The World of Dungeon นี่นะหรือคือโลกดันเจี้ยน?

8.3

เขียนโดย Cristena

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 22.34 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,166 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558 22.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) Dungeon005 : เหตุการณ์ในหมู่บ้าน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                       Dungeon005 : เหตุการณ์ในหมู่บ้าน

 

                        เคร้ง!  เคร้ง!

 

                        เสียงของโลหะที่กระทบกันดังสนั่น ชายของบุรุษชายหนุ่มที่ประดับด้วยดวงตาสีดำนิล พุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายอย่างห้าวหาญ ร่างของเขารำกับภูตพรายที่กำลังร่ายรำ วิชาจากศาสตร์แขนงต่างๆที่ได้รำเรียนมา ถูกใช้ออกมา

 

                        ท่วงท่าที่ไร้จุดอ่อนปิดทางหนีของอีกฝ่ายเอาไว้หมด ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่คิดหนี ร่างของหญิงสาวผมสีดำยาวกลางหลัง เธอตีลังกากลางอากาศหลบดาบของอีกฝ่ายที่แทงเฉียดใบหน้าไปเพียงแค่คืบเดียว

 

                        เธอตวัดดาบเล็กน้อยจากฝ่ามือ พลันดาบเปลี่ยนทิศทางมาป้องกัน ก่อนจะเข้าสู่กลางลำตัวของอีกฝ่าย

 

                        อีกฝ่ายเห็นแทงดาบด้ามคมด้านเดียว พลันกระตุ้นความคิดที่ในการแก้สถานการณ์ตรงหน้าขึ้นมาเป็นสิบรูปแบบ พลางเลือกออกมาหนึ่งแบบ  เขาก้มโดยการเอนไปด้านหลัง  ก่อนที่ปลายดาบไปได้เฉือนเนื้อของเขาออกไป 

 

                        และพุ่งดาบเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างดุเดือด  การสู้ที่แทบไม่รู้ผลคำตอบ นั้นทำให้ฝ่ายชายหนุ่มคิดสนุก ทว่าใบหน้ากลับนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เลือดในร่างกายสูบฉีดแล่นพล่านไปทั่วร่าง  ราวกับว่าโหยหาความรู้สึกแบบนี้มานาน....

 

                        .....ความรู้สึกของคนที่มีความเก่งกาจเทียบใกล้กัน.....

 

                        อาจจะพูดได้อย่างว่า ความรู้สึกของคนที่อ่อนแออกว่าจะไม่สามารถรับรู้ได้  ในสายตาของพวกเขาอาจจะเห็นเพียงแค่เงาลางๆ เพียงแค่นั้น

 

                        การฟาดฟันดาบที่ถี่ยิบของชายหนุ่มรวดเร็ว ที่คนธรรมดามาเห็นแล้วอาจคิดว่า “สัตว์ประหลาด”  แต่ถึงอย่างนั้น มันไม่สามารถแตะตัวเข้าใกล้อีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย คมดาบและความเร็วไม่สามารถสัมผัสอีกฝ่ายได้เลย  แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มที่เป็นผู้วาดลวดลายก็ยังคงใจเย็นและไม่สะทกสะท้าน

 

                        เพียงแต่ตอนนี้ ถึงเวลาที่อีกฝ่ายโต้กลับแล้ว  กระบวนท่าที่เธอฟาดฟันออกมามันปิดหนทางหนีให้แก่ชายหนุ่ม ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อเจอเคยเจอแบบนี้มาแล้ว

 

                        เคร้ง! เคร้ง!

 

                        เขาตวัดดาบขึ้นด้านบนที่มีดาบของอีกฝ่ายฟันลงมา ก่อนฟาดฟันมาด้านข้างที่มีคมดาบของอีกฝ่ายมาตอนไหนไม่รู้  พลางกระโดดถอนห่างออกมาจุดที่ยืนอยู่โดยพัน  ได้ยินเสียงโลหะอันเย็นเชียบฟันกลางอากาศ

 

                        เธอเดาะลิ้นขัดใจ “ชิ” เบาๆ  ชายหนุ่มเพียงแค่จับจ้องอีกฝ่ายเท่านั้น จดจ่อกับการต่อสู้ที่เอาถึงชีวิต แม้มันจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ตาม

 

                        เธอตั้งท่ายกดาบที่ถืออยู่ด้านขวาขึ้นมาตั้งฉากกับพื้น เพียงแต่ปลายดาบมันชี้ไปทางขวา  ส่วนมือซ้ายกับนำไปไว้ด้านหลัง  ทั้งที่ดูมีจุดอ่อนอยู่เต็มไปด้วย ทว่าด้วยสายตาของชายหนุ่มกลับดูรู้ว่า ท่าที่เต็มไปด้วยการป้องกันที่จะพร้อมสวนกลับอยู่ทุกเมื่อ 

 

                        บรรยากาศอึดอัดที่กดดันส่งผ่านอากาศไปให้ชายหนุ่ม เขาไม่สะทกสะท้านกับบรรยากาศเหล่านั้น ราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่อากาศสบายๆสำหรับที่เคยเจอมาหนักกว่านี้

 

                        เขาตั้งท่าเตรียมพร้อมเช่นเดียวกัน  มีดสั้นที่ยาวเพียงหนึ่งฟุตยื่นมาด้านหน้า แขนไม่ได้เหยียดสุด ข้อมือเอียงเล็กน้อย  สูงประมาณช่วงหน้าอกเขา  บรรยากาศที่แผ่ออกมากลับเป็นความว่างเปล่า ไม่มีรังสีฆ่าฟัน อำมหิหรือกดดัน มีเพียงความว่างเปล่า ราบเรียบ ทว่ากลับเต็มไปด้วยความหนาวเย็นจับใจ มันเย็นยะเยือกจนไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิที่แผ่ออกมาจากร่างกายทั้งที่มีเหงื่อไหลอาบทั่วร่าง

 

                        เสี้ยวพริบตาทั้งคู่ก็ดีดตัวจากจุดที่ยืนอยู่ พุ่งเข้าหาใส่กันเป็นเส้นตรง ก่อนจะปรากฏตรงข้ามกันกับจุดที่ยืนอยู่  เธอคลี่ยิ้มบางๆก่อนจะหันกลับมามองอีกฝ่าย

 

                        ที่กำลังยืนอยู่นิ่งๆไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาราวกับว่าเป็นเครื่องจักรที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก แต่นั้นเธอก็รู้อยู่แล้ว  ก่อนที่อีกฝ่ายชายหนุ่มผมสีดำ ดวงตาสีนิจถอนหายใจยาวๆออกมา

 

                        “ผมแพ้เธอแล้ว รีเบคก้า”  พลันชายหนุ่มเอ่ยจบ ใบมีดประมาณหนึ่งฟุตก็แตกทีละเล็กทีละน้อย ก่อนมันหันครึ่งตรงกลาง  เขาหันไปกลับมามองเธอที่ยังคงแสดงรอยยิ้มบนหน้าไม่จางหายไป

 

                        ลอสเอ่ยกับเธอเบาๆและเดินเข้าไปหาเธอที่กำลังฉีกยิ้มกว้างจนเขารู้สึกแปลกใจ

 

                        “เปล่าเลย.....  นายฉันชนะตั้งหาก ดูนี่”  เธอบอกเขาก่อนจะชี้ยังแขนของเธอ เมื่อสังเกตดีดีจะพบว่ามันมีรอยอะไรบางอย่างที่คล้ายกับรอยตัด ซึ่งไม่ใช่อะไรอีกนอกจากมีดของเขาที่ฉีกเสื้อของเธอจนขาด

 

                        “งั้นหรอ.....”   เขาเปรยขึ้น ก่อนจะไม่มีบทสนทนาอะไรขึ้นมาอีกจน รู้สึกอึดอัด ก่อนที่เธอจะฝ่ายเริ่มคุย

 

                        “แต่นายนี่เป็นคนธรรมดาแน่หรือ?  ฉันหมายถึงนายที่ไม่ได้รับAchieve จากใครเลย...”   เธอเอ่ยอย่างสงสัย   คำถามของเธอมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับเขาที่เคยถูกถามคำถามนี้มาก่อนแล้วจากโลกเก่า เพียงเปลี่ยนคำถามนิดหน่อย

 

                        ‘นายมันใช้คนแน่หรอ?   เก่งเกินที่จะเป็นมนุษย์แล้ว’   นั่นคือคำถามที่ทุกคนเอ่ยถามถึงกันในโลกเก่า  ความสามารถทางศักยภาพทางร่างกายและสมองอันชาญฉลาด ที่ไม่เคยมาตั้งแต่หมดยุคของคิม อึงยองหรือบุคคลที่ถูกเรียกว่าผู้ที่ฉลาดที่สุดโลกก็ว่าได้ เขามีไอคิวสูงถึง 210  แต่นั่นก็ไม่ได้ประเด็นสำคัญอะไร

 

                        “คนธรรมดาที่กินข้าวตามปกติเหมือนกับเธอนั่นแหละ.....”  เขาไม่ตอบอะไรมาก  ก่อนจะเพิ่งมารู้ตัวว่าชนะเธอ  ทว่าผลชนะก็ไม่ได้มีอะไรมากมายสำหรับเขา

 

                        วันนี้เป็นสัปดาห์ที่ 2 หลังจากเขามาอาศัยบ้านของเทพอาเธน่า เธอบอกว่าถ้าอยากอยู่ที่นี้ก็อย่ามาเป็นภาระให้แก่เธอ นั่นหมายความว่า เขาต้องช่วยเธอทำงานบ้าน ไม่ว่าปัด กวาด เช็ดหรือถู  หรืองานอื่นๆที่มีไม่ควรนิ่งดูดาย  เขาก็จัดการโดยใช้เวลาที่ไม่ถึง ครึ่งวันในการทำความสะอาดบ้านยกใหญ่ หลังจากที่เธอกลับมาจากไปซื้อของที่ตลาด

 

                        แน่นอนส่วนใหญ่ที่เธอซื้อจะเป็นพวกหนังสือซะมากกว่า ก่อนจะได้รับการจัดเข้าที่เป็นหมวดหมู่ตามที่สมควรจะอยู่  หลังจากนั้นเขาที่อยู่บ้านเบื่อๆก็คำอนุญาตเธออ่านหนังสือที่เธอมี นั่นทำให้เขาได้รู้เกี่ยวกับโลกแห่งนี้เพิ่มรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ

 

                        อย่างแรกก็คงจะเป็นการอัพเกรดสกิล ที่ต้องใช้หนังสือหรือตำราสกิลที่เรามีเหมือนสกิลมาอัพเกรดเพื่อให้เปลี่ยนขั้น  การเปลี่ยนขั้นนั้นหมายถึง  E ไป D , C ไป B โดยต้องใช้ตำราสกิล ทว่า C ไป B จนถึง A ไป S ต้องใช้แร่เข้ามาในการอัพเกรดด้วยเช่นกัน การอัพเกรดต้องมีสกิลที่มีอยู่ก่อนแล้วมาอัพเกรดเพื่อให้อัพไปขั้นต่อไป ส่วน F ไป E นั้นจะใช้ประสบการณ์แล้วก็เงิน

 

                        เงินในโลกนี้จะเรียกว่า  ดัน(Dun) ซึ่งก็เหมาะสมกับชื่อของโลกนี้ดี ซึ่งมารู้ได้จากที่เขาออกไปซื้อของให้อาเทน่า ทว่ากลับไม่มีเงินสักดันเดียวนั่นเอง ช่างเป็นเรื่องที่น่าขายหน้าเสียจริง 

 

                        เวทมนต์ธาตุหลักๆได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุที่ไม่เกี่ยวข้องกับธาตุมี สายฟ้า น้ำแข็ง ความมืดและแสงสว่าง ซึ่งต้องยืมพลังจากธรรมชาติเพื่อที่จะให้ใช้ได้และมันจะใช้พลังชีวิตของเราด้วยเช่นกัน  เมื่อเราใช้จะรู้สึกเหนื่อยหรือหมดแรง นั่นคือผลกระทบของเวทมนต์  แต่ถ้าเรียนจนเชี่ยวชาญแล้วก็สามารถใช้ได้อย่างสบาย

 

                        รูปแบบของเวทมนต์มีหลายลักษณะ เช่น  อยู่ในรูปแบบของวงเวทย์ลงอาคม  การเขียนใส่ในยันต์ การร่ายมนต์ ซึ่งผลความรุนแรงของเวทมนต์จะแตกต่างกัน  อย่างวงเวทย์จะสามารถแสดงประสิทธิภาพได้มากสูงสุด แต่ต้องแลกด้วยเวลาที่เสียไปกับการวาด  การเขียนใส่ยันต์แสดงประสิทธิได้ไม่เต็มที่ เพราะต้องคอยระวังไม่ให้กระดาษยันต์ขาด เพราะเมื่อขาดแล้ว เวทมนต์จะไร้ผล เสียหายเปล่าๆ ซึ่งจะทดแทนด้วยการพลิกแพลงตามของแต่ละคน ส่วนร่ายเวทย์ คือการร่ายออกมาเป็นคำพูด ซึ่งอันนี้ร้ายแรงที่สุดถ้าเมื่อพลาด เพราะเวทมนต์จะสะท้อนมายังตัวเราทันที การร่ายต้องไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่ตัวเดียว ถึงจะแสดงผล  เหมาะสำหรับคนที่เป็นจอมเวทย์อย่างมาก

 

                        ประเภทของมันหลายประเภทเช่นกัน

 

                        เวทมนต์โจมตี  เวทมนต์สนับสนุน เวทมนต์ป้องกัน เวทมนต์เขตแดน และเวทมนต์คำสาป ซึ่งประโยชน์ของแต่ละประเภทก็แตกต่างกันไป

 

                        แต่ถึงจะเป็นเวทมนต์ประเภทไหน มันก็เรียนรู้ยากพอๆกับการฝึกพูดภาษาอื่นนั่นแหละ

 

                        นี่คือคร่าวๆหลังจากที่ได้อ่านหนังสือในบ้านของอาเธน่าจนครบทุกเล่ม โดยใช้เวลาเพียงแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น ซึ่งดูเธอตกใจอย่างมากที่อ่านหนังสือเป็นพันๆเล่มโดยแทบไม่ออกไปไหน หนังสือพันเล่มเธอใช้เวลาอ่านสองสัปดาห์กว่าจะจำได้หมด  ทว่าชายหนุ่มกลับใช้เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์  เหนือความคาดหมายอย่างมาก 

 

                        ซึ่งแน่นอนที่เขาอ่านได้เร็วนั่น เพราะมาจากการที่เขาชอบอ่านหนังสืออยู่แล้วด้วย  เวลาว่างๆหลังจากไม่เข้าห้องทดลอง เขาก็ใช้เวลาอ่านหนังสือซะส่วนใหญ่  แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องตกใจอะไรมากนัก ทำให้ได้ทักษะการอ่านหนังสือที่เพิ่มจนถึงเลเวล  78 ซึ่งเป็นทักษะที่สูงที่สุดในตอนนี้

 

                        พอมาสัปดาห์ที่สอง เขาก็อยากฝึกการต่อสู้ เพื่อเพิ่มค่าสเตตัสอันต่ำราบดิน  โดยไปขอรีเบคก้ามาช่วยฝึก  ซึ่งเธอปฏิเสธทันควัน ก่อนยอมอ่อนข้อให้ในที่สุดหลังจากที่อาเธน่ามาเกลี่ยกล่อมเธอให้ช่วยฝึกให้แก่เขา  ที่เขากำชับว่า “เอาจริง”

 

                        เพียงแค่วันแรกเธอก็ต้องตกใจและเปลี่ยนความคิดใหม่เสียหมด หลังจากที่ได้เห็นการเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายลม ถึงความเร็วเธอมากกว่าเขาอยู่มากโข  แต่ก็อดที่จะทึ่งกับอีกฝ่ายไม่ได้ ทั้งที่ไม่ได้รับ [พรแห่งความอารีของเทพธิดา]  การต่อสู้นั้นดำเนินยาวนานถึง 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว  ก่อนที่ชายหนุ่มจะฝ่ายแพ้ให้แก่เธอ เพราะมีดหักครึ่งท่อน

 

                        วันที่สองและสามต่อมาเรื่อยๆ   เธอก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อการเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนไปทุกวันราวกับว่าวันแรกแค่ซ้อมลองเชิง  ก่อนจะเป็นฝ่ายชายหนุ่มพ่ายแพ้ให้กับเธอ มีดไม่สามารถเข้าไปสัมผัสเธอได้เลย  จนมาวันนี้วันที่เจ็ดของการฝึกหรือก็คือครบหนึ่งสัปดาห์  อีกฝ่ายสามารถชนะเธอได้ มีดได้เฉือดชายเสื้อของเธอไป

 

                        เขาและเธอมีข้อตกลงกันว่า ‘ถ้าเขาสามารถแตะตัวเธอได้ด้วยอะไรก็ตาม เธอจะพาออกไปนอกเมือง ไปเข้าดันเจี้ยน’  ซึ่งเขาก็ทำได้เป็นเรียบร้อยแล้ว  จะได้รับการชมว่าความเร็วแบบนั้นทัดเทียบพอๆกับนักผจญภัยเลเวล 3 เลยทีเดียว

 

                        นักผจญภัยหมายถึง คนที่มีเป้าหมายจะพิชิตดันเจี้ยนหรือเดินทางรอบโลกเพื่อแสวงหาความสนุก  อย่างเช่นเธอเองก็เป็นนักผจญภัย ครั้งหนึ่งเคยลองขอดูค่าสเตตัสของเธอ เธอก็ให้ดูโดยดีราวกับว่ารู้อยู่ก่อนแล้ว พบว่ามันสุดยอดมาก

 

                       

   ค่าหน้าต่างสถานะตัวละคร

     L.V.  5                           รีเบคก้า                       Exp.   54,890          

   Status[สเตตัส]

   Strength(STR)  :   4357   ระดับ  :  D                 Agility(AGI)  :   6892       ระดับ  :  D

   Itelligent(INT)  :   3784   ระดับ  :  D                 Acessary(ACC)  :  5310  ระดับ  :  D

   Luck(LUGK)  :     2803   ระดับ  :  D                  Ability(ABI)  :   4658      ระดับ  :  D

   รวม                     27,804               ระดับ  :   D

 

 

                        ซึ่งเธอบอกว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ต้องผ่านอะไรมากมายมาแทบนับไม่ถ้วน ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปีกว่าจะมาถึงจุดนี้  แน่นอนว่าเธอได้รับการเป็นนักผจญภัยจากคนในหมู่บ้านอย่างแท้จริง   คนที่จะไปพิชิตดันเจี้ยนไม่มีกำหนดเลเวล ทว่าควรมีเลเวลมากกว่า 5 เป็นอย่างน้อย

 

                        และเธอก็พร้อมที่จะไปลงดันเจี้ยนแล้ว แต่ติดที่ต้องพาเขาไปด้วย เธอเลยเลื่อนกำหนดการพิชิตดันเจี้ยนเอาไว้คราวหน้า  ตอนนี้พาเขาเข้าดันเจี้ยน เพื่อไปลองซะก่อน

                       

                        ตอนนี้ถึงเวลาเที่ยงเศษๆ ลอสเดินออกมาด้านนอกบ้าน ก็จะมุ่งหน้าไปตลาดเพื่อหาซื้อวัตถุดิบที่จะมาทำกับข้าว  การเดินไม่เร่งรีบ เพราะรีเบคก้าก็ออกมาด้วยเช่นกัน  ทว่ากลับไม่มีคำพูดอะไรเอ่ยเอื้อนออกมา ให้บรรยากาศมันพาไป  เขามองซ้ายขวาหลังจากมาถึงตลาด ซึ่งไม่ไกลจากบ้านของอาเธน่ามากนัก 

 

                        เสียงตะโกนโวกเวกเรียกลูกค้า เสียงการต่อรองราคาและอื่นๆอีกมาก  ทำให้ตลาดในช่วงกลางวันคึกคักเป็นอย่างมาก  เขาหยิบกระดาษที่จดรายละเอียดวัตถุดิบทำอาหารขึ้นมาอ่าน  ก่อนจะเดินตรงไปยังแผงลอยขายของ  การซื้อของไปได้อย่างราบลื่น  ทั้งหมดหมดเวลาไปเพียง สามสิบนาทีก็ได้ของที่ครบทุกอย่างตามทีต้องการ ก่อนจะเดินกลับไปยังบ้านของอาเธน่า  พลันสายตาก็เหลือบไปมองด้านหลัง

 

                        พบว่า เขากับรีเบคก้าคาดกันซะแล้ว.....

 

                        พลางยกมือขึ้นมาเกาหัว ในหัวก็คิดอาจจะกลับไปบ้านของอาเธน่า เพื่อให้เธอเอาวัตถุดิบไปทำอาหารเย็น เพราะคาดว่าตอนนี้น่าจะไม่ทันแล้วสำหรับอาหารเที่ยง ก่อนจะหันไปมองบ้านที่อยู่หลังสุดท้าย ที่เป็นบ้านสองชั้นอยู่ไกลลิบๆ  ก้มหัวเล็กหน่อยเป็นการขอโทษอีกฝ่าย ซึ่งไม่ทาบแน่ชัดว่าเธอจะรู้รึไม่ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปยังตลาดที่เต็มไปด้วยฝูงคน....

                       

                        เธอเดินตามเสียงร้องของอะไรบางอย่าง มันเป็นเสียงร้องของสัตว์ตัวน้อยที่กำลังเรียกให้ใครมาช่วย  เธอเดินผ่านซอยต่างๆที่มีตึกไม่สูงมากประมาณ 4-5 ชั้น วางเรียงเกือบจะติดกัน  เธอหลุดออกมาจากอาคารต่างๆ ก็พบพื้นดินที่กว้างคล้ายกับเป็นสนามเด็กเล่น มีของเล่นแทบจะไม่คุ้นเคยตั้งอยู่

 

                        สงสัยเธอคงไม่ได้มานานมาก สนามเด็กเล่นที่เธอเล่นครั้งล่าสุดก็คงจะเป็นเมื่อ 8 ปีที่แล้ว  ก่อนจะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปมากกว่านั้น เสียงร้องของสัตว์ก็ดังขึ้น  เธอหันไปมองพบว่าเป็นเสียงของเด็กคนหนึ่งที่กำลังร้องไห้  บนหัวกลับมีใบหูอันใหญ่ประดับบ่งบอกว่าเธอไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์  มีร่างของเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังกางแขนปกป้องเด็กสาวที่อยู่ข้างหลัง

 

                        ทว่าเด็กชายไม่สามารถช่วยอะไรเด็กสาวได้เลย  เพราะมีมือใหญ่ที่จับยกเด็กชายคนนั้น  เธอสาดสายตาก็พบว่า เป็นกลุ่มของผู้ชายในหมู่บ้านที่ชอบรังแกคนอ่อนแอกว่า  พวกเขามีสามคนและยังเป็นนักผจญภัยเหมือนกับเธอ

 

                        แต่การกระทำไม่สมกับเป็นนักผจญภัย  พวกเขาเหมือนเด็กเกเรทั่วๆไป  เพียงแต่เจ้ากลุ่มของพวกผู้ชายนั้นเป็นกลุ่มของพวกลุงซะมากกว่า

 

                        ผู้ใหญ่ที่แกล้งเด็ก?......   เธอไม่เข้าเสียด้วยซ้ำว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้น

 

                        แต่เธอก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำอะไรตามใจชอบอย่างแน่นอน

 

                        “นี่ไอ้หนูหลบไป  พวกข้าแค่ต้องการเด็กสาวมีหูคนนั้น”  ตาลุงไว้หนวดยาวเฟิ้มกล่าวกับเด็กน้อยที่เขายกขึ้นมาด้วยเพียงแขนเดียว ใบหน้ามีรอยแผลที่แก้มด้านซ้าย  อายุน่าจะราวๆ 30 ปีกำลังข่มแหงเด็กอยู่

 

                        “กะ... แก ฉันไม่ให้หรอก!!”  เด็กน้อยกล่าวพลางออกแรงให้อีกฝ่ายปล่อยตนเอง  แต่มีหรือจะสู้แรงของผู้ใหญ่ได้ สุดท้ายเขาก็หมดแรง  พวกกลุ่มของลุงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเยาะเย้ยที่อีกฝ่ายทำอะไรไร้ประโยชน์ 

 

                        “แกคิดว่าจะสู้กับพวกข้าสามคนได้หรือ?”  เขาหัวเราะอีกครั้งก่อนจะเหวี่ยงเด็กน้อยออกไปจากสายตา  สายตาที่มีแต่ความหลงใหลในกามอารมณ์  

 

                        เด็กชายที่โดนเหวี่ยงออกไปเขาปิดตาลง เพื่อรอรับความเจ็บปวดจากการกระแทกกับพื้น  ทว่ากลับไม่เกิด  เขาเลยลืมตาก็พบร่างของหญิงสาวที่กำลังอุ้มเขาอยู่

 

                        “พี่สาว?...  เป็นใครครับ?”  เด็กชายถามด้วยความสงสัย  เธอยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนตอบกลับไป

 

                        “พี่เป็นเพียงแค่คนที่ผ่านทางมาจ๊ะ”  เธอวางเด็กน้อยลงและลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ

 

                        “หาที่หลบก่อนนะ”  เด็กน้อยพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะวิ่งหายลับไปจากสายตา เพื่อหาที่หลบหรืออาจจะไปเรียกคนมาช่วยเธอ โดยที่เด็กน้อยไม่รู้เลยว่า กำลังจะเกิดความวิบัติย่อมๆในจุดนั้น

 

                        “นี่พวกนาย....  เธอเด็กสาวคนนั้นได้ไหม?”  เธอเอ่ย ซึ่งมันกลับไปขัดจังหวะของอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังฉีกกระชากเสื้อของเด็กสาว

 

                        “ทำไมเราต้องทำตามที่เธอสั่ง คุณรีเบคก้า? หรือจะให้เรียกว่า  [เจ้าหญิงแห่งพยุหะศาตราดาบคู่] แทนดีล่ะ?”  เขาเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น  พลางหันมาเผชิญหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้คิ้วขมวดเล็กน้อยพลางคิ้วกระตุกแปลกๆ

 

                        “นายรู้จักฉายานั้นได้ยังไง?”  เธอถามอีกฝ่าย  ถึงเธอจะปลีกตัวออกมาจากเมืองหลวงแล้วก็ตาม ที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของเธอ อาจมีคนรู้จักฉายานี้ของเธอ แต่เธอก็เชื่อว่ามีไม่มากหรอกที่จะรู้ว่าเป็นเธอ

 

                        “ก็ดาบนั่นไงละ ที่เธอเอามันติดตัวตลอดไม่เคยห่าง ดาบที่สามารถปัดป้องทุกอย่างได้น่ะ”  อีกฝ่ายเอ่ยพร้อมชี้ไปยังดาบของเธอที่เหน็บเอวด้านซ้ายเอาไว้  พลันเธอก็เข้าใจทันที เพราะดาบนี้มันคือดาบประจำตัวของเธอที่เหมือนเพื่อนสนิท

 

                        “นั่นสิ....  แล้วนายปล่อยเด็กสาวได้ไหม จะหาว่าฉันไม่เตือน”  เธอเอ่ยพลางชักดาบออกมาจากฝัก  ใบดาบที่คมด้านเดียวมีกั่นดาบขั้นกับด้ามจับสีดำ มีสัญลักษณ์วงกลมสีขาวปะดับเรียงรายสวยงาม

 

                        “คงไม่ได้หรอก เพราะเราจะเล่นกับเด็กคนนี้  อีกฝ่ายเธอหายไปคงฝีมือไม่เท่าไรหรอกมั่ง พวกฉันสามารถจัดการเธอก็ได้นะ”  ชายหนุ่มไว้หนวดยาวเฟิ้มกล่าวพลางส่งสัญญาณให้อีกสองคน  พวกเขาพยักหน้ารับพร้อมกับเดินก้าวมาข้างหน้า

 

                        ชายคนแรกผอมบาง หนังติดกระดูกดูน่ากลัว เสื้อของเขาขาดรุ่งริ้งหลายส่วน ในมือถือดาบสั้น

 

                        ชายคนที่สองเขาคือขวานขนาดใหญ่  ร่างกายเหมือนนักเพาะกายจนเห็นกล้ามเนื้ออย่างชัดเจน  ใส่เสื้อสีส้มทับด้วยน้ำเงิน

 

                        เธอมองแล้วยิ้มเล็กน้อย เมื่อไม่มีความรู้สึกถึงแรงกดดันหรืออะไร ก่อนสายตาจะเปลี่ยนเป็นราวโรจน์และพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

 

                        เคร้ง!!

 

                        เธอเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อ ชายหนุ่มผอมแห้งหนังหุ้มกระดูกเข้ามารับการโจมตีของเธอ เธอเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวถีบอีกฝ่ายจะตวัดดาบขึ้นใส่ชายหนุ่มร่างบึกที่เหวี่ยงขวาลงมาอย่างน่ากลัว

 

                        พื้นที่แตกกระจาย ข้อเท้าของเธอหยุบลงไปใต้พื้นเมื่อเจอแรงมหาศาลของอีกฝ่าย  เธอตีสีหน้าเซ็งเล็กน้อยก่อนจะใช้ความเร็วหลบฉากจากจุดที่ยืนอยู่ เมื่อมีการเหวี่ยงขวาซ้ำทีเดิม แรงของอีกฝ่ายทำให้พื้นดินก็รอยขนาดใหญ่

 

                        เธอผิวปากเล็กน้อย ถ้าเธอโดนไปคงไม่ลงไปนอนพื้นอย่างแน่นอน  ก่อนจะตั้งสติขยับเท้า  พริบตาก็มาปรากฏตรงหน้าของชายหนุ่มร่างยักษ์ที่เธอเห็นว่า สมควรจัดการอีกฝ่ายก่อน

 

                        เธอฟาดฟันดาบไปหนึ่งครั้ง  พลันปรากฏรอยฟันบนเสื้อของอีกฝ่ายสามแห่งพลางเอี่ยวตัวหลบขวานยักษ์ที่เหวี่ยงขนาดกับพื้น  เธอไม่แปลกใจเลยที่ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้  การฟันของเธอมันตัดเสื้อไปเล็กน้อย แทบไม่ระคายผิวหนังของอีกฝ่ายเลย

 

                        “หนังเหนียวจริงแฮะ หรือว่านายเป็นหมีควายกันล่ะ”  เธอเอ่ยอย่างอารมณ์ดีพลางหลบการโจมตีของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย  เพราะความคล่องตัวของเธอมีมากกว่าร่างกายอันใหญ่ยักษ์นั่นอยู่แล้ว

 

                        ชายร่างยักษ์เพียงแค่แค่นเสียงไม่สบอารมณ์เขาวิ่งพุ่งเข้าอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย  เขาชนเครื่องเล่นต่างๆจนพังพินาศ ทว่าก็ไม่สามารถไล่ตามความเร็วของอีกฝ่ายได้

 

                        เธอเหลือบมองไปทางเด็กสาวเล็กน้อย พริบตาดวงตาทอประกายราวโรจน์ราวกับโกรธอีกฝ่ายที่ทำเรื่องแบบนี้  เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังไปทั่ว ทว่ากลับไม่มีใครมาช่วย ราวกับว่าไม่มีใครได้ยิน  เธอกวาดสายตาหาชายหนุ่มร่างผอม และเมื่อเจอเธอก็กำหมัดแน่นเข้าไปอีก เมื่ออีกฝ่ายนั้นกางบาเรียอาณาเขตไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไป

 

                        “ไอ้พวกเลวเอ้ย”  เธอสบถอีกฝ่ายก่อนจะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายที่เป็นหัวหน้า  พลันเหล่าลูกน้องของอีกฝ่ายเข้ามาขวางทางเอาไว้ เสี้ยวพริบตาเธอหมุนตัวเปลี่ยนจุดหมุนของเท้าอย่างรวดเร็วเมื่อร่างผอมบางของชายหนุ่มแทงมีดสั้น ก่อนจะเร่งความเร็วอีกครั้ง แล้วฟาดฟันอีกฝ่ายนับสิบ

 

                        ร่างผอมบางล้มตึงลงไป ตามมาด้วยชายร่างยักษ์ ก่อนเธอจะพุ่งเข้าใส่ตัวหัวหน้า พลันโดนแรงอะไรบางอย่างกระแทกเธอ กระเด็นกลับไปทางที่มากระกับเครื่องเล่น เธอกระอักเลือดออกมาคำโต ก่อนหมุนกลิ้งนอนกลับพื้น

 

                        “บ้าเอ้ย.....”  เธอเบนสายตาไปมอง ถึงได้รู้ว่าเธอโดนอะไรมา  มันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าลูกน้องสองคนที่ฟาดฟันเธอพร้อมกัน  ไม่น่าทำไมถึงได้รุนแรงนักและอีกอย่างเวทมนต์ที่ตัวหน้าร่ายนั้นเป็นเวทมนต์ลดความเร็ว นั่นทำให้เธอโดนเข้ากลางลำตัวอย่างจัง

 

                        “ไอ้เลวระยำ....”  เธอกัดฟันกรอด นึกไม่ถึงว่าจะมาแพ้ลูกไม้ตื้นๆแบบนี้ เป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นมาได้  ทว่าก็เกิดขึ้นมาแล้ว มันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

 

                        เธอยันตัวลุกขึ้นมา พร้อมกับกุมท้องบริเวณที่เจ็บปวด ก่อนจะออกวิ่งอีกครั้งไปหาพวกมัน   ร่างกายที่บาดเจ็บลดความเร็วของเธอลงไปมากอีกทั้งด้วยเวทมนต์ลดความเร็วของอีกฝ่าย นั้นทำให้พวกนั้นตามความเร็วของเธอทันอย่างง่ายดาย ก่อนโดนแบบเดิมซ้ำติดต่อกัน จนเธอนอนนิ่งไปกับพื้น

 

                        “ฮ่า ฮ่า ฮ่า พวกข้าขอสนุกกับเด็กนี่ก่อน ต่อไปถึงคราวของเธอแล้ว  อยากรู้เหมือนกันว่าความบริสุทธิ์ของหญิงสาวแห่งที่ฆ่าฟันมอนเตอร์ไปมากมายมันจะน่าอร่อยสักแค่ไหน?”  ตัวหัวหน้ากล่าวอย่างหื่นกระหาย  ก่อนจะการยกเด็กสาวขึ้นมา พลางเลื่อนจมูกไปถูลูบไล้ตามร่างกายอันบริสุทธิ์ของเด็กสาวที่กำลังร้องไห้อยู่

 

                        มันกระตุ้นอารมณ์ความอยากเป็นเท่าตัว เธอส่ายหน้าเล็กน้อย สมเพศกับตัวเองในตอนนี้ที่มีพลังมากมายมีถึงเลเวล 5  แต่กลับไม่สามารถช่วยเหลือหรือปกป้องเด็กสาวได้เลย  น่าสมเพศสำหรับเธอเป็นอย่างมาก

 

                         ตำนานของอิสตรี หญิงงามที่ฆ่าฟันล้างบางเหล่ามอนเตอร์มากมายจนนับไม่ถ้วน  หญิงสาวที่ร่ายรำดาบทั้งสองเล่มในยามราตรีราวกับแสดงความเคารพต่อดวงจันทร์ที่ฉายแสงมองลงมา  ภูเขาซากศพของมอนเตอร์และสายน้ำที่เป็นโลหิตสีแดงฉาน คละคลุ้งเต็มไปด้วยกลิ่นคาว  ดาบทั้งสองที่ดื่มเลือดของพวกมอนเตอร์เหมือนกับงานฉลอง หิวกระหายต่อการฆ่าฟัน

 

                        นั่นคือ......  เจ้าหญิงพยุหะศาสตราดาบคู่  หรือก็คือเธอ หญิงสาวนาม   รีเบคก้า

 

                        “เป็นแบบนี้นี่เอง”  เสียงของใครบางคนดังขึ้นที่ข้างหลังของเธอ เป็นเสียงที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี เธอหันกลับไปก็ถูกมือของอีกฝ่ายปิดปากไปซะก่อน

 

                        “ชู่ว์  เงียบก่อนนะ เรื่องหลังต่อจากนี้ค่อยเอาไว้ว่ากัน”  เขามีผมสีดำ ใบหน้าคล้ายกับผู้หญิง ดวงตาสีนิลเปล่งประกาย ขับเสน่ห์อีกฝ่ายไม่น้อย เธอพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าจะไม่ส่งเสียงดัง  ก่อนมองไปยังที่เด็กสาว จุดที่มีพวกมันที่พร้อมกระทำเรื่องอันเลวทรามต่ำช้า เขารู้สึกถึงอีกฝ่ายที่กำลังจะสื่อ ประมาณว่า “ไปช่วยเด็กก่อน” 

 

                        “รับทราบ”  ไม่ช้าร่างของเขาหายไปจากตรงนั้น  จนเธอกระพริบตาปริบๆ ราวกับตาฝาดไป ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายไปยืนข้างหน้าไกลจากเธอราว 30 เมตรไหนจากได้

 

                        “ไงพวก...”  ลอสเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ทว่าแฝงความไม่พอใจอย่างมาก จ้องมองอีกฝ่ายราวกับเศษดินไร้ค่าก็ไม่ปาน 

 

                        “แกเป็นใคร?”  หัวหน้าที่เอาลิ้นเลียชโลมไปทั่วร่างกายของเด็กสาวหันกลับมาถาม  รู้สึกเขาก็อารมณ์เสียไม่น้อยที่มีคนมาขัดจังหวะการกระทำของเขา

 

                        “ฉันเป็นใครไม่สำคัญ แต่ว่าฉันจะมาจัดการแก....”  เขาเอ่ยคำพูดขึ้น ไม่แยแสต่ออารมณ์ของลูกน้องที่กำลังโกรธออกนอกหน้าแม้แต่นิดเดียว  คำพูดของเขาทำให้อีกฝ่ายชะงักไปก่อนจะคลี่ยิ้มแสยะในแบบของผู้ร้าย

 

                        “งั้นก็เอาสิ  ถ้าจัดการฉันได้อ่ะนะ พวกแกช่วยเล่นเป็นเพื่อนหน่อย”  ทั้งสองคนยิ้มแสยะออกมาไม่ได้ เมื่อได้รับของเล่นจากหัวหน้า ก่อนจะหักนิ้วดังกร๊อบพร้อมออกลุยเต็มที  ไม่รู้เลยว่ากำลังท้าทายบางสิ่งบางอย่างที่สามารถฆ่าพวกมันได้ในพริบตา

 

                        “ฉันขอก่อนละกัน”  ชายหนุ่มที่ร่างผอมบางเอ่ย ก่อนจะเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ  มันจับดาบสั้นที่ไม่มีลวดลายอะไร ทว่ากลับคมอย่างมาก  เขาเพียงแค่มองด้วยหางตา สายตากำลังจับจ้องหัวหน้าที่น่าจะมีฝีมือเหนือกว่าพวกนี้

 

                        มันเดาะลิ้นขัดใจที่อีกฝ่ายไม่มองมันแม้แต่น้อย ก่อนจะเข้ามา ดาบในมือหมายจะสะบันคอของอีกฝ่ายให้ขาดจากร่าง 

 

                        “เอ๊ะ?!”  พริบตาที่หญิงสาวนามรีเบคก้ากระพริบตา ร่างของชายหนุ่มผอมจนเหลือหนังหุ้มกระดูกก็ลอยปลิวขึ้นด้านบนพลางอุทานด้วยความแปลกใจพร้อมกับมีสายตางุนงง

 

                        ก่อนจะมีเสียงพึมพำขึ้นที่ด้านหลังของมัน จนรู้สึกหนาวสั่นเสียววาบไปทั่งตัว

                       

                        หนึ่งในเก้ารูปแบบประจำตัว รูปแบบที่หนึ่ง   หัตถ์สัตตะโลหะปราบมาร

 

                        พริบตาร่างของชายหนุ่มอันผอมบางก็กระแทกพื้นดังปึงอย่างรวดเร็ว ปากพ่นเลือดออกมาอย่างน่าผวา ร่างกายอวัยวะภายในบอบช้ำ ไม่ก็บางทีมันอาจจะเละละเอียดไปแล้ว  ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้เสียด้วยซ้ำ ไม่แพ้เจ้าหัวหน้าหันมามองเขาอย่างสนใจ  พลันก็ปรากฏหน้าต่างอะไรบางอย่างขึ้นตรงหน้าของชายหนุ่มที่ลงมายืนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

                        “จริงๆด้วยแฮะ  คิดถูกจริงด้วย”  มีเพียงชายหนุ่มที่ยืนกอดอกและกำลังใช้สายตามองหน้าต่างบานนั้น ที่กำลังบอกว่า [ได้รับสกิลใหม่ กรุณาตั้งชื่อ] ซึ่งเขาก็ไม่ขัดศรัทธาตั้งตามชื่อที่เขาเรียกมันออกมา

 

                        “หัตถ์สัตตะโลหะปราบมาร”  ก่อนจะได้แสดงหน้าต่างขึ้นมาใหม่ ที่มีชื่อสกิลประดับเด่นอยู่

 

                        “อ้าว.... ต่อไปก็แกแล้วนะ  คุณหมีควาย”  เขาจงใจกวนโอ้ยอีกฝ่าย ซึ่งมันก็กระตุ้นอารมณ์โกรธของอีกฝ่ายได้อย่างดี ด้วยที่ส่วนใหญ่ที่มันใช้ชีวิตมานั้นมีแต่พละกำลังในการแก้ไขปัญหา นั้นความหมายว่า มันไม่เคยใช้สมองคิด  มีเพียงพลังที่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ดังนั้นมันเลยจึงทุ่มพละกำลังไว้ที่ขวานยักษ์ของมัน ขวานที่สามารถผ่าคนขาดครึ่งหนึ่งได้เข้าหาชายหนุ่มที่มองด้วยสายตาเรียบเฉย

 

                        เธอปิดตาและเบือนหน้าหนี เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่เจอแบบนี้ไปคงไม่รอด  ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป เธอกลับไม่รู้สึกแรงสะเทือนของพื้นดิน นั่นทำให้เธอลืมตาพร้อมกับหันมามองอย่างช้าๆ และก็ต้องตกใจสุดขีดปากอันสวยงามอ้าค้างจนรู้สึกถ้ามีแมลงบินมาละก็คงเต็มปากแน่นอน

 

                        เพราะร่างที่สมควรจะถูกแบ่งครึ่งเป็นสองชิ้นกลับยืนจังกา โดยเอามือขวารับขวานนั้นเพียวๆ ราวกับมันไม่มีน้ำหนัก  ชายร่างยักษ์เหงื่อแตกพลั่กก่อนจะดึงขวานออก พลันก็เบิกตากว้างเมื่อขวานกลับไม่หลุดจากฝ่ามือเล็กๆนั่น และต้องตกใจอีกครั้ง

 

                        เมื่อขวานที่ภูมิใจของตนเองกลับมีรอยร้าวและค่อยๆแตกละเอียดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาคลี่ยิ้มบางๆให้กับอีกฝ่ายที่ตอนนี้ทำตัวไม่ถูก สับสน ทว่าอีกฝ่ายกลับเห็นเพียงรอยยิ้มที่จะเอาวิญญาณเขาไป

 

                        “นี่คือทั้งหมดที่มีแล้วใช่ไหมงั้นเอาคืนไปนะ”  ลอสเอ่ยพึมพำ แต่อีกฝ่ายกลับได้ยินอย่างชัดเจน ฝ่ามืออันเล็กนิดเดียวเหมือนเทียบกับร่างกายของอีกฝ่าย

 

                        เขาเอื้อมมือไปแตะเบาๆ พลันร่างกายของอีกฝ่ายของถูกแรงอะไรบางอย่างกดทับลงไป น้ำหนักมหาศาลที่กดทับทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ ชายร่างยักษ์กระอักเลือดออกมากองโต พลางกรอกตามองไปทั่วเพื่อหาทางรอด ทว่าเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาทำอะไร

 

                        “ไม่ต้องหันไปไหนหรอก เพราะนายจะนอนตรงนี้แหละ”  อีกฝ่ายเอ่ยเอื้อนก่อนจะกระทืบลงบนตัวของชายร่างยักษ์  พลันพื้นดินที่แตกออกเป็นรอยร่องลึกกว้างราวกับโดนน้ำหนักอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นกดทับอยู่ กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง เครื่องในต่างบอบช้ำจากการโจมตีอันหนักหน่วงเมื่อกี้นี้ จนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้

 

                        “เหลือแค่นายแล้ว คุณโจรใจบาป”  เขาเอ่ยออกมาก่อนจะเดินไปเข้าหาอีกฝ่ายอย่างช้าๆราวกับเดินอยู่ในสวนหญ้าหน้าบ้านของตัวเอง

 

                        อีกฝ่ายปล่อยเด็กสาวลง ก่อนที่เด็กสาวจะรู้ตัวว่าเป็นอิสระ เธอก็วิ่งไปหลบไปปลอดภัย  ทว่ามันไม่ง่ายนักที่จะปล่อยไปเฉยๆ ในเมื่ออีกฝ่ายที่เป็นหัวหน้านั้นตวัดดาบฟันเข้าใส่ร่างของเด็กสาว  รีเบคก้าข่มหลับตาปี๋ เพราะไม่สามารถทนดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ได้

 

                        เธอฆ่าแต่มอนเตอร์ ไม่เคยฆ่าคน เพราะงั้นมันคงจะต่างกัน เธอไม่สามารถดูภาพความโหดร้ายที่อีกฝ่ายการกระทำกับเด็กสาวได้

 

                        ทว่าก่อนดาบจะผ่าร่างของเด็กสาว ก็มีร่างของชายหนุ่มเข้าไปโอบตัวเธอก่อนจะหายตัวไปอีกทาง

 

                        “รีเบคก้า ฝากหน่อยนะ”  เขากล่าวกับเธอที่กำลังหลับตาทั้งอย่างนั้น ก่อนจะหายตัวไปปรากฏตรงหน้าของอีกฝ่าย

 

                        “เอาล่ะ ฉันจะให้นายเลือกระหว่างเป็นแบบลูกน้องนายหรือพิการไปตลอดชีวิต”  เสียงที่ราบเรียบอยู่เสมอดังขึ้นเล็กน้อย  ดวงตาสีดำทอประกายราวโรจน์อย่างแข็งกระด้าง  เขากำลังโกรธอีกฝ่าย  และเสนอทางเลือกให้ เพราะเขาก็ไม่อยากจะฆ่าใครโดยไม่จำเป็น  สติต้องนำหน้าอารมณ์อยู่เสมอนั้นคือสิ่งที่เขาพึงระลึกตลอด

 

                        แต่คราวนี้เขาอยากจะใช้อารมณ์อยู่เหนือสติดูบ้าง จะได้เป็นข้อเตือนใจสำหรับใครบางคนที่คิดริอาจหาญทำร้ายเด็กผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้

 

                        “แกคิดว่าทำได้งั้นหรอ? ลองดูสิ”  เพียงแค่จบประโยคดาบถูกตวัดฟันเข้าใส่อีกฝ่ายอย่ารวดเร็ว เขาไม่หลบแต่ยกมีดสั้นขึ้นมาปกป้องกัน การโจมตี  อีกฝ่ายถอยเล็กน้อยพลางพุ่งเข้ามาฟาดฟันเขาอีกครั้ง  การต่อสู้ดำเนินไปกว่า 2 นาทีเศษ อารมณ์ของบุคคลที่เป็นหัวหน้าเริ่มมีโทสะ เมื่ออีกฝ่ายสามารถปัดป้องดาบของเขาได้อย่างหมดจด ไม่มีครั้งไหนที่เขาไปแตะตัวคนตรงหน้าสักครั้ง มีเพียงเขาที่ถูกเล่นงานแทน บาดแผลมากจนนับไมถ้วน

 

                        “รีบๆตายสักทีสิว่ะ ไอ้หน้าอ่อน”  เขาโกรธอย่างมาก อารมณ์พุ่งพล่านไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อเจออีกฝ่ายที่มองสายตาอย่างเย็นชามาให้แก่เขา

 

                        “งั้นนายก็เอาคำพูดคืนไปละกัน....”  เสี้ยวพริบตาร่างของชายหนุ่มหายไปก่อนจะไปปรากฏด้านหลัง หัวหน้าโจรสีหน้าซีดเผือก ปากสั่นระริกราวกับกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ซึ่งคงไม่ใช่หญิงสาวที่กำลังโอบอุ้มเด็กสาวอย่างแน่นอน

 

                        ร่างกายอันกำยำสั่นสะท้านไปทั่งตัว ราวกับราชสีห์จ้องมองเยื่อยังไงยังนั้น  ทว่าก็สมกับเป็นนักผจญภัยเลเวลสาม เขาหันกลับมาก่อนจะกระโดดถอยฉากไปด้านหลัง เพียงแต่ฝ่ามือของอีกฝ่ายมาสัมผัสหน้าอกของเขาแล้ว ที่กำลังมีสีหน้าตื่นตะลึงเหมือนกับเจอมัจจุราชหมายเอาชีวิตของเขา

                       

                        หนึ่งในเก้ารูปแบบประจำตัว รูปแบบที่สาม   หัตถ์เทวะสยบโลกา

 

                        พลันร่างกายเหมือนกับโดนแรงอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น ร่างกายบิดเบี้ยว ฉีกกระชากตามส่วนต่างๆ แขนขา ลำตัว สุดท้ายก็ระเบิดออกกลายเป็นเศษชิ้นเนื้อกระจาย เลือดสาดกระเซ็นมาเปรอะบนใบหน้าสวยงามของเขา เขาหยิบผ้าเช็ดผ้าที่เตรียมเอาไว้มาเช็ดก่อนจะเดินกลับไปหาหญิงสาวที่กำลังนั่งมองอย่างอึ้ง ไม่มีคำบรรยายอะไรเอ่ยขึ้นมา พลางถอดเสื้อเชิ้ตสีดำมาคลุมร่างของเด็กสาว ก่อนจะอุ้มเด็กสาวคนนั้นและเรียกให้รีเบคก้าเดินกลับไปยังหมู่บ้าน

 

                        เมื่อออกมาจากซอยเล็กๆ ก็เจอคนในหมู่บ้านทั้งหลายกำลังยืนมองเขา อาวุธอย่างทุกอย่างครบครันเหมือนจะไปล่าใครสักคน  ก่อนจะมีร่างของชายวัยกลางคนและหญิงสาววิ่งร่าออกมาตรงหน้า เด็กสาวกระโดดลงจากตัวชายหนุ่ม เธอวิ่งพุ่งเข้าใส่พวกเขา ที่น่าจะเป็นพ่อแม่ของเธอ  พวกเขาร้องไห้อย่างไม่สนสายตาคนอื่นว่าจะมองยังไง ในเมื่อลูกของพวกเขาปลอดภัย  หญิงสาวที่มีแม่ของเด็กสาวหันมาขอบคุณชายหนุ่มและหญิงสาวเป็นการยกใหญ่ ที่ช่วยชีวิตเด็กสาวของพวกเขา  ซึ่งรีเบคก้าก็เขินเล็กน้อย มีเพียงชายหนุ่มผมสีดำยืนเฉยๆ

 

                        ไม่ใช้ว่าเขาเย็นชา เพียงแต่ว่าเขาทำตัวไม่ถูกที่ได้รับการขอบคุณจากใครสักคนที่จริงใจ เพราะเขาไม่เคยได้รับมันมาก่อน ความรู้สึกอบอุ่นเกิดขึ้นตรงหัวใจ  เขาจึงได้แต่เพียงพยักหน้าและก้มหัวลงเล็กน้อยให้พวกเขาเท่านั้น

 

                        เมื่อทุกอย่างคลี่คลายแล้ว เขาก็ไดรับข่าวมาว่าช่วงนี้เด็กสาวในหมู่บ้านหายตัวไปบ่อยครั้ง ทำให้เกิดการตามหา ตอนแรกคิดว่าจะเป็นมอนเตอร์ที่แอบเข้ามาในหมู่บ้าน ซึ่งมันไม่ใช่มารู้ตอนหลังว่าเป็นนักผจญภัยที่ผันตัวเองมาเป็นโจร ชอบขับเด็กไปทรมานหรือบำบัดอารมณ์ในกามก่อนจะปล่อยตัวกลับมา ทว่าด้วยความที่เป็นเด็กทำให้ไม่กล้าบอกความจริง จึงเก็บเงียบเอาไว้ ทำให้พวกเธอต้องมาเจอแบบนี้เกือบทุกวัน แถมโดนพวกนั้นขู่ว่าถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกจะฆ่าให้ตาย เลยไม่มีเด็กคนไหนกล้าเปิดปากบอกเรื่องนี้แก่ผู้ใหญ่

 

                        เขาก็บอกกับพวกคนในหมู่บ้านว่า โจรมีสามคนซึ่งนอนแผ่หลากอยู่ที่สนามเด็กเล่น เป็นสถานที่พวกมันเอาไว้นัดเจอกับเด็กๆ แต่อีกคนเขาหลีกเลี่ยงว่าโดนพวกเดียวกันฆ่าตายไปแล้ว ซึ่งพวกเขาก็เชื่อ 

 

                        เมื่อทุกอย่างคลี่คลาย คนในหมู่บ้านก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตน มีเพียงบางคนที่หาพวกโจรเพื่อนำมารับโทษ  ก่อนจะเดินกลับก็ได้รับเสียงของเด็กน้อยและเด็กสาวที่เข้าไปช่วย

 

                        “สักวันผมจะเป็นแบบพี่ชายให้ได้”  เด็กน้อยตะโกนร่าพร้อมกับเด็กสาวที่ค่อยชูมือขึ้นท้องฟ้าอย่างเขินอาย เพียงแต่เธอไม่ตะโกนเหมือนเด็กชาย

 

                        “หืม....  เป็นแบบฉันหรอ?”

 

                        “ใช่ครับ....”  ดวงตาใสกลมๆจ้องมองเขา เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อยพลางลูบหัวอีกฝ่าย

 

                        “งั้นก็เป็นให้ได้ล่ะ”  เขากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไปตรงนั้นที่มีเด็กชายและเด็กสาวโบกมือไล่หลังอยู่กับใบหน้าที่อิ่มเอิบเต็มไปด้วยความสุข

 

                        “นายทำได้ยังไงน่ะ?”  เมื่อเดินจากตลาดมาไม่ไกลเธอก็ถามขึ้น

 

                        “ทำอะไรงั้นหรอ?”  ลอสหันไปหาเธอที่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก

 

                        “ก็ไอ้ท่าที่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับเคลื่อนไหวไม่ได้ในหมัดเดียว แล้วก็ความเร็วนั้นมันอะไรกัน? แล้วท่าสุดท้ายนั้นมันคือ.....”

 

                        คำถามถูกยิงใส่ประเด้งประดัง จนเขาส่ายศีรษะเล็กน้อยที่เธอมีมุมแบบนี้ด้วยที่ว่าเมื่อไม่รู้อะไรก็จะถามออกมาเป็นชุด

 

                        “วันนี้เธอพูดมากจังนะ ก่อนอื่นมันคือท่าประจำตัวของฉัน สองความเร็วที่เธอเห็นมันก็ท่าประจำตัวของฉันในการก้าว สามมันก็ท่าประจำตัวของฉันอีกนั่นแหละ"  เขาตอบคำถามให้แก่เธอ ที่กำลังทำหน้างอนแก้มป่องได้อย่างน่ารัก ถ้ามีใครมาเห็นคงไม่เชื่อสายตาแน่นอนว่าเจ้าหญิงพยุหะศาตราดาบคู่จะมีมุมมองแบบนี้อยู่ด้วย เขาเองก็นึกไม่ถึงเช่นกัน ก่อนจะเธอจะเลิกทำหน้าแบบนั้น               

 

                        “โธ่ นายนี่มันใจร้ายจริงๆเลยนะ บอกหน่อยก็ไม่ได้”  เธอเดินเทียบเคียงข้างเขา ก่อนจะหันไปมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่ม

 

                        พลันเธอก็คลี่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อคิดอะไรได้บางอย่าง

 

                        ไม่แน่ว่า..... บุคคลตรงหน้านี้จะเดินทางไปกลับเธอก็เป็นได้  เดินทางรอบโลกเพื่อพิชิตดันเจี้ยนแต่ละแห่ง  และมันต้องเป็นการเดินทางที่สนุกอย่างแน่นอน เธอเชื่ออย่างนั้น

 

                        และขอบคุณโชคชะตาที่พาเธอมาให้พบกับเขา  อนาคตข้างหน้าไม่รู้ว่าจะมีอะไรรออยู่แต่ก็ขอให้เธอได้ผจญภัยเดินทางรอบโลกเถอะ!

 

                        เธอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก่อนที่อีกฝ่ายตะโกนเรียกเธอ

 

                        “เข้าบ้านได้แล้ว รีเบคก้า” 

 

                        “ค่า~~~~~”  เธอวิ่งร่าพลางกางแขนออก หมุนตัวก่อนจะหันไปมองดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน แสงสีส้มทอประกายอย่างสวยงามกระทบกับใบหน้าของเธอ  เธอเหยียดกว้างและหันไปหาประตูทางเข้าบ้านพลางเปิดประตูเข้าไป

 

                        ทิ้งความคิดในใจเอาไว้กับแสงอาทิตย์ยามอัสดง ณ เบื้องหลัง

 

                        ..........มันคงสนุกมากกว่านี้แน่นอนเลย!!......

 

 

 

 

 

                                                        -----------------------------------------             

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา