Destiny of Time โชคชะตาแห่งกาลเวลา
6.5
เขียนโดย Huzure
วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.
40 Time
12 วิจารณ์
40.21K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 15.15 น. โดย เจ้าของนิยาย
31) ชีวิตที่ต้องแลกมา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ(โรงพยาบาล 18.05)
............
ไม่นานหลังจากญาดาฟื้นขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์ หมอก็เข้ามาตรวจอาการของเธอ
“ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ น้อยคนมากที่จะฟื้นขึ้นมาแล้วแทบจะมีอาการปกติได้ขนาดนี้”
“การไหลเวียนโลหิต การสั่งการของเส้นประสาทกลับมาเป็นปกติหมดทุกอย่าง”
“แค่แรงใจของหนูญาดาอย่างเดียวไม่น่าจะพอด้วยซ้ำ แม้แต่หมอเองยังสรรหาคำอธิบายอาการที่ดีขึ้นชั่วข้ามคืนแบบนี้ไม่ได้เลย”
หมอแจงอาการทั้งหมดให้พวกเราทุกคนฟัง ในห้องตอนนี้มีฉัน มีน คุณมานพ และก็คุณการะเกดผู้เป็นแม่ของญาดาที่ยืนอยู่อีกฝั่งของฉัน
สี หน้าของญาดาตอนนี้เริ่มจะสดชื่นขึ้น แต่ยังไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้มากเพราะร่างกายยังอ่อนเพลียจากการเป็น เจ้าหญิงนิทรามานานกว่าสองสัปดาห์ แม้จะถอดเครื่องช่วยหายใจไปแล้ว แต่สายน้ำเกลือก็ยังต้องให้อยู่
“ถ้ายังไง... ให้เธอพักฟื้นไปก่อนอีกสักระยะเพื่อดูอาการ หมอจะขอตรวจให้ละเอียดอีกสักรอบทีหลังนะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ/ครับ”
พวกเราทุกคนขอบคุณคุณหมอก่อนจะเดินจากไป ญาดาที่มีสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ยังไม่สามารถส่งเสียงออกมาดังๆได้เช่นเดิม
“พ่อคะ...... แม่คะ...... หนูหลับไป 2 สัปดาห์กว่าๆเลยหรอคะ?”
เสียงอันแผ่วเบาของญาดาถามพ่อกับแม่ของเขา
“อื้อ ลูกพักรักษาตัวมาเกือบจะเข้าสัปดาห์ที่ 3 อยู่แล้ว”
“พ่อกับแม่ดีใจจริงๆ ที่ลูกได้สติแล้ว!”
คุณการะเกดไม่สามารถกลั้นน้ำตาแห่งความดีใจได้ โผเข้ากอดญาดาทันที
“แม่ดีใจจริงๆ! ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยลูกแม่ให้รอดจากความตาย!”
“แ-แม่นี่ล่ะก็... พอได้แล้วน่า!”
ฉัน กับมีนยืนยิ้มแสดงความปลาบปลื้มยินดีกับครอบครัวของเขา ถึงแม้ว่าพ่อของเธอจะเลี่ยงไม่สบตาฉันเลยก็ตาม ซึ่งญาดาเองก็เหมือนจะสังเกตได้เหมือนกัน
“พ่อกับแม่คะ... หนูขอคุยกับรินนี่ตามลำพังก่อนได้ไหมคะ?”
คุณมานพเหมือนจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่คุณการะเกดเอามือจับแขนของเขาเป็นการบอกนัยๆว่าปล่อยให้ลูกสาวของพวกเขาอยู่ตามลำพังกับฉัน
“โชคดีนะ!”
“โอ้ย!”
มีนศอกสะกิดเอวฉันพร้อมกับยิ้มส่งให้พวกเราทั้งสองคน
ตอน นี้ท่ามกลางความเงียบงันภายในห้อง คนอื่นๆล้วนยืนอยู่ข้างนอกหมด ส่วนมีนเหมือนจะเดินไปไหนสักที่หนึ่งเพื่อแยกไปคุยกับวอร์เรนที่แอบสะกิดเขา ระหว่างที่อำพรางตัวเองอยู่
“เอ่อ...... ญาดา...”
“คือฉัน......”
“จับมือเราที รินทร์......”
ถึง จะแปลกใจกับความคิดของญาดา แต่ฉันก็ค่อยๆเอามือเข้าไปประกบจนจับมือของเธอไว้ ไม่นานเธอก็พลิกมือมากำมือของเราไว้แน่นทั้งๆที่แรงไม่ค่อยมี
“ขอบคุณนะ ที่ช่วยเราไว้เมื่อวันนั้น”
“เอ๋?”
“เธอ... จำได้งั้นหรอ?”
“อื้อ... แม้จะจำรายละเอียดไม่ได้ก็เถอะ แต่ว่า... เราจำได้...”
“คนที่พุ่งเข้ามาช่วยเราจากรถชนวันนั้น คือเธอ...”
“ญาดา...”
ฉันเริ่มยิ้มออกมาหลังจากที่เธอจำเรื่องราวต่างๆได้ ดูเหมือนสมองของเธอจะไม่ได้รับการกระทบกระเทือนมากอย่างที่คิด
“เพราะงั้น... รินนี่ไม่ต้องโทษตัวเองนะ... ถ้าวันนั้นรินนี่ไม่อยู่กับเรา ป่านนี้เราคงจะไม่ได้สัมผัสมืออันแสนอบอุ่นแบบนี้อีกแล้ว”
“อย่าพูดอะไรเป็นลางแบบนั้นอีกสิ!”
“ฮะฮะ ล้อเล่นหรอกน่า”
“ญาดานี่ล่ะก็ ล้อเล่นไปเรื่อยเลยนะ”
ไม่นานนัก เธอก็หยุดพูดก่อนจะแหงนหน้ายิ้มมองไปยังเพดานด้านบน
“แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องหรอกนะ......”
“มีบางเรื่องที่เราจริงจังมาก และไม่เคยล้อเล่นเลยสักครั้ง”
“ทั้งๆที่เราหลับมายาวนานขนาดนั้น แต่หัวใจกลับรู้สึกอบอุ่น การที่เราฟื้นขึ้นมาได้แบบนี้”
“อาจจะเพราะว่าความรู้สึกที่เรามีต่อเธอก็ได้นะ รินนี่”
“คำพูดสุดท้ายก่อนที่เรากลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไป เธอยังจำได้อยู่สินะ?”
ฉันจำได้... ฉันจำได้เพราะความทรงจำพวกนั้นกลับมาหมดแล้ว รวมถึงความผูกพันในสายสัมพันธ์ของพวกเราสองคนด้วย
แก้มของฉันแดงขึ้นมาหลังจากที่เธอถามแบบนั้น แต่ว่าฉันก็ไม่รู้ว่าจะตอบเธอยังไงดี
“คือ...... คือว่า...”
“รู้แล้วล่ะน่า......”
“เอ๋?”
“...... เรารู้อยู่แล้วล่ะ...... มันเป็นความรักที่ไม่มีทางสมหวังหรอก ต่อให้เธอไม่ชอบผู้ชาย ก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะต้องชอบผู้หญิงสักหน่อยนี่นะ”
“เรานี่ก็หวังลมๆแล้งๆไปได้” (ถอนหายใจ)
“ฉ-ฉันไม่ได้คิดจะพูดแบบนั้นนะ แค่มัน......”
“คือฉันไม่เคยมีความรักมาก่อน และฉันไม่รู้ด้วยว่าจะมีความรู้สึกแบบนั้นได้ไหม”
“และอีกอย่าง... ญาดาเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ ฉันเลยไม่อยากคิดอะไรมากไปกว่านั้นน่ะ”
“ขอโทษจริงๆนะ”
ญาดาตอนแรกทำหน้าน้อยใจ แต่ตอนนี้กลับมายิ้มระรื่นเหมือนปกติแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกน่า... อย่าคิดมากสิ”
“เราก็คิดเผื่อไว้แบบนั้นอยู่แล้วล่ะ ยังไงซะ”
“แค่ได้เป็นเพื่อนกันจนถึงวันนี้... ก็มีความสุขมากแล้ว”
รอยยิ้มของเธอทำให้ฉันนึกถึงเรื่องเก่าๆ ญาดาเป็นคนที่มีผลกระทบด้านบุคลิกของเราในตอนนี้มากที่สุด
เหตุผลที่เราเข้มแข็งขึ้น พยายามปรับเปลี่ยนตัวเอง ไม่ทำตัวอ่อนแอ ทั้งหมดก็เพราะเธอคอยให้กำลังใจเราอยู่เสมอ
ฉันยิ้มด้วยความดีใจ ที่ได้เห็นญาดาฟื้นขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์แบบนี้อีกครั้ง......
“ถ้าเธอพักฟื้นอีกสักระยะ ฉันเชื่อว่าเธอคงได้กลับบ้านเร็วๆนี้แน่”
“และหลังจากนั้นเธอก็จะได้ไปที่---”
“ที่?”
ฉันอ้ำอึ้งไม่อยากพูดต่อ เพราะมันเป็นความรู้สึกที่น่าจะสะเทือนใจกับเธอมาก
(จริงสิ ทุกคนลืมเรื่องของญาดาไปหมดแล้ว ถ้าเธอเลือกกลับไปที่โรงเรียนแล้วต้องเจอเหตุการณ์แบบนั้น...)
“ไ-ไม่มีอะไรหรอก... ตอนนี้ญาดาควรจะนอนพักก่อนดีกว่า ฉันรบกวนเวลาเธอมากไปแล้วสิ”
“อื้อ...”
“แต่จะว่าไป......”
“ผู้ชายหัวตั้งที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าเมื่อกี๊นี่ เพื่อนของรินทร์หรอ?”
“ผู้ชาย... หัวตั้ง?”
หลังจากฉันนั่งอึนอยู่ได้สักพัก ก็ทำสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที
“เ-เป็นไรน่ะ?”
(เ-เรื่องนี้มันยังไงกันแน่เนี่ย? ทำไมญาดาถึงเห็นอีตาวอร์เรนนั่นได้ด้วย?)
............
(10 นาทีต่อมา)
*ตุ้บ* (เสียงทุบโต๊ะ)
“หา? ญาดามองเห็นคุณงั้นหรอ?”
มีน ตะโกนดังลั่นโรงอาหารที่โรงพยาบาลระหว่างที่เธอกับผมกำลังนั่งกินน้ำที่ซื้อ มาอยู่ พอทุกคนเริ่มหันมามอง มีนก็หน้าแดงด้วยความอายค่อยๆหย่อนตัวลงมานั่งตามเดิม
“เราคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น เพราะงั้นเราถึงได้เรียกเธอมาเพื่อบอกอะไรบางอย่าง”
“เอ๋? ทำไมต้องเป็นฉันน่ะ เล่าให้นรินทร์ฟังไปเลยไม่ดีกว่าหรอ?”
ผมวางกล่องนมถั่วเหลืองไว้ที่โต๊ะเพื่อคุยกับเธออย่างจริงจัง
“ยังไงนรินทร์ก็คงจะรู้สึกตัวเองแหละ พอดีเรากำลังคิดอะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“เธอไม่คิดว่าเรื่องที่ญาดาฟื้นขึ้นมามันแปลกประหลาดไปหน่อยหรอ?”
“แปลก? จริงๆแล้ว... ฉันก็แอบคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน”
มีนเริ่มพูดเสียงเบาและนิ่งมากขึ้น แสดงว่าเธอคงรู้สึกเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน
“ในบรรดาตัวแทนผู้เชื่อมต่อเวลา ตามพื้นฐานของความสามารถที่มีแล้ว ไม่สามารถส่งผ่านการเร่งเวลาด้านกายภาพให้กับบุคคลอื่นได้”
“เร่งด้านกายภาพ”
“มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไม่สามารถรีดพลังกาย ไม่ว่าจะเป็นความคิด กล้ามเนื้อ หรือระบบการทำงานอื่นๆได้ 100% ซึ่งนั่นเกิดจากปัจจัยที่ว่าร่างกายมนุษย์ไม่สามารถแบกรับภาระอันหนักอึ้ง จากการใช้งานเกินกำลังได้”
“แต่ในขณะเดียวกัน... นอกจากปัจจัยด้านร่างกายแล้ว การใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพก็มีส่วนในการทดแทนพลังที่ขาดหายไปพวกนั้นเช่นกัน”
“ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ?”
“ให้ กล่าวคือ ในการกระทำของมนุษย์ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคิด พละกำลัง และทุกๆส่วน ล้วนแต่มีเวลาเป็นตัวกลางในการสร้างความเปลี่ยนแปลง”
“ทุกการกระทำของมนุษย์ จะมีช่องว่างของเวลาอยู่เสมอ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ความทรงจำและความคิดของมนุษย์บางส่วนนั้นหายไป เพราะมันเกินกว่าขอบเขตเวลาที่มนุษย์แต่ละคนสามารถทำได้ ซึ่งมันจะส่งผลกับร่างกายได้เช่นกัน”
“ด้วยเหตุนี้ ผู้เชื่อมต่อเวลาที่สามารถดึงวงจรเวลาภายในร่างกายออกมาได้ 100% จึงทดแทนความสามารถส่วนนั้นให้เหนือกว่ามนุษย์ปกติได้”
“อ๋อ! เพราะแบบนั้น ตอนที่คุณวอร์เรนกับรินทร์มาช่วยฉันในวันนั้นถึงได้ดูต่างกับคนอื่นๆมากขนาดนี้”
“แต่มันก็ไม่ถึง 100% ของร่างกายอยู่ดี...”
“หาก ต้องการรีดเค้นพลังให้มากถึงขนาดนั้น... ระบบประสาทภายในร่างกายจะต้องทำงานหนักกว่าเดิมหลายเท่า เพื่อแบกรับการปรับเปลี่ยนเวลากะทันหัน”
“นั่นคือ... การปรับความเร็วของเวลา”
“แล้ว...... ทั้งหมดนี่... มันเกี่ยวอะไรกับการที่ญาดามองเห็นคุณหรอคะ?”
“...... จะว่าเกี่ยวทั้งหมดมันก็ไม่เชิงหรอก ให้พูดสั้นๆก็คง”
“ความสามารถในการดึงวงจรเวลาในร่างกายให้มีประสิทธิภาพ 100% มันใช้ได้แต่กับผู้เชื่อมต่อเวลาเท่านั้น”
“เอ๋!?”
“......นรินทร์น่ะ... ใช้ช่วงชีวิตของเธอเองในการบังคับให้วงจรเวลาในร่างกายของญาดาทำงาน 100% โดยไม่รู้ตัว”
“ซึ่งนอกจากผลตรงนั้น...... อายุขัยของนรินทร์ยังถูกแบ่งไปให้ญาดา เพื่อทดแทนเวลาในอนาคตที่ญาดาต้องใช้เพื่อพักฟื้นนั่นอีกด้วย”
“อายุขัยถูกแบ่งไป? ทำไมกันล่ะคะ?”
มีนเริ่มจะวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะอธิบายต่อจากนี้แล้ว
“......ญาดาน่ะ... จากสภาพแบบนั้น ต่อให้สภาพร่างกายทำงานได้เพิ่มขึ้นจากขอบเขตเวลาที่รินทร์เป็นคนเพิ่มเข้ามา ก็ยังต้องใช้เวลาเป็นปีหากจะกลับมาเป็นปกติ”
“ซึ่งในจุดนี้ รินทร์มีพลังบางอย่างที่แม้แต่เราเองก็ยังอธิบายไม่ถูก แต่หากจะให้คาดคะเนจากรูปแบบของพลังก็น่าจะเป็นแบบที่เราเคยได้ยินมาก่อน”
“เคยได้ยิน?”
“ญาดาน่ะ... ไม่ได้ใช้เวลาพักฟื้นด้วยเวลาที่แท้จริง”
“แต่ใช้อายุขัยของรินทร์เป็นตัวแปรต่างหาก”
“เอ๋!?”
*กึ้ก*
............
มีนกับวอร์เรนหันมาด้านซ้ายของโต๊ะทันทีหลังจากที่ฉันรีบวิ่งมาหาพวกเขา
ฉันยืนอึ้งหลังจากได้ยินเรื่องที่วอร์เรนกำลังพูดอยู่ เกี่ยวกับอายุขัยของฉันที่กำลังลดลง
“อายุขัย......”
“รินทร์!”
“นรินทร์......”
มีน ทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นฉันวิ่งมาเจอพวกเขาพอดีกับตอนที่วอร์เรนพูด เรื่องน่ากลัวออกมา ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้วอร์เรนหยุดพูดต่อ
“หมายความว่าไงกันแน่... วอร์เรน?”
“อธิบายมาที!!”
“......”
“เราเคยได้ยินเรื่องของการบิดเบือนเวลารูปแบบนั้นมาก่อน แต่ก็พึ่งจะเคยเห็นจริงๆก็ตอนนี้”
“เธอคงรู้อยู่แล้วสินะ ไม่ว่ายังไงญาดาก็คงไม่มีทางฟื้นมาในเวลาเพียงข้ามคืนได้แบบนี้”
“นั่นเป็นเพราะเธอได้มอบเวลาของเธอให้กับเขาไงล่ะ”
“มอบเวลา?”
“จะเรียกว่าญาดาใช้เวลา 1 ปีกว่าที่เธอมอบให้นั่นภายในชั่วข้ามคืนก็คงไม่ผิด มันเป็นการดึงเวลาทั้งหมดให้ใช้ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด”
“จิตของเธอต้องการให้ญาดาหายไวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันจึงส่งผลให้ญาดาดึงเวลาทั้งหมดที่เกินขอบเขตช่วงเวลาของตัวเองออกมาใช้”
“ในขณะที่อายุขัยของญาดายังคงเท่าเดิม เพราะช่วงเวลา 1 ปีกว่าที่ถูกแปรเปลี่ยนเป็นชั่วข้ามคืนนั่นไม่ได้ใช้ช่วงชีวิตของเธอ”
“แต่มันเป็นเวลาของเธอเองต่างหาก ที่ถูกส่งมอบให้กับเขา”
“มันเกินขอบเขตกว่าที่ร่างกายในปัจจุบันของเธอจะแบกรับ เพราะงั้นมันจึงใช้อายุขัยของเธอเป็นตัวแปรจนมันได้ผล...”
“กฎแห่งการแลกเปลี่ยนเวลา......”
“สามารถแลกเปลี่ยนเวลาชีวิตของกันและกันได้”
“นั่นเป็นพลังที่ทั้งน่ากลัวต่อผู้ที่ถูกใช้ และตัวผู้ใช้เองที่สุด!!”
“และการที่ช่วงชีวิตของรินทร์ถูกส่งมอบให้ญาดาแบบนั้น เลยทำให้เธอเห็นเราได้ไงล่ะ”
ทั้งฉันและมีนยังคงตะลึงกับสิ่งที่พึ่งรับรู้จากปากของเขา
“เ-เดี๋ยว สิคุณวอร์เรน! แปลว่ารินทร์จะมีอายุขัยน้อยลงงั้นหรอ!?”
“มีน!”
มีนกระแทกเสียงถามวอร์เรนด้วยความไม่พอใจหลังจากฟังเรื่องน่ากลัวเกี่ยวกับพลังของฉันจากวอร์เรน
“ทำไม...... ทำไมคุณถึงไม่บอกเรื่องนี้ตั้งแต่แรก!? ปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้ได้ยังไง!”
“...... ถ้าเรารู้เราก็คงจะบอกอยู่น่ะล่ะ แต่ถ้านั่นเป็นเจตจำนงของรินทร์แล้ว ต่อให้ห้ามยังไงก็ไม่สามารถทำให้เธอปฏิเสธจิตใต้สำนึกของตัวเองได้หรอก”
“ยอมรับความจริงซะเถอะ”
วอร์เรนนั่งนิ่งๆมองหน้ามีนที่ยังคงไม่พอใจคำตอบของวอร์เรน
“มันคืออะไรกันแน่คะ...”
“หา?”
“กาลเวลา... ผู้เชื่อมต่อ... บิดเบือนเวลา... มันคืออะไรกันแน่คะ?”
“คุณกำลังจะบอกว่าเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้มีต้นเหตุมาจากนาฬิกาที่คุณถือครองกันอยู่ตอนนี้จริงๆหรอคะ!?”
“กฎเกณฑ์ที่อยู่เหนือกว่าเรื่องที่น่าเชื่อได้แบบนั้นน่ะมัน...”
ฉันเห็นวอร์เรนนิ่งเงียบไปสักพัก เหมือนเขาพยายามหาคำตอบที่สมเหตุสมผลเพื่อตอบมีนให้ดีที่สุดอยู่
“เรื่องนั้นเราเองไม่รู้หรอก”
“ว่าไงนะ?”
“เราอยู่ในฐานะผู้ใช้ ไม่ได้อยู่ในฐานะผู้ให้กำเนิด เรื่องที่เรารู้เราก็บอกไปหมดแล้ว นอกจากนั้นเราเองก็ไม่ต่างกับพวกเธอหรอก”
ไม่ต่าง? ทั้งๆที่เขารู้เรื่องอะไรมากมายแบบนั้นแต่กลับบอกว่าไม่ต่าง นั่นเลยทำให้ฉันอดสงสัยที่จะถามไม่ได้
“ไม่ต่าง? แล้วการที่นายรอบรู้เรื่องพวกนี้ทั้งหมดน่ะ... นายรู้มาจากไหน?”
“นาย...... เป็นใครกันแน่”
“............ มันยังไม่ถึงเวลา”
“หา?”
“ขอตัวล่ะ”
“เ-เดี๋ยวสิ!”
มีนพยายามตะโกนห้ามไม่ให้เขาเดินหนี แต่ว่า...
เธอก็กลับหยุดนิ่ง... พร้อมกับโรงอาหารของโรงพยาบาลนี้
เขาจงใจใช้พลังนี้เพื่อหยุดไม่ให้มีนกับฉันเซ้าซี้ถามอะไรเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งตอนนี้เขาเดินมาจวนจะสวนกับฉัน
“รินทร์... เธอคิดว่า อะไรทำให้เราพยายามช่วยเธอมากถึงขนาดนี้”
“...... แล้วเพราะอะไรกันล่ะ?”
“...... เพราะเธออาจมีประโยชน์ที่จะช่วยเรื่องของเราด้วยไงล่ะ”
“แต่ว่า... เรายังไม่เชื่อใจในความสามารถของเธอว่าจะทำแบบนั้นได้ไหม แม้แต่ความปรารถนาของเธอเองก็ยังไม่บอก”
“ดังนั้นเราจะช่วยเธอเพื่อหวังว่าสักวันหนึ่ง... เธอจะช่วยเราตอบแทนกลับมาบ้าง”
“และเธอเอง...... อย่าได้ใช้พลังแบบนั้นเพื่อลดทอนชีวิตของตัวเองอีกล่ะ”
“จำไว้ให้ดี... พวกเราอยู่ฐานะที่ใช้ประโยชน์กันมาตลอด ถ้าทำแบบนั้น ระวังจะหมดประโยชน์เข้าสักวันหนึ่ง”
......
หลังจากวอร์เรนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาก็กำลังจะเดินสวนฉันออกไป ตอนนั้นฉันจึงตัดสินใจพูดสิ่งที่อยากพูดออกไป
“ฉันคิดว่านายเป็นเพื่อนนะ...”
วอร์เรนหยุดชะงักชั่วครู่
“ถึงนายจะเป็นคนแปลกหน้า ไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน แต่นายก็ช่วยเรามาตลอด”
“เพราะงั้น......”
“ฉันจึงเชื่อใจนายไงล่ะ!”
ฉันเขยิบหน้าเข้าไปใกล้วอร์เรน ซึ่งทำให้พวกเราสองคนมองตาคุยกัน ในขณะที่ฉันยังแสดงท่าทีที่หนักแน่น วอร์เรนกลับแสดงท่าทีที่ดูจริงจังกว่าปกติออกมา
“ถึงตอนนี้นายจะยังไม่เชื่อมั่นในตัวฉัน แต่สักวันหนึ่ง... ฉันจะเปลี่ยนความคิดนายให้ดู”
“ไม่ใช่ในฐานะของผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน”
“แต่เป็น... ในฐานะเพื่อน......”
............
............
“ของแบบนั้นน่ะ ไม่จำเป็นหรอก...”
วอร์เรนตอบฉันตอนที่เดินผ่านตัวฉันไป
“ฐานะของพวกเราแบบนั้น...... ดีที่สุดแล้วล่ะ”
เขาเดินผ่านไปไกล แม้จะพูดอย่างนั้น ฉันที่หันมองเขาด้วยความสงสัยในประโยคสุดท้ายที่เขาพูดมาก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
เวลาทั้งหมด... กลับมาอยู่ในสภาพปกติ
มีนกลับมาขยับตัวได้อีกครั้ง พอกำลังจะพูดต่อจากเมื่อกี๊ก็สังเกตเห็นว่าวอร์เรนอยู่ตรงนั้นแล้ว
“เ-เขาเดินไปนู่นตั้งแต่เมื่อไร?”
เธอมองมาที่ฉันอย่างช้าๆ ด้วยท่าทีที่สงบมากขึ้นหลังจากรู้สาเหตุ
“รินทร์......”
ฉัน ได้แต่ก้มหน้า พยายามคิดถึงเรื่องต่างๆระหว่างพวกเราสองคน ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกที่กลับไปกลับมาของวอร์เรน ด้านหนึ่งที่ดูเป็นคนเฉื่อยชา ทำตัวเกรียนไปวันๆ แต่พอเรื่องที่เกี่ยวกับเวลาแล้ว เขากลับกลายเป็นคนที่จริงจังขึ้นมาทันที และเมื่อกี๊ก็เป็นอีกครั้งที่เขาพูดอะไรทุกอย่างออกมาอย่างจริงจัง
(พวกเราเพียงแค่ใช้ประโยชน์กันและกันเท่านั้นเอง......)
(แน่หรอ......?)
............
(ผ่านไป 8 นาที)
ฉันเข้าไปเยี่ยมญาดาที่ห้องอีกครั้งพร้อมกับมีน ขณะนั้นญาดากำลังนั่งอ่านไดอารี่เล่มหนึ่งอยู่พอดี
“รินนี่”
“จู่ๆก็รีบวิ่งออกไปเลยแบบนั้นมีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ?”
“เอ่อ... ไม่มีอะไรหรอก พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะ”
พวกเราค่อยๆเดินไปจนชิดเตียงของญาดา
“ว่าแต่ คุณมานพกับคุณการะเกดไม่อยู่งั้นหรอ?”
“อ่อ... อื้อ! พ่อกับแม่กลับไปแล้วน่ะ บอกว่าพรุ่งนี้จะแวะมาเยี่ยมใหม่”
“พวก เขาบอกว่าถ้าอาการของเรายังทรงตัวอยู่แบบนี้ก็หมดกังวลแล้ว! สุดยอดไปเลยเนอะ จนถึงตอนนี้เรายังไม่อยากเชื่อเลยว่าจะฟื้นขึ้นมาแบบนี้ได้อีก”
มีนมองมาที่ฉันด้วยแววตาที่เป็นห่วง เพราะเธอรู้ความหมายของความกระปรี้กระเปร่านั้นของญาดาดี
“ขอบคุณนะ รินทร์”
“เอ๊ะ?”
“เราไม่รู้ว่าทำไมเราถึงขอบคุณเธอ แต่เรากลับรู้สึกว่า ที่เรายังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้ เพราะรินทร์ช่วยค้ำจุนจิตใจเราเอาไว้”
“เพราะแบบนั้นแล้ว เราจะไม่ใช้ช่วงเวลาตรงนี้ให้เสียเปล่าเด็ดขาด”
“รินนี่เอง...... ก็พยายามเข้านะ ไม่ใช่เพื่อเรา”
“แต่เพื่อตัวเธอเอง โอเค๊?”
ฉันยิ้มตอบความมีน้ำใจของเธอ ซึ่งตอนนี้ฉันตัดสินใจอย่างแน่วแน่ในหลายๆเรื่อง
ทั้ง ความปรารถนาที่ยังคงอยู่ภายในจิตใจลึกๆ ปริศนาเกี่ยวกับเวลาที่ฉันยังไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง สายสัมพันธ์ระหว่างฉันกับวอร์เรนที่ยังได้แค่ต่างคนต่างใช้ประโยชน์
“อื้อ! ฉันจะพยายามเต็มที่เลย ญาดา!”
มีนที่เห็นเราตอบชัดถ้อยชัดคำแบบนั้น ไม่นานก็ยิ้มตามเราอย่างช่วยไม่ได้
และหลังจากนั้นไม่นาน... พวกเราสองคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน พร้อมสัญญาว่าจะแวะมาเยี่ยมญาดาอีกแน่นอน
............
(บ้านนรินทร์ 22.40)
............
**มีชีวิตอยู่ต่อไปซะ...**
**จงเติมเต็มพลังด้วยความเกลียดชังของฉัน......**
**และเป็นอาวุธให้ฉัน เพื่อแก้แค้นให้ฉัน!**
“เฮือก!!”
...... “แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาหลังจากที่ฝันเห็นผู้หญิงผมยาวสีขาวคนหนึ่งพยายามพูดอะไรให้ฉันฟัง ซึ่งมันเป็นฝันที่แปลกและน่ากลัวมาก
“แค่ฝันงั้นหรอเนี่ย... น่ากลัวชะมัดเลย”
แขนซ้ายของฉันพันสายนาฬิกาพกไว้ เพื่อไม่ให้มันห่างตัวมากเกินไปหากเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา
ฉันหยิบนาฬิกาเรือนนั้นขึ้นมาดูเวลา พอรู้ว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วก็ปิดไปตามเดิม
“เจ้านี่ก็นะ...... ช่างเป็นนาฬิกาตัวปัญหาจริงๆ ได้มายังไงก็จำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
(แต่ถ้าไม่มีของชิ้นนี้ เรื่องวันนั้นคง...)
พอฉันย้อนนึกเรื่องสองสัปดาห์ก่อน ฉันก็กุมนาฬิกามาไว้ที่อก พร้อมกับยิ้มดีใจที่วันนี้ยังคงมีช่วงเวลาดีๆเกิดขึ้นในชีวิตตลอดเวลา
ฉันเดินออกจากห้องเพื่อลงไปกินน้ำข้างล่าง
“คอแห้งจังเลย ลงมากินน้ำดีกว่า”
“เรื่องราวของวันพรุ่งนี้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ไป”
*ลั้ลลา ลั้ลลา*
ระหว่างที่ฉันกำลังทำตัวสดชื่น
พอเปิดประตูมาที่ห้องครัว ก็ถึงกับนิ่งราวกับเวลาค้างเฉพาะตัวฉัน
จะไม่ให้ค้างก็คงไม่ได้
ก็อีตาวอร์เรนดันกำลังกินน้ำอยู่น่ะดิ!!
แล้วไหงอีตานั่นถึงได้ยืนอึ้งกิมกรี่อยู่แบบนั้นกันล่ะ แถมมีหน้าแดงนิดๆด้วยหลังจากเห็นเราเดินลงมา
ฉันที่ยืนอึ้งอยู่แบบนั้น ค่อยๆเหลือกตาลงมามองสภาพตัวเองที่ใส่เดรสชุดนอน และคนที่เห็นฉันใส่แบบนี้นอกจากมีนแล้วก็ไม่มีใคร
แต่ตอนนี้คนที่เห็นฉันอีกคนกลับเป็น......
“น-นี่รินทร์... ใส่ชุดแบบนี้ตอนนอน---”
“ไปตายซ๊าาาาาาาาา!!!”
ฉันชกหมัดซ้ายตรงเข้าไปที่แก้มขวาของเขาจนน้ำที่พึ่งจะจิบไปเมื่อกี๊พุ่งออกมา หน้าของเขากระเด็นไปจูบผนังห้องครัวทันที
“น-น-น-น-นายเข้ามาที่นี่ได้ไง!”
“และม-ม-มาทำไมที่นี่!?”
ติดอ่างทันทีเลย ฉันทั้งเขิน ทั้งอาย ทั้งหงุดหงิด ที่อีตานี่เข้ามาที่นี่แถมมาเห็นฉันใส่ชุดแบบนี้ที่คนอื่นๆไม่เคยเห็น
กำแพงตรงนั้นเหมือนจะมีรอยยุบไปเลยนิดนึง วอร์เรนหมุนหน้าออกมาในสภาพที่แก้มบวมเล็กน้อยเพื่อคุยกับเรา
“เอ่อ... ไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนหรอกนะ”
“แต่ว่าที่แมนชั่นเราน่ะ...”
*ย้อนกลับไปตอน 1 ทุ่ม ณ แมนชั่นที่วอร์เรนอยู่*
ใต้แมนชั่นแห่งนั้น วอร์เรนกำลังยืนคุยกับลุงที่เป็นตัวแทนผู้ดูแลอาคาร
“เอ่อ... ทำไมห้องของผมโดนล็อคหรอครับ?”
“อ่อ... เห็นเจ๊เจ้าของหอบอกว่าเธอลืมจ่ายค่าห้องตั้งแต่สัปดาห์ก่อนน่ะ”
“ทางเราเลยถือวิสาสะล็อคห้องและตัดน้ำตัดไฟชั่วคราวจนกว่าเธอจะชำระค่าห้องที่ค้างอยู่น่ะ”
(เวรล่ะ สัปดาห์ก่อนเรามัวแต่ยุ่งเรื่องยัยนั่นจนลืมเรื่องค่าห้องไปซะสนิทเลย)
“หา? งั้นถ้าผมจ่ายตอนนี้ก็ได้เลยใช่ไหมครับ”
“เอ่อ... เรื่องนั้นต้องรอเจ๊เขากลับมาก่อนละกัน อีกประมาณ 3 วันน่ะ ตอนนี้เธอไปเที่ยวฮ่องกงอยู่”
“ไงก็รอหน่อยละกันนะ ช่วงนี้ก็นอนห้องเพื่อนไปพลางๆก่อน”
วอร์เรนได้แต่ยืนนิ่งพร้อมกับแถบตาที่ซีดออกมา
*ตัดกลับมาปัจจุบัน*
“เราเลยต้องถ่อมาที่นี่ไงล่ะ”
“จะบ้ารึไงยะ! นี่บ้านฉันนะ! แล้วนายเอาเสื้อผ้าพวกนี้มาได้ไง ห้องถูกล็อคอยู่หนิ!?”
“เรื่องนั้นน่ะหรอ......”
“โกงเวลาอีกล่ะสิท่า...”
และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ วอร์เรนโกงเวลาทำให้กุญแจที่ล็อคห้องนั้นอยู่ในช่วงเวลาที่ยังไม่ได้ถูกล็อคเลยแอบเข้าไปได้
“อย่าเรียกว่าโกงสิ บิดเบือน บิดเบือน! เรียกซะดูแย่ไปเลย”
“สำหรับนายคำว่าโกงมันเหมาะสุดละ”
ถอนหายใจใหญ่เลยทีนี้
“แล้วนายไม่มีที่อื่นแล้วงั้นหรอ ถึงต้องมาที่บ้านฉัน?”
“ใช่... เรามาที่ไทยแค่ตัวคนเดียว และเราก็ไม่รู้จักใครคนอื่นด้วยนอกจากเธอกับมีน”
ฉันมึนไปสักพัก ก่อนจะสะดุดกับคำที่เขาพูดมา
“นายไม่ใช่คนไทยหรอ?”
แววตาของฉันดูไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไรเลย
“ไม่รู้เลยงั้นหรอ!?”
“เอ้อ ก็นายทั้งผมดำ หน้าออกโทนเอเชียซะขนาดนั้น แค่ลูกครึ่งฉันยังเชื่อยากเลย”
“เราเป็นคนแคนาดานะ! มันก็ต้องมีบ้างดิ ที่คนในโซนอเมริกาหรือยุโรปมีผิวพรรณ์และโครงสร้างร่างกายเหมือนคนเอเชีย”
“บังเอิญเราเป็นแบบนั้นแค่นั้น!”
“อ-อื้อ”
“แต่อย่างที่เราบอกไปน่ะล่ะ... เราขออยู่ที่นี่สักพักจนกว่าเจ้าของหอจะกลับมา”
“เราไม่ทำอะไรเธอแน่นอน สัญญาเลย อะ สาบานก็ได้เลยเอ้า”
“นะ นะ นะ แค่ 3 วันเอง นรินทร์!
ฉันที่ยังนิ่งๆกังวลอะไรอยู่ ถึงจะเห็นวอร์เรนทำหน้าทำตาอ้อนวอนทีเล่นทีจริง แต่ก็ไม่ทำให้ฉันโกรธเลยสักนิด แต่กลับกันเลยต่างหาก
“ก็ได้......”
“แต่นายห้ามทำอะไรพิเรนๆเด็ดขาด ไม่อย่างงั้น...”
“ฉันฆ่านายไม่เลี้ยงแน่!!”
แววตาอาฆาตของเราส่งผ่านไปถึงเขาทันที จนแถบตาวอร์เรนถึงกับซีดอีกรอบเลย
“ง......งัฟ”
สุดท้ายฉันก็ไม่ได้กินน้ำจนได้ ต้องมาหัวเสียกับอีตาวอร์เรนนี่ซะก่อน
ระหว่างที่กำลังขึ้นบันได ในหัวของฉันก็กำลังคิดเรื่องของผู้ชายคนนี้อยู่
(เรามาที่ไทยแค่ตัวคนเดียว และเราก็ไม่รู้จักใครคนอื่นด้วยนอกจากเธอกับมีน)
คำพูดนั้นก้องอยู่ในหัวของฉัน มือซ้ายที่พันสายนาฬิกาพกไว้ของเรากำลังจับราวบันได ในหัวของฉันยังคงคิดอะไรต่อไปเรื่อยๆไม่หยุด
(วอร์เรน... ใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวมาตลอดตั้งแต่มาที่ไทย)
(ทำไม......)
(ทำไมชีวิตของเขาถึงได้คล้ายกับเราจังเลยนะ......)
(ชีวิต...... ที่ต้องอยู่คนเดียวแบบนี้)
ในตอนนั้นวอร์เรนก็เตรียมจัดที่นอนตรงโซฟาไว้สำหรับนอนแล้ว
(ที่ผ่านมา...... เขาต้องเจอเรื่องอะไรมาบ้างนะ)
(ในนิสัยอันสลับซับซ้อนของวอร์เรน อาจจะมีเรื่องที่แสนเจ็บปวดบางอย่างที่เรายังไม่เคยรู้มาก่อน)
............
............
(จะว่าไป นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้ชายมาค้างที่บ้านเรานี่นา)
(ผู้ชายมาค้าง ผู้ชายมาค้าง ผู้ชายมาค้าง ผู้ชายมาค้าง...)
สุดท้ายฉันก็ข่มตานอนแทบไม่หลับเกือบทั้งคืน หลังจากที่ความคิดพวกนั้นมันดังก้องอยู่ในหัวตลอดเวลา
น่าอายจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว!
ส่วนทางวอร์เรนเองเหมือนจะติดภาพหลอนเดรสชุดนอนของรินทร์จนนอนตาค้างเลยเช่นกัน
(ใส่ชุดแบบนั้น...... ก็ไม่เลวนะ)
............
............
............
ไม่นานหลังจากญาดาฟื้นขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์ หมอก็เข้ามาตรวจอาการของเธอ
“ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ น้อยคนมากที่จะฟื้นขึ้นมาแล้วแทบจะมีอาการปกติได้ขนาดนี้”
“การไหลเวียนโลหิต การสั่งการของเส้นประสาทกลับมาเป็นปกติหมดทุกอย่าง”
“แค่แรงใจของหนูญาดาอย่างเดียวไม่น่าจะพอด้วยซ้ำ แม้แต่หมอเองยังสรรหาคำอธิบายอาการที่ดีขึ้นชั่วข้ามคืนแบบนี้ไม่ได้เลย”
หมอแจงอาการทั้งหมดให้พวกเราทุกคนฟัง ในห้องตอนนี้มีฉัน มีน คุณมานพ และก็คุณการะเกดผู้เป็นแม่ของญาดาที่ยืนอยู่อีกฝั่งของฉัน
สี หน้าของญาดาตอนนี้เริ่มจะสดชื่นขึ้น แต่ยังไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้มากเพราะร่างกายยังอ่อนเพลียจากการเป็น เจ้าหญิงนิทรามานานกว่าสองสัปดาห์ แม้จะถอดเครื่องช่วยหายใจไปแล้ว แต่สายน้ำเกลือก็ยังต้องให้อยู่
“ถ้ายังไง... ให้เธอพักฟื้นไปก่อนอีกสักระยะเพื่อดูอาการ หมอจะขอตรวจให้ละเอียดอีกสักรอบทีหลังนะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ/ครับ”
พวกเราทุกคนขอบคุณคุณหมอก่อนจะเดินจากไป ญาดาที่มีสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ยังไม่สามารถส่งเสียงออกมาดังๆได้เช่นเดิม
“พ่อคะ...... แม่คะ...... หนูหลับไป 2 สัปดาห์กว่าๆเลยหรอคะ?”
เสียงอันแผ่วเบาของญาดาถามพ่อกับแม่ของเขา
“อื้อ ลูกพักรักษาตัวมาเกือบจะเข้าสัปดาห์ที่ 3 อยู่แล้ว”
“พ่อกับแม่ดีใจจริงๆ ที่ลูกได้สติแล้ว!”
คุณการะเกดไม่สามารถกลั้นน้ำตาแห่งความดีใจได้ โผเข้ากอดญาดาทันที
“แม่ดีใจจริงๆ! ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยลูกแม่ให้รอดจากความตาย!”
“แ-แม่นี่ล่ะก็... พอได้แล้วน่า!”
ฉัน กับมีนยืนยิ้มแสดงความปลาบปลื้มยินดีกับครอบครัวของเขา ถึงแม้ว่าพ่อของเธอจะเลี่ยงไม่สบตาฉันเลยก็ตาม ซึ่งญาดาเองก็เหมือนจะสังเกตได้เหมือนกัน
“พ่อกับแม่คะ... หนูขอคุยกับรินนี่ตามลำพังก่อนได้ไหมคะ?”
คุณมานพเหมือนจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่คุณการะเกดเอามือจับแขนของเขาเป็นการบอกนัยๆว่าปล่อยให้ลูกสาวของพวกเขาอยู่ตามลำพังกับฉัน
“โชคดีนะ!”
“โอ้ย!”
มีนศอกสะกิดเอวฉันพร้อมกับยิ้มส่งให้พวกเราทั้งสองคน
ตอน นี้ท่ามกลางความเงียบงันภายในห้อง คนอื่นๆล้วนยืนอยู่ข้างนอกหมด ส่วนมีนเหมือนจะเดินไปไหนสักที่หนึ่งเพื่อแยกไปคุยกับวอร์เรนที่แอบสะกิดเขา ระหว่างที่อำพรางตัวเองอยู่
“เอ่อ...... ญาดา...”
“คือฉัน......”
“จับมือเราที รินทร์......”
ถึง จะแปลกใจกับความคิดของญาดา แต่ฉันก็ค่อยๆเอามือเข้าไปประกบจนจับมือของเธอไว้ ไม่นานเธอก็พลิกมือมากำมือของเราไว้แน่นทั้งๆที่แรงไม่ค่อยมี
“ขอบคุณนะ ที่ช่วยเราไว้เมื่อวันนั้น”
“เอ๋?”
“เธอ... จำได้งั้นหรอ?”
“อื้อ... แม้จะจำรายละเอียดไม่ได้ก็เถอะ แต่ว่า... เราจำได้...”
“คนที่พุ่งเข้ามาช่วยเราจากรถชนวันนั้น คือเธอ...”
“ญาดา...”
ฉันเริ่มยิ้มออกมาหลังจากที่เธอจำเรื่องราวต่างๆได้ ดูเหมือนสมองของเธอจะไม่ได้รับการกระทบกระเทือนมากอย่างที่คิด
“เพราะงั้น... รินนี่ไม่ต้องโทษตัวเองนะ... ถ้าวันนั้นรินนี่ไม่อยู่กับเรา ป่านนี้เราคงจะไม่ได้สัมผัสมืออันแสนอบอุ่นแบบนี้อีกแล้ว”
“อย่าพูดอะไรเป็นลางแบบนั้นอีกสิ!”
“ฮะฮะ ล้อเล่นหรอกน่า”
“ญาดานี่ล่ะก็ ล้อเล่นไปเรื่อยเลยนะ”
ไม่นานนัก เธอก็หยุดพูดก่อนจะแหงนหน้ายิ้มมองไปยังเพดานด้านบน
“แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องหรอกนะ......”
“มีบางเรื่องที่เราจริงจังมาก และไม่เคยล้อเล่นเลยสักครั้ง”
“ทั้งๆที่เราหลับมายาวนานขนาดนั้น แต่หัวใจกลับรู้สึกอบอุ่น การที่เราฟื้นขึ้นมาได้แบบนี้”
“อาจจะเพราะว่าความรู้สึกที่เรามีต่อเธอก็ได้นะ รินนี่”
“คำพูดสุดท้ายก่อนที่เรากลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไป เธอยังจำได้อยู่สินะ?”
ฉันจำได้... ฉันจำได้เพราะความทรงจำพวกนั้นกลับมาหมดแล้ว รวมถึงความผูกพันในสายสัมพันธ์ของพวกเราสองคนด้วย
แก้มของฉันแดงขึ้นมาหลังจากที่เธอถามแบบนั้น แต่ว่าฉันก็ไม่รู้ว่าจะตอบเธอยังไงดี
“คือ...... คือว่า...”
“รู้แล้วล่ะน่า......”
“เอ๋?”
“...... เรารู้อยู่แล้วล่ะ...... มันเป็นความรักที่ไม่มีทางสมหวังหรอก ต่อให้เธอไม่ชอบผู้ชาย ก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะต้องชอบผู้หญิงสักหน่อยนี่นะ”
“เรานี่ก็หวังลมๆแล้งๆไปได้” (ถอนหายใจ)
“ฉ-ฉันไม่ได้คิดจะพูดแบบนั้นนะ แค่มัน......”
“คือฉันไม่เคยมีความรักมาก่อน และฉันไม่รู้ด้วยว่าจะมีความรู้สึกแบบนั้นได้ไหม”
“และอีกอย่าง... ญาดาเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ ฉันเลยไม่อยากคิดอะไรมากไปกว่านั้นน่ะ”
“ขอโทษจริงๆนะ”
ญาดาตอนแรกทำหน้าน้อยใจ แต่ตอนนี้กลับมายิ้มระรื่นเหมือนปกติแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกน่า... อย่าคิดมากสิ”
“เราก็คิดเผื่อไว้แบบนั้นอยู่แล้วล่ะ ยังไงซะ”
“แค่ได้เป็นเพื่อนกันจนถึงวันนี้... ก็มีความสุขมากแล้ว”
รอยยิ้มของเธอทำให้ฉันนึกถึงเรื่องเก่าๆ ญาดาเป็นคนที่มีผลกระทบด้านบุคลิกของเราในตอนนี้มากที่สุด
เหตุผลที่เราเข้มแข็งขึ้น พยายามปรับเปลี่ยนตัวเอง ไม่ทำตัวอ่อนแอ ทั้งหมดก็เพราะเธอคอยให้กำลังใจเราอยู่เสมอ
ฉันยิ้มด้วยความดีใจ ที่ได้เห็นญาดาฟื้นขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์แบบนี้อีกครั้ง......
“ถ้าเธอพักฟื้นอีกสักระยะ ฉันเชื่อว่าเธอคงได้กลับบ้านเร็วๆนี้แน่”
“และหลังจากนั้นเธอก็จะได้ไปที่---”
“ที่?”
ฉันอ้ำอึ้งไม่อยากพูดต่อ เพราะมันเป็นความรู้สึกที่น่าจะสะเทือนใจกับเธอมาก
(จริงสิ ทุกคนลืมเรื่องของญาดาไปหมดแล้ว ถ้าเธอเลือกกลับไปที่โรงเรียนแล้วต้องเจอเหตุการณ์แบบนั้น...)
“ไ-ไม่มีอะไรหรอก... ตอนนี้ญาดาควรจะนอนพักก่อนดีกว่า ฉันรบกวนเวลาเธอมากไปแล้วสิ”
“อื้อ...”
“แต่จะว่าไป......”
“ผู้ชายหัวตั้งที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าเมื่อกี๊นี่ เพื่อนของรินทร์หรอ?”
“ผู้ชาย... หัวตั้ง?”
หลังจากฉันนั่งอึนอยู่ได้สักพัก ก็ทำสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที
“เ-เป็นไรน่ะ?”
(เ-เรื่องนี้มันยังไงกันแน่เนี่ย? ทำไมญาดาถึงเห็นอีตาวอร์เรนนั่นได้ด้วย?)
............
(10 นาทีต่อมา)
*ตุ้บ* (เสียงทุบโต๊ะ)
“หา? ญาดามองเห็นคุณงั้นหรอ?”
มีน ตะโกนดังลั่นโรงอาหารที่โรงพยาบาลระหว่างที่เธอกับผมกำลังนั่งกินน้ำที่ซื้อ มาอยู่ พอทุกคนเริ่มหันมามอง มีนก็หน้าแดงด้วยความอายค่อยๆหย่อนตัวลงมานั่งตามเดิม
“เราคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น เพราะงั้นเราถึงได้เรียกเธอมาเพื่อบอกอะไรบางอย่าง”
“เอ๋? ทำไมต้องเป็นฉันน่ะ เล่าให้นรินทร์ฟังไปเลยไม่ดีกว่าหรอ?”
ผมวางกล่องนมถั่วเหลืองไว้ที่โต๊ะเพื่อคุยกับเธออย่างจริงจัง
“ยังไงนรินทร์ก็คงจะรู้สึกตัวเองแหละ พอดีเรากำลังคิดอะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น”
“เธอไม่คิดว่าเรื่องที่ญาดาฟื้นขึ้นมามันแปลกประหลาดไปหน่อยหรอ?”
“แปลก? จริงๆแล้ว... ฉันก็แอบคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน”
มีนเริ่มพูดเสียงเบาและนิ่งมากขึ้น แสดงว่าเธอคงรู้สึกเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน
“ในบรรดาตัวแทนผู้เชื่อมต่อเวลา ตามพื้นฐานของความสามารถที่มีแล้ว ไม่สามารถส่งผ่านการเร่งเวลาด้านกายภาพให้กับบุคคลอื่นได้”
“เร่งด้านกายภาพ”
“มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไม่สามารถรีดพลังกาย ไม่ว่าจะเป็นความคิด กล้ามเนื้อ หรือระบบการทำงานอื่นๆได้ 100% ซึ่งนั่นเกิดจากปัจจัยที่ว่าร่างกายมนุษย์ไม่สามารถแบกรับภาระอันหนักอึ้ง จากการใช้งานเกินกำลังได้”
“แต่ในขณะเดียวกัน... นอกจากปัจจัยด้านร่างกายแล้ว การใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพก็มีส่วนในการทดแทนพลังที่ขาดหายไปพวกนั้นเช่นกัน”
“ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ?”
“ให้ กล่าวคือ ในการกระทำของมนุษย์ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคิด พละกำลัง และทุกๆส่วน ล้วนแต่มีเวลาเป็นตัวกลางในการสร้างความเปลี่ยนแปลง”
“ทุกการกระทำของมนุษย์ จะมีช่องว่างของเวลาอยู่เสมอ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ความทรงจำและความคิดของมนุษย์บางส่วนนั้นหายไป เพราะมันเกินกว่าขอบเขตเวลาที่มนุษย์แต่ละคนสามารถทำได้ ซึ่งมันจะส่งผลกับร่างกายได้เช่นกัน”
“ด้วยเหตุนี้ ผู้เชื่อมต่อเวลาที่สามารถดึงวงจรเวลาภายในร่างกายออกมาได้ 100% จึงทดแทนความสามารถส่วนนั้นให้เหนือกว่ามนุษย์ปกติได้”
“อ๋อ! เพราะแบบนั้น ตอนที่คุณวอร์เรนกับรินทร์มาช่วยฉันในวันนั้นถึงได้ดูต่างกับคนอื่นๆมากขนาดนี้”
“แต่มันก็ไม่ถึง 100% ของร่างกายอยู่ดี...”
“หาก ต้องการรีดเค้นพลังให้มากถึงขนาดนั้น... ระบบประสาทภายในร่างกายจะต้องทำงานหนักกว่าเดิมหลายเท่า เพื่อแบกรับการปรับเปลี่ยนเวลากะทันหัน”
“นั่นคือ... การปรับความเร็วของเวลา”
“แล้ว...... ทั้งหมดนี่... มันเกี่ยวอะไรกับการที่ญาดามองเห็นคุณหรอคะ?”
“...... จะว่าเกี่ยวทั้งหมดมันก็ไม่เชิงหรอก ให้พูดสั้นๆก็คง”
“ความสามารถในการดึงวงจรเวลาในร่างกายให้มีประสิทธิภาพ 100% มันใช้ได้แต่กับผู้เชื่อมต่อเวลาเท่านั้น”
“เอ๋!?”
“......นรินทร์น่ะ... ใช้ช่วงชีวิตของเธอเองในการบังคับให้วงจรเวลาในร่างกายของญาดาทำงาน 100% โดยไม่รู้ตัว”
“ซึ่งนอกจากผลตรงนั้น...... อายุขัยของนรินทร์ยังถูกแบ่งไปให้ญาดา เพื่อทดแทนเวลาในอนาคตที่ญาดาต้องใช้เพื่อพักฟื้นนั่นอีกด้วย”
“อายุขัยถูกแบ่งไป? ทำไมกันล่ะคะ?”
มีนเริ่มจะวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะอธิบายต่อจากนี้แล้ว
“......ญาดาน่ะ... จากสภาพแบบนั้น ต่อให้สภาพร่างกายทำงานได้เพิ่มขึ้นจากขอบเขตเวลาที่รินทร์เป็นคนเพิ่มเข้ามา ก็ยังต้องใช้เวลาเป็นปีหากจะกลับมาเป็นปกติ”
“ซึ่งในจุดนี้ รินทร์มีพลังบางอย่างที่แม้แต่เราเองก็ยังอธิบายไม่ถูก แต่หากจะให้คาดคะเนจากรูปแบบของพลังก็น่าจะเป็นแบบที่เราเคยได้ยินมาก่อน”
“เคยได้ยิน?”
“ญาดาน่ะ... ไม่ได้ใช้เวลาพักฟื้นด้วยเวลาที่แท้จริง”
“แต่ใช้อายุขัยของรินทร์เป็นตัวแปรต่างหาก”
“เอ๋!?”
*กึ้ก*
............
มีนกับวอร์เรนหันมาด้านซ้ายของโต๊ะทันทีหลังจากที่ฉันรีบวิ่งมาหาพวกเขา
ฉันยืนอึ้งหลังจากได้ยินเรื่องที่วอร์เรนกำลังพูดอยู่ เกี่ยวกับอายุขัยของฉันที่กำลังลดลง
“อายุขัย......”
“รินทร์!”
“นรินทร์......”
มีน ทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นฉันวิ่งมาเจอพวกเขาพอดีกับตอนที่วอร์เรนพูด เรื่องน่ากลัวออกมา ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้วอร์เรนหยุดพูดต่อ
“หมายความว่าไงกันแน่... วอร์เรน?”
“อธิบายมาที!!”
“......”
“เราเคยได้ยินเรื่องของการบิดเบือนเวลารูปแบบนั้นมาก่อน แต่ก็พึ่งจะเคยเห็นจริงๆก็ตอนนี้”
“เธอคงรู้อยู่แล้วสินะ ไม่ว่ายังไงญาดาก็คงไม่มีทางฟื้นมาในเวลาเพียงข้ามคืนได้แบบนี้”
“นั่นเป็นเพราะเธอได้มอบเวลาของเธอให้กับเขาไงล่ะ”
“มอบเวลา?”
“จะเรียกว่าญาดาใช้เวลา 1 ปีกว่าที่เธอมอบให้นั่นภายในชั่วข้ามคืนก็คงไม่ผิด มันเป็นการดึงเวลาทั้งหมดให้ใช้ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด”
“จิตของเธอต้องการให้ญาดาหายไวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันจึงส่งผลให้ญาดาดึงเวลาทั้งหมดที่เกินขอบเขตช่วงเวลาของตัวเองออกมาใช้”
“ในขณะที่อายุขัยของญาดายังคงเท่าเดิม เพราะช่วงเวลา 1 ปีกว่าที่ถูกแปรเปลี่ยนเป็นชั่วข้ามคืนนั่นไม่ได้ใช้ช่วงชีวิตของเธอ”
“แต่มันเป็นเวลาของเธอเองต่างหาก ที่ถูกส่งมอบให้กับเขา”
“มันเกินขอบเขตกว่าที่ร่างกายในปัจจุบันของเธอจะแบกรับ เพราะงั้นมันจึงใช้อายุขัยของเธอเป็นตัวแปรจนมันได้ผล...”
“กฎแห่งการแลกเปลี่ยนเวลา......”
“สามารถแลกเปลี่ยนเวลาชีวิตของกันและกันได้”
“นั่นเป็นพลังที่ทั้งน่ากลัวต่อผู้ที่ถูกใช้ และตัวผู้ใช้เองที่สุด!!”
“และการที่ช่วงชีวิตของรินทร์ถูกส่งมอบให้ญาดาแบบนั้น เลยทำให้เธอเห็นเราได้ไงล่ะ”
ทั้งฉันและมีนยังคงตะลึงกับสิ่งที่พึ่งรับรู้จากปากของเขา
“เ-เดี๋ยว สิคุณวอร์เรน! แปลว่ารินทร์จะมีอายุขัยน้อยลงงั้นหรอ!?”
“มีน!”
มีนกระแทกเสียงถามวอร์เรนด้วยความไม่พอใจหลังจากฟังเรื่องน่ากลัวเกี่ยวกับพลังของฉันจากวอร์เรน
“ทำไม...... ทำไมคุณถึงไม่บอกเรื่องนี้ตั้งแต่แรก!? ปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้ได้ยังไง!”
“...... ถ้าเรารู้เราก็คงจะบอกอยู่น่ะล่ะ แต่ถ้านั่นเป็นเจตจำนงของรินทร์แล้ว ต่อให้ห้ามยังไงก็ไม่สามารถทำให้เธอปฏิเสธจิตใต้สำนึกของตัวเองได้หรอก”
“ยอมรับความจริงซะเถอะ”
วอร์เรนนั่งนิ่งๆมองหน้ามีนที่ยังคงไม่พอใจคำตอบของวอร์เรน
“มันคืออะไรกันแน่คะ...”
“หา?”
“กาลเวลา... ผู้เชื่อมต่อ... บิดเบือนเวลา... มันคืออะไรกันแน่คะ?”
“คุณกำลังจะบอกว่าเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้มีต้นเหตุมาจากนาฬิกาที่คุณถือครองกันอยู่ตอนนี้จริงๆหรอคะ!?”
“กฎเกณฑ์ที่อยู่เหนือกว่าเรื่องที่น่าเชื่อได้แบบนั้นน่ะมัน...”
ฉันเห็นวอร์เรนนิ่งเงียบไปสักพัก เหมือนเขาพยายามหาคำตอบที่สมเหตุสมผลเพื่อตอบมีนให้ดีที่สุดอยู่
“เรื่องนั้นเราเองไม่รู้หรอก”
“ว่าไงนะ?”
“เราอยู่ในฐานะผู้ใช้ ไม่ได้อยู่ในฐานะผู้ให้กำเนิด เรื่องที่เรารู้เราก็บอกไปหมดแล้ว นอกจากนั้นเราเองก็ไม่ต่างกับพวกเธอหรอก”
ไม่ต่าง? ทั้งๆที่เขารู้เรื่องอะไรมากมายแบบนั้นแต่กลับบอกว่าไม่ต่าง นั่นเลยทำให้ฉันอดสงสัยที่จะถามไม่ได้
“ไม่ต่าง? แล้วการที่นายรอบรู้เรื่องพวกนี้ทั้งหมดน่ะ... นายรู้มาจากไหน?”
“นาย...... เป็นใครกันแน่”
“............ มันยังไม่ถึงเวลา”
“หา?”
“ขอตัวล่ะ”
“เ-เดี๋ยวสิ!”
มีนพยายามตะโกนห้ามไม่ให้เขาเดินหนี แต่ว่า...
เธอก็กลับหยุดนิ่ง... พร้อมกับโรงอาหารของโรงพยาบาลนี้
เขาจงใจใช้พลังนี้เพื่อหยุดไม่ให้มีนกับฉันเซ้าซี้ถามอะไรเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งตอนนี้เขาเดินมาจวนจะสวนกับฉัน
“รินทร์... เธอคิดว่า อะไรทำให้เราพยายามช่วยเธอมากถึงขนาดนี้”
“...... แล้วเพราะอะไรกันล่ะ?”
“...... เพราะเธออาจมีประโยชน์ที่จะช่วยเรื่องของเราด้วยไงล่ะ”
“แต่ว่า... เรายังไม่เชื่อใจในความสามารถของเธอว่าจะทำแบบนั้นได้ไหม แม้แต่ความปรารถนาของเธอเองก็ยังไม่บอก”
“ดังนั้นเราจะช่วยเธอเพื่อหวังว่าสักวันหนึ่ง... เธอจะช่วยเราตอบแทนกลับมาบ้าง”
“และเธอเอง...... อย่าได้ใช้พลังแบบนั้นเพื่อลดทอนชีวิตของตัวเองอีกล่ะ”
“จำไว้ให้ดี... พวกเราอยู่ฐานะที่ใช้ประโยชน์กันมาตลอด ถ้าทำแบบนั้น ระวังจะหมดประโยชน์เข้าสักวันหนึ่ง”
......
หลังจากวอร์เรนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาก็กำลังจะเดินสวนฉันออกไป ตอนนั้นฉันจึงตัดสินใจพูดสิ่งที่อยากพูดออกไป
“ฉันคิดว่านายเป็นเพื่อนนะ...”
วอร์เรนหยุดชะงักชั่วครู่
“ถึงนายจะเป็นคนแปลกหน้า ไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน แต่นายก็ช่วยเรามาตลอด”
“เพราะงั้น......”
“ฉันจึงเชื่อใจนายไงล่ะ!”
ฉันเขยิบหน้าเข้าไปใกล้วอร์เรน ซึ่งทำให้พวกเราสองคนมองตาคุยกัน ในขณะที่ฉันยังแสดงท่าทีที่หนักแน่น วอร์เรนกลับแสดงท่าทีที่ดูจริงจังกว่าปกติออกมา
“ถึงตอนนี้นายจะยังไม่เชื่อมั่นในตัวฉัน แต่สักวันหนึ่ง... ฉันจะเปลี่ยนความคิดนายให้ดู”
“ไม่ใช่ในฐานะของผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน”
“แต่เป็น... ในฐานะเพื่อน......”
............
............
“ของแบบนั้นน่ะ ไม่จำเป็นหรอก...”
วอร์เรนตอบฉันตอนที่เดินผ่านตัวฉันไป
“ฐานะของพวกเราแบบนั้น...... ดีที่สุดแล้วล่ะ”
เขาเดินผ่านไปไกล แม้จะพูดอย่างนั้น ฉันที่หันมองเขาด้วยความสงสัยในประโยคสุดท้ายที่เขาพูดมาก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
เวลาทั้งหมด... กลับมาอยู่ในสภาพปกติ
มีนกลับมาขยับตัวได้อีกครั้ง พอกำลังจะพูดต่อจากเมื่อกี๊ก็สังเกตเห็นว่าวอร์เรนอยู่ตรงนั้นแล้ว
“เ-เขาเดินไปนู่นตั้งแต่เมื่อไร?”
เธอมองมาที่ฉันอย่างช้าๆ ด้วยท่าทีที่สงบมากขึ้นหลังจากรู้สาเหตุ
“รินทร์......”
ฉัน ได้แต่ก้มหน้า พยายามคิดถึงเรื่องต่างๆระหว่างพวกเราสองคน ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกที่กลับไปกลับมาของวอร์เรน ด้านหนึ่งที่ดูเป็นคนเฉื่อยชา ทำตัวเกรียนไปวันๆ แต่พอเรื่องที่เกี่ยวกับเวลาแล้ว เขากลับกลายเป็นคนที่จริงจังขึ้นมาทันที และเมื่อกี๊ก็เป็นอีกครั้งที่เขาพูดอะไรทุกอย่างออกมาอย่างจริงจัง
(พวกเราเพียงแค่ใช้ประโยชน์กันและกันเท่านั้นเอง......)
(แน่หรอ......?)
............
(ผ่านไป 8 นาที)
ฉันเข้าไปเยี่ยมญาดาที่ห้องอีกครั้งพร้อมกับมีน ขณะนั้นญาดากำลังนั่งอ่านไดอารี่เล่มหนึ่งอยู่พอดี
“รินนี่”
“จู่ๆก็รีบวิ่งออกไปเลยแบบนั้นมีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ?”
“เอ่อ... ไม่มีอะไรหรอก พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะ”
พวกเราค่อยๆเดินไปจนชิดเตียงของญาดา
“ว่าแต่ คุณมานพกับคุณการะเกดไม่อยู่งั้นหรอ?”
“อ่อ... อื้อ! พ่อกับแม่กลับไปแล้วน่ะ บอกว่าพรุ่งนี้จะแวะมาเยี่ยมใหม่”
“พวก เขาบอกว่าถ้าอาการของเรายังทรงตัวอยู่แบบนี้ก็หมดกังวลแล้ว! สุดยอดไปเลยเนอะ จนถึงตอนนี้เรายังไม่อยากเชื่อเลยว่าจะฟื้นขึ้นมาแบบนี้ได้อีก”
มีนมองมาที่ฉันด้วยแววตาที่เป็นห่วง เพราะเธอรู้ความหมายของความกระปรี้กระเปร่านั้นของญาดาดี
“ขอบคุณนะ รินทร์”
“เอ๊ะ?”
“เราไม่รู้ว่าทำไมเราถึงขอบคุณเธอ แต่เรากลับรู้สึกว่า ที่เรายังมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้ เพราะรินทร์ช่วยค้ำจุนจิตใจเราเอาไว้”
“เพราะแบบนั้นแล้ว เราจะไม่ใช้ช่วงเวลาตรงนี้ให้เสียเปล่าเด็ดขาด”
“รินนี่เอง...... ก็พยายามเข้านะ ไม่ใช่เพื่อเรา”
“แต่เพื่อตัวเธอเอง โอเค๊?”
ฉันยิ้มตอบความมีน้ำใจของเธอ ซึ่งตอนนี้ฉันตัดสินใจอย่างแน่วแน่ในหลายๆเรื่อง
ทั้ง ความปรารถนาที่ยังคงอยู่ภายในจิตใจลึกๆ ปริศนาเกี่ยวกับเวลาที่ฉันยังไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง สายสัมพันธ์ระหว่างฉันกับวอร์เรนที่ยังได้แค่ต่างคนต่างใช้ประโยชน์
“อื้อ! ฉันจะพยายามเต็มที่เลย ญาดา!”
มีนที่เห็นเราตอบชัดถ้อยชัดคำแบบนั้น ไม่นานก็ยิ้มตามเราอย่างช่วยไม่ได้
และหลังจากนั้นไม่นาน... พวกเราสองคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน พร้อมสัญญาว่าจะแวะมาเยี่ยมญาดาอีกแน่นอน
............
(บ้านนรินทร์ 22.40)
............
**มีชีวิตอยู่ต่อไปซะ...**
**จงเติมเต็มพลังด้วยความเกลียดชังของฉัน......**
**และเป็นอาวุธให้ฉัน เพื่อแก้แค้นให้ฉัน!**
“เฮือก!!”
...... “แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาหลังจากที่ฝันเห็นผู้หญิงผมยาวสีขาวคนหนึ่งพยายามพูดอะไรให้ฉันฟัง ซึ่งมันเป็นฝันที่แปลกและน่ากลัวมาก
“แค่ฝันงั้นหรอเนี่ย... น่ากลัวชะมัดเลย”
แขนซ้ายของฉันพันสายนาฬิกาพกไว้ เพื่อไม่ให้มันห่างตัวมากเกินไปหากเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา
ฉันหยิบนาฬิกาเรือนนั้นขึ้นมาดูเวลา พอรู้ว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วก็ปิดไปตามเดิม
“เจ้านี่ก็นะ...... ช่างเป็นนาฬิกาตัวปัญหาจริงๆ ได้มายังไงก็จำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
(แต่ถ้าไม่มีของชิ้นนี้ เรื่องวันนั้นคง...)
พอฉันย้อนนึกเรื่องสองสัปดาห์ก่อน ฉันก็กุมนาฬิกามาไว้ที่อก พร้อมกับยิ้มดีใจที่วันนี้ยังคงมีช่วงเวลาดีๆเกิดขึ้นในชีวิตตลอดเวลา
ฉันเดินออกจากห้องเพื่อลงไปกินน้ำข้างล่าง
“คอแห้งจังเลย ลงมากินน้ำดีกว่า”
“เรื่องราวของวันพรุ่งนี้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ไป”
*ลั้ลลา ลั้ลลา*
ระหว่างที่ฉันกำลังทำตัวสดชื่น
พอเปิดประตูมาที่ห้องครัว ก็ถึงกับนิ่งราวกับเวลาค้างเฉพาะตัวฉัน
จะไม่ให้ค้างก็คงไม่ได้
ก็อีตาวอร์เรนดันกำลังกินน้ำอยู่น่ะดิ!!
แล้วไหงอีตานั่นถึงได้ยืนอึ้งกิมกรี่อยู่แบบนั้นกันล่ะ แถมมีหน้าแดงนิดๆด้วยหลังจากเห็นเราเดินลงมา
ฉันที่ยืนอึ้งอยู่แบบนั้น ค่อยๆเหลือกตาลงมามองสภาพตัวเองที่ใส่เดรสชุดนอน และคนที่เห็นฉันใส่แบบนี้นอกจากมีนแล้วก็ไม่มีใคร
แต่ตอนนี้คนที่เห็นฉันอีกคนกลับเป็น......
“น-นี่รินทร์... ใส่ชุดแบบนี้ตอนนอน---”
“ไปตายซ๊าาาาาาาาา!!!”
ฉันชกหมัดซ้ายตรงเข้าไปที่แก้มขวาของเขาจนน้ำที่พึ่งจะจิบไปเมื่อกี๊พุ่งออกมา หน้าของเขากระเด็นไปจูบผนังห้องครัวทันที
“น-น-น-น-นายเข้ามาที่นี่ได้ไง!”
“และม-ม-มาทำไมที่นี่!?”
ติดอ่างทันทีเลย ฉันทั้งเขิน ทั้งอาย ทั้งหงุดหงิด ที่อีตานี่เข้ามาที่นี่แถมมาเห็นฉันใส่ชุดแบบนี้ที่คนอื่นๆไม่เคยเห็น
กำแพงตรงนั้นเหมือนจะมีรอยยุบไปเลยนิดนึง วอร์เรนหมุนหน้าออกมาในสภาพที่แก้มบวมเล็กน้อยเพื่อคุยกับเรา
“เอ่อ... ไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนหรอกนะ”
“แต่ว่าที่แมนชั่นเราน่ะ...”
*ย้อนกลับไปตอน 1 ทุ่ม ณ แมนชั่นที่วอร์เรนอยู่*
ใต้แมนชั่นแห่งนั้น วอร์เรนกำลังยืนคุยกับลุงที่เป็นตัวแทนผู้ดูแลอาคาร
“เอ่อ... ทำไมห้องของผมโดนล็อคหรอครับ?”
“อ่อ... เห็นเจ๊เจ้าของหอบอกว่าเธอลืมจ่ายค่าห้องตั้งแต่สัปดาห์ก่อนน่ะ”
“ทางเราเลยถือวิสาสะล็อคห้องและตัดน้ำตัดไฟชั่วคราวจนกว่าเธอจะชำระค่าห้องที่ค้างอยู่น่ะ”
(เวรล่ะ สัปดาห์ก่อนเรามัวแต่ยุ่งเรื่องยัยนั่นจนลืมเรื่องค่าห้องไปซะสนิทเลย)
“หา? งั้นถ้าผมจ่ายตอนนี้ก็ได้เลยใช่ไหมครับ”
“เอ่อ... เรื่องนั้นต้องรอเจ๊เขากลับมาก่อนละกัน อีกประมาณ 3 วันน่ะ ตอนนี้เธอไปเที่ยวฮ่องกงอยู่”
“ไงก็รอหน่อยละกันนะ ช่วงนี้ก็นอนห้องเพื่อนไปพลางๆก่อน”
วอร์เรนได้แต่ยืนนิ่งพร้อมกับแถบตาที่ซีดออกมา
*ตัดกลับมาปัจจุบัน*
“เราเลยต้องถ่อมาที่นี่ไงล่ะ”
“จะบ้ารึไงยะ! นี่บ้านฉันนะ! แล้วนายเอาเสื้อผ้าพวกนี้มาได้ไง ห้องถูกล็อคอยู่หนิ!?”
“เรื่องนั้นน่ะหรอ......”
“โกงเวลาอีกล่ะสิท่า...”
และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ วอร์เรนโกงเวลาทำให้กุญแจที่ล็อคห้องนั้นอยู่ในช่วงเวลาที่ยังไม่ได้ถูกล็อคเลยแอบเข้าไปได้
“อย่าเรียกว่าโกงสิ บิดเบือน บิดเบือน! เรียกซะดูแย่ไปเลย”
“สำหรับนายคำว่าโกงมันเหมาะสุดละ”
ถอนหายใจใหญ่เลยทีนี้
“แล้วนายไม่มีที่อื่นแล้วงั้นหรอ ถึงต้องมาที่บ้านฉัน?”
“ใช่... เรามาที่ไทยแค่ตัวคนเดียว และเราก็ไม่รู้จักใครคนอื่นด้วยนอกจากเธอกับมีน”
ฉันมึนไปสักพัก ก่อนจะสะดุดกับคำที่เขาพูดมา
“นายไม่ใช่คนไทยหรอ?”
แววตาของฉันดูไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไรเลย
“ไม่รู้เลยงั้นหรอ!?”
“เอ้อ ก็นายทั้งผมดำ หน้าออกโทนเอเชียซะขนาดนั้น แค่ลูกครึ่งฉันยังเชื่อยากเลย”
“เราเป็นคนแคนาดานะ! มันก็ต้องมีบ้างดิ ที่คนในโซนอเมริกาหรือยุโรปมีผิวพรรณ์และโครงสร้างร่างกายเหมือนคนเอเชีย”
“บังเอิญเราเป็นแบบนั้นแค่นั้น!”
“อ-อื้อ”
“แต่อย่างที่เราบอกไปน่ะล่ะ... เราขออยู่ที่นี่สักพักจนกว่าเจ้าของหอจะกลับมา”
“เราไม่ทำอะไรเธอแน่นอน สัญญาเลย อะ สาบานก็ได้เลยเอ้า”
“นะ นะ นะ แค่ 3 วันเอง นรินทร์!
ฉันที่ยังนิ่งๆกังวลอะไรอยู่ ถึงจะเห็นวอร์เรนทำหน้าทำตาอ้อนวอนทีเล่นทีจริง แต่ก็ไม่ทำให้ฉันโกรธเลยสักนิด แต่กลับกันเลยต่างหาก
“ก็ได้......”
“แต่นายห้ามทำอะไรพิเรนๆเด็ดขาด ไม่อย่างงั้น...”
“ฉันฆ่านายไม่เลี้ยงแน่!!”
แววตาอาฆาตของเราส่งผ่านไปถึงเขาทันที จนแถบตาวอร์เรนถึงกับซีดอีกรอบเลย
“ง......งัฟ”
สุดท้ายฉันก็ไม่ได้กินน้ำจนได้ ต้องมาหัวเสียกับอีตาวอร์เรนนี่ซะก่อน
ระหว่างที่กำลังขึ้นบันได ในหัวของฉันก็กำลังคิดเรื่องของผู้ชายคนนี้อยู่
(เรามาที่ไทยแค่ตัวคนเดียว และเราก็ไม่รู้จักใครคนอื่นด้วยนอกจากเธอกับมีน)
คำพูดนั้นก้องอยู่ในหัวของฉัน มือซ้ายที่พันสายนาฬิกาพกไว้ของเรากำลังจับราวบันได ในหัวของฉันยังคงคิดอะไรต่อไปเรื่อยๆไม่หยุด
(วอร์เรน... ใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวมาตลอดตั้งแต่มาที่ไทย)
(ทำไม......)
(ทำไมชีวิตของเขาถึงได้คล้ายกับเราจังเลยนะ......)
(ชีวิต...... ที่ต้องอยู่คนเดียวแบบนี้)
ในตอนนั้นวอร์เรนก็เตรียมจัดที่นอนตรงโซฟาไว้สำหรับนอนแล้ว
(ที่ผ่านมา...... เขาต้องเจอเรื่องอะไรมาบ้างนะ)
(ในนิสัยอันสลับซับซ้อนของวอร์เรน อาจจะมีเรื่องที่แสนเจ็บปวดบางอย่างที่เรายังไม่เคยรู้มาก่อน)
............
............
(จะว่าไป นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้ชายมาค้างที่บ้านเรานี่นา)
(ผู้ชายมาค้าง ผู้ชายมาค้าง ผู้ชายมาค้าง ผู้ชายมาค้าง...)
สุดท้ายฉันก็ข่มตานอนแทบไม่หลับเกือบทั้งคืน หลังจากที่ความคิดพวกนั้นมันดังก้องอยู่ในหัวตลอดเวลา
น่าอายจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว!
ส่วนทางวอร์เรนเองเหมือนจะติดภาพหลอนเดรสชุดนอนของรินทร์จนนอนตาค้างเลยเช่นกัน
(ใส่ชุดแบบนั้น...... ก็ไม่เลวนะ)
............
............
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ