The World of Dungeon นี่นะหรือคือโลกดันเจี้ยน?

8.3

เขียนโดย Cristena

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 22.34 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,274 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 22.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) Dungeon004 : รับรู้ข้อมูล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
                        Dungeon004 : รับรู้ข้อมูล
 
 
                        ร่างอันผมเพรียวบางสมส่วนกำลังนอนเป็นบนเตียงใหญ่ๆ  เสียงกรนเบาๆบ่งบอกได้ว่า เขากำลังอยู่ในนิทรา  แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ เพื่อให้ลมผ่านเข้ามา  เปลือกตาของร่างนั้นกระตุกเล็กน้อย  ก่อนเปลือกตาจะเปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ   ภาพที่เห็นคือผนังสีขาวและแสงแยงตา
 
                        เขากรอกตาไปรอบๆ  โต๊ะสีน้ำตาลแก่ตั้งอยู่ ซึ่งคาดว่ามันน่าจะตั้งอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว  เมื่อมองข้ามไปอีกก็เห็น สิ่งที่เป็นกรอบสี่เหลี่ยมคล้ายกับรูปภาพ  ซึ่งในภาพนั้นมีร่างของผู้หญิงใส่ชุดสีแดงสลับดำตรงขอบชายเสื้อ  ใบหน้าสวยอย่างไร้ที่ติ 
 
                        เขาเริ่มลุกขึ้นมานั่ง  พลันความเจ็บปวดแล่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง แต่ส่วนใหญ่เจ็บบริเวณหัวไหล่และต้นท้องน้อย
 
                        พลางสะบัดผ้าห่มสีขาวออกจากตัวก่อนจะลุกไปจากเตียง  ปรากฏว่าร่างกายของเขาทรุดลงนั่งกับพื้น เรี่ยวไร้ที่เคยมีมาหายไปหมดราวกับถูกสูบออกจากร่างกาย  หวนนึกถึงเรื่องที่ก่อนมาอยู่ที่นี่ สมองประมวลผลค้นหาคำตอบว่าทำไมเขามาอยู่ที่นี่ได้ 
 
                        ซึ่งก็จำได้ว่า เขาฝืนใช้ร่างกายเกินขีดจำกัด ทำให้ผลออกมาเป็นแบบนี้ คาดว่าคงต้องนอนพักอีกหลายวันกว่าร่างกายจะหายดีกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
 
                        ลอสถอนหายใจยาวๆออกมา  เมื่อนึกถึงคำเตือนของลูอิส  “โลกแห่งนี้มันอันตรายมากกว่าที่คุณคิด”  ซึ่งคำนี้มันตรึงใจเขาอย่างมาก รับรู้ถึงความหวังของอีกฝ่าย ที่ซึ่งเมื่อพบเจอด้วยตัวเองแล้ว มันก็เป็นอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริง  ศิลปะการต่อสู้และป้องกันที่เขาได้ร่ำเรียนมาจนติดตัวเข้าถึงแก่นของศาสตร์นั้น มันไม่สามารถทำอันตรายเข้าหมาป่าทมิฬพวกนั้นได้เลยแม้แต่น้อย   ทำให้เขาที่เคยที่คิดว่าตัวเองเก่งนักหนากลับหง่อยลงไปถนัดตา  ถึงศาสตร์ที่เขาใช้กับเจ้าพวกนั้นมันเป็นศาสตร์การโจมตีรูปแบบมือเปล่าก็ตามที 
 
                        ทว่าสุดท้ายเขาก็ยิ้มออกมา  เพราะแบบนี้แหละ มันถึงจะสนุก  การที่เอาชีวิตไปเสี่ยงเล่นกับความตายมันไม่ได้หาง่ายๆ สักหน่อย ยิ่งเป็นโลกเก่าที่เขาเป็นบุคคลสำคัญด้วยแล้ว ถ้าเกิดเอาตัวเองไปเสี่ยงตาย คงเกิดสงครามที่ยิ่งใหญ่มากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้อย่างแน่นอน
 
                        เท่ากับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเรียนมากลายเป็นศูนย์  ต้องมาเริ่มเรียนและศึกษาใหม่หมด  แต่นั่นก็เป็นข้อดีสำหรับเขาเช่นกัน ที่จะได้นำเอาศาสตร์ต่างๆมาปรับปรุง
 
                        หารู้ไม่ว่า ศาสตร์ที่เข้าเรียนรู้มานั้น ใช้กลับโลกแห่งนี้ได้ เพียงแต่ค่าสเตตัสตอนนี้ยังไม่มากพอที่จะทำให้เกิดผลที่รุนแรง  เพราะค่าสเตตัสของเขาต่ำแทบจมดินนั่นเอง.... 
 
                        เขาเลิกสนใจเรื่องนี้ เพราะเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ก่อนที่จะนึกอะไรออก เรื่องที่เขาได้ทักษะมาใหม่ นั่นคือทักษะการวิ่งที่เขาอยากรู้เหมือนกันว่ามันเพิ่มขึ้นมาเท่าไร หลังจากได้รับผลจากสกิล  Release Status  ที่จะเพิ่ม
     
                       




    Ability(ความสามารถ)   ทักษะการวิ่ง     L.V.  43
-                  เมื่อเลเวลทักษะนี้เพิ่มขึ้น การวิ่งจะเร็วขึ้น




 
 
                        เพียงแค่ทักษะนั้น เขาก็เบิกตากว้างขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา  เท่ากับว่าระดับทักษะจริงๆของถ้าไม่ได้สกิลอันโคตรอภิมหาโกงอันนี้ก็จะมีทักษะอยู่แค่เลเวล 10-11 เท่านั้น
 
                        และไม่ใช่แค่ทักษะที่เพิ่มขึ้นอย่างพรวดพลาด ยังมีสเตตัสของเขาอีกใช่กันที่เพิ่มขึ้น
 
                       




   Status[สเตตัส]




   Strength(STR)  :   20   ระดับ  :  F                 Agility(AGI)  :   28       ระดับ  :  F
   Itelligent(INT)  :   27   ระดับ  :  F                  Accuracy(ACC)  :  18  ระดับ  :  F
   Luck(LUGK)  :     11   ระดับ  :  F                  Ability(ABI)  :  24       ระดับ  :  F




   รวม     128             ระดับ  :   F




 
 
                        ค่าสเตตัสตอนนี้ทั้งหมดเพิ่มขึ้นมา 23 หน่วย ซึ่งถือว่าน้อยสำหรับเขา  ถ้ามากสุดของคงจะเป็น AGI ที่เพิ่มขึ้นมา 8 หน่วย ตามมาด้วย STR เพิ่มมา 5 หน่วย ที่น่าจะเกิดจากทักษะการวิ่ง นั้นทำให้เขารู้ว่า การกระทำหรือการทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับค่าของพวกนี้ มันจะเพิ่มขึ้นด้วย  เขาถอนหายใจเล็กน้อย พลางไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าใช้สกิลร่างสถิตแห่งพระเจ้า ค่าสถานะทั้งหมดของเขาจะเพิ่มเท่าไรกันแน่
 
                        ส่วนที่เขาไม่ใช่ เพราะไม่อยากใช้ให้มันเปลื้องเวลา  เขาต้องการพัฒนาตัวเองไม่ใช่ใช้สกิลขั้นเทพเลยตั้งแต่ต้นที่ได้รับมา  ไม่งั้นมันจะพัฒนาฝีมือและได้ความสนุก ตื่นเต้นได้อย่างไร
 
                        แกร๊ก!
 
                        เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น ตรงข้างผนังฝั่งขวา ประตูค่อยๆถูกเปิดอย่างช้าๆ  ร่างของหญิงสาวอันบอบบางอรชร ใบหน้านั้นสบกับดวงตาของชายหนุ่ม เธอชะงักครู่ก่อนจะเดินเข้ามาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
 
                        “ตื่นแล้วหรอเนี่ย  คิดว่าเธอจะนอนหลับนานกว่านี้ซะอีก”  เธอกล่าวเบาๆ  พลางในมือทั้งสองข้างเธอถือถาดเหล็กเดินเข้ามาแล้ววางลงที่โต๊ะ  เธอหันกลับมาหาเขา
 
                        “ลุกขึ้นเดินเองไหวไหม?”  ลอสพยักหน้าเล็กน้อยก่อนลุกเดินไปที่โต๊ะทานข้าว  เขาทำท่าจะล้มร่างของเธอก็เข้ามาพยุงตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
 
                        ‘เร็วมาก!’  เขาเก็บอารมณ์ที่ตกใจก่อนจะกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายเบาๆ
 
                        ยังดีที่ลูอิสให้สกิลที่มีประโยชน์มากที่สุดในตอนนี้สำหรับเขา สกิลแปลภาษาที่ใช้ได้กับทุกคนที่เข้ามาคุยกับเขา
 
                        เมื่อมาถึงที่โต๊ะเธอจัดแจ้งเลื่อนเก้าอี้ให้สำหรับเขา ก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม ทำให้เขากล่าวขอบคุณยกใหญ่อย่างเสียไม่ได้ แต่เธอตอบกลับมาเป็นเรื่องเล็กน้อย
 
                        อาหารที่ดูคล้ายกับข้าวต้มและน้ำซุปร้อนพร้อมสิ่งที่หน้าตาคล้ายมันบดวางอยู่บนจาน  ใบหน้าที่เขาแสดงออกมา ทำให้อีกฝ่ายหลุดหัวเราะเล็กน้อยออกมา
 
                        “ลองทานดูก่อนสิ  หน้าตามันอาจไม่ดี แต่รสชาติมันก็ไม่ได้แย่เท่าไรหรอกนะ”  เธอกล่าวพลางนำมือทั้งสองมาเท้าคางไว้บนโต๊ะและจ้องมองผม เหมือนกับว่า ให้รีบๆกินลงไป
 
                        ลอสถอนหายใจเฮือกนึงก่อนจะใช้ช้อนตักอันที่คล้ายข้าวต้มเข้าปาก  พลันดวงตาเบิกกว้างขึ้น เธอเห็นก็ยิ้มให้อีกฝ่ายไม่ได้  เขาลงสายตามองข้าวต้มพินิจมันอย่างจดจ่อก่อนจะตักกินไปอีกคำ 
 
                        ‘อร่อย’  นิยามคำสั้นๆ ที่บอกความหมายอย่างเข้าใจ  เขาตักทานมันไปเรื่อยๆ  เธอรู้มารยาทดีเลยไม่ได้กล่าวอะไรออกมา รอให้อีกฝ่ายทานเสร็จให้หมดก่อน
 
                        เมื่อทานข้าวต้มหมด ก็จัดการตักน้ำซุปตามไปและต่อด้วยสิ่งที่คล้ายมันบด เขาไม่สามารถหยุดกินมันได้เลย  ทานได้เรื่อยๆราวกับว่า ต้องมนต์เสน่ห์ของมัน  ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยกินอะไรที่มันอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย  เอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละจาน ความนุ่มของข้าวมันละมุนลิ้นของเขา และสิ่งที่คล้ายมันบด อร่อยอย่างมาก มีกลิ่นหอมลอยเตะจมูกหลังตักมันเข้าปาก
 
                        เข้าทานเสร็จเรียบร้อย เธอก็ขอตัวนำจานไปล้างก่อนจะกลับมาหลัง 2-3 นาที
 
                        “ถ้าอร่อยละก็ เดี๋ยวฉันทำให้เธอทานอีก”  เธอพูดกับอีกฝ่าย  ซึ่งผมก็ปฏิเสธไปอย่างรวดเร็ว
 
                        “แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้วครับ”  เขาเอ่ยขึ้นมาก่อนจะซักถามบางเรื่อง
 
                        “นี่ผมหลับไปกี่วันครับ?” 
 
                        “ 2 เห็นจะได้” เธอกล่าว ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายอย่างเด่นชัด
 
                        ใบหน้าเรียวไข่  ดวงตาสีแดงราวกับทับทิม ผมสีดำวาว ริมฝีปากได้รูป เธอเหมือนกับภาพของเทพธิดาที่หลุดออกมาจากภาพวาดชั้นเลิศ  แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดเห็นทีคงจะเป็น  เนินเขาที่ยืนออกมาสองที่ กำลังขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ  ซึ่งเธอสังเกตุเห็นเขาว่ากำลังจ้องอะไรอยู่
 
                        “หึหึ  เธอนี่มันลามกมากเลยนะ กล้ามองหน้าอกผู้หญิงทั้งที่ไม่ได้รู้จักกัน”  อีกฝ่ายกล่าวออก พลางหัวเราะเล็กน้อย  เขาที่ได้สติก็เกาหัวเล็กน้อยก่อนจะก้มขอโทษอีกฝ่าย
 
                        “ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือสาหรอก”  ราวกับว่าเธอไม่ใส่ใจเรื่องของการถูกมองหน้าอกมากนัก  เธอหรี่ตาลงมองอีกฝ่ายราวกับหาอะไรบางอย่าง  ซึ่งทำไมก็ไม่รู้สายตาของเธอมันน่ากลัวแปลก ทำให้เขาขนลุก
 
                        “เธอก็ไม่ใช่ย่อย  ไม่สิขอเรียกว่า นายก็แล้วกัน  เห็นใบหน้าแบบนี้คล้ายกับผู้หญิง ดีไม่ดีสวยกว่าอีก แต่ทำไมกันนะ เป็นสาวดุ้นไปได้”  ดูเธอเหมือนอารมณ์ไม่ได้เดือนร้อนใจอะไรพูดไปเรื่อยๆ  จนที่เขาได้ยินประโยคของเธอ ก็ลดใบหน้าลง เพื่อหลบใบหน้าของอีกฝ่าย ที่ตอนนี้มีสีแดงจางๆ
 
                        “ไม่เป็นไรฉันไม่บอกใครหรอกว่า คนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นผู้ชาย นอกจากจะมีคนมาถามล่ะนะ ถึงจะตอบ”  เธอกล่าวออกมา ให้เขาคลายความกังวล ก่อนจะจ้องหน้าเธอเขม็งเมื่อเอ่ยประโยคสุดท้าย 
 
                        แต่นั่นก็คือเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ความลับอะไรที่จะบอกคนอื่นไม่ได้ ดังนั้นถ้าใครอยากรู้ก็มาถามได้     อีกอย่างเขาไม่สามารถมีสิทธิ์ไปว่าเธอได้ นอกจากเธอจะช่วยรักษาเขาจากการบาดเจ็บ ทั้งยังทำอาหารมาให้เขาทานอีก  จะไปต่อว่าผู้มีพระคุณได้ยังไง
 
                        “ฉันจะไปหา [มาสเตอร์] นายจะไปด้วยกันไหม? หรืออยากไปให้ดาร์กแวร์วูฟทำร้ายนายอีกครั้งล่ะ”  เธอกล่าวพร้อมกับว่าถ้าจะไปเจอกันข้างล่างในอีก 15 นาที ซึ่งขอตัวไปจัดของเพื่อเอาไปให้บุคคลที่เธอเรียกว่า มาสเตอร์   ก่อนจะให้เวลาเขาไปอาบน้ำแล้วเจอกันที่ด้านล่าง
 
                        ซึ่งจากการได้คุยกันนั้น ทำให้เขารู้นิสัยของเธอได้อย่างหนึ่ง 
 
                        คำพูดที่เชือดเฉือนบาดใจ ดูเหมือนว่าเธอจะพูดอ้อมค้อมไม่ค่อยเก่งสักเท่าไร  แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหา   เขายอมรับคำพูดของเธอด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาอ่อนแอมากยิ่งเปรียบเทียบกับคนในโลกแห่งนี้ 
 
                        เขาจะไปกับเธอ เพราะว่าเขามาโลกแห่งนี้ไม่กี่วัน ยังมีเรื่องที่ต้องรู้อีกมากมาย ดังนั้นถ้าลองไปถามมาสเตอร์ของเธออาจจะช่วยตอบคำถามของเขาให้กระจ่างขึ้นมาก็เป็นได้ เรียนรู้และขวนขวายเป็นคติประจำใจของเขา  ถ้าไม่เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ก็เป็นได้แค่คนโง่หรืองี่เง่าที่ไม่มีความรู้
 
                        เขาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนลงไปใช้ห้องอาบน้ำด้านล่าง....                                               
                       
                        “อ้าว.... มาไหวดีนิ”  เธอที่เดินเข้าด้านหลังของเขา ตั้งแต่เมื่อเมื่อไหร่ไม่รู้หรืออาจจะเพิ่งเดินมา แต่เขาสัมผัสถึงตัวตนอีกฝ่ายไม่ได้  นั่นทำให้ข้อสรุปอีกอย่างว่า
 
                        ....ผู้หญิงคนนี้เก่ง....     แต่ก็ยังไม่เชื่อสนิทจนกว่าจะได้เห็นฝีมือในต่อสู้จริงๆของเธอ
 
                        ลอสหันไปหาเธอ พบว่าการแต่งตัวต่างไปจากเล็กน้อยในตอนแรก  มีเกราะบริเวณไหล่ทั้งสองด้าน  ตรงหน้าอกที่ดึงดูดสายตาถูกปกปิดด้วยเกราะโลหะสีเงิน มีรองเท้าเหล็กใส่จนถึงเกือบหัวเข่า  ข้างเอวอันผอมบางมีทรวดทรงที่งดงามนั้นมีดาบ 2 เล่มเสียบเหน็บเอาไว้อยู่  บนบ่าของเธอมีถุงสีน้ำตาลแก่ใบหนึ่ง  ดูแล้วน่าจะเป็นของที่จะไปให้อาจารย์ของเธอ
 
                        ภาพโดยรวมเหมือนกับว่าจะไปออกรบที่ไหนซักแห่ง ทั้งที่มีเกราะโลหะปกปิดตามร่างกายไว้ ทว่ามันของขับเสน่ห์ของเธอให้ชวนมองอย่างหลงใหล เป็นภาพอีกแบบที่เพิ่งจะเคยเห็น
 
                        “จ้องขนาดนั้น ไม่ทำให้ฉันท้องไปเลยล่ะ”  เธอเอ่ยขึ้น พลันก็ได้สติกล่าวขอโทษอีกฝ่ายเบาๆ 
 
                        .....เพราะว่าเจ้าภูเขาสองลูกนั้น ตั้งหากล่ะที่ดึงดูดฉัน ฉะนั้นเธอเป็นคนผิดนะ ไม่ใช่ฉัน.....
 
                        ผมคิดในใจก่อนเริ่มออกเดินทางไปกับเธอ ที่กำลังจะพาเขาไปหาอาจารย์ เขารู้สึกดีใจเล็กๆที่เธอช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นจากหมาป่านั่น
 
                        การเดินทางเป็นไปเรียบง่ายราวกับว่าเดินเล่นอยู่ในสวน  มีคนเข้ามาทักทายเธออย่างเป็นกันเองในช่วงตลอดการเดินทางบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายและร้านค้า  อาจเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขาและเธอที่ภาพลักษณะเช่นนี้ไปแล้ว ทว่ามันไม่ใช่กับเด็กหนุ่มนามว่าลอส มาจากต่างโลกที่ตอนนี้กำลังตกตะลึงกับผู้คนคับคั่งมหาศาล  เขาเดินข้างหลังเธอ พลันเมื่อเจอคนเบียดเสียด เขาก็ห่างจากเธอไปเรื่อยๆ จนมีมืออันเรียวงามเอื้อมมาจับมือของเขา 
 
                        เธอจับมือเขา “ระวังหน่อยสิเดี๋ยวหลงกันหรอก”  พลางเอ่ยเตือนเขาด้วยน้ำเสียงที่ดุเล็กน้อย  ร้านค้าตั้งเรียงรายเป็นแทบแถวยาว ความอยากรู้และความเห็นมันส่งเสียงร้องเตือนให้เขาเดินไปดู ทว่าเขาหักห้ามใจของตนไม่ให้ไปตามมัน เพราะว่าเธอมีธุระที่จะไปอาจารย์ ดังนั้นเขาควรเลิกสนใจพวกนี้ไปก่อน  ทว่ามันก็ไม่รอดพ้นสายตาของเธอที่เหลือบมามองเป็นระยะว่าเขาสนใจ เธอเลยหัวเราะเล็กน้อยกับความอยากรู้ของเขา
 
                        “เดี๋ยวเสร็จธุระกับอาจารย์  ฉันจะพานายมาด้วยก็ได้นะ” เธอเอ่ยปากชวนเขา นั้นทำให้เขาพยักหน้าลงและขอบคุณเป็นพัลวัน
 
                        ‘ถึงเธอจะปากร้ายไปหน่อย พูดตรงไปตรงมา แต่ก็นิสัยก็ดี’  หากรู้ไม่ไอ้ที่เธอพูดตรงไปตรงมาแบบไม่อ้อมค้อม เพราะอยากจะแกล้งเขานั่นเอง  ที่มาทำให้เธอคิดว่าเขาเป็นผู้หญิงก่อนจะมารู้ที่หลัง
 
                        เมื่อหลุดพ้นจากร้านค้าขายของแล้ว คนก็เริ่มบางตาลง มีคนทั้งหมดทั้งหลายใส่เสื้อผ้าแตกต่างกันไป บ้างคนใส่ชุดเกราะเต็มยศเห็นเพียงแค่ดวงตา  บ้างก็ใส่ชุดที่ดูคล้ายอัศวินในราวๆศตวรรษที่ 13-15  และบ้างคนก็แต่งตัวแปลกไปจากพวกเขาอีกมากมาย  อย่างเช่นผู้หญิงสาวที่เดินผ่านหน้าเข้าไปนั้นแต่งชุดลายเสือน้อยชิ้นเผยหน้าท้อง เป็นต้น
 
                        ไม่ว่าการแต่งกายเป็นลักษณะไหนก็ตาม มันเรียกความสนใจให้ชายหนุ่มได้ไม่น้อยเลยทีเดียว  แต่เท่าที่เขาสังเกตเห็นจะพบว่าทุกคนที่เดินผ่านไปนั้น จะทำความเคารพคนตรงหน้าเขา นั่นคือหญิงสาวนั่นเอง
 
                        ‘แสดงว่าเธอต้องมีชื่อเสียงมากพอสมควรที่ทำให้ทุกคนในเมืองนี้เคารพเธอ’  เขาคิดแค่นั้น  ก่อนจะได้รับรังสีการฆ่าฟันและอิจฉาส่งมาเป็นระยะ ถึงจะเบาบาง แต่มันก็อดทำให้เสียวสันหลังขึ้นมาไม่ได้
 
                        ก่อนที่จะมาหยุดตรงที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านธรรมดาสองชั้นทำด้วยหินที่มีลักษณะคล้ายกับก้อนอิฐวางเรียงต่อกัน บริเวณตัวทางเดินเข้ามาประดับไปด้วยต้นไม้ทั้งสองข้างทาง ความรู้สึกเมื่อมองบ้านหลังนี้มันลึกลับและสง่างาม  เต็มไปด้วยกลิ่นอายบรรยากาศของปัญญา ดึงดูดให้อยากลองค้นหามัน ราวกับว่าสิ่งที่อยู่ในบ้านหลังนี้เป็นสิ่งที่เหนือกว่าเขามากนัก
 
                        ขนลุกตั้งชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ ความกลัวอะไรบางอย่างที่แผ่ออกมาจากหลังประตูทางเข้าบานนั้น  เป็นความรู้สึกที่อยากจะหนีจากตรงนี้ไปเสียให้ไกล  เธอมองเขาก่อนจะพูดเบาๆ
 
                        “รู้สึกได้สินะ  อะไรบางอย่างที่ทรงพลังมากกว่า  แต่นายก็ยังดีนะ ที่ยังคงเยือกเย็น  ตอนแรกฉันก็เป็นแบบนั้นแหละ ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกและต้นตอของพลังนั้นมาจากอาจารย์ของฉันเองแหละ”  เธอกล่าวเพื่อให้เขาคลายความกังวลลง เมื่อแม้จะทำไม่ค่อยก็ตาม ร่างกายเกร็งไปหมด ก่อนจะมารู้ตัวอีกทีหลังจากที่ขาก้าวขยับตามเธอเข้าบ้านไปเสียแล้ว
                       
                        ภายในบ้านไม่ได้หรูหราอย่างที่คิด มีเตียงนอนตั้งอยู่มุมห้องผนังด้านหนึ่ง นาฬิกาบานใหญ่ตั้งอยู่ตรงผนังทีมีทางเดินเข้าไปด้านในอีก มีโต๊ะอาหารจัดไว้ตรงกลางห้อง แต่สิ่งที่ทำให้แปลกตาคือหนังสือที่กองตั้งกับพื้นหลากหลายกองและบนชั้นหนังสือที่จัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ คนที่เป็นเจ้าของบ้านคงต้องเป็นบุคคลที่รักษาสุขภาพของตนเป็นอย่างดี
 
                        เพราะว่าเขาไม่เห็นร่องรอยฝุ่นที่มาเกาะอยู่แม้แต่น้อย การจัดวางหนังสือเป็นระเบียบและปราณีตอย่างบรรจงราวกับว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ให้ความสำคัญกับทุกอย่างที่เป็นของเธอไม่เว้นแต่หนังสือ
 
                        แรงกดดันที่เคยมีได้หายไปแล้ว ราวกับว่ามันเป็นเรื่องโกหก
 
                        “มาแล้วหรอ?.....   เข้ามาด้านในสิ” เสียงที่คาดว่าน่าจะเป็นของหญิงสาวดังออกจากข้างในตัวบ้าน  เธอไม่กล่าวอะไรเดินไปข้างในตามคำเชิญชวนของเจ้าบ้าน  โดยที่เขาตามไปติดๆ
 
                        เมื่อมาถึงเธอก็ชวนเขาและเธอนั่งลงที่โต๊ะอาหารเล็กที่นั่งได้ประมาณ 4 คนโดยเขานั่งตรงข้ามกับเธอ มีจานที่วางเตรียมเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว เธอตักเส้นอาหารบางอย่างใส่จานจากกระทะที่เธอทำ ก่อนที่จะขยับนิ้ว พลันแก้วน้ำที่มีน้าสีส้มอ่อนก็ลอยมาแล้วตั้งอยู่ที่โต๊ะ  นั่นทำให้เขาแปลกใจไม่ได้ที่เห็นเวทมนต์ใกล้ขนาดนี้
 
                        “เอ่อ....”  เขากำลังจะกล่าวอะไรออกมา  เธอก็ชิงตัดพูดขึ้นมาก่อน  พลางคิดว่าเวลาเขาจะเอ่ยเรื่องอะไรมักจะมีคนชอบพูดขัดอยู่เรื่อย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขากังวลใจอะไร เพราะยังไงสุดท้ายก็ได้ถามและคำตอบกลับมาอยู่ดี
 
                        “ลองกินก่อนแล้วค่อยถามก็ได้นะเจ้าหนุ่มน้อย”  เธอนั่งลงตรงข้างหญิงสาว เด็กสาวดวงตาสีแดงได้รับการลูบหัวจากเธอ ที่พริ้มหลับตาดูมีความสุข  เมื่อเห็นแบบนั้นเขาก็หวนนึกโลกเก่าที่เด็กหนุ่มจากมา
 
                        ไม่มีการได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่  สายสัมพันธ์ต่างๆก็ไม่มี มีแค่การใช้ประโยชน์จากเขาที่เข้าห้องทดลองในแต่ละวัน มีเพียงเครื่องจักรที่อยู่คอยเป็นเพื่อนที่ไร้ความรู้สึก เขาเล่นกับมันทุกวัน จนไม่รู้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกับพ่อแม่เมื่อไร รู้เพียงว่าเขาอยู่คนเดียว ต้องเอาตัวรอดจากสังคมของผู้ใหญ่ที่ต้องการเขาราวกับเจอขุมสมบัติ  ความเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายเลยเริ่มขึ้นเกิดหลังจากนั้น
 
                        แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องรู้สึกน้อยใจหรืออิจฉาคนตรงหน้านี้  เพราะเขาถือว่ามันเป็นของเธอที่ควรได้รับความอบอุ่นจากผู้หญิงตรงหน้า
 
                        เพียงแค่เขาอยากจะรู้.....   ความอบอุ่นที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจโดยปราศจากความต้องการที่จะใช้เขาเป็นเครื่องมือมันเป็นยังไง?
 
                        เขาไม่เคยได้การกอด การลูบหัว การปลอบโยนหรืออะไรที่มันสามารถแล้วเยี่ยวยาจิตใจได้  ถึงเขาจะมีพ่อที่คอยตามใจของจริง  แต่ก็ไม่เคยได้พบเห็นหน้าตั้งแต่เขาอายุ 7 ปีหรือแม่ที่ยุ่งกับการทำงานที่ต่างประเทศไม่มีเวลามาเหลียวแลหรือโทรมาบอกว่า คิดถึงหรือเป็นห่วงเลย
 
                        พูดง่ายๆ  เขาไม่เคยได้รับความรู้สึกดีๆที่เด็กทุกคนสมควรจะได้  ฉะนั้นไม่แปลกที่เขารู้สึกอยากสัมผัสความรู้สึกนี้ แต่ก็ต้องหาคนที่เอาไว้ใจได้เสียก่อน ไม่งั้นอาจจะเสียใจภายหลังก็ได้
 
                        ลอสม้วนเส้นที่คล้ายสปาเก็ตตี้ขึ้นมา ก่อนจะเอาเข้าปากโดยมีดวงตาสีมรกตของหญิงสาวผู้ที่เป็นเจ้าของบ้านมองดูด้วยสายตาที่อ่อนโยน  ความรู้สึกของเส้นที่นุ่มนิ่มและละลายในปากราวกับจะระเบิดปะทุออกมา  ก่อนจะตักกินอย่างเงียบๆ โดยมีพวกเธอหันหน้ามามองกันแล้วหัวเราะคิกคักก่อนจะนั่งจ้องมองเขากินอย่างสนอกสนใจ
 
                        เมื่อเขากินหมดแล้ว ก็ยกแก้วที่มีน้ำสีส้มอ่อนดื่มมันตามลงไป  รสชาติที่คล้ายกับน้ำส้มในโลกเก่าของเขาหวนขึ้นมาจนสัมผัสได้ กลิ่นอ่อนของผลไม้ชนิดหนึ่งโชยเข้ามาที่จมูก มันหวานและแก้กระหายไปได้มากโข เขาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้วและวางมันลงบนโต๊ะ ก่อนขอบคุณอีกฝ่ายที่ทำอาหารให้เขาทานราวกับรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องมาที่นี่
 
                        “เธอคงมาจากหมู่บ้านที่ห่างไกลละสิท่า”  ดวงตาอันลุ่มลึกและทรงปัญญาเอ่ยถามเขา  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรไปดี  เพราะว่าเขาไม่ได้มาจากหมู่บ้านที่ห่างไกล ทว่ามาจากอีกโลกหนึ่งที่พระเจ้าส่งเข้ามาโลกนี้ตั้งหาก  แต่จะบอกไปก็คงจะไม่เชื่อ ดังนั้นเขาเลยพยักหน้าว่ามาจากหมู่บ้านเป็นคำตอบแทน
 
                        “งั้นเธอคงไม่รู้นะว่า มอนเตอร์จะเก่งเรื่อยๆเมื่อเข้ามาใกล้เมือง และมันจะเก่งเรื่อยๆมากขึ้น ยิ่งเมืองใหญ่หรือศูนย์กลางของอาณาจักร”  เธอกล่าวขึ้น  ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาไม่รู้แม้แต่นิดเดียว
 
                         แหงล่ะ....   รู้ก็ตลกแล้ว เมื่อเขามาจากโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกแห่งการผจญภัยนี้
 
                        “ครับ....  ไม่รู้ครับ”
 
                        “แล้วเธอรู้จัก [Achieve] ไหม?”  เธอเอ่ยถามเขาอีกครั้ง ซึ่งเขาเอียงคอพลางทำหน้าสงสัย  เพียงอีกฝ่ายแค่มองหน้าก็รู้คำตอบเป็นของเขาเป็นอย่างดี พลางเป็นห่วงว่าจะอยู่รอดไปได้ไกลไหม  เพราะเข้าใจถึงสถานภาพของเขาที่มาจากหมู่ห่างไกลไม่มีสิ่งที่มีชีวิตเหมือนอย่างเธอ
 
                        โดยไม่รู้เลยว่า เขามาจากอีกโลกหนึ่ง.......
 
                        “ไม่รู้จักสินะ....”
 
                        “ครับ”
 
                        เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนหันมองหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง
 
                        “ รีเบคก้า ช่วยหน่อยนะ...”  หญิงสาวเอ่ย เด็กสาวที่ช่วยชายหนุ่มนามรีเบคก้าตกใจสะดุ้งโหยง
 
                        “ตะ แต่ว่า....  ตรงนี้มันจะดีหรอคะ?”  พริบตาเธอเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา  เป็นเรื่องที่แปลกมากที่เห็นเธอเป็นแบบนี้ ใบหน้าสีแดงระเรื่อก้มลงพยายามปิดซ่อนอาการเอาไว้ ราวกับท่าทางอันองอาจก่อนหน้านี้เป็นเรื่องโกหกไม่ผิดนัก
 
                        “ถ้าไม่เห็นของจริงก็ไม่รู้นะสิ......”  ดูว่าหญิงสาวต้องการจะให้เขาเห็นอะไรยางอย่าง ซึ่งมันทำให้เธอตอบรับคำพูดอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก
 
                        “ชะ... ช่วยไม่ได้ล่ะนะ  คะ... แค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ”  เธอหันมากล่าวเสียงดังให้กับเขาที่ไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่น้อย  เธอหันหลังให้กับก่อนจะดึงชายเสื้อขึ้นมาแล้วก็.....
 
                        พรึบ
 
                        ถึงเขาจะเป็นศาสตราจารย์หรือมนุษย์ที่ไร้ความรู้สึกอะไรต่อมิอะไร ทว่าเขาก็เป็นผู้ชายเช่นกัน เมื่อคาดการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้แล้ว สมองก็สั่งให้เบือนหน้าหนีโดยพัน  จะให้อยู่เฉยๆได้ไงล่ะ ก็ในเมื่ออีกฝ่ายกลับถลนเสื้อสีขาวขึ้นโดยไม่ถอดเกราะราวกับว่ามันไม่ได้เกะกะตัวของเธอ 
 
                        พลันแผ่นหลังสีขาวดุจหิมะปรากฏต่อสายตา  แต่ดีที่เขาหันหน้าหนีไปอีกทาง เลยมองไม่เห็นชัดเจนและก็มีเสียงของปีศาจที่จะพาเขาทำเรื่องชั่วช้า
 
                        “เธอ หนุ่มน้อยหันหน้ามาได้แล้ว ไม่งั้นจะไปเข้าใจในที่ฉันกำลังจะบอกได้ยังไง”  เธอเอ่ยขึ้นมาราวกับชักชวนดึงดูดให้ทำสิ่งไม่ดีเสียยังนั้น  เขาหันกลับไปอย่างช้าๆ ก่อนจะอ้าปากค้างตามมา
 
                        มันไม่ใช่เพราะร่างกายที่บอบบางอรชรได้สัดส่วนโค้งเว้าหุ่นดีมาก  ทว่าที่เขาอ้าปากค้างเพราะแผ่นหลังของเธอมีลวดลายอักขระที่เขาอ่านไม่ออกอยู่บนหลังของเธอและดูท่าจะไม่ใช่เป็นสีหรือหมึกที่มาป้ายเล่นๆ  อักษรพวกนี้เขาดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนำมือไปแตะแผ่นหลังของเธออย่างแผ่วเบา
 
                        “อ๊ะ อ๊า.....”  เสียงครางอันไม่พึงประสงค์เล็ดลอดจากปากของเธอ  ทว่าเขาไม่มีอารมณ์ด้านความชั่วร้ายอยู่เลย ราวกับว่าสนใจรอยสักนี้
 
                        “นี่มันคืออะไรกัน?....”  ลอสเอ่ยถาม เขาแปลกใจไม่น้อยที่มีรอยสักบนแผ่นหลังของเธอ ก่อนหันหน้ามามองดวงตาอันลุ่มลึกของอีกฝ่าย
 
                        “หรือว่านี่คือ Achieve ที่คุณบอกยังนั้นหรือ?”  เขาเอ่ยถามอีกครั้ง อีกอย่างพยักหน้าเบาๆเป็นคำตอบให้กับเขา
 
                        “Achieve คือพลังที่ได้รับประทานจากเทพ เพื่อเพิ่มความสามารถทางร่างกายหรือถ้าคิดในแง่มุมหนึ่งก็คือ เพื่อให้อยู่รอดจากโลกแห่งนี้ มันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะต้องมี Achieve   ยกเว้นแต่ คนที่ห่างไกลจากหมู่บ้านมากๆ ที่เทพทั้งหลายจะดูแลไม่ถึง”  เธอเอ่ยออกมา ก่อนจะเชิญให้เขานั่งลงและเริ่มเปิดปากอธิบาย
 
                        “โลกแห่งนี้ไม่ว่าใครก็ตาม เหล่าเทพ มาร อสูร ดาราจักร มังกร สิ่งมีชีวิตที่มีพลังที่ยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อยจะอยู่รวมกัน ไม่มีสงคราม ไม่มีการแก่งยิงที่ดิน ทรัพยากรหรืออะไรก็ตาม พูดง่ายๆเป็นโลกที่สงบสุข พวกเขาจะอยู่ร่วมกันและคอยช่วยเหลือประชาชนของโลกนี้โดยให้ Achieve ถ้าจะเรียกถูกต้องก็คือ  ‘พรแห่งความอารีของเทพธิดา’  แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเทพเสมอไป”
 
                        “ [Achieve] จะมีชื่อเรียกต่างกันไปตามเผ่าพันธุ์ที่เป็นผู้ให้พลัง อย่างเช่น ชองมารจะเรียกว่า  พรแห่งความกล้าหาญ หรืออย่างอสูร ก็จะเป็น อสุระสัจจะ”
 
                        “มันคล้ายๆกับพันธะสัญญาระหว่างเทพองค์นั้นกับผู้ที่ได้รับพลังเป็นผู้สืบทอด”  เธออธิบาย ก่อนจะหยุดพูด เมื่ออีกฝ่ายยกมือถามอะไรบางอย่าง
 
                        “แล้ว Achieve มันเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเราหรือเปล่า?”  ลอสถามจากที่ฟังทุกอย่างมาจากเธอเข้าใจหมด เว้นแต่เรื่องนี้ที่เขาสงสัย เพราะมันน่าจะเกี่ยวกับอะไรกันบางอย่าง
 
                        “ถามได้ดี.....”  เธอยกน้ำสีส้มขึ้นดื่มเล็กน้อย ก่อนวางมันลงแล้วเล่าต่อ
 
                        “อย่างที่เธอเห็น Achieve มันเป็นอักขระที่ต้องสลักเอาไว้บนตามตัวของร่างกาย  มันเกี่ยวข้องตอนที่ทำพิธีกรรมการเพิ่มพลังโดยการวาดอักขระทับเพื่อเพิ่มขีดจำกัดของร่างกาย  Achieve เป็นอักขระโบราณทางพันธะสัญญาประมาณนั้น” เธอเอ่ยขึ้นก่อนจะสั่งให้หญิงสาวนามรีเบคก้าไปนอนบนเตียงที่ติดกับผนังเอาไว้
 
                        ก่อนเธอจะเดินตามไปกล่าวทิ้งท้ายให้รู้สึกสงสัย
 
                        “ถ้าอยากรู้ก็ตามมา.....”  เธอเอ่ยก่อนจะเดินไปหารีเบคก้าที่นอนแผ่ไปกับเตียง โดยที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเห็นแผ่นหลัง  เขาที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้จึงเดินตามไปอย่างว่าง่าย เพราะต้องการรับรู้ข้อมูลมากมายกว่านี้และการที่เห็นของจริงนั้นมันสามารถตอบคำถามเขาได้มากกว่าการจินตนาการ
 
                        ดวงตาสีเขียวมรกต ร่างของเธอขึ้นไปนั่งคร่อมทางด้านหลัง ก่อนจะกล่าวกับอีกฝ่าย
 
                        “พร้อมนะ รีเบคก้า”  เธอเอ่ยถามเด็กสาวที่เปลือยท่อนบนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางได้รับคำตอบจากเด็กสาว
 
                        “ค่ะ”  รีเบคก้าสูดลมหายใจลึกๆเข้าสู่ปอดแล้วถอนหายใจออกอย่างช้าๆ  เรียกอารมณ์ให้กลับมาปกติ  เขามองพวกเธอดวยสายตาใคร่อยากรู้
 
                        พลันวงเวทย์สีฟ้าปรากฏขึ้นมารอบตัวของพวกเธอ มันครอบคลุมเป็นเกราะที่พื้นมีอักขระที่ดูตาลาย นิ้วเรียวงามของหญิงสาวปรากฏแสงสีเขียวอ่อน บรรจงแตะแผ่นหลังที่ขาวเนียนของเด็กสาวและลากตามลวดลายที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น การทำพิธีดำเนินไปอย่างช้าๆ แต่มันไม่สามารถละสายตาของชายหนุ่มออกไปได้ ก่อนที่นิ้วเรียวงามนั้นจะลากมาบรรจบที่จุดเริ่มต้น  แสงสว่างก็ปรากฏขึ้นมา
 
                        พลางที่รับเสียงอุทานตกใจเบาๆ
 
                        “เพิ่มมาเยอะเหมือนกันนะ รีเบคก้า.....”  เจ้าของบ้านเอ่ยขึ้น ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบเธอกลับไป
 
                        “ขอบคุณค่ะ”
 
                        “คืออะไรครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจ?”  มีเพียงชายหนุ่มต่างโลกที่มองทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ
 
                        “นี่คือพิธีกรรมยังไงล่ะ....” หญิงสาวที่ลุกจากหลังของเด็กสาวแล้วตอบขึ้น หลังจากปล่อยให้ใส่เสื้อผ้าไป
 
                        “Achieve เป็นอักขระที่จะรองรับ ประสบการณ์ของเราจากการสังการมอนเตอร์เพื่อมาอัพสเตตัสหรือขีดความสามารถของตัวเอง โดยต้องผ่านพิธีกรรม”  เธออธิบาย ซึ่งพอถึงตรงนี้เขาก็ถึงบางอ้อ
 
                        มันก็เหมือนกับเกมRGP เก็บเวลทั่วๆไป ที่เมื่อเวลาฆ่ามอนเตอร์แล้วจะได้ Exp แต่ว่าประสบการณ์นี้มันก็ประสบการณ์ดิบที่ต้องการกลั่นเหมือนการกลั่นน้ำมันนั่นเอง เขาครุ่นคิดอะไรบอกอย่างก่อนจะถามอีกฝ่ายเป็นชุด
 
                        “แล้วถ้าการฝึกฝนเพื่อให้ขีดจำกัดของเราเพิ่มขึ้นมันได้ไหม?”  อันนี้คือสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว หลังจากที่รอดตายจากดาร์กแวร์วูฟ  แต่ก็ก็ยังอยากได้ยินจากผู้รู้เรื่องนี้ดีมากกว่า
 
                        “ทำได้แต่ไม่แนะนำให้ทำ ต้องการฝึกฝนแบบนั้นกว่าค่าสเตตัสของเราจะเพิ่มขึ้นนี่มันยากมากกว่าการฝึกเด็กทารกให้พูดซะอีก” เธอพูดด้วยรอยยิ้ม เพียงรอยยิ้มเธอใสสื่อบริสุทธิ์ราวกับเห็นเขาเป็นเด็กที่ควรได้รับการแนะนำ
 
                        “แล้วประสบการณ์ได้จากการฆ่ามอนเตอร์มันสามารถเอาไปทำอะไรได้บ้างครับ” เขาเอ่ยถามอีกครั้ง ซึ่งก็ได้รับการตอบอย่างดี
 
                        “ประสบการ์สามารถทำได้ 4 อย่างนั่นคือ.....”
 
                        “หนึ่ง สามารถอัพเลเวลของตัวเราได้หรือเพิ่มขีดความสามารถ เมื่อเลเวลเยอะก็สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ แต่ความเก่งกาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับเลเวลหรอกนะ....” เธอเอ่ยอะไรบางอย่างที่เป็นคำบอกใบ้ของเขา  นั่นทำให้เขารู้ได้ทันทีว่า เลเวลเยอะใช่จะเก่ง เพียงแต่เรียนรู้อะไรได้มากกว่าก็เท่านั้นเอง
 
                        “สอง สามารถนำไปอัพสเตตัสโดยผ่านพิธีกรรมทางพันธะสัญญาที่ฉันทำให้ดูเมื่อกี้นี้  ยิ่งประสบการณ์เยอะยิ่งได้รับค่าสเตตัสเยอะ แต่ว่ามันก็ไม่จำเป็นเสมอไปหรอกนะ”
 
                         เธอกล่าวเป็นนัย  นั่นหมายถึงว่า ยิ่งเจอตัวที่เก่งหรือมอนเตอร์ที่ทำให้เราสามารถแสดงความสามารถของตัวเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ค่าสเตตัสของเราก็จะได้มากขึ้น ถึงแม้เลเวลมอนเตอร์จะน้อยก็ตาม เหมือนเขาวิ่งหนีสุดชีวิตจากหมาป่าทมิฬ แต่ค่าสเตตัสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วรึเปล่า?
 
                        “สาม สกิล  เมื่อมีค่าประสบการณ์สะสมที่เก็บเอาไว้ก็สามารถเลือกเรียนสกิลได้จากคนที่ยอมสอนเราให้ อย่างเช่น นักบุญที่โบสถ์หรือคนที่เป็นเจ้าของสกิล”
 
                        “อย่างสุดท้ายเอาไว้ปลดล๊อคอะไรบางอย่าง อย่างเช่นดันเจี้ยนบางแห่งที่ต้องใช้ประสบการณ์ในการเปิดประตูหรือเปิดสมบัติตามดันเจี้ยน”  เธอเอ่ยขึ้นมา ซึ่งทำให้เขาเข้าใจอะไรที่เคยสงสัยหายไปหลายส่วน
 
                        “แล้วระดับพวกอาวุธ ชุดเกราะ สกิล สเตตัสนี่มันมีไหมครับ?”  นี่คือเรื่องสุดท้ายที่เข้าจะถามหลังจากที่สงสัยจากการดูหน้าต่างสถานะของตัวเองที่ค่าสเตตัสมันขึ้นระดับ F แล้วคิดว่าถามไปมากกว่านี้มันไม่ได้นัก เป็นการรบกวนเธอเปล่าๆ แล้วอีกอย่างเขาอยากจะออกไปเดินที่ตลาดแล้ว
 
                        “มีจ๊ะ ถ้าเป็นค่าสเตตัส ระดับสูงสุดที่สามารถมีได้คือ S หรือ Legend จ๊ะ ส่วนอาวุธ เครื่องประดับ ชุดเกราะ สกิล มีระดับที่ S เหมือนกัน...”
 
                        “จะเรียงระดับตามนี้  S  Legend , A B  Special , C D  Rare และ E F Normal ”  เพียงคำกล่าวแค่นั้น ชายหนุ่มหันหน้าพรึบกลับมามองอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
 
                        “แล้วพวก SSS SS ไม่มีหรอครับ?”  คราวนี้การกล่าวของเขาทำให้อีกฝ่ายชะงักนิ่งค้างไป รีเบคก้าก็เช่นเดียวกันหลังจากที่กลับมานั่งที่เดิมของตน ราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดเรื่องที่ไม่ควรควรพูดออกไป ความเงียบเข้าปกคลุมอย่างไม่ทราบสาเหตุ บรรยากาศมาคุอึมครึมก่อตัวบนโต๊ะอาหาร ดวงตาสีมรกตจริงจังมองเขาราวกับสังเกตุอะไรบางอย่างก่อนถอนหายใจยาวๆออกมา
 
                        “เหอะๆ  เธอนี่ตลกจัง  สกิลระดับนั้นไม่มีหรอกนะ พวกเราหรือเทพองค์อื่น เผ่าพันธุ์อื่นด้วยมั่ง ไม่มีใครมีหรอก  ถึงมีไปถ้าสืบทอดให้กับคนอื่นไปก็ไม่สามารถใช้มันได้ เพราะร่างกายจะรับไม่ไหวเอา....”   เธอโบกมือหย็อยๆ ราวกับเรื่องที่เขาพูดเป็นเรื่องตลก ก่อนที่จะเขาถอนหายใจออกมา พลางเก็บความลับที่เขามีสกิลระดับ SSS และ SS เอาไว้ไม่ให้ใครรู้และจะไม่พูดมันออกมา
 
                        แต่ถ้าเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดมา มันก็เป็นสกิลที่เขาไม่สามารถใช้มันได้หรือสกิลขยะอย่างดีนี่เอง  แต่เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะใช้มันให้ได้ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที ก่อนจะขอตัวอีกฝ่าย
 
                        “งั้นผมขอตัวนะครับ....”  ลอสเอ่ยอย่างสุภาพและเดินออกไปจากบ้าน ทว่าก็โดนอีกฝ่ายพูดขึ้นนัดเขาที่กำลังจะเดินพ้นประตูบ้านเสียก่อน
 
                        “เธอน่ะ ไม่มีบ้านไม่ใช่หรอ?”
 
                        “แล้วเรื่องอาหารการกินล่ะ?”
 
                        “เมื่อวันก่อนเธอเพิ่งโดนเล่นงานจากหมาป่าทมิฬไม่ใช่หรือไง อยากจะโดนมันคาบไปแทะเป็นกระดูกรึ? ”
 
                        และคำพูดอีกสารพัดที่เอ่ยขึ้น ให้เขาลืมนึกเรื่องนี้ได้สนิท.....
 
                        มาจากต่างโลก....   ไม่มีบ้านให้กลับ.....  วันแรกก็เกือบเอาชีวิตไปทิ้ง.....  ไม่มีเงิน......   อาหารจะหายังไงในเมื่อหมาป่ายังฆ่ามันไม่ได้สักตัว.....
 
                        เพียงแค่นั้นเขาก็ชักเท้ากลับเข้ามาในบ้าน พลางเดินกลับมานั่งเก้าอี้ตัวเดิมที่เห็นอีกฝ่ายเผยรอยยิ้มกว้างขึ้น
 
                        “งั้นผมขออยู่นี่ด้วยคนครับ”  สุดท้ายจนแล้วจนรอดก็เอ่ยปากขอร้องอีกฝ่าย
 
                        .....ช่วยไม่ได้นิน่า  ใครเขาจะไปยอมนอนข้างทางกันล่ะ ในเมื่อมีที่ดีกว่า.....
 
                        “ได้สิ ฉันจะให้เธออยู่ที่นี่ไปสักพัก ช่วยสอนทุกอย่างให้แก่เขาด้วยนะ รีเบคก้า”  เธอหันไปพูดกับเด็กสาวที่อยู่ข้างกาย เธอพรักหน้ารับลงเบาๆ แม้ใจจริงก็ไม่อยากจะช่วยคนที่มามองหน้าอกและมาจับหลังของเธอโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ตามที  แต่มันคำสั่งของอาจารย์ดังนั้นเธอจึงไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะถ้าไม่มีอาจารย์เธอคงไม่ได้มาถึงนั่งอยู่ตรงนี้อย่างแน่นอน
 
                        “อ๋อ.....  คิดว่าเธอหลังนี้เสมือนเป็นบ้านของเธอก็แล้วกัน หนังสือทุกเล่มที่อยู่ในบ้านหลังนี้สามารถอ่านมันได้ทั้งหมด และอีกอย่างที่เธอควรรับรู้เอาไว้....”   พลันสายตาและบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วราวกับมีพายุโหมพัดกระหน่ำ รู้สึกสมองแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อได้รับสายตาที่ทรงอำนาจกว่าจากอีกฝ่าย มองค้นหาอะไรบางอย่างมองทะลุข้างในเข้าไป
 
                        “....คนที่กำลังคุยกับเธอคนนี้ คือเทพีแห่งสงคราม  อาเธน่า .......”
 
 
 
 
 
                           ------------------------------------------------------

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา