผู้มีอำนาจบัญชาการกองทหารแวมไพด์แห่งราเรียมนั่นน่ะหรือ”

เฟเรย์เริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ตนเองได้พบขณะลาดตระเวนก่อนที่จะปะทะกับนูริลและได้หีบใบนี้มาบริเวณอาณาเขตของหอคอยผนึกใกล้เมืองราเรียม และเล่าถึงข้อสงสัยของตนที่หีบใบนี้อาจจะถูกส่งมาจากลอมานัมเพื่อทำลายสมดุลของผนึก

     ถึงตอนนี้โคเธียรค่อยสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขามองไปที่หน้าของเบลซึ่งยังตัวสั่นๆด้วยความกลัวความผิดที่แอบฟังและเหมือนยังพูดอะไรไม่ออกจากประสบการณ์ประหลาดที่ตนเองได้ประสบพบเจอมาก่อนหน้า แต่โคเธียรก็มีสติพอที่จะวางเรื่องหยุมหยิมของเด็กน้อยคนนี้เอาไว้ก่อน และมุ่งประเด็นไปที่จุดประสงค์ของพวกตระกูลฟาลาโม ที่นำเอาหน้ากากเหล่านี้เข้าใกล้หอคอยผนึก ความเคร่งเครียดของโคเธียรทำให้ทั้งห้องเงียบงันลงเขาครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ทุกอย่างๆคนที่มีความรับผิดชอบยิ่งใหญ่ระดับผู้ปกครองและผู้นำตรงกูลควรทำ

“เฟเรย์หลานข้า ข้าไม่รู้และยังไม่แน่ใจนักว่าหน้ากากทั้งสามชิ้นนี้ถูกส่งมาเพื่อทำลายหรือรบกวนสมดุลของหอคอยผนึกหรือไม่ แต่ที่ข้าแน่ใจเหมือนกับเจ้าคือข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน และไม่รู้ว่ามันคืออะไร แน่นอนด้วยประสบการณ์ของข้ามีวัตถุ อาวุธ หรือของวิเศษใดๆน้อยชิ้นนักที่ยังคงอยู่บนโลกนี้แล้วข้าไม่รู้จักมันและด้วยข้อนี้ทำให้ข้ามั่นใจได้สองเรื่อง”

“สองเรื่องอะไรหรือครับท่านลุง” เฟเรย์กระตือรือร้นถามสอดขึ้นทันควัน

“อย่างแรก มันจะต้องถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยน้ำมือของเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งหรืออาจจะถูกสร้างด้วยตัวของลอมานัมเองจากวัตถุวิเศษใดๆซึ่งข้าไม่รู้จัก ที่ข้าแน่ใจข้อนี้เพราะว่าเจ้าเคยเปิดมันครั้งหนึ่งนอกเขตของผนึกเจ้าบอกว่ามันทรงพลังกว่านี้มากนัก และครั้งที่สองก็คือที่นี่ซึ่งอยู่ในเขตผนึกซึ่งเจ้าก็ได้ยืนยันว่าพลังของมันลดทอนลงอย่างเห็นได้ชัดด้วยข้อนี้ทำให้มั่นใจว่าหน้ากากสามชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังตรงกันข้ามกับผนึกที่ปกป้องพวกเราอยู่นั่นก็คือพลังจากเหล่าเทพเจ้าของลอมานัมนั่นเอง อย่างที่สองซึ่งนับว่าเป็นโชคดีของเรานั่นคือข้ามีสหายเก่าแก่ของข้าผู้หนึ่งที่ข้ามั่นใจว่าจะต้องรู้จักวัตถุต้นกำเนิดของพลังมหาศาลเช่นนี้ คนผู้นั้นก็คือ มาลาไคด์ โมเฟน ผู้นำตระกูลโมเฟนชายผู้มีพลังเวทย์มนต์เข้มแข็งที่สุดในหมู่มวลมนุษย์ นอกจากเขาแล้วข้าก็คิดไม่ออกอีกแล้วว่าจะมีใครที่จะให้คำตอบกับเราได้”

“มาลาไคด์ โมเฟน ผู้ครองตำแหน่งราจามันผู้ปกป้องหอคอยแห่งความพินาศหรือครับท่านปู่”

ดวงตาของมารอนเป็นประกาย ก่อนพูดสอดขึ้นกลางลำด้วยความตื่นเต้นที่ได้ยินชื่อของบุคคลผู้เป็นตำนานแห่งยุค ที่หลากหลายเรื่องราวและตำนานบนผืนทวีปบาลาลอเนียแห่งนี้เกิดขึ้นจากเขา โคเธียรมองหน้ามารอนอย่างไม่ค่อยพอใจนักจากการกระทำของเขา จนมารอนต้องก้มหน้าหลบต่ำและยืนนิ่งก่อนจะกล่าวคำขอโทษสั้นๆ เพื่อให้เฟเรย์ และโคเธียรได้คุยธุระกันต่อ

“นั่นท่านลุงหมายถึงเราควรนำหน้ากากทั้งสามชิ้นนี้ไปให้กับท่านมาลาไคด์ เพื่อให้เขาช่วยสืบหาที่มาที่ไปของมันใช่ไหมครับ”

“ก็คงจะมีแต่ทางนี้เท่านั้น เจ้าก็รู้ว่าเขาเป็นคนเก็บตัว วันๆสุมหัวอยู่แต่กับตำรับตำราเวทย์มนต์จนแม้แต่ข้าผู้เป็นสหายเก่าของเขายังไม่รู้เลยว่าเขาจะเก่งไปมากกว่านี้เพื่ออะไรอีก แต่เรื่องนี้เราจะทำให้เอิกเกริกไม่ได้ถ้าชาวเมืองหรือใครๆรู้เข้าจะกลายเป็นเรื่องตื่นตูมไปได้ นอกจากพวกเราแล้วยังมีใครรู้เรื่องนี้อีกหรือไม่”

“ไม่มีครับท่านลุง ข้าเร่งเดินทางคนเดียวมาขอคำปรึกษากับท่านเป็นการเฉพาะ”

“ดีแล้วเพราะฉะนั้นข้าจะให้ทหารมือดีที่ไว้ใจได้กับเจ้าส่วนหนึ่งเจ้าจงเดินทางเงียบๆไปที่หอคอยแห่งความพินาศใกล้กับป่าต้องห้ามดามิริล แต่จงจำเอาไว้ว่าอย่าออกนอกเขตของผนึกเด็ดขาดหัวหน้ากองกำลังอัศวินฟินิคอย่างเจ้าคงจะไม่พลาดเรื่องนี้และคงจะรู้อาณาเขตของผนึกดีจงไปให้เร็วและเงียบที่สุด อีกเรื่องที่ข้าจะต้องกำชับเจ้าก็คือห้ามเข้าไปในป่าดามิริลเด็ดขาดแม้ว่าจะเป็นทางตรงไปสู่หอคอยก็ตามจงใช้ทางอ้อมตรงเขตชายแดนเมืองเดอบริลไปสู่หอคอยแทน เพราะนั่นมันอันตรายยิ่งกว่าการออกจากเขตผนึกเสียอีก”

โคเธียรพูดด้วยน้ำเสียงเข้มย้ำถึงความสำคัญของภารกิจนี้ และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้จากความไม่ระมัดระวังของเฟเรย์ จากนั้นเขาจึงนำกล่องเปล่าใบหนึ่งมาและบรรจงใช้มือหยิบหน้ากากชิ้นหนึ่งที่มีลักษณะเป็นใบหน้าที่กำลังหวาดกลัวออกจากหีบ จากนั้นจึงวางมันแยกออกไว้ในกล่องของตนเอง

“เพียงแค่หน้ากากสองชิ้นเท่านั้นที่เจ้าจะนำติดตัวไป อย่างไรก็ดีข้ายังไม่วางใจให้พวกมันอยู่รวมกันจนครบ หากเกิดเหตุผิดพลาดอะไรขึ้นมาหน้ากากอีกชิ้นที่ข้าเก็บไว้ยังอาจจะเป็นเบาะแสให้เราได้บ้าง”

“แต่ทำไมเราไม่หาทางทำลายมันทิ้ง แทนที่เราจะนำมันไปให้กับท่านมาลาไคด์ล่ะครับท่านลุง”

“ตราบใดที่เรายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร หรือจุดประสงค์อะไรที่พวกมันถูกส่งมาการทำลายมันทิ้งแม้ว่าจะเป็นทางที่ง่ายที่สุดแต่กลับเป็นสิ่งที่มักง่ายที่สุดเช่นกัน เพราะฉะนั้นทางนี้จะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ข้าคิดถึง ใครจะรู้มันอาจจะซ่อนความลับพิเศษอะไรที่เป็นประโยชน์กับพวกเราในการต่อต้านพวกเทพเจ้าชั่วร้ายพวกนั้นก็เป็นได้”

เฟเรย์พยักหน้าเห็นด้วยกับลุงของเขา และเข้าใจดีถึงความสำคัญของภารกิจของตนในครั้งนี้ เขาปิดหีบไม้สีดำใบเขื่องนั้นลงและประคองมันเอาไว้ข้างตัวก่อนที่จะมองไปที่มารอน และเบลที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ

“เจ้าไม่ต้องห่วงเด็กทั้งคู่นี้ถ้าพวกเขาปริปากบอกเรื่องนี้ออกไปข้าจะลงโทษพวกเขาอย่างหนักเอง คืนนี้เจ้าจงพักผ่อนให้สบายก่อนแล้วพรุ่งนี้ตอนค่ำค่อยออกเดินทางไปอย่างเงียบๆ ชาวเมืองคลั่งไคล้เจ้าเกินไปออกไปตอนนี้คงจะไม่สะดวกนัก”

โคเธียรพูดด้วยน้ำเสียงเข้มเป็นเชิงขู่เด็กหนุ่มทั้งสองอยู่เนืองๆ แต่แท้จริงแล้วเขาเอ็นดูเด็กทั้งคู่มากโดยเฉพาะหลานมารอน ที่เพิ่งจะเข้าสู่กองกำลังพิทักษ์ประตูนาโบลอสได้ไม่นาน เฟเรย์รับคำของผู้เป็นลุงก่อนจะหันหลังเดินจากไปด้วยท่าทางเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม

“เจ้าทั้งคู่ก็ไปได้แล้ว มารอน จงดูแลเพื่อนของเจ้าให้ดีด้วยล่ะและจงออกไปจากทางที่เจ้าเข้ามา พรุ่งนี้ข้าจะสั่งปิดรูหนูของเจ้าจะได้เลิกมายุ่มย่ามเสียที”

โคเธียรเอ่ยปากไล่เด็กทั้งสองให้กลับออกไปทางระเบียงพร้อมกับยิ้มน้อยๆและส่ายหัวในความซุกซนของเขา แต่โคเธียรก็รู้ดีว่าความกระตือรือร้นของมารอนนั้นสำคัญต่อการเป็นผู้นำในอนาคตของมารอนเอง

     มารอนหลังจากเผชิญเรื่องตื่นเต้นทั้งหมดมาแล้วมันทำให้จิตใจของเขาไม่สามารถสงบลงได้ เขาคิดถึงแต่ชื่อของ เฟเรย์, นูริล, มาลาไคด์ เมืองราเรียม และป่าดามิริล คิดถึงการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่และความลับที่เขาเก็บเอาไว้กับตัวซึ่งเป็นเรื่องใหญ่โตระดับโลกที่หากเพื่อนๆคนอื่นรู้เข้าว่าเขารู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะต้องชื่นชมเขาอย่างภาคภูมิใจแน่ๆ ผิดกับเบลที่ยังคงเซื่องซึมสีหน้าซีดเผือดลงเหมือนคนป่วย

“เป็นอะไรไปเบล เจ้าไม่ดีใจหรือที่ได้เป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยนิดที่ทราบถึงภารกิจอันยิ่งใหญ่ของท่านอาเฟเรย์”

“ข้ารู้สึกเหมือนไม่สบาย”

“เจ้าคงจะตื่นเต้นเกินไป แต่ข้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าของในหีบนั้นคือหน้ากาก”

มารอนลดเสียงเบาลงเมื่อพูดถึงสิ่งของในหีบใบนั้น ทั้งคู่สนทนากันถึงความเป็นไปได้อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มารอนจะเสนอความคิดที่อันตรายอย่างยิ่งสำหรับเด็กหนุ่มทั้งสอง

“เบล เราแอบตามท่านอาเฟเรย์ไปกันไหมล่ะ”

“เจ้าจะบ้าหรือไง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ หากท่านปู่ของเจ้ารู้เข้ามีหวังพวกเราโดนโทษหนักแน่ๆ” เบลร้องเสียงหลงก่อนจะเอามือทาบปากให้เสียงเบาลงเมื่อนึกได้ว่ากำลังพูดถึงเรื่องสำคัญอันเป็นความลับ

“ก็อย่าให้ท่านปู่รู้สิ เอ แต่ว่าแม่ของเจ้าคงจะไม่อนุญาตแน่ๆ”

เบลสีหน้าหม่นหมองลงไปอีกเมื่อกล่าวถึงแม่ที่สติไม่ค่อยสมประกอบของตนเอง เอาจริงๆแล้วเบลแทบไม่เคยรู้สึกผูกพันกับหญิงที่ตนเองเรียกว่าแม่มาก่อนเลยด้วยซ้ำ ซึ่งแม่ของเบลแม้จะแสดงความห่วงใยออกมาบ้างในบางเวลาแต่เบลแทบแยกไม่ออกว่าแม่ของเขามีสติหรือแค่เพ้อเป็นคำพูดห่วงใยขึ้นมากันแน่ พอคิดถึงตรงนี้แล้วเบลก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมาอย่างประหลาด

“ข้าจะไป แม่ของข้าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกปรกติเวลาข้าไม่กลับบ้าน แม่ข้าก็ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ”

จู่ๆเบลก็พูดเสียงแข็งขึ้นกับมารอน และเห็นด้วยกับสิ่งที่มารอนแกล้งเสนอขึ้นเล่นๆในตอนแรก เขาคิดว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไปก็รังแต่จะเน่าตายกับแม่แก่ๆของตนเองเท่านั้น การเดินทางครั้งนี้ถ้าคิดในอีกแง่ก็เป็นเหมือนโอกาส เขาอาจจะฟรุคได้เข้ากองกำลังฟินิคของเฟเรย์ เอียร่า หรืออาจจะได้เรียนเวทย์มนต์สักบทสองบทจากบุคคลแห่งยุคอย่างมาลาไคด์ โมเฟน แต่อย่างไรก็ดีเบลคิดว่ามันจะต้องดีกว่าจมอยู่กับบ้านเน่าๆของตนเองเป็นแน่

“เดี๋ยวๆ เบลเจ้าเอาจริงหรือ”

“เอาจริงสิ นี่อาจจะเป็นโอกาสให้กับข้าก็ได้ และเจ้าก็อยากจะไปจนตัวสั่นอยู่แล้วนี่มารอน”

มารอนต้องงงกับท่าทีที่อยู่ๆก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนของเบล แต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาอย่างประหลาด ทั้งสองตกลงกันว่าจะฝากให้เพื่อนอีกคนช่วยดูแลแม่ของเบลให้ในขณะที่ทั้งสองออกไปผจญภัยในโลกกว้าง ส่วนมารอนก็กะล่อนพอจะรู้ว่าด้วยสถานะของตนท่านปู่คงจะไม่ลงโทษอะไรหนักหนานักจากการทำอะไรเสี่ยงๆในครั้งนี้ ทั้งสองจึงตกลงใจกันว่าจะแอบติดตามแฝงตัวไปห่างๆกับคณะเดินทางของเฟเรย์สู่หอคอยแห่งความพินาศและเมื่อห่างจากเมืองคริสเทนมอแล้วค่อยเผยตัว อย่างไรเสียเฟเรย์ก็คงจะต้องจำใจให้เดินทางไปด้วยอย่างแน่นอน…

 

              

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา